เอลินอร์เดินออกจากลิฟต์ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ครั้นถึงห้องผู้ป่วยก็เห็นพอลกำลังอ่านหนังสือให้คุณชาร์ล็อตต์ฟังตามเวลาเดิมราวกิจวัตร
          “หิวหรือยังคะ” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ชูตะกร้าใส่อาหารให้เห็น
          “ขอบคุณนะเอลลี่ กำลังหิวพอดีเลย” ภาวีละสายตาจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มตอบ
          เอลินอร์ตรงเข้ามาจูบทักทายแฟนหนุ่มก่อนจะนั่งข้าง ๆ เปิดตะกร้าแล้วนำอาหารออกวางไว้ให้หยิบทานง่าย ๆ ซึ่งมีทั้งซุป, สลัด และแซนวิช ภาวีทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย ทว่าทานไปได้ครึ่งเดียวพยาบาลก็เข้ามาดูอาการผู้ป่วยพร้อมกับทำกายภาพบำบัด ซึ่งหวานนอนไม่ได้สติมาเกินหนึ่งเดือนแล้ว หากไม่คอยพลิกหรือขยับตัวบ้างอาจจะส่งผลให้เป็นแผลกดทับหรือแม้กระทั่งพิการได้
          สาวสวยชาวสวิสเฝ้ามองแฟนหนุ่มที่คอยช่วยพยาบาลขยับร่างกายให้คนป่วยด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แม้คุณชาร์ล็อตต์จะไม่ได้สติ แต่เอลินอร์รู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการแย่งพอลไปจากเธอ คำพูดในวันที่ทะเลาะกันรุนแรงยังคงติดตรึง
          “ใช่! ฉันรักเขา รักมาตลอด และจะไม่ยอมเสียเขาให้กับใครทั้งนั้น”
          พอนึกถึงคำพูดนั้น เอลินอร์กลับรู้สึกว่าคุณชาร์ล็อตต์ที่ยังคงไม่ได้สติกำลังยิ้มเยาะเธออยู่ เพราะตอนนี้พอลต้องคอยเอาใจใส่คุณชาร์ล็อตต์ไม่ห่าง เป็นเธอเสียอีกที่เริ่มรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นส่วนเกิน
          หลังจากพยาบาลดูแลคนป่วยจนเสร็จและออกจากห้องไปแล้ว ภาวีก็กลับมาทานอาหารที่ทานค้างไว้ ครั้นเห็นแฟนสาวเงียบไปคล้ายมีเรื่องไม่สบายใจจึงชวนคุย
          “เสียดายวันนี้คุณมาช้าไปหน่อย ไม่งั้นคงได้เจอเพื่อน ๆ ของผม พวกเขามาเยี่ยมชาร์ล็อตต์กันน่ะ”
          “หรือคะ” เอลินอร์พยายามยิ้มให้ดูสดใส
          “มีอรที่คุณเคยเจอแล้ว ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เคยมาทานอาหารที่คุณทำยังไงล่ะ” ภาวีพูดต่อ เอลินอร์พอจะนึกออกอยู่
          “แต่คนอื่น ๆ คุณยังไม่เคยเจอ เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะแนะนำให้คุณรู้จักนะ”
          “ค่ะ” เอลินอร์คลี่ยิ้มสดใส เริ่มกลับมาอารมณ์ดีอีกหน ถึงอย่างไรพอลก็ยังคงดีกับเธอเสมอ เธอไม่น่าไปคิดอะไรแย่ ๆ อย่างการอิจฉาคุณชาร์ล็อตต์ที่นอนไม่ได้สติอยู่แบบนี้เลย
          “อาหารอร่อยไหมคะ” เธอถามความเห็นแฟนหนุ่มถึงรสชาติอาหารที่ทำมาให้
          ชายหนุ่มฉีกยิ้มแล้วพยักหน้า “อื้อ อร่อยทุกอย่างเลย ผมนี่โชคดีจริง ๆ ที่มีแฟนทำอาหารเก่ง”
          “แหม อย่าเพิ่งชมไปเลยค่ะ แค่อาหารง่าย ๆ เท่านั้นเอง แต่หลายวันมานี้ฉันทำแต่แซนวิชจนกลัวคุณจะเบื่อ เริ่มจะนึกไส้ใหม่ ๆ ไม่ออกซะแล้วสิ เอาไว้เราไปหาร้านใกล้ ๆ แถวนี้ทานกันดีไหมคะ คงไม่เสียเวลามากนัก” เอลินอร์เอ่ยชวน อยากให้ชายคนรักออกไปสูดอากาศภายนอกบ้าง แทนที่จะมัวอุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้
          “เอาไว้ให้ชาร์ล็อตต์หายดีก่อนเถอะนะ ผมกลัวว่าเธอฟื้นมาแล้วจะไม่พบใคร” ภาวีบ่ายเบี่ยงด้วยคำตอบเดิม เป็นคำตอบที่ทำให้เอลินอร์รู้สึกเจ็บลึกอย่างบอกไม่ถูก ไม่กล้าถามออกไปตรง ๆ ว่าเพื่อนหญิงคนนี้สำคัญกับเขามากขนาดไหน
          ภาวีผลุนผลันลุกไปที่เตียงคนป่วยทันทีที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาบางอย่าง ปลายนิ้วของหวานเหมือนจะกระดุกกระดิกหน่อยหนึ่ง สัญญาณเพียงเท่านี้ก็พอจะสร้างความตื่นเต้นให้คนที่เฝ้ารอมานานนับเดือน
          มืออันแข็งแรงเลื่อนมากุมมืออันบอบบางไว้อย่างทะนุถนอม ค่อย ๆ บีบและขยับให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคลายตัว ภาวีเดินกลับมาหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้พร้อมกับนำเก้าอี้มาวางใกล้เตียงผู้ป่วยยิ่งขึ้น ก่อนจะนั่งลงแล้วเริ่มอ่านหนังสือให้เพื่อนสาวที่ยังคงไม่ได้สติฟัง
          “ผิดแล้ว เพื่อนเอ๋ย เสียงหนึ่งกล่าวขึ้น วิลเบอร์มองผ่านรั้วออกไป เห็นห่านยืนอยู่ข้างนอก...” ภาวีอ่านไปพลางทำเสียงเล็กเสียงน้อย ราวกับเล่านิทานให้เด็กเล็ก ๆ
          ชายหนุ่มยังคงอ่านหนังสือต่อไปอย่างเนิบช้า คอยชำเลืองหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่เป็นระยะ เอลินอร์มองคนทั้งสองแล้วพาลรู้สึกว่าตนเองได้กลายเป็นส่วนเกิน ตลอดเวลาที่คุณชาร์ล็อตต์นอนไม่ได้สติ พอลจะคอยอ่านหนังสือเล่มเดิมให้เธอฟังทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรอันน่าเบื่อหน่าย ทุกครั้งเอลินอร์จะอยู่นั่งฟังด้วย จนครั้งนี้เธอรู้สึกว่าควรจะพอเสียที
          “พอลคะ ฉันคิดว่าคุณควรจะกลับไปพักผ่อนบ้าง คุณไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าตลอดแบบนี้ก็ได้” เธอพยายามยกเหตุผล ชายหนุ่มหยุดอ่านหนังสือ หันมายิ้มให้แล้วตอบ
          “ไม่ได้หรอกเอลลี่ ชาร์ล็อตต์เธอไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว ผมต้องอยู่คอยดูแลเธอ” กล่าวจบเขาก็กางหนังสือทำท่าจะอ่านต่อ
          “ถ้าคุณเป็นห่วงคุณชาร์ล็อตต์ เราขอให้คุณจอห์นมาช่วยสลับกันดูแลก็ได้นี่คะ หรือฉันอาจจะให้คุณสเตฟานมาช่วยดูแลอีกคน” เอลินอร์ยังคงต่อรอง แค่ต้องการให้แฟนหนุ่มได้ใช้เวลาส่วนตัวกับเธอบ้าง แทนที่จะเอาแต่คอยดูแลเพื่อนสาวของเขาแบบนี้
          ภาวียังคงก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป ไม่ได้ตอบสนองต่อคำร้องขอจนเอลินอร์อดรนทนไม่ไหว รู้สึกเหมือนถูกแย่งชิงแฟนหนุ่มไปโดยหญิงสาวที่อยู่ในสภาพจะอยู่ก็ไม่ใช่จะตายก็ไม่เชิง
          ในที่สุดเอลินอร์ก็เลือกที่จะเหนี่ยวรั้งชายคนรักไว้ ด้วยเรื่องที่เธอตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับระหว่างเธอและคุณชาร์ล็อตต์ จากที่คิดจะไม่เอ่ยถึงมันเพราะเห็นแก่สภาพที่เป็นอยู่ของอีกฝ่าย
          “ฉันมีเรื่องอยากจะบอกคุณค่ะพอล วันนั้นที่ฉันเห็นคุณอยู่กับผู้หญิงอีกคน ทั้งหมดเป็นแผนของคุณชาร์ล็อตต์ เธออยากให้เราเลิกกัน...” เธอตั้งใจจะพูดต่อ แต่ชายหนุ่มยกมือเป็นการปรามไว้
          “ขอร้องล่ะนะเอลลี่ คุณอย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลย ผมขอให้ชาร์ล็อตต์ฟื้นมาก่อน...” ภาวีกล่าวทั้งที่ยังก้มมองหนังสือ ไม่ได้เงยหน้าแลแฟนสาว
          เอลินอร์เงียบไป พูดอะไรไม่ออกเมื่อชายคนรักไม่มีทีท่าจะฟังเธอเลย ดูไม่ออกว่าเขาไม่เชื่อเรื่องที่เธอเล่าหรือไม่คิดจะฟังเลยกันแน่ ยามนี้ดูเขาจะใส่ใจอยู่แต่กับอาการของคุณชาร์ล็อตต์ จนเธอรู้สึกว่าได้กลายเป็นคนอื่นสำหรับเขาไปแล้ว
          “เอ่อ ดึกแล้ว เดี๋ยวฉันกลับก่อนนะคะ” เธอขอตัว รีบเก็บภาชนะใส่อาหารจนดูลน
          “กลับดี ๆ นะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยลา ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือให้เพื่อนสาวฟังต่อราวกับกลัวจะเสียเวลา เมื่อเป็นเช่นนั้นเอลินอร์จึงเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ เพียงคนเดียว
          รถยนต์จากัวร์สีขาวแล่นออกจากโรงพยาบาล ขับไปตามถนนหนทางยามดึกที่โปร่งโล่ง สาวสวยชาวสวิสกุมพวงมาลัยพลางคิดไปต่าง ๆ นานา
          เดิมเอลินอร์สงสัยในพฤติกรรมของคุณชาร์ล็อตต์ว่าคงแอบชอบพอลอยู่ จึงแกล้งเปิดช่องเพื่อจะลองใจ แล้วก็ได้รู้ว่าคุณชาร์ล็อตต์หลงรักพอลจริง ๆ รักมาก่อนที่เธอจะได้เป็นแฟนกับพอล ซึ่งคงทำให้รู้สึกเหมือนถูกแย่งชิงสิ่งล้ำค่าไป ทว่าความจริงนั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับที่เธอได้รู้ ว่าพอลมีผู้หญิงอีกคนซ่อนอยู่ในหัวใจจริง ๆ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็คือคุณชาร์ล็อตต์...
           แม้เอลินอร์จะเพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและทรัพย์สมบัติ แต่มันกลับไม่ช่วยให้เอาชนะความผูกพันที่มีมานานวันได้เลย นึกน้อยใจขึ้นมาเมื่อคิดว่าหากเธอประสบอุบัติเหตุเช่นนั้นบ้าง พอลจะดูแลเอาใจใส่แบบเดียวกันหรือเปล่า...
          รถยนต์คันหรูเพิ่มความเร็วในชั่วอึดใจจนน่าหวั่นเกรง สาวสวยเจ้าของรถยังคงเหยียบคันเร่งขณะกำพวงมาลัยมั่น เธอกำลังตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง กระทั่งเกิดเปลี่ยนใจ เบรกรถอย่างกะทันหันก่อนถึงสี่แยกจนรถยนต์จากอีกฟากบีบแตรใส่เป็นเชิงตำหนิ
          ภายในรถยนต์ สาวสวยผมสีทองยังคงกำพวงมาลัยแน่น ร่างกายสั่นสะท้าน นึกกลัวความคิดชั่ววูบที่จะทำร้ายตัวเอง เพียงแต่เธอยังไม่กล้าพอ...หยาดน้ำตาเอ่อท้นหยดตามร่องแก้ม ในที่สุดเอลินอร์ก็ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยเพื่อซ่อนหยาดน้ำตา ร้องไห้เพียงลำพังภายในรถ
          “เห็นแล้ว วิลเบอร์พูด ฉันเห็นเธอแล้ว เป็นยังไงบ้าง สวัสดีตอนเช้า !...” ภาวียังคงอ่านหนังสือต่อไปขณะที่จิตใจว้าวุ่น ท่าทางของเอลินอร์ในวันนี้ดูเปลี่ยนไปจนน่าเป็นห่วง
          ทันใดนั้นนิ้วมือของหวานก็เริ่มกระดุกกระดิกอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ดวงตางามของเธอยังเบิกออก สอดส่ายสายตาไปมาเหมือนคนเพิ่งตื่น
          “อือออ...” เธอส่งเสียงคราง
          “หวาน ! หวานฟื้นแล้วเหรอ !” ภาวีรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
          “ภาวี...เมื่อกี้นายอ่านอะไร...” หวานถาม
          “ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก หวานชอบเรื่องนี้ที่สุดไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มตอบอย่างอ่อนโยน
          “อ่านต่อสิ” หญิงสาวบอก ภาวีจึงก้มหน้าอ่านต่อ
          “อรุณสวัสดิ์ ดีใจที่ได้รู้จัก เธอชื่ออะไร บอกฉันหน่อยสิ...” เขาทำท่าจะอ่านต่อ แต่หวานแตะมือปราม กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วพูดขึ้น
          “ฉันชื่อ แมงมุมตอบ ชาร์ล็อตต์” กล่าวจบหญิงสาวก็ขยับรอยยิ้มละไม ภาวีน้ำตาปลื้มปริ่มด้วยความดีใจ
          “...เห็นไหม สมองฉันยังดีอยู่ จำบทได้หมดเลย...” หวานพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ภาวีก้มลงร้องไห้กับมืออันบอบบาง
          “...ฉันอยากกลับบ้านแล้วล่ะ เรากลับบ้านกันเถอะ” หญิงสาวเอ่ยต่อ ชายหนุ่มพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น