P
คณะรัฐศาสตร์
                 รัฐประศาสนศาสตร์
ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย 

       สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกหนึ่งบทความของสาขา รัฐประศาสนศาสตร์ หรือ บริหารรัฐกิจ นะคะ เห็นน้องๆ ตามติดชิดขอบจอ(คอมพิวเตอร์) พี่แป้ง ก็ชื่นใจจริง รับรองว่าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ เพราะพี่แป้งได้ 3 รุ่นพี่ 3 สไตล์มาสัมภาษณ์กันให้น้องๆ กระจ่างกันไปเลยว่า สาขารัฐประศาสนศาสตร์ หรือ บริหารรัฐกิจนั้นเป็นอย่างไรบ้าง และจบแล้วทำอะไรได้บ้าง
    


พี่ตาว
รัฐประศาสนศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


พี่แป้ง : สวัสดีค่ะ อยากให้แนะนำตัวเองก่อนเลยค่ะ
พี่ตาว :
สวัสดีครับ พี่ชื่อ พิชญเดช โอสถานนท์ ชื่อเล่น ตาว จบการศึกษาจากภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครับ


พี่แป้ง : อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เลือกเรียนสาขารัฐประศาสนศาสตร์คะ
พี่ตาว :
ที่จริงก่อนจะเข้าคณะรัฐศาสตร์ พี่เคยเรียนอยู่ที่ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่พอเรียนไปแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบจริงๆ ก็เลยตัดสินใจมาสอบเข้าคณะรัฐศาสตร์อีกครั้ง (ซึ่งเป็นคณะที่อยากเข้าในตอนแรกเหมือนกัน) และเลือกสาขารัฐประศาสนศาสตร์ เนื่องจากเป็นสาขาที่สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพได้หลายอย่างทั้งภาครัฐและภาคเอกชน


พี่แป้ง : แล้วสาขารัฐประศาสนศาสตร์ แตกต่างจากสาขาอื่นในคณะรัฐศาสตร์อย่างไรคะ
พี่ตาว :
รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) หรือหลายมหาวิทยาลัยเรียกว่า “บริหารรัฐกิจ” เป็นสาขาที่เรียนเกี่ยวกับการบริหารงานของภาครัฐ มีจุดประสงค์เพื่อนำความรู้ไปใช้บริหารหน่วยงานของรัฐให้เกิดสัมฤทธิผลและประสิทธิภาพ ซึ่งจะค่อนข้างเป็นสาขาที่เน้นไปในเชิงปฏิบัติมากหน่อย เช่น การฝึกวางแผนยุทธศาสตร์ การทำงบประมาณ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ โดยบางวิชาก็ใช้ตำราเล่มเดียวกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี

          นอกจากนั้นนักรัฐประศาสนศาสตร์ก็จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับเรื่อง หลักรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นอย่างดี เนื่องจากเราจะไปบริหารหน่วยงานของรัฐไม่ได้ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ที่มีผลกระทบต่อการบริหารงานของภาครัฐ และที่สำคัญนักรัฐประศาสนศาสตร์ที่ดีต้องหาแนวทางการบริหารหน่วยงานภาครัฐให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อประโยชน์สูงสุดตกแก่ประชาชน แต่ไม่ได้บริหารเพื่อต้องการกำไรสูงสุด ซึ่งตรงนี้จะต่างกับบริหารธุรกิจ (Business Administration)


พี่แป้ง : สาขารัฐประศาสนศาสตร์เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ แล้วเราสามารถนำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ในด้านใดได้บ้าง
พี่ตาว :
โดยทั่วไปก็จะเรียนในเรื่อง
           การบริหารองค์การ (Organization Management)
           การบริหารทรัพยากรบุคคล (HR – Human Resource Management)
           การบริหารงานคลัง (Public Finance)
           และนโยบายสาธารณะ (Public Policy) 
           เป็นการเรียนองค์ความรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการบริหารงานภาครัฐ (ที่จริงวิชาเรียนจะมีส่วนคล้ายกับบริหารธุรกิจ เพียงแต่เราเน้นไปที่การบริหารองค์กรภาครัฐหรือองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร) เราสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ทั้งในองค์กรเอกชนและองค์กรราชการ เนื่องจากความรู้ด้านการบริหาร มันค่อนข้างเป็นสากล และนำมาประยุกต์ใช้ได้ในทุกองค์กร ทั้งการเป็นที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ ด้านทรัพยากรบุคคล ในบริษัทเอกชน หรือ สามารถรับราชการได้ในหลายกระทรวง (จากประสบการณ์การสอบรับราชการของพี่ รัฐประศาสนศาสตร์ เป็นสาขาที่สามารถรับราชการได้เกือบทุกกระทรวง ตั้งแต่ปลัดอำเภอ นักการทูต นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักทรัพยากรบุคคล ฯลฯ)


พี่แป้ง : แล้วตอนสมัยเรียนมีกิจกรรมอะไรที่น่าสนใจที่พี่ตาวได้มีส่วนร่วมบ้างคะ
พี่ตาว :
ที่จริงพี่เป็นคนขี้เกียจไม่ค่อยทำกิจกรรมเท่าไหร่ (ซึ่งไม่ควรเลียนแบบนะครับ) แต่ส่วนมากพี่จะทำกิจกรรมกับหน่วยงานข้างนอกมากกว่า เช่น เป็นอาสาสมัครตามงานต่างๆ เช่น จุฬาวิชาการ งานศึกษาต่อต่างประเทศ งานประชุมวิชาการ ซึ่งทุกกิจกรรมจะสอนให้เราทำงานเป็นและเข้าสังคมได้ และไม่มีตำราด้านการบริหารไหนมีสอน



พี่แป้ง :
ความประทับใจถึงสมัยเรียนกับเพื่อนๆ หรืออาจารย์มีอะไรบ้างคะ
พี่ตาว :
เพื่อนในคณะรักกันดีครับ เพื่อนที่เก่งๆ จะคอยติวหนังสือ ทำสรุปให้เพื่อนในคณะ ซึ่งต้องบอกว่าการช่วยกันติว เป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราะจะได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน มากกว่านั่งอ่านคนเดียวซึ่งอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ ส่วนอาจารย์ก็มีความเชี่ยวชาญหลายด้านและใส่ใจนิสิตเป็นอย่างดี โดยรวมก็ประทับใจทุกอย่างครับ  


พี่แป้ง : พี่ตาวคิดว่าการเรียนสาขารัฐประศาสนศาสตร์ ให้อะไรกับพี่บ้างคะ?
พี่ตาว :
การเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ ช่วยให้เรามองโลกอย่างเป็นเหตุผล และอยู่บนความจริงมากขึ้น การทำอะไรต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน รู้จักประเมินความเสี่ยง และวิธีคิดที่เป็นระบบ อย่างถ้าพี่อยากทำนโยบายอะไรซักอย่าง ถ้าเราคิดถึงปรัชญาแบบอุดมคติมากเกินไป บางทีนโยบายบางอย่างก็ไม่มีทางสำเร็จ แต่รัฐประศาสนศาสตร์ ก็คอยบอกว่าเราทำอะไรได้แค่ไหน และความเป็นไปได้มีมากน้อยเพียงใด
 

พี่แป้ง : ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่คะ แล้วมีลักษณะงานที่ตาวทำเป็นอย่างไร ได้ใช้ความรู้จากที่เรียนมามากแค่ไหน
พี่ตาว :
ตอนนี้พี่รับราชการในตำแหน่ง นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ที่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล ครับ ก็เป็นงานเกี่ยวกับวางแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ได้ใช้ความรู้ค่อนข้างมากครับเนื่องจากสาขาเราเรียนด้านนโยบายและแผนมาโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจกระบวนการจัดทำนโยบายและแผนของประเทศ ครับ ทั้งการเริ่มจัดทำแผน การประเมินความเสี่ยง การประเมินผลนโยบายที่ออกไป  


พี่แป้ง : อะไรคือความยากง่ายหรือความท้าทายของงานที่ตาวทำอยู่คะ?
พี่ตาว : งานที่ทำเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ซึ่งการทำอะไรต้องอาศัยความรอบคอบ และถูกต้องมากที่สุด
อย่างพี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนโยบายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้อาจต้องลงพื้นที่เป็นบางครั้ง แต่ได้อะไรเยอะมากครับ ได้รับรู้ความเดือดร้อนของประชาชน และเห็นใจเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำงานอยู่ในพื้นที่มาก เพราะเขาเสียสละกันจริงๆ แต่การได้ทำงานราชการแบบนี้ แม้ว่าค่าตอบแทนเป็นตัวเงินไม่มาก แต่พี่ก็มีความภาคภูมิใจในตัวเองครับในการเป็นส่วนเล็กๆที่จะช่วยประเทศไทยได้  


พี่แป้ง : จบสาขานี้ได้ยินว่าทำงานหลากหลายจริงมั้ยคะ
พี่ตาว :
หลากหลายมากครับ ทั้งภาครัฐและเอกชน ถ้าน้องๆสนใจทำงานเอกชน ก็สามารถอยู่ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทต่างๆ หรือฝ่ายที่เกี่ยวกับเรื่องการบริหาร ส่วนตัวพี่ก็เคยทำงานในรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานแห่งหนึ่ง ก็ได้ทำอยู่แผนกโครงสร้างองค์กร ได้มีโอกาสนำความรู้มาออกแบบโครงสร้างองค์กร ซึ่งน่าสนใจมากครับ

      ส่วนในภาคราชการ น้องสามารถรับราชการได้เกือบทุกกระทรวงครับ เนื่องจากส่วนใหญ่เวลามีประกาศสอบรับราชการ สาขาที่มีในประกาศรับราชการเกือบทุกครั้ง คือ รัฐประศาสนศาสตร์ ครับ เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานราชการมีหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องการทำแผนกลยุทธ์และการพัฒนาระบบราชการโดยเฉพาะ ทำให้ความต้องการคนที่จบด้านนี้มีสูงครับ


พี่แป้ง : สุดท้ายนี้ขอให้ฝากอะไรดีๆ ถึงน้องๆ ที่สนใจสาขารัฐประศาสนศาสตร์หน่อยค่ะ
พี่ตาว :
รัฐประศาสนศาสตร์ เป็นสาขาที่สนุกและทำงานได้กว้างขวางครับ พยายามเข้าไปอ่านหลักสูตรของมหาวิทยาลัยต่างๆ ดูว่าเป็นสิ่งที่เราอยากจะเรียนจริงหรือไม่ และเมื่อเข้ามาแล้วก็พยายามตั้งใจเรียน ไม่ว่ามหาวิทยาลัยไหนก็ดีทั้งนั้น ไม่ได้เป็นคนโลกสวยนะครับ แต่จากการที่พี่ผ่านงานมาหลายหน่วยงาน ไม่ว่า จุฬา ธรรมศาสตร์ รามคำแหง ราชภัฎ ฯลฯ ก็สามารถผลิตคนเก่งๆได้ทั้งนั้น เพียงแต่เราเองก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆครับ  เป็นกำลังใจให้น้องๆทุกคนครับ

พี่เป้
บริหารรัฐกิจ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


พี่แป้ง : แนะนำตัวเองก่อนเลยค่ะ
พี่เป้ :
ชื่อ เป้ วัชรินทร์ ผลโชค นะครับ เรียน สาขาบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็น สิงห์แดง รุ่น 60 ครับ


พี่แป้ง : ทำไม พี่เป้ ถึงเลือกเรียนบริหารรัฐกิจคะ?
พี่เป้ :
ถ้าถามเรื่องนี้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนสมัครสอบ สารภาพตามความจริงเลยก็คือ เป้เลื่อน Scroll Bar ผิด ตอนแรกที่จะเรียนมันเป็นอีกสาขาหนึ่ง แต่มารู้ตัวอีกทีก็สมัครเสร็จละ 555+ ก็เลย ตัดสินใจเอาล่ะวะ สอบสาขานี้ก็ได้ ไม่อยากสมัครใหม่แล้ว มันอาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นจริง ๆ

        บางทีเป้ก็คิดว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างทำให้เราต้องมาเรียนสาขานี้ก็เป็นได้ ซึ่งเมื่อเรียนๆไปแล้วก็เป้ก็ชอบนะ เพราะการเรียนสาขานี้มันมีเป้าหมายคือ เรียนไปเพื่อนำความรู้ไปบริหารงานของภาครัฐ พูดง่ายๆว่าเป็นการเรียนเพื่อไปทำงานรับใช้คนอื่นๆในสังคม ซึ่งมันตอบสนองความต้องการส่วนตัวของเป้อยู่แล้วครับ



พี่แป้ง : การเรียนสาขาบริหารรัฐกิจให้อะไรกับ พี่เป้ บ้างคะ?
พี่เป้ :
คงต้องบอกว่าการเรียนที่นี่มันให้ความรู้เหมือนการเรียนที่มหาลัยอื่นแหละ แต่มันมีของแถมที่เป้คิดว่าไม่น่าจะหาจากที่อื่นได้ นั่นก็คือประสบการณ์ระหว่างการเรียน ตัวอย่างเช่น ในการเรียนบริหารรัฐกิจนั้น เราต้องทำงานกลุ่มกันเยอะมากๆ แถมที่คณะรัฐศาสตร์ ก็มีแต่อาจารย์ที่เก่งๆ ซึ่งมันก็ทำให้การทำงานของเรายากขึ้น

         ดังนั้นสิ่งที่ได้เป็นของแถมจากการเรียนบริหารรัฐกิจ ก็คือ ประสบการณ์ในการลงพื้นที่จริง ต้องออกไปประสานงานจริง เพื่อได้ข้อมูลจริง จะนั่งเขียนรายงานอยู่หอสมุดอย่างเดียวไม่ได้เป็นอันขาด ซึ่งมันส่งผลให้เราต้องทำการบ้านอย่างหนักเวลาทำรายงานแต่ละครั้ง ต้องรู้ลึก รู้จริง อีกอย่างหนึ่งคือเวลาเราต้องลงพื้นที่ ต้องไปศึกษาดูงาน มันก็ทำให้เราเกิดทักษะในการทำงาน ซึ่งเป้คิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ยากที่จะได้รับ


พี่แป้ง : ตอนสมัยที่ พี่เป้ เรียนอยู่ พี่เป้ ได้เข้าร่วมกิจกรรมอะไรบ้างคะ?
พี่เป้ :
เยอะมาก ช่วยงานไหนได้เราก็ช่วย แต่หน้าที่หลักๆ ของแต่ละกิจกรรมเลยก็คือ เป็นช่างภาพ คอยเก็บรายละเอียดของกิจกรรมนั้นๆ พอผ่านไป 4 ปี กลับมาเปิดรูปดูอีกทีก็แอบขำ เพราะว่ามีแต่รูปของคนอื่น ไม่มีรูปของตัวเองเลย ฮ่ะๆๆ  แต่ก็ทำด้วยใจครับ เห็นเพื่อนๆ มีความสุขกับรูปที่เราถ่ายมาก็อิ่มใจแล้วแล้วฮะ


พี่แป้ง : ตอนนี้ พี่เป้ ทำงานอะไรอยู่คะ?
พี่เป้ :
ตอนนี้เป้ทำงานอยู่ที่ กลุ่มงานประสานงานรัฐสภา กองกฎหมาย สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติครับ


พี่แป้ง : งานที่ทำมีลักษณะอย่างไรบ้างเอ่ย?
พี่เป้ :
หน่วยงานที่เป้ทำงานอยู่ เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่ประสานการทำงานระหว่างรัฐสภากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติครับ ตัวอย่างเช่น ประสานงานกับกรรมาธิการคณะต่างๆ ที่รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมันสอดคล้องความต้องการของเป้ที่อยากจะทำงานช่วยเหลือคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคมที่ไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่แล้วด้วยครับ


พี่แป้ง : สุดท้ายนี้ให้พี่เป้ฝากถึงน้องๆ ชาวเด็กดีที่อยากเรียนต่อทางบริหารรัฐกิจหน่อยค่ะ
พี่เป้ :
อยากให้น้องๆ คิดให้ดี ถามตัวเองให้ดีก่อนว่า ถ้าเข้ามาเรียนบริหารรัฐกิจแล้ว น้องๆพร้อมจะอุทิศตัวเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นได้หรือเปล่า? การเรียนบริหารรัฐกิจ เป็นการเรียนเพื่อ “อุทิศตนเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่นเป็นเบื้องต้น และรับผลประโยชน์เป็นคนสุดท้าย” อยากให้น้องๆที่อยากเรียนบริหารรัฐกิจทุกคน จดจำคำนี้ไว้ให้ดี


.

พี่น้ำส้ม
บริหารรัฐกิจ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


พี่แป้ง : สวัสดีค่ะ อยากให้แนะนำตัวเองก่อนเลยค่ะ
พี่น้ำส้ม :
พี่ชื่อ นิธิพร  กุจิราพันธ์ ชื่อเล่น น้ำส้ม เรียนจบคณะรัฐศาสตร์ สาขา บริหารรัฐกิจ จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค่ะ


พี่แป้ง : เพราะอะไรพี่น้ำส้มถึงเลือกเรียนสาขาบริหารรัฐกิจคะ
พี่น้ำส้ม :
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เป็นคนที่ชอบวิชา สังคม โดยเฉพาะวิชาทางรัฐศาสตร์ อย่างมาก ถึงแม้จะเรียนจบสาย วิทยาศาสตร์มา พอนึกถึงการเรียนสายสังคมก็เลยอยากจะเรียนที่ธรรมศาสตร์ เมื่อมาดูระเบียบการสมัครสอบตรงก็พบว่ามีอยู่ 3 สาขาในคณะรัฐศาสตร์ แต่เมื่อดูจุดแข็งของตัวเอง และมองไปในอนาคตแล้วสาขาบริหารรัฐกิจเป็นสาขาวิชาที่สามารถเอาไปใช้ได้ในการประกอบอาชีพในอนาคต  และเหมาะกับตนเองมากที่สุดค่ะ


พี่แป้ง : ในความคิดพี่น้ำส้มคิดว่าสาขาบริหารรัฐกิจ แตกต่างจากสาขาอื่นอย่างไรบ้าง
พี่น้ำส้ม :
สาขาบริหารรัฐกิจ จะเน้นการนำไปใช้ ไม่ใช่เพียงแค่เรียนทฤษฎีและสอบแต่ บริหารรัฐกิจ มีการเรียนเกี่ยวกับการบริหารงาน เทคนิคการบริหาร ลงมือปฏิบัติ เช่นการนำองค์กรมาวิเคราะห์ เอาความรู้ที่ได้ไปแก้ปัญหาต่างๆทั้งขององค์การภาครัฐ และของประเทศ 

        การนำความรู้มาทำจริง เช่นการทำโครงการแก้ปัญหาต่างๆซึ่ง  สามารถใช้ได้กับทั้งองค์การภาครัฐและองค์การเอกชน ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในการไปประกอบอาชีพ เมื่อจบการศึกษา โดยมีเนื้อหาที่จะต่างจากสาขาอื่น ตรงที่หากเป็นสาขาการระหว่างประเทศนั้นจะในมองในมุมระหว่างประเทศ  ระหว่างไทย กับต่างชาติ ต้องมีการเรียนภาษาที่สาม แต่หากเป็นการเมืองการปกครอง ก็จะเกี่ยวกับการปกครองค่ะ


พี่แป้ง : สาขาบริหารรัฐกิจ ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ ?
พี่น้ำส้ม :
เนื้อหาที่ได้เรียนก็เกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย เรียนรู้เรื่องงบประมาณ กลยุทธ์  การบริหารบุคลากรภาครัฐ การบริหารจัดการโครงการและพฤติกรรมองค์การ อื่นๆอีกมาก  ซึ่งวิชาต่างๆสามารถใช้ในบริหารการจัดการองค์กรภาครัฐและเอกชนได้  


พี่แป้ง : ตอนสมัยเรียนที่ ม.ธรรมศาสตร์ พี่น้ำส้มได้ทำกิจกรรมอะไรบ้างคะ
พี่น้ำส้ม :
ที่ภูมิใจมากๆ เลยก็คือ มีโอกาสร่วมทำโครงการสร้างฝายที่เขากะโดน ให้กับชาวบ้านที่ประสบปัญหาดินสไลด์ ที่อำเภอ สีคิ้ว จ.นครราชสีมา นอกจากนี้ส้มก็ได้เป็นคณะอนุกรรมการนักศึกษาจัดกิจกรรมให้กับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ เช่น งานประเพณีต่างๆ ของคณะซึ่งได้พบกับคณะรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอื่นๆ เป็นการสร้างสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัย


พี่แป้ง : ตอนนี้ พี่น้ำส้ม กำลังเรียนอยู่ ไม่ทราบว่าเรียนเกี่ยวกับอะไรคะ?
พี่น้ำส้ม :
ศึกษาต่อปริญญาโท ที่คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์การ  ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(NIDA) ค่ะ


พี่แป้ง : ทำไมถึงเลือกที่จะเรียนต่อในระดับปริญญาโทคะ
พี่น้ำส้ม :
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าการเรียนบริหารรัฐกิจ เพื่อนๆ ส่วนใหญ่มักจะได้ทำงานในสาย HR เนื่องจากวิชาที่เรียนมาจากปริญญาตรีสามารถนำไปใช้ได้ แต่ด้วยตัวเราเองต้องการเรียนเรื่องทรัพยากรมนุษย์ให้ลึกซึ้งจึงได้ศึกษาต่อปริญญาโทด้านนี้ ในการศึกษาต่อปริญญาโทนั้นความยากของการเรียนต่อ คือ จะต้องมีการปรับตัว ผ่านเข้ามาสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ต้องวิชาการมากขึ้น  และแน่นอนว่าต้องมีการเรียนรู้ สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และการนำความรู้ไปปฏิบัติให้ได้  


พี่แป้ง : สุดท้ายนี้ขอให้ฝากอะไรดีๆ กับน้องๆ ชาว Dek-D ที่สนใจสาขาบริหารรัฐกิจค่ะ
พี่น้ำส้ม :
ฝากถึงน้องๆ ว่าควรจะ เลือกเรียน ในสิ่งที่ตน ถนัด สิ่งที่ตนเองชอบ ดูได้จากตอนเรียนมัธยม วิชาใดที่ได้เกรดดีๆ อยากจะเรียน รู้สึกว่าตนถนัดที่สุด นั่นคือจุดแข็งของน้องๆ เอง ดังนั้นการต่อปริญาตรีจึงเป็นการต่อยอดจุดแข็งของตนเอง หากน้องๆ เรียนในสิ่งที่ตนชอบ สิ่งที่ตนถนัดจะทำมันได้ดี และจะมีความสุข  น้องๆ จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต



        ว้าวววววว!! ....... เป็นไงบ้างคะ? 3 รุ่นพี่จากสาขา รัฐประศาสนศาสตร์(บริหารรัฐกิจ) พี่แป้ง หวังว่าคงจะช่วยให้น้อง ๆ รู้จักสาขานี้มากขึ้น และเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจนะคะว่าจะเรียนต่อดีหรือไม่ ช่วงนี้คะแนน GAT/PAT ก็ออกแล้วด้วย คงมีทั้งน้อง ๆ ดีใจและเสียใจ แต่ขอให้น้อง ๆ สู้ต่อนะคะเพราะยังมีสอบรอบสองอีก คนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน ลุย!!!!!!!!

.
บทความอื่นของ "รัฐประศาสนศาสตร์"



















พี่แป้ง
พี่แป้ง - Columnist นักข่าวสายรับตรง พร้อมเสิร์ฟข่าวสอบเข้าทุกมหา'ลัย เติมพลังได้จากชาเย็นหวานน้อย

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

4 ความคิดเห็น

Singha KKU 3 ก.ค. 57 20:03 น. 1
สิงห์มอดินแดง รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลองเข้าไปหาความรู้ดูนะครับ https://www.facebook.com/polsci.kku http://www.polsci.kku.ac.th/
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
เจนน้อย 26 ม.ค. 58 10:56 น. 3
พี่คร้เรียน รัฐประศาสนศาสตร์สามารถนำไปประกอบอาชีพได้หลายอย่างทั้งในภาครัฐและเอกชน อย่างเช่นอะไรบ้างคร้
0
กำลังโหลด
Supttra 28 ก.ย. 58 15:02 น. 4
สวัสดีค่ะคือ อยากรู้ว่า..มีหนังสือ รัฐประศาสนศาสตร์ ที่เกี่ยวกับทฤษฏีต่างๆ..เป็น v.eng ปี 2010up บ้างค่ะ ว่าจะไปหาที่จุฬาและนิด้าค่ะ แนะนำด้วยค่ะ ทำis บทที่ 2 ขัดข้อง.นิดหน่อย..ต้องหาหนังสือ ใหม่ค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด