ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึก(ไม่)ลับ เด็กวิทย์ หัวใจศิลป์

    ลำดับตอนที่ #100 : [Special Moment] Knowing that I can’t reach the shining star, but I ...

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 21.5K
      28
      6 พ.ค. 53

    สวัสดีช่วงปีใหม่สงกรานต์ไทย หลายๆคนคงจะไปสาด.. และโดนสาดน้ำกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ไม่อยากบอกว่าระเองก็โดนรุมปะแป้งด้วยหล่ะเออ!) แต่ขอให้เป็นการสาดน้ำตามแบบประเพณีไทยนะครับ อย่าสาดเลือดกานเหมือนในสถานการณ์บ้านเมืองเราตอนนี้ อิอิ

     

    เอาหล่ะ เมื่อร้อน ก็ต้องหนีร้อนออกนอกกรุงฯ (รู้สึกจะร้อนยิ่งกว่า -*-) ใช่แล้ว เมื่อ 2 วันที่แล้ว ครอบครัวของระเดินทางไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ฝ่ายพ่อที่ขอนแก่น (เมื่อปีที่แล้วไปพิจิตรบ้านแม่ ปีนี้เลยสลับกัน) พอพูดถึงขอนแก่นปุ๊บ ผมก็โวยเลย โหย ขอนแก่น -*- ร้อนจะตายชัก แต่ก็พูดมากไม่ได้ เพราะเป็นความตั้งใจอย่างแรงกล้าของครอบครัว ประกอบกับประเพณีของไทยๆอ่านะ เราก็ไม่ได้ไปหาคุณย่ามากนานมากและ กลับไปแสดงความกตัญญูในฐานะหลานที่ดีซะหน่อยจะเป็นไร

     

    พอไปถึง ร้อน จริงๆ

     

    วันที่ 12 ถึงแม้ยังไม่ใช่บรรยากาศช่วงสงกรานต์ แต่ที่นี่เขาจะเริ่มมีขบวนแห่นางนพมาศวิ่งวนทั่วหมู่บ้านเพื่อที่จะให้ลูกบ้านได้สงน้ำพระกันอย่างทั่วถึง เรียกได้ว่ารับบุญกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว ผมเองก็ไปร่วมแจมกับเขาด้วย เพราะถ้าเสร็จจากมาเยี่ยมญาติแล้ว ผมเองก็คงต้องกลับไปเครียดต่อกับเรื่องที่เรียนแหงมๆ ไหนๆ ก็มาและ ผมขอรับบุญหน่อยก็แล้วกัน ^^

     

    นานๆทีที่ผมเองได้ออกต่างจังหวัด อยากจะบอกเหลือเกินว่า มันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก (ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุ -*-) คือ คนที่เนี่ย... ดูรักกันสนิมสนมกันมากมาย ทั้งภายในเครือญาติ และคนข้างบ้าน รู้จักกันหมด ไม่มีบรรยากาศการแข่งขันอะไรให้เห็นแล้วบีบคั้นหัวใจเลย มองออกไปนอกบ้าน หลานๆของผมก็ตั้งกะละมังเตรียมสาดรถที่วิ่งผ่านไปมาหน้าบ้านแล้ว ไอ้กระผมเองจะไปเล่นด้วยก็เกรงว่าจะไม่เจียม (555+ อายคอดๆ) สรุปคือ วันนั้น วัดระ ไม่เล่น ไม่เปียก แต่โดนประแป้ง แง่มๆ + +

     

    ถ้าเทียบกับความรู้สึกก่อนที่จะมาขอนแก่น ยอมรับเลยว่าก่อนมาผมเครียดมาก แล้วก็ท้อมากๆด้วย เนื่องจากไปสมัครงานแล้วไม่มีใครรับ -*- ทำให้อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ ก็ต้องนั่งเปิดเน็ตดูข้อมูลอะไรไปเรื่อย ยิ่งดูคะแนน ดูคณะ ดูข่าวตามบอร์ดต่างๆ ที่บอกว่า GAT จะเฟ้อบ้าง มหาลัยปีนี้รับน้อยบ้าง บอกตามตรงเลยว่ามันบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน พลอยคิดไปว่า ทำไมปีเราถึงต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายอะไรแบบนี้ด้วย

     

    ผมไม่ใช่คนเรียนเก่ง (และอาจจะไม่ใช่คนขยันในสายตาใครหลายๆคน) ผมยอมรับว่าผมเป็นคนที่ทะเยอทะยาน แล้วก็มั่นใจในเรื่องที่คนอื่นเขาไม่ค่อยมั่นใจกัน (55+) วันที่ผมเอาคะแนนที่เลือก 4 อันดับไปให้อาจารย์แนะแนวดูให้ที่โรงเรียน แกก็บอกเลยว่า เลือกไปทำไมอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ได้หรอกลูก เสียอันดับเปล่าๆ

     

    6970.0333 คะแนน....

    ความจริงที่ปวดใจ 555+ แต่ผมก็ยังดึงดันจะเลือกใช้คำตอบเดิม

    ผมจะยื่นอักษรศาสตร์ จุฬาฯครับ…”

     

    เพราะอะไร? ก็เพราะว่า นี่คือ ครั้งแรก ของการสอบในระบบปี 53 นี่คือครั้งแรก ในการเลือกคณะเพื่อก้าวเข้าสู่รั้วมหาลัยของเรา และนี่.. อาจจะเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายที่เราจะได้มีโอกาสเสี่ยง กับความทะเยอทะยาน(ที่แสนจะไร้สาระ)ของตัวเอง อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ทำหน้าบอกเป็นนัยๆว่า เผื่อใจไว้บ้างก็ดีนะ

     

    วันต่อมาก็มาให้รุ่นพี่มาช่วยเลือกคณะอีกครั้งนึง คราวนี้รุ่นพี่ไม่ได้ว่าอะไร มีเพียงแต่เพื่อนๆ ที่เตือนด้วยความหวังดี ระ แกจะเลือกอักษรไปทำไมวะ ติดลบตั้ง 4 ไม่ได้หรอกว่ะ เอาคณะอื่นเหอะ... ระ กรูเชื่อนะเว้ย ถ้าเมิงเรียนคณะอื่น เมิงไปได้ไกลกว่านี้ว่ะ ไอ้ห่_นี่~  เลือกไปก็ไม่ได้หรอกเมิง ทำใจเหอะ ฯลฯ

     

    ผมรู้ว่าเพื่อนมันหวังดีกันทุกคนนั่นแหละ พอฟังมันพูดเข้าหลายๆประโยค มันทำให้เกิดคำถามในใจว่า ทำไมเราถึงอยากเรียนอักษร จุฬาฯ มากมายขนาดนี้

     

    อะไรที่เป็นเรื่องฝังใจตั้งแต่เด็กๆ บางครั้งมันก็ยากที่จะลบเลือน

     

    ระเคยเล่าให้ทุกคนฟังแล้วว่า ระอยู่มากับสังคมที่เต็มไปด้วยค่านิยมต่างๆนานา ลูกของป้า ติดหมอจุฬาฯ ตั้งแต่อยู่ ม.5 น้าสาวตอนนี้เรียนปริญญาเอกอยู่ที่จุฬาฯ คนอื่นๆในเครือญาติก็ล้วนแต่คาดหวังในตัวของผมด้วยเหมือนกัน (แต่อย่างน้อยก็ผิดหวังไปอย่างหนึ่งแล้วหล่ะ ที่ระไม่ได้เป็นหมอ แล้วก็ไม่มีทางเป็นได้ด้วย เพราะโอเน็ตไม่ถึง 60%  เหอๆ) แม่เลยพร่ำบอกเสมอๆว่า ยังไงหนูก็ต้องเข้าให้ได้ จุฬา/ธรรมศาสตร์ จึงเป็นสาเหตุของการพาไปบนในวันนั้น

     

    ผมไม่โกรธแม่หรอก ถ้าแม่จะคิดแบบนั้น

    แต่ผมเกลียด สังคมที่มันห่วย....

     

    ยิ่งคาดหวังกับผมมากเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่อยากจะทำให้แม่เสียใจมากเท่านั้น... ตอนที่สละสิทธิ์คณะโบราณคดี ส่วนหนึ่งก็มาจากแม่ผมด้วยแหละ ทำให้เกิดคำถามในใจว่า คณะนี้ มหาลัยนี้ มันไม่ดีตรงไหน เขาก็ให้เหตุผมเดียวว่า มันไม่ใช่ จุฬาฯ และ ธรรมศาสตร์

     

    สุดท้ายก็ไม่ติดรับตรงอักษรศาสตร์ จุฬาฯอยู่ดี

     

    ผมสงสัยว่า ทำไมเราต้องเหนื่อยกับการวิ่งตามความฝันอยู่แบบนี้ ต้องเข้าใจก่อนเลยส่วนหนึ่ง ค่านิยมของคนในสังคม ยิ่งในประเทศไทยแล้ว เป็นสิ่งที่เปลี่ยนได้ยากมาก พอๆกับให้ช้างออกลูกเป็นหมีแพนด้า -*- ตราบใดที่คนยังเห็นว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้เหมาะ เขาก็จะเชื่ออยู่อย่างนั้น ด้วยเหตุนี้ เด็กเก่งๆหลายคนจึงต้องพยายามสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงให้ได้ ส่งผลให้เด็กเก่งๆก็วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเหล่านั้น ส่วนคนที่เรียนอ่อนหรือปานกลาง ก็จะถูกต้อนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอื่นที่อยู่นอกกรุงเทพ การเกิดวัฏจักรเดิมๆ ซ้ำๆไปมาแบบนี้ถือเป็นการสั่งสมชื่อเสียง... ยิ่งนานเข้าๆ ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ยาก จนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัวของมัน

     

    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    เลยกลายเป็นที่หนึ่งในหัวใจของใครหลายๆคน

    แล้วก็ไม่แปลก ถ้าคนส่วนใหญ่จะเห็นพ้องดังนั้น

     

    สิ่งที่เพื่อนผมพูดมา มันถูกต้องทั้งหมด ใช่ เราแทบจะไม่มีโอกาสเอื้อมไปถึงฝันนั้นได้เลย มองดูคะแนนที่ถืออยู่ในมือก็รู้สึกท้อขึ้นมาจับหัวใจ นี่เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยใช่รึเปล่า?

     

    ผมรักในความเป็นอักษรศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    แล้วผมก็อยากทำเพื่อครอบครัวของผมเองด้วย

     

    งมงายสุดๆไปเลย ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเพ้อออกมาได้มากมายขนาดนี้ คิดแล้วก็ขำในความทะเยอทะยานของตัวเอง รู้ว่าไม่มีโอกาส แต่ก็ขอเหอะสักครั้ง ให้ได้ชื่อว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้สัมผัสถึงมัน รู้สึกถึงมัน แค่นั้นก็พอใจแล้ว

     

     


     

    คืนแรกที่ขอนแก่นมีดาวขึ้นเต็มฟ้า ตอนแรกก็ไม่ยักกะรู้เลยว่า ที่ขอนแก่นเองก็มองเห็นดาวได้ด้วย คนส่วนใหญ่ในเมืองไม่ค่อยจะได้มีโอกาสเห็นดาวระยิบระยับแบบนี้ มีคนบอกว่า หากได้แหงนหน้ามองดูฟ้า อาการปวดหัวปวดต้นคอ ความเครียดจากการทำงานก็จะเบาบางลง แถมยังทำให้สบายใจมากขึ้นอีกด้วย

     

    มีข้อความหนึ่งจากเพื่อนของผม ซึ่งเธอคนนี้มีความฝันอยากจะเข้าคณะอักษรศาสตร์ ศิลปากร แต่มีเงินอยู่ในมือเพียง 63xx.xxxx เราคุยกันบ่อยมาก แล้วเธอเองก็จะรู้สึกเครียดกับเรื่องนี้มากๆด้วย หลายครั้งที่ต้องช่วยกันพลัดกันปลอบ วันนั้นเธอส่งข้อความมาหาผมว่า

     

    เมื่อคุณแหงนหน้ามองฟ้า และเอื้อมมือไปคว้าดวงดาว

    ถึงแม้จะไม่มีดาวสักดวงติดมือมาอย่างที่ต้องการ

    แต่ขอให้รู้เถอะว่า...

    สิ่งที่คว้าได้อย่างน้อยก็ไม่ใช่ดิน...

     

    ข้อความนี้แหละ ทำให้ผมจุดประกายที่จะมาเขียนเรื่องเล่านี้ให้เพื่อนๆฟัง

     

    ความรู้สึกของผมเองก็ไม่ต่างจากเพื่อนของผมในตอนนี้ เราสองคนต่างก็หวังที่จะคว้าดวงดาวที่อยู่บนฟ้า แต่จะคว้ามาได้อย่างไร ในเมื่อมันอยู่ไกลเกินเอื้อมเสียขนาดนั้น ถึงผมกับเพื่อนอาจจะไม่สามารถคว้าดวงดาวบนฟ้ามาเก็บไว้ที่ตัวเองได้เลย อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่ผมคว้าไว้กลางอากาศ มันก็ไม่ใช่เศษดินที่ปลิวว่อนอย่างไร้ความหมายใต้ฝ่าเท้าของเรา...

     

    บ่อยครั้งที่ดวงดาวจะถูกใช้เป็นตัวแทนของ ความหวังและความพยายามของคนๆหนึ่ง ทำให้ผมอดนึกไม่ได้ว่า ทำไมคนส่วนใหญ่จึงคิดเช่นนั้น

     

    ผมเลยแต่งเรื่องเอาสนุกๆเองว่า... ดาวน้อยดวงหนึ่ง อยู่บนกลางท้องฟ้าเพียงดวงเดียว มันมีเพียงแสงของตัวมันเองซึ่งริบหรี่เหลือเกิน ข้างๆกันนั้นคือพระจันทร์นวลผ่องกลางท้องฟ้า ซึ่งส่องแสงประกายเจิดจ้าให้ผู้คนได้ชื่นชม ดาวดวงน้อยหวังอยากที่จะมีแสงสว่างที่งดงามเหมือนกับพระจันทร์บ้าง จึงไปตามเพื่อนๆที่อยู่รอบข้างมาช่วยกันส่องแสงให้เต็มท้องฟ้า ผลจากความพยายามของเหล่าดาวดวงน้อยก็คือ ถือแม้ตัวมันเองจะไม่อาจส่องแสงได้สว่างสดใสเท่าพระจันทร์ แต่ถ้าพวกมันได้อยู่รวมกัน ก็จะช่วยแต่งแต้มสีสันให้กับท้องฟ้ายามราตรีได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    เหมือนจะไม่เกี่ยว แต่ก็แอบเกี่ยว (เพราะอารมณ์เปลี่ยวในตอนนั้นมันพาไปจริงๆ 55+) ถ้าเปรียบดาวได้กับความพยายามของเรา ท้องฟ้าคือความฝันของเราอันไกลโพ้น ดวงจันทร์อาจจะแทนได้ถึงฝันที่สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นของเราหรือของคนอื่นก่อนหน้านี้ก็ได้ (แน่หล่ะ ฝันของเราอาจจะไม่ได้มีแค่เราคนเดียวเสียหน่อย) ดวงดาวนับล้านรวมตัวกัน เพื่อหวังว่าสักวัน มันจะส่องแสงได้สว่างทัดเทียมดวงจันทร์ แต่ในความเป็นจริง...ถึงแม้จะรวมตัวให้มากเท่าไหร่ ก็ไม่อาจจะสู้แสงสว่างจากดวงจันทร์ได้ แต่พวกมันก็ทำให้ท้องฟ้าสวยงามเหมือนกันไม่ใช่หรอ?

     

    ความพยายามทั้งหมดที่เราทำมา ต่อให้มันไม่มีผลอะไรกับเราในตอนนี้ แต่เชื่อเถอะว่ามันจะต้องส่งผลไปถึงอนาคตของเราในภายหน้า ไม่ช้าก็เร็วแน่นอน ตอนนี้เราอาจจะทำได้แต่ประดับประดาท้องฟ้าให้สวยงาม แต่สักวัน เราจะต้องฉายแสงสว่างให้กับความฝันของเราได้อย่างแน่นอน...

     

    ตอนนี้ถึงคว้าไม่ถึงดาว แต่สิ่งที่เรากำไว้แน่นมันก็ไม่ใช่ดิน

    แต่มันคือกำลังใจที่จะทำให้เรามีแรงไปถึงฝันนั้นได้ต่างหาก

     

    ความฝันจะมีค่ามากที่สุด ก็ต่อเมื่อเราพยายามจนถึงที่สุดแล้ว ถ้าเรายอมแพ้ หรือล้มเลิกไปกลางทาง มันจะมีค่าอะไร ไม่ต่างจากเด็กที่ได้ของเล่นมาใหม่ๆ พอเบื่อแล้วก็โยนทิ้งไป สมรภูมิรบของพวกเรายังไม่จบ ยังเหลืออีกด่านหนึ่งที่สำคัญ นั่นก็คือ การเลือกคณะแล้วหลังจากวันที่ประกาศผลไป นั่นแหละจะบ่งบอกเราได้ว่า เราแพ้ หรือ ชนะ

     

    จะแพ้ใจตัวเอง หรือชนะใจตนเอง ไว้รอวัดผลกันวันประกาศยุติสงคราม

     

    หลายคนอาจมองว่าผมเป็นคนที่ทะเยอทะยาน เพ้อฝัน มั่นใจอะไรผิดๆ แต่ผมก็รู้สึกดีกว่าที่จะปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้นโดยที่ตัวเองยังไม่ได้พยายามทำอะไรเลย ที่เราอ่านหนังสือมาจนทุกวันนี้ ที่เราเรียนมาทุกวันนี้ ก็เพื่อคณะนี้ที่เราใฝ่ฝันไม่ใช่หรอ? ผมจะไม่เสียใจเลย ถ้าผมไม่ติด แต่ผมจะเสียใจยิ่งกว่า ที่มีโอกาสเลือก แต่ผมไม่ได้เลือก....

     

     

    เอาหล่ะครับ.... ใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ถามใจตัวเองดีๆ เพราะว่าสิ่งที่เราเลือก เราจะต้องอยู่กับมันไปตลอด 4 ปี หรืออาจจะทั้งชีวิต อย่าลืมว่า การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นขั้นแรกของการไปสู่ฝันของเราเพียงแค่นั้น มีหลายเส้นทางที่สามารถไปสู่ฝันของเราได้ โดยอาจจะไม่จำกัดว่าต้องเป็นที่นี่เท่านั้น อย่ายึดติดกับบางสิ่งบางอย่างมากนัก ถ้าสิ่งๆนั้นมันไม่ได้ทำให้เราพัฒนาไปไหนเลย...

     

    ถ้ารักที่จะเสี่ยง ก็ต้องเผื่อใจไว้เจ็บด้วยนะครับ ^^

     

    ป.ล.

    ·       เพิ่งกลับมาจากขอนแก่น เหนื่อยมาก ยังไม่ได้นอนเลย เมื่อคืนนอนไม่หลับ 55+

    ·       เพิ่งจะรู้ว่า... จีวรพระมีแบบไล่ยุงได้ด้วย -*-

    ·     ระทำบาปเข้าให้แล้ว!! ว่าจะไม่กินเนื้อวัว ก็ดันเผลอไปกินเนื้อวัวแดดเดียว โดยเข้าใจว่าเป็นแค๊บหมูอยู่ตั้งนาน 55+ (แต่ของเขาดีจริง...)

    ·       อาจจะเขียนดูงงๆสักนิด เพราะเพิ่งเมารถมา อย่าได้โกรธเคืองกันเลยนะครับ ^^

    ·     ผมได้ข่าวมาว่า ถ้าจะยื่นอักษร ศิลปากร ต้องเลือกเอกเลยหรอ (แอบสงสัยในบอร์ดแชร์คะแนน) ปกติเขาให้เลือกเอกตอนปี 2 ไม่ใช่หรอครับ แล้วในตารางก็ไม่บอกด้วย ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่า สกอ.ให้ข้อมูลผิดอ่าดิ๊ ใครที่รู้ กรุณาช่วยบอกทีนะครับ ^^

    ·       ถ้าคุณไม่อยากโดนสาดน้ำ ต้องยกมือถือขึ้นมากัน พร้อมตะโกนบอกว่า อย่านะ นี่คือมือถือ!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×