ลมรักหลับ
 
     “ผลตรวจออกมาว่าคุณเป็นโรคลมหลับนะครับคุณเจนนิญา”
 
     ทันทีที่ได้ยินคำ ๆ นี้จากปากของหมอ มือของร่างบางที่เย็นเจี๊ยบอยู่แล้วก็แทบไร้ความรู้สึกไปในทันที หญิงสาวรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า และแม้ว่าจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่ในเวลานี้หญิงสาวก็อดรู้สึกว่าโลกทั้งใบมันถล่มทลายลงมาที่ตรงหน้าไม่ได้เลยจริง ๆ

     “หมอ หมอแน่ใจหรอคะ ทำไมถึงได้มั่นใจนักล่ะคะ เพราะผลแลปส์ครั้งที่ผ่านมานี่หรอคะ” หญิงสาวพยายามถามหาคำตอบอย่างรู้สึกโกรธในโชคชะตาของตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

     “ใช่ครับ เพราะวงจรการนอนหลับของคุณเข้าสู่ช่วง REM (*rapid eye movement) sleep ได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาทีหลังจากเริ่มหลับ แล้วมันก็อธิบายว่าทำไมคุณถึงมีอาการฝันร้ายแล้วก็รู้สึกเหมือนผีอำและขยับตัวไม่ได้พูดได้เท่านี้ น้ำตาของคนตรงหน้าก็ไหลรินออกมาทันที ทำให้คุณหมอหนุ่มรีบเอ่ยปลอบใจคนไข้ขึ้นด้วยน้ำเสียงและแววตาอันอ่อนโยนทันทีว่า

     “คนไข้ทำใจดี ๆ ก่อนนะครับ โรคนี้มันไม่ได้อันตรายร้ายแรงนะครับ”

     “แต่มันกำลังจะเปลี่ยนชีวิตของฉันนะคะหมอ ฉันกำลังจะต้องออกจากงานที่ฉันรัก”

     เนื่องจากงานพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินนั้น การดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารนั้นต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ฉะนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องมีความพร้อมเต็มร้อยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้ในกรณีนี้ อย่างไรเสียหญิงสาวก็จะต้องลาออกจากงานอย่างแน่นอน
     เมื่อผลลัพธ์ก็น่าจะเป็นไปตามที่เธอคาดการณ์และแอบกลัวเอาไว้จริง ๆ การที่ได้รับรู้ว่าตนเองจะต้องออกจากงานที่ตนเองใฝ่ฝันและตั้งใจจะทำมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อยแบบนี้ก็ทำให้เจนนิญาไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้จริง ๆ หญิงสาวทั้งรู้สึกเสียใจและเสียดายมากที่ในวันที่เธอสามารถโบยบินขึ้นมาสู่ความฝันที่อยู่สูงดั่งก้อนเมฆซึ่งล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าได้แล้ว แต่อยู่ดี ๆ ก็เหมือนว่าปีกที่คอยพัดโบกให้เธอสามารถบินขึ้นมาแตะสัมผัสปุยเมฆอันสวยงาม ก็กลับหักร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน จนทำให้เธอกำลังรู้สึกเหมือนกับนางฟ้าที่ปีกหักและต้องพลัดตกลงมาจากสรวงสวรรค์

     ทันทีที่กลับมาถึงห้อง ร่างบางก็หมดเรี่ยวแรงที่จะทำทุกสิ่งอย่างจนถึงกับต้องล้มตัวลงนอนลงบนเตียงอย่างรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก และเมื่อไม่รู้ว่าจะดับความทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไร เจนนิญาก็เลยได้แต่ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลรินลงไปบนหมอนสีขาวที่เธอใช้หนุนนอนอยู่ทุกค่ำคืน จนทำให้แม้กระทั่งหมอนใบใหญ่ ๆ ก็เริ่มเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาของนางฟ้า และหญิงสาวก็นอนร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งหล่อนผล็อยหลับไป

     หลังจากนอนร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องนอนเป็นชั่วโมง ๆ จนหลับไปพักใหญ่ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งหญิงสาวก็รู้สึกว่าตนเองนั้นสามารถสงบสติอารมณ์ได้แล้ว หญิงสาวจึงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน และก็เข้าครัวไปหาอะไรในตู้เย็นทานเพียงเพื่อไม่ให้ท้องว่าง แม้ว่าจะไม่ได้มีอารมณ์นึกอยากอาหารสักเท่าไหร่ก็ตาม

     เมื่อทานเสร็จ หญิงสาวก็ตัดสินใจได้ว่าหล่อนควรจะโทรไปคุยกับหัวหน้าของหล่อนอีกรอบ เพราะก่อนหน้านี้นั้นเจนนิญาก็ได้ไปลองศึกษาอ่านกฎของบริษัทและเข้าไปแอบโทรไปปรึกษาหารือกับหัวหน้าคนที่เธอเคารพและสนิทด้วยแล้วรอบหนึ่ง และหลังจากที่ฟังผลตรวจมาตอนบ่ายนี้ คืนนั้นเจนนิญาจึงตัดสินใจโทรหาการะเกดอีกรอบเพื่อถามถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง

     “พี่เกดวันนี้เจนไปฟังผลตรวจมาแล้วนะคะ หมอบอกว่าเจนเป็นโรคลมหลับจริง ๆ ค่ะพี่”

     “เจน เจนลองไปหาหมอที่โรงพยาบาลอื่นดูอีกรอบมั้ย เผื่อหมอจะวินิจฉัยผิดนะ” การะเกดเองก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ข่าวที่เธอหวังว่ามันจะเป็นข่าวดีก็กลับกลายเป็นข่าวร้าย

     “โอกาสที่หมอจะตรวจผิดก็คงจะยากอยู่นะคะ เพราะนี่เจนก็ไปหาหมอที่สถาบันประสาทวิทยามาสองรอบแล้ว”

     “พี่เกดคะ เจนถามจริง ๆ ว่าถ้าเจนลาออก ทางสายการบินจะมีค่าชดเชยอะไรให้เจนบ้างรึเปล่าคะ”
การะเกดเองก็เอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูลำบากใจอยู่ไม่น้อยว่า

     “ถ้าจะให้พี่บอกตรง ๆ มันก็คงจะยากอยู่นะเจน เพราะสาเหตุที่เจนอาจจะต้องลาออกมันไม่ใช่ความผิดของทางสายการบิน แล้วโรคนี้มันก็มันไม่ใช่โรคที่เกิดจากการทำงานกับสายการบินด้วย”

     “ค่ะ เจนเข้าใจแล้วค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะพี่เกดที่คอยให้คำปรึกษาและสอนงานเจนเป็นอย่างดีมาตลอดสามปีที่เจนได้ทำงานที่นี่”

     “เจน ทำใจให้ดี ๆ นะ เจนจำที่พี่เคยสอนได้ใช่มั้ยว่าไม่ว่าจะมีสถานการณ์ฉุกเฉินอะไรเกิดขึ้น ก็ให้เราพยายามหายใจเข้าออกให้ลึก ๆ ตั้งสติให้ดี ๆ เพราะทุกปัญหามีทางแก้อยู่เสมอนะ ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้กันไป ถ้ามีอะไรก็โทรปรึกษาพี่ได้ตลอดเลยนะเจน”

     “ขอบคุณมากนะคะพี่เกด พี่ใจดีกับเจนเสมอเลย จนเจนไม่รู้จะขอบคุณพี่ยังไงดีแล้ว” เจนนิญานั่งปาดน้ำตาป้อย ๆ ทันที

     “พักผ่อนซะนะเจน จะได้มีแรงมาสู้ต่อ” การะเกดพูดให้กำลังใจหญิงสาวในปกครองที่เธอเคยสอนงานและเจนนิญาก็ถือเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่เธอเห็นถึงความรักและความตั้งใจในการทำงานบริการจนแม้แต่ตัวเธอเองก็อดรู้สึกเสียดายเจ้าหน้าของสายการบินที่ทำงานดี ๆ แบบนี้ไม่ได้

     “ค่ะ พี่เกดก็นอนหลับฝันดีนะคะ”

     “พี่เห็นเจนมาตลอดตั้งแต่เริ่มมาเทรน พี่เชื่อนะว่าเจนจะผ่านพ้นอุปสรรคทุกอย่างไปได้เหมือนอย่างที่เคยนะ ฝันดีจ่ะ” การะเกดพูดให้กำลังใจลูกน้องของหล่อนอีกครั้งก่อนที่หล่อนจะกดวางสายไป
     เมื่อเจนนิญาได้รับการวินิจฉัยว่าตัวหล่อนเป็นโรคลมหลับจริง ๆ นอกจากที่รู้สึกตกใจ เสียใจและไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดีเพราะหนทางมันดูมืดมนไปหมดสำหรับเธอ แต่เมื่อได้ตั้งสติและได้ลองโทรไปคุยกับหัวหน้าแล้ว เธอก็ตัดสินใจได้ว่าเธอจะต้องโทรไปคุยกับมารดาเพื่อบอกข่าวที่เกิดขึ้น รวมถึงเธอก็จะบอกเรื่องที่เธอตัดสินใจจะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดของหล่อนด้วย

     กริ้ง ๆ ๆ

     ทันทีที่มารดารับสาย เจนนิญาก็กรอกเสียงไปตามสายทันทีว่า

     “สวัสดีค่ะแม่”

     “เป็นยังไงบ้างลูก ช่วงนี้บินหนักหรอ ถึงไม่ค่อยได้โทรหาแม่บ้างเลย”

     ทันทีที่หญิงสาวได้ยินประโยคนี้ของมารดา เธอก็รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่อกทันที

     ใช่สินะ นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เธอไม่ได้โทรกลับบ้าน เพราะทุกวันนี้เธอโทรหาเพื่อนสนิทอย่างคิมหันต์มากกว่าแม่ของตัวเองเสียอีก และข้ออ้างก็มีเยอะแยะ เช่นมันดึกเกินไป และแม่ของเธอคงเข้านอนไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ท่านอาจจะกำลังรอสายจากเธออยู่ก็ได้

     “แม่ เจนมีอะไรจะบอกค่ะ แม่ไม่ต้องตกใจนะ”

     “แกมีอะไรยัยเจน ทำไมแกต้องบอกไม่ให้แม่ตกใจด้วย” มารดาของหล่อนเสียงดังขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ

     “แม่จะว่าอะไรมั้ย ถ้าเจนจะลาออกจากงานแล้วกลับไปอยู่ที่บ้าน”

     “มีปัญหาอะไรรึเปล่าลูก หนูเหนื่อยเกินไปหรอ หรือมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน หรือไอ้กัปตันแฟนเก่ามันมาทำอะไรให้เราลำบากใจรึเปล่าเจน” แม่ถามรัวเร็วด้วยความเป็นห่วงเป็นชุดทันที

     “เปล่าค่ะ แม่ เจนแค่ป่วยเป็นโรคลมลักหลับ”

     “ฮะ โรคอะไรนะ ลมชักหรอลูก”

     “ไม่ใช่ค่ะแม่ เจนเป็นโรคลมหลับ”

     “แล้วมันเป็นโรคอะไรลูก เป็นอันตรายอะไรร้ายแรงหรือเปล่า แล้วเจนไปหาหมอมาแล้วยังลูก หมอว่าไงบ้าง” น้ำเสียงของแม่ก็ดูเป็นกังวลมากจนเจนต้องรีบบอกแม่ของหล่อนว่า

     “ไม่ต้องห่วงนะคะแม่ โรคนี้ไม่ร้ายแรง เพียงแต่เจนจะหลับได้ทุกที่ทุกเวลา มันก็เลยไม่สะดวกที่จะทำงานแอร์อีกต่อไปแล้ว”

     “แล้วมันรักษาให้หายไม่ได้หรอลูก หรือว่าค่าใช้จ่ายมันแพง พ่อกับแม่มีเงินเก็บที่จะเอาไว้ให้เจนกับเจตอยู่นะ ถ้าจำเป็นเราเอามาใช้เป็นค่ารักษาเจนก่อนก็ได้นะลูก ต่อให้ต้องขายสวนทั้งสวนถ้ามันทำให้เจนหาย แม่ก็ยอมนะลูกนะ”
     
          เมื่อได้ยินคำพูดของมารดาประโยคนี้ หญิงสาวก็ถึงกับน้ำตาร่วงทันที
     
          “ขอบคุณมากนะคะแม่ แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คือยังไงโรคนี้มันก็รักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไร เพียงแต่เจนต้องเปลี่ยนไปทำงานอื่นอย่างอื่นแทนก็เท่านั้นเองค่ะ”
     
          เจนนิญาเอ่ยตอบออกมาทั้ง ๆ ที่น้ำตาไหลท่วมหน้าไปหมด
 
          “แล้วก่อนหน้านี้เจนไปมีอาการที่ไหนบ้าง เจนไปหลับแล้วหกล้มหกลุกอะไรที่ไหนบ้างรึเปล่า”

          “ก็มีตอนทำงานบนเครื่องแค่ครั้งสองครั้ง ตอนไปกินข้าวที่ห้างกับคิม แต่นอกนั้นเจนก็แทบไม่ได้ไปไหนเท่าไหร่ค่ะ ก็เลยไม่ได้บาดเจ็บอะไร จะมีก็แค่รอยเขียวที่แขนบ้างนิดเดียว”

     เจนนิญาแอบเล่าไม่หมดเพราะที่จริงแล้ว เธอก็ไปวูบหลับทั้งบนรถแท๊กซี่ ทั้งที่บนรถไฟฟ้า และบนเครื่องบินมากกว่า 2-3 ครั้งตามที่บอกมารดา รวมถึงแม้กระทั่งในห้องที่คอนโดของตนเอง

     “ยังไงก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก แม่เป็นห่วง แล้วจะลาออกเมื่อไหร่ล่ะ จะย้ายของกลับมาบ้านเมื่อไหร่ก็บอกนะ เดี๋ยวแม่จะได้ให้เจตเอารถไปช่วยขนของให้”

     “คงอาทิตย์หน้านี้อ่ะค่ะ ยังไงแม่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเจนมากนะ เจนไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะแม่ ยังไงคืนนี้มันดึกแล้ว แม่ก็นอนหลับฝันดีนะคะ” เจนนิญาพยายามข่มน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติมากที่สุด และหล่อนก็กลั้นไม่ให้ตัวเองสะอื้นออกมาให้มารดาได้ยิน แถมยังพยายามรีบตัดบทสนทนา

     “เดี๋ยวเราก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วนะลูก ยังไงก็เจนก็พักผ่อนให้เยอะ ๆ นะ อย่าลืมโทรหาแม่บ่อย ๆ ด้วยนะ แม่จะได้รู้ว่าเราเป็นไงบ้าง”

     “ค่ะ แม่ แล้วเดี๋ยวเจนโทรหาใหม่นะคะ แม่ก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะคะ”

     “จ้ะ ลูก”

     ตึ้ด

     ทันทีที่วางสายจากมารดา ร่างบางก็ปล่อยโฮออกมาทันทีอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป และน้ำตาในรอบนี้มันก็ไม่ได้มาจากเรื่องการเจ็บป่วย แต่มันมาจากความรู้สึกผิดที่เธอเพิ่งจะได้มาตระหนักชัดในคืนวันนี้ต่างหาก

     นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราพยายามสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างอนาคตของตนเอง โดยหลงคิดไปว่ายังมีเวลาอีกมากมายในชีวิต นานเท่าไหร่กันแล้วนะที่คิดว่าเดี๋ยวมีเวลาว่างก็ค่อยกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ และในเวลาที่มีความสุขสนุกสนาน ได้กินอาหารดี ๆ ได้ไปท่องเที่ยวที่ต่างประเทศหลังจากเสร็จงาน เราก็เอาแต่เพลิดเพลินอยู่กับเพื่อน ๆ แต่แล้วในเวลาที่มีความทุกข์ที่สุด คนที่เรานึกถึงก่อนใครก็กลับคือพ่อแม่ แล้วถ้าเกิดว่าเราไม่ได้เป็นแค่โรคลมหลับล่ะ ถ้าเกิดวันนี้รถชน ปัง ตายไปเลย เราจะมีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อตอบแทนพระคุณของพ่อแม่มั้ย ทำไมก่อนหน้านี้เราถึงได้ละเลยคนที่รักและเป็นห่วงเราที่สุดอย่างพ่อกับแม่ไปได้ขนาดนี้นะ
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น