คณะสหเวชศาสตร์ Issue 003 week3, June 2010
 
คณะสหเวชศาสตร์
ตอนที่ 3/4 : จากรุ่นพี่ถึงรุ่นน้อง : ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย
 
มาดูพี่ๆ เค้าจบมาทำอะไรกันบ้างนะ
  


    สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... กลับมาเจอกับ
พี่เป้ และคอลัมน์คณะในฝันกันอีกแล้ว สำหรับตอนนี้ก็ยังอยู่กันที่คณะสหเวชศาสตร์ ซึ่งสัปดาห์นี้ก็เป็นเรื่องราวของรุ่นพี่ ที่จบจากคณะนี้และกำลังทำงานบนเส้นทางนี้อยู่ ว่าแต่พวกพี่ๆ เค้ากำลังทำงานอะไร กันอยู่บ้างนะ...
 
รุ่นพี่คนที่ 1: ปิยรัตน์ ตัญจพัฒน์กุล (พี่มีน)
นักกายภาพบำบัดอิสระ และที่ปรึกษาให้กับสปาต่างๆ
 
พี่เป้: แนะนำตัวให้น้องๆ รู้จักนิดนึงจ้า ^^
พี่มีน: ชื่อปิยรัตน์ ตัญจพัฒน์กุลค่ะ จบการศึกษาจากคณะสหเวชศาสตร์ สาขากายภาพบำบัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ ปัจจุบันเป็นนักกายภาพบำบัดอิสระ เป็นที่ปรึกษาให้กับสปาต่างๆ และรับสอนนวดเพื่อการรักษาทั้งในและต่างประเทศค่ะ งานประจำ(เป็น)จริงๆคือเลี้ยงลูก2คนค่ะ O_O
 
พี่เป้: อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เลือกเรียนคณะนี้คะ
พี่มีน: คือตอนนั้นมีคนเรียนน้อย สถาบันที่เปิดสอนก็มีไม่มาก พี่มองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการหางาน พอดีมีญาติอยู่ที่อเมริกาด้วย ซึ่งที่โน่นจะเป็นอาชีพที่ได้รายได้ค่อนข้างดี ก็เลยเลือกเรียนกายภาพบำบัด เพราะคิดว่าจะไปทำงานที่นั้น แต่ตอนนี้ทำฟรีแลนซ์อยู่ค่ะ
 
พี่เป้: ได้ยินว่าพี่มีนเคยผ่านมาหลายงานแล้ว อยากให้ช่วยเล่าถึงประสบการณ์การทำงานในสายนี้หน่อยค่ะ
พี่มีน: งานแรกสุดเป็นนักกายภาพบำบัดที่ศูนย์โรคปอดและหัวใจที่ รพ.กรุงเทพ ช่วยดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยหลังการผ่าตัดหัวใจประเภทต่างๆ ให้ผูป่วยสามารถกลับมาทำกิจวัตรต่างๆ ได้เร็วที่สุด ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากค่ะเพราะที่นั่นเป็นที่แรกๆ ในประเทศไทยที่นำเอานักกายภาพบำบัดมาเป็นส่วนหนึ่งใน Health team (นอกเหนือจากหมอและพยาบาล) ทำให้เราได้ความรู้จากคุณหมอมือหนึ่งระดับประเทศมากมาย

     งานที่สองเป็น health practitioner (ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ) ที่ six senses resort and spa hua hin ค่ะ เข้ามาทำเป็นคนแรกของ six senses เลยเพราะเค้าเพิ่งเปิดตัวเป็นที่แรกในเมืองไทย งานช่วงแรกก็เป็นการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์เกี่ยวกับสุขภาพให้กับทางสปา หลังจากที่เปิดอย่างเป็นทางการแล้วก็จะคอยดูแลเวลามีแขกมาปรึกษาเกี่ยวกับปัญหากล้ามเนื้อและกระดูก หรือเวลาที่มีแขนบาดเจ็บกะทันหัน แล้วก็มีโอกาสได้ทำ treatment อื่นๆ ด้วยเช่น การนวดหน้า ขัดตัว และการรักษาด้วยศาสตร์แบบอายุรเวท ซึ่งจุดนี้ทำให้พี่มีความรู้มากขึ้น และสามารถนำไปใช้กับงานปัจจุบันได้เลยอะค่ะ

     จากนั้นพี่ก็ย้ายไปเป็นนักกายภาพบำบัดที่ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท ที่หัวหินค่ะ น้องๆ อาจเคยได้ยินมาบ้าง เป็นรีสอร์ทสุขภาพระดับโลก ที่นี่งานก็จะเป็นการดูแลและฟื้นฟูผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบกระดูก และกล้ามเนื้อเหมือนกับนักกายภาพบำบัดทั่วไป แต่งานของพี่จะเน้นให้เค้าสามารถที่จะออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินที่ทำให้เค้ามีอาการไม่สบายโดยไม่กระทบต่อข้อต่อต่างๆ เพราะคนที่มาพักที่นี่มักจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินค่ะ

     ระหว่างนั้นพี่ก็ไปทำงานเป็นนักกายภาพบำบัดประจำตัวที่ต่างประเทศระยะหนึ่งด้วย พอดีพี่อยากเลี้ยงลูกเอง ก็เลยออกมาทำงานส่วนตัว โดยรับทำกายภาพบำบัดตามบ้าน แต่พี่จะเน้นที่การให้คนไข้ออกกำลังเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมากกว่าการรักษาด้วยเครื่องมือ (คือใช้เครื่องมือ+นวด แล้วก็พาไปออกกำลังกายค่ะ) แล้วก็ช่วย set up สปาในส่วนของพนักงานนวดและวิธีการนวดต่างๆ
 
 

 

 
พี่เป้: ปัญหาในการทำงานที่พบบ่อยๆ ของพี่มีนมีอะไรบ้างคะ
พี่มีน: พี่คิดว่าปัญหาในอาชีพนี้คือ การที่บางครั้งเราเจอกับคนไข้ที่ Handle ยากคือแบบเอาแต่ใจหรือดื้อ แล้วเราไปจมอยู่กับตรงนั้นก็จะทำให้ผลของการรักษาไม่ดี หรือเรารู้สึกว่าไม่อยากจะทำน่ะค่ะ อีกอันที่พี่คิดว่าสำคัญ และอยากให้น้องๆ นักกายภาพรุ่นให ม่และคนที่สนใจอยากจะเรียนคิดไว้คือ อย่าทำให้งานการรักษากลายป็นกิจวัตร(routine) ไป เพราะมันจะทำให้เราเบื่องานแล้วผลการรักษาก็ไม่ดี ซึ่งพี่คิดว่าเราเป็นกันเยอะนะ และมันทำให้คนจะไม่เชื่อถือในวิธีการรักษาทางกายภาพบำบัดด้วย อันนี้แหละปัญหาใหญ่ตัวจริงค่ะ
 
พี่เป้: คิดว่าคนที่จะทำงานด้านนี้ ควรมีคุณสมบัติอะไรบ้างคะ
พี่มีน: ต้องมีใจรักการบริการ แล้วก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเพราะเราต้องทำงานกับคนที่ไม่สบาย เราต้องมีพลังในแง่บวกเพื่อที่จะดึงให้เค้า up ขึ้นมากับเราด้วย นอกจากนี้ควรรู้จักช่างสังเกต แล้วก็ชอบค้นคว้าค่ะ เพราะอาการของโรคมีหลายแบบบางแบบต่างกันนิดเดียว เราต้องจับให้ถูก ควรจะชอบค้นคว้าเพราะจะมีความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาค่ะ ถ้าเก่งภาษาอังกฤษด้วยจะดีมาก เพราะมันเป็นโอกาสให้เราทำงานที่มีรายได้มากขึ้น หรือโอกาสในการทำงานต่างประเทศ เพราะพี่เคยเห็นน้องบางคนมาสมัครงานทุกอย่างเก่งหมดแต่ภาษาไม่ได้ก็เสียโอกาสไป
 
พี่เป้: แล้วนอกจากการเป็นนักกายภาพบำบัดแล้ว หากจบจากคณะนี้จะสามารถทำงานอะไรได้บ้างคะ
พี่มีน: นอกเหนือจากการเป็นนักกายภาพบำบัดตามโรงพยาบาลแล้ว ปัจจุบันตามสถานเสริมความงามต่างๆ ก็ต้องการนักกายภาพบำบัดนะคะ หรือเราอาจจะไปทำงานในสปาต่างๆ เพื่อหาประสบการณ์ (นักกายภาพบำบัดมักจะได้รับเงินเดือนมากกว่าพนักงานสปาทั่วไปค่ะเพราะเค้าถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ) นอกจากนี้น้องยังสามารถเป็นผู้แทนของบริษัทยาต่างๆ ในการเสนอยาให้กับคุณหมอตามรพ.และคลินิกด้วยค่ะ
 
พี่เป้: สุดท้ายอยากให้พี่มีนช่วยฝากถึงน้องๆ ที่อยากเรียนสหเวชศาสตร์หน่อยค่ะ
พี่มีน: อย่างที่บอกค่ะใจรักการบริการเป็นเรื่องสำคัญ สาขานี้เป็นสาขาที่เรียนสนุกมากค่ะ แต่ก็ต้องการความขยันมากเหมือนกัน แต่พี่รับรองว่าถ้าน้องจบออกมาทำงานน้องจะต้องภูมิใจ ในตัวเองมาก เพราะนอกจากรายได้ที่ดีแล้ว เรายังมีความสุขเวลาที่คนไข้หาย/อาการดีขึ้น แล้วเค้าขอบคุณเรา ตอนที่พี่ทำงานเคยมีคนไข้ร้องไห้ แล้วบอกว่าไม่เคยหายปวดคอเลย สักวันเดียวมาเป็น 10 ปีแล้ว แล้วก็ขอบคุณเราใหญ่เลย ซึ่งพี่รู้สึกดีมาก เราอาจจะไม่ใช่หมอ (เพราะน้องบางคนอยากเป็นหมอ) แต่ความรู้ของเราก็สามารถช่วยคนได้ค่ะ
 
     
รุ่นพี่คนที่2: เฉลิมพร คำปู (พี่หนู) :
นักรังสีการแพทย์ แผนกรังสีรักษา
คณะแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล
 
พี่เป้: อยากให้ช่วยแนะนำตัวเองแก่น้องๆ ด้วยค่ะ
พี่หนู: ชื่อ เฉลิมพร คำปูค่ะ ชื่อเล่นหนู จบคณะเทคนิคการแพทย์ สาขารังสีเทคนิค มหาวิทยาลัยมหิดล ตอนนี้เป็นนักรังสีการแพทย์ แผนกรังสีรักษา คณะแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล
 
พี่เป้: อะไรเป็นสาเหตุให้เลือกเรียนคณะนี้คะ
พี่หนู: ช่วงที่เลือกคณะ เป็นช่วง ม.6 ก็คือเป็นช่วงที่เริ่มสอบตรงตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ช่วงนั้นมหิดลจัดสอบตรงพอดี แล้วคณะที่เลือกสอบก็เลือกได้แค่คณะเดียว เราก็มานั่งดูรายละเอียดของแต่ละสาขาจากหนังสือแนะแนว เพื่อนก็แนะนำว่า คณะนี้มีงานทำแน่นอน ซึ่งพออ่านในหนังสือแนะแนวก็เป็นสาขาที่ขาดแคลน เป็นที่ต้องการในตลาด นี่คือสาเหตุหลักที่เลือกเรียนสาขานี้คณะนี้ค่ะ
 
พี่เป้: งานที่ทำตอนนี้คืออะไร หน้าที่งานคืออะไรบ้างคะ
พี่หนู: งานที่ทำตอนนี้ก็คือนักรังสีการแพทย์ แผนกรังสีรักษา คณะแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเจ้าหน้าที่ฉายแสงให้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งค่ะ ตอนนี้ประจำอยู่ห้องโคบอลต์ 60 ทำหน้าที่ควบคุมการฉายแสงค่ะ งานที่ทำจะเป็นงานที่ทำกับคนไข้ที่เป็นมะเร็งไม่ว่าจะระยะไหน จะเรียกว่ายังไงนักรังสีการแพทย์จะอยู่กับคนไข้มากที่สุด ว่ากันว่าอาทิตย์หนึ่งเราเจอกันห้าวันกันเลยทีเดียว นอกจากการฉายแสงที่ทำทุกวันแล้ว การถามอาการความผิดปกติของคนไข้ก็เป็นหนึ่งอย่างที่ต้องทำค่ะ  
 
 

 

 
พี่เป้: ปัญหาในการทำงานเป็นนักรังสีการแพทย์มีอะไรบ้างคะ
พี่หนู: ทำงานกับคนและเครื่องค่ะ เพราะฉะนั้นปัญหาก็มีแค่กับคนและเครื่องนี่แหละ เครื่องน่ะ ให้ช่างมาซ่อมให้ก็ใช้ได้ แต่กับคนเนี่ย จิตวิทยามีเท่าไหร่งัดมาใช้หมด คนไข้ ถ้าสภาพดีๆ รู้เรื่องก็สบายหน่อย แต่ว่าส่วนมากคนไข้ที่ส่งมาห้องโคบอลต์จะเป็นคนไข้ที่หนักพอสมควร ก็จะยากตรงจะทำยังไงให้คนไข้อยู่นิ่งนี่แหละ
 
พี่เป้: คุณสมบัติของคนที่จะทำงานเป็นนักรังสีการแพทย์ คืออะไรคะ
พี่หนู: งานทางรังสีรักษา ต้องใจอย่างเดียวค่ะ ต้องเข้มแข็ง ต้องอยากช่วยคนจริงๆ ต้องบอกก่อนว่างานสาขารังสีเทคนิคมีสามสาขาจะเรียกว่า งานด้านรังสีรักษาได้ค่าตอบแทนน้อยที่สุดก็ว่าได้ ความรับผิดชอบ ความกดดันก็ค่อนข้างสูง คนไข้ส่วนมากที่มาหาเรา ถ้ามาแบบสภาพดีๆ ก็ดีไป แต่ส่วนมากนี่เรียกว่าน่าสงสาร คงต้องใช้คำนี้ น้องบางคนที่เจอมาก็คือ อายุ 14 แต่เป็นมะเร็งที่สมอง ทุกวันที่เราฉายแสงให้เค้า เราจะเห็นพ่อแม่เค้ามานั่งรอลูกชายตลอด ตลอดการทำงาน ความรู้สึกมันมากมายค่ะ เพราะสำหรับเด็กๆ เค้ายังมีอนาคตอีกไกล แต่ต้องเป็นโรคแบบนี้ ส่วนคนไข้ระยะสุดท้าย อันนี้เจอบ่อยอยู่แล้ว สภาพก็ต่างกันไป บางคนเมื่อวานยังคุยหัวเราะกันอยู่เลย วันนี้โทรไปตามที่วอร์ด คนไข้เสียซะแล้ว อยู่ที่แผนกนี้ ต้องมาด้วยใจที่อยากช่วยคนพวกนี้จริงๆค่ะ
 
พี่เป้: สุดท้ายนี้อยากให้พี่หนูช่วยฝากข้อคิดถึงน้องๆ หน่อยค่ะ
พี่หนู: พี่พูดได้เต็มปากค่ะ ถ้าน้องเรียนสาขานี้ รังสีเทคนิค น้องไม่ตกงานแน่ๆ ค่ะ แล้วยิ่งถ้าอยากมาช่วยคนกับพี่ แนะนำสาขารังสีรักษาเลยค่ะ
 
          โอ้โห อ่านจบแบบนี้แล้ว อยากจะแอดมิชชั่นอีกรอบเพื่อไปเข้าคณะสหเวชศาสตร์เลยล่ะค่ะ อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นงานที่มีโอกาสได้ช่วยคนไม่น้อยไปกว่าอาชีพหมอหรือพยาบาลเลย ดังนั้นน้องๆ ที่ตั้งใจอยากเข้าคณะนี้ ขอบอกเลยว่าน้องๆ คิดถูกแล้วล่ะค่ะ ! ส่วนสัปดาห์หน้า คณะในฝันจะมาพร้อมกับการไขข้อข้องใจเกี่ยวกับคณะนี้ น้องๆ คนไหนมีคำถามสงสัยก็ฝากไว้ได้เลยนะ
 
เด็กดีดอทคอม :: เกาหลีและสวิสฯ ก็มีสงกรานต์ ! ; tags: สวิสเซอร์แลนด์, บาเซิล, ประเพณี, โคลน, เกาหลี, สงกรานต์, เทศกาล
 
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

นิสิต 24 มิ.ย. 53 21:13 น. 9
ถ้ามัวแต่เห่อไปให้ความสำคัญแต่หมอ เด็กก้อจะถูกหล่อหลอมจนเป็นว่าต้องเรียนหมอๆๆๆ ทั้งๆที่ตัวเองอาจจะชอบอย่างอื่นมากกว่า แต่ที่เลือกเรียนหมอ ก้อเพราะมันเป็นคณะที่แสดงถึงความเก่ง (แต่ก้อเก่งจิงๆนะแหละ อิอิ) อิกอย่างผู้ปกครองก้อมีค่านิยมผิดว่าลูกต้องเป็นหมอเท่านั้น จะได้มั่นคง มีหน้ามีตา
อยากให้คิดอีกอย่างนึง ถ้าคนเก่งๆ ไปเป็นหมอกันหมด แล้วใครจะมาเป็นครูสอนลูกหลานคุณในอนาคต ใครจะมาเป็นทนายดีๆ ที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ใครจะมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ใครจะมาเป็นเภสัชคอยจ่ายยาอย่างมีคุณภาพ ใครจะมาเป็นพยาบาลที่ใกล้ชิดคนไข้ ใครจะมาเป็นวิศวกรที่ออกแบบสร้างสรรค์ สิ่งต่างๆให้มั่นคง ใครจะมาเป็นนักเทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด ที่ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ใครจะมาเป็นนักวิทยาศสตร์วิจัยสิ่งใหม่ๆ และอื่นๆ อีกมากมาย
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

24 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
mukka 23 มิ.ย. 53 13:08 น. 3
อืมๆๆ...ตอนนี้ที่ต่างประเทศเห็นคุณค่าของนักกายภาพบำบัดมากกว่าไทยซะอีก

เพราะประเทศไทยอะไรก็หมออย่างเดียวเลย....
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
tob_tab Member 23 มิ.ย. 53 19:06 น. 5
อืมๆๆ...ตอนนี้ที่ต่างประเทศเห็นคุณค่าของนักกายภาพบำบัดมากกว่าไทยซะอีก

เพราะประเทศไทยอะไรก็หมออย่างเดียวเลย....  >>>>เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยคะ


ประเทศไทยดูเหมือนว่าแพทย์จะเป็นหัวหน้าทีม  แต่ในต่างประเทศทั้งแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ นักกิจกรรมบำบัด นักรังสีเทคนิค นักสังคมสังเคราะห์ นักจิตวิทยา  แล้วก็อื่นๆ 
เขาทำงานกันเป็นทีม  ให้ความสำคัญเท่ากันหมด  อยากให้ประเทศไทยเป็นอย่างนั้นบ้าง

น้องๆคนไหนอยากเรียนก็พยายามเข้านะคะ เอาใจช่วย
0
กำลังโหลด
มะกอกปี 6 24 มิ.ย. 53 20:17 น. 6
เห็นด้วยกับความเห็นที่ 5 ค่ะ พอดีเรียนเภสัช อยู่ปี 6 ละคะ

ประเทศไทยยังขาดการทำงานเปนทีมอยู่อีกเยอะคะ

ให้ความสำคัญกับ หมอ มากจริงๆ

,,,,,

T_T


เหนด้วยกับความเห็นที่ 5 มากๆค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
นิสิตจุฬา สายสุขภาพ 24 มิ.ย. 53 21:06 น. 8
ใช่ๆๆ ไทยอะไรๆก็หมออย่างเดียว คนใหญ่นั่นหละที่สร้างค่านิยมแบบนี้มา คิดดูดีๆ ถ้าหมอทำได้ทุกอย่างจริงๆ เค้าจะมีคณะสายสุขภาพอื่นๆทำไม??? เพราะทุกสาขาอาชีพ ก็มีความสำคัญเท่ากันหมด โดยเฉพาะสายสุขภาพต้องทำงานเป็นทีม
0
กำลังโหลด
นิสิต 24 มิ.ย. 53 21:13 น. 9
ถ้ามัวแต่เห่อไปให้ความสำคัญแต่หมอ เด็กก้อจะถูกหล่อหลอมจนเป็นว่าต้องเรียนหมอๆๆๆ ทั้งๆที่ตัวเองอาจจะชอบอย่างอื่นมากกว่า แต่ที่เลือกเรียนหมอ ก้อเพราะมันเป็นคณะที่แสดงถึงความเก่ง (แต่ก้อเก่งจิงๆนะแหละ อิอิ) อิกอย่างผู้ปกครองก้อมีค่านิยมผิดว่าลูกต้องเป็นหมอเท่านั้น จะได้มั่นคง มีหน้ามีตา
อยากให้คิดอีกอย่างนึง ถ้าคนเก่งๆ ไปเป็นหมอกันหมด แล้วใครจะมาเป็นครูสอนลูกหลานคุณในอนาคต ใครจะมาเป็นทนายดีๆ ที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ใครจะมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ใครจะมาเป็นเภสัชคอยจ่ายยาอย่างมีคุณภาพ ใครจะมาเป็นพยาบาลที่ใกล้ชิดคนไข้ ใครจะมาเป็นวิศวกรที่ออกแบบสร้างสรรค์ สิ่งต่างๆให้มั่นคง ใครจะมาเป็นนักเทคนิคการแพทย์ กายภาพบำบัด ที่ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ใครจะมาเป็นนักวิทยาศสตร์วิจัยสิ่งใหม่ๆ และอื่นๆ อีกมากมาย
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
JAN 25 มิ.ย. 53 00:07 น. 11
เคยไปคลินิกกายภาพบำบัดของม.มหิดลที่ปิ่นเกล้า
จากที่ก้มไม่ได้เป็นก้มได้ในเวลา10นาที เราประทับใจในอาชีพนี้จริงๆ^^
0
กำลังโหลด
HP_SWU 25 มิ.ย. 53 18:47 น. 12
คณะสหเวชศาสตร์ มศว
มี 2 สาขาวิชา
1. กายภาพบำบัด
2. การส่งเสริมสุขภาพ

สำหรับสาขา การส่งเสริมสุขภาพ เพิ่งเปิด ปีการศึกษา 2553 ปีแรก
หน้าที่ของนักส่งเสริมสุขภาพ จะมีบทบาทที่ชัดเจนกว่า คนที่จบสาธารณสุข
เพราะจะรู้วิธีการส่งเสริมสุขภาพอย่างถูกต้อง ลึกซึ้ง

อีกอย่าง งานด้านนี้ เป็นที่ต้องการของประเทศไทยมาก !
เพราะตอนนี้ งานด้านการส่งเสริมสุขภาพเป็นหน้าที่ของ แพทย์ พยาบาล นักสาธารณสุข
ซึ่งจะไม่รู้หน้าที่หลักของงาน มศว เลยเปิดสาขาการส่งเสริมสุขภาพขึ้นโดยตรง
เพื่อให้สายงานด้านนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น !!!

อย่างที่ คห. บนๆ บอกกันว่า สายสุขภาพต้องทำงานเป็นทีม
คณะสหเวชศาสตร์ สาขาการส่งเสริมสุขภาพ เป็นหนึ่งในนั้นที่สำคัญกับงานสายนี้มาก !

มศว เปิดรับตรงแล้วว
ยังไงก็สมัครกันมาเยอะๆ นะค๊ะ
พี่ๆ รอน้องๆ อยู่


Health Promotion #1
Srinakharinwirot University
0
กำลังโหลด
CheezeMe_Ab'BuMz Member 27 มิ.ย. 53 14:36 น. 13

เหอะๆๆ... นู๋ลงสาขา กายภาพ ที่ มศว. อ่าค่ะ
...
...แต่จิงๆ อยากลงคณะเทคนิคการแพทย์มากกว่า..อยากทามแล็ป.. .

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
นิรากรณ์(นามแฝง) 12 ก.ค. 53 01:08 น. 16
เราเรียนกายภาพบำับัด ม.ขอนแก่น ปีสองค่ะ รู้สึกว่าคิดไม่ผิดเลยที่เลือกเรียนสาขานี้ สนุกจริงๆ คือเป็นอะไรที่ใกล้ตัวเรามาก ที่ประเทศไทยยังไม่บูม มองแต่ว่านักกายภาพบำบัดคือหมอนวด ก็อย่างว่าล่ะค่ะ ไม่เคยสัมผัสก็คงไม่รู้ ตอนนี้เราก็เรียนหนักมาก เสาร์อาทิตย์แทบจะไม่รู้จัก แต่มีเพื่อนๆ มีพี่ๆ มีอาจารย์ มีพ่อแม่ เป็นกำลังใจให้ เหนื่อยหน่อยเป็นไร..
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
V.D 25 มิ.ย. 54 19:18 น. 18
สาขานี้มีีผลทางด้านร่างกายมั้ยอะคะ มีพี่คนนึงเขาบอกว่าไม่แนะนำให้ผู้หญิงเรียนอะคะ
อยากทราบจริงๆว่าสาขานี้จะมีผลต่อด้สนร่างกายของเราเองรึป่าวคะ ??
0
กำลังโหลด
Mini 17 ส.ค. 54 19:18 น. 19
ตอนี้หนูอยู่ม.6แล้วค่ะอยากเข้าคณะนี้มากๆๆแต่คุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้เรียนค่ะเพราะกลัวว่าจะอายุสั้นหนูคัวตัดสินจัยยังไงดีค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด