สวัสดีค่ะ... หนึ่งเรื่องปวดหัวของเด็กแอดฯ ที่เดินสายสอบตรงคือ วันสอบชนกัน โดยเฉพาะคณะที่รอมาเป็นปีดันมาสอบวันเดียวกับอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง หวังจะรอให้เลื่อนสอบก็ไม่เลื่อน สุดท้ายมาลำบากใจว่าเราจะต้องเลือกที่ไหน
ถ้าพูดกันตรงๆ วันสอบชนกันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเท่าไหร่นะคะ อาจเป็นความตั้งใจของมหาวิทยาลัยที่จะให้นักเรียนเลือกสอบที่ใดที่หนึ่งอยู่แล้วก็ได้ เกิดได้บ่อยถ้าเป็นคณะเดียวกัน วันนี้พี่มิ้นท์มีคำแนะนำมาฝากน้องๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะเลือกสอบมหาวิทยาลัยไหนดี หวังว่าจะช่วยน้องๆ ให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะ และเมื่อตัดสินใจเลือกได้แล้วก็เดินหน้าสอบไปเลยไม่ต้องลังเลค่ะ
ถ้าพูดกันตรงๆ วันสอบชนกันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเท่าไหร่นะคะ อาจเป็นความตั้งใจของมหาวิทยาลัยที่จะให้นักเรียนเลือกสอบที่ใดที่หนึ่งอยู่แล้วก็ได้ เกิดได้บ่อยถ้าเป็นคณะเดียวกัน วันนี้พี่มิ้นท์มีคำแนะนำมาฝากน้องๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะเลือกสอบมหาวิทยาลัยไหนดี หวังว่าจะช่วยน้องๆ ให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นนะ และเมื่อตัดสินใจเลือกได้แล้วก็เดินหน้าสอบไปเลยไม่ต้องลังเลค่ะ
1. คณะใช่ มหาวิทยาลัยใช่ ไม่ต้องคิดนาน
บางคนมีคณะและมหาวิทยาลัยในฝันอยู่แล้ว ถ้าคณะที่ใช่ในมหาวิทยาลัยที่ใช่เปิดรับสมัคร จงเลือกแบบไม่ต้องลังเลเลย แม้จะมีคณะอื่นที่โอกาสติดมากกว่ามาสอบวันเดียวกันก็ตาม เพราะไหนๆ โอกาสมาให้ทำตามฝันแล้วจะทิ้งไปทำไมล่ะ ติดไม่ติดค่อยว่ากันอีกที มีเป้าหมายแล้วต้องพุ่งชนไว้ก่อน
2. อยากเรียนที่ไหนมากกว่ากัน ไม่สอบอันไหนเสียดายกว่ากัน
ในกรณีที่ไม่ใช่คณะหรือมหาวิทยาลัยในฝันแต่อยากสอบ คำถามเบสิคที่ควรถามตัวเองเป็นอันดับแรก และต้องตอบให้ได้ ก็คือ อยากเรียนที่ไหนมากกว่ากัน แม้ในใจจะรู้สึกว่าอยากเรียนทั้งสองที่เท่าๆ กัน แต่ความเป็นจริงมันไม่เท่ากันหรอกค่ะ ต้องมีที่ใดที่หนึ่งอยากได้มากกว่า ดังนั้นเอาทั้ง 2 คณะหรือ 2 มหาวิทยาลัยนั้นมาเทียบกัน หาข้อดีข้อเสีย หรือถ้าเราไม่เอาอันไหนจะเสียดายทีหลัง วิธีนี้เรียกว่า "เลือกตามความรู้สึก" ค่ะ
บางคนมีคณะและมหาวิทยาลัยในฝันอยู่แล้ว ถ้าคณะที่ใช่ในมหาวิทยาลัยที่ใช่เปิดรับสมัคร จงเลือกแบบไม่ต้องลังเลเลย แม้จะมีคณะอื่นที่โอกาสติดมากกว่ามาสอบวันเดียวกันก็ตาม เพราะไหนๆ โอกาสมาให้ทำตามฝันแล้วจะทิ้งไปทำไมล่ะ ติดไม่ติดค่อยว่ากันอีกที มีเป้าหมายแล้วต้องพุ่งชนไว้ก่อน
2. อยากเรียนที่ไหนมากกว่ากัน ไม่สอบอันไหนเสียดายกว่ากัน
ในกรณีที่ไม่ใช่คณะหรือมหาวิทยาลัยในฝันแต่อยากสอบ คำถามเบสิคที่ควรถามตัวเองเป็นอันดับแรก และต้องตอบให้ได้ ก็คือ อยากเรียนที่ไหนมากกว่ากัน แม้ในใจจะรู้สึกว่าอยากเรียนทั้งสองที่เท่าๆ กัน แต่ความเป็นจริงมันไม่เท่ากันหรอกค่ะ ต้องมีที่ใดที่หนึ่งอยากได้มากกว่า ดังนั้นเอาทั้ง 2 คณะหรือ 2 มหาวิทยาลัยนั้นมาเทียบกัน หาข้อดีข้อเสีย หรือถ้าเราไม่เอาอันไหนจะเสียดายทีหลัง วิธีนี้เรียกว่า "เลือกตามความรู้สึก" ค่ะ
3. คณะนั้นมีรับรอบแอดมิชชั่นกลางไหม
เคยมีผู้ปกครองถามพี่มิ้นท์ว่าระหว่าง 2 คณะนี้ให้ลูกเลือกสอบที่ไหนดี เนื่องจากวันสอบชนกัน ตอนแรกก็ลังเลเพราะไม่อยากฟันธงให้ใครมั่วๆ จึงแนะนำไปว่า คณะแรกมีรอบแอดมิชชั่นกลางและรับเยอะด้วย ส่วนอีกคณะของมหาวิทยาลัยนี้มีแต่รอบรับตรงอย่างเดียว ถ้าพลาดแล้วพลาดเลย ถ้าเรามีข้อมูลแบบนี้จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมากค่ะ เพราะถ้าคณะไหนมีรอบแอดมิชชั่นกลางอีกเท่ากับว่ายังมีโอกาสให้แก้ตัวรอบหน้านั่นเอง
อย่างไรก็ตามน้องๆ อาจจะค้างคาใจว่าแล้วคณะที่มีทั้งรอบรับตรงและแอดมิชชั่นล่ะจะเลือกยังไงดี อันนี้ก็ไม่ยากค่ะ ลองดูจำนวนรับทั้งรอบรับตรงและแอดมิชชั่น แล้วเปรียบเทียบดูว่าสอบที่ไหนมีโอกาสมากกว่ากัน บางที่เปิดรับตรงเยอะมากแต่รอบแอดมิชชั่นรับนิดเดียว อย่างนี้รีบคว้ารอบรับตรงไว้ก่อนก็ได้ค่ะ
เคยมีผู้ปกครองถามพี่มิ้นท์ว่าระหว่าง 2 คณะนี้ให้ลูกเลือกสอบที่ไหนดี เนื่องจากวันสอบชนกัน ตอนแรกก็ลังเลเพราะไม่อยากฟันธงให้ใครมั่วๆ จึงแนะนำไปว่า คณะแรกมีรอบแอดมิชชั่นกลางและรับเยอะด้วย ส่วนอีกคณะของมหาวิทยาลัยนี้มีแต่รอบรับตรงอย่างเดียว ถ้าพลาดแล้วพลาดเลย ถ้าเรามีข้อมูลแบบนี้จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมากค่ะ เพราะถ้าคณะไหนมีรอบแอดมิชชั่นกลางอีกเท่ากับว่ายังมีโอกาสให้แก้ตัวรอบหน้านั่นเอง
อย่างไรก็ตามน้องๆ อาจจะค้างคาใจว่าแล้วคณะที่มีทั้งรอบรับตรงและแอดมิชชั่นล่ะจะเลือกยังไงดี อันนี้ก็ไม่ยากค่ะ ลองดูจำนวนรับทั้งรอบรับตรงและแอดมิชชั่น แล้วเปรียบเทียบดูว่าสอบที่ไหนมีโอกาสมากกว่ากัน บางที่เปิดรับตรงเยอะมากแต่รอบแอดมิชชั่นรับนิดเดียว อย่างนี้รีบคว้ารอบรับตรงไว้ก่อนก็ได้ค่ะ
4. ความพร้อมของเรา
ไม่ต้องไปวิเคราะห์อะไรให้วุ่นวาย ดูที่ความพร้อมของเราเป็นหลัก หากสนามสอบชนกัน ดูเลยว่าเราจะพร้อมอันไหนมากกว่า เพราะเกณฑ์รับสมัครแต่ละโครงการไม่เหมือนกันค่ะ บางที่ใช้คะแนน GAT PAT บางที่มหาวิทยาลัยจัดสอบเองต้องอ่านหนังสือเพิ่ม ตรงนี้น้องต้องตัดสินใจเองว่าวิธีไหนเข้าทางตัวเอง หรือถ้าสอบหลายที่ที่ต้องใช้คะแนน GAT PAT จะตั้งใจสอบ GAT PAT ให้ได้คะแนนดีๆ ไปเลยแล้วยื่นคะแนนทีเดียวก็ได้ ไม่ต้องเหนื่อยตามสอบหลายรอบค่ะ
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเลือกสนามสอบไหนต้องเตรียมตัวให้พร้อมจริงๆ นะคะ จะได้ไม่เสียแรงที่เลือกสอบคณะ/มหาวิทยาลัยนั้นไปแล้ว
ไม่ต้องไปวิเคราะห์อะไรให้วุ่นวาย ดูที่ความพร้อมของเราเป็นหลัก หากสนามสอบชนกัน ดูเลยว่าเราจะพร้อมอันไหนมากกว่า เพราะเกณฑ์รับสมัครแต่ละโครงการไม่เหมือนกันค่ะ บางที่ใช้คะแนน GAT PAT บางที่มหาวิทยาลัยจัดสอบเองต้องอ่านหนังสือเพิ่ม ตรงนี้น้องต้องตัดสินใจเองว่าวิธีไหนเข้าทางตัวเอง หรือถ้าสอบหลายที่ที่ต้องใช้คะแนน GAT PAT จะตั้งใจสอบ GAT PAT ให้ได้คะแนนดีๆ ไปเลยแล้วยื่นคะแนนทีเดียวก็ได้ ไม่ต้องเหนื่อยตามสอบหลายรอบค่ะ
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเลือกสนามสอบไหนต้องเตรียมตัวให้พร้อมจริงๆ นะคะ จะได้ไม่เสียแรงที่เลือกสอบคณะ/มหาวิทยาลัยนั้นไปแล้ว
5. งบสนับสนุนการสอบ
สำหรับคนที่ตัดสินใจไม่ได้จริงๆ ใช้วิธีคำนวณค่าสอบก็เป็นวิธีที่น่าสนใจนะคะ รับตรงแต่ละแห่งค่าสมัครสอบไม่เท่ากัน มีตั้งแต่หลักร้อยต้นๆ ไปจนถึงหลักร้อยปลายๆ เลือกสนามสอบที่ไม่แพงมากก็ได้ค่ะ จะได้ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายมากแต่ได้คณะที่อยากเรียนเหมือนกัน
สำหรับคนที่ตัดสินใจไม่ได้จริงๆ ใช้วิธีคำนวณค่าสอบก็เป็นวิธีที่น่าสนใจนะคะ รับตรงแต่ละแห่งค่าสมัครสอบไม่เท่ากัน มีตั้งแต่หลักร้อยต้นๆ ไปจนถึงหลักร้อยปลายๆ เลือกสนามสอบที่ไม่แพงมากก็ได้ค่ะ จะได้ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายมากแต่ได้คณะที่อยากเรียนเหมือนกัน
6. เงื่อนไขอื่นๆ ของทางมหาวิทยาลัย
ยกตัวอย่างเงื่อนไขอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อสอบติดรับตรงไปแล้ว เช่น
- ค่าธรรมเนียมในการยืนยันสิทธิ์ บางที่ก็เก็บเลย บางที่ก็ยังไม่เก็บ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่เท่ากันด้วย
- เงื่อนไขเรื่องการตัดสิทธิ์รับตรงอื่นๆ บางโครงการเข้าร่วมเคลียริ่งเฮาส์ หมายความว่าถ้ายืนยันสิทธิ์ไป จะถูกตัดสิทธิ์รับตรงอื่นๆ ที่เข้าร่วมเคลียริ่งเฮาส์ทั้งหมด บางโครงการสอบติดก็ไม่สามาารถสมัครรับตรงในมหาวิทยาลัยนั้นได้แล้ว เป็นต้น
- เงื่อนไขเรื่องการสละสิทธิ์ว่าสามารถทำได้หรือไม่
รายละเอียดส่วนนี้จะอยู่ท้ายระเบียบการค่ะ ลองเสียเวลาอ่านกันสักนิด จะช่วยตัดสินใจได้ดีขึ้น บางคนอาจจะอยากลองสนามสอบเฉยๆ แต่ถ้าไปสอบในที่ที่ยืนยันสิทธิ์แล้วตัดสิทธิ์รับตรงทั้งหมด จะกลายเป็นลำบากแทนค่ะ
ยกตัวอย่างเงื่อนไขอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อสอบติดรับตรงไปแล้ว เช่น
- ค่าธรรมเนียมในการยืนยันสิทธิ์ บางที่ก็เก็บเลย บางที่ก็ยังไม่เก็บ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่เท่ากันด้วย
- เงื่อนไขเรื่องการตัดสิทธิ์รับตรงอื่นๆ บางโครงการเข้าร่วมเคลียริ่งเฮาส์ หมายความว่าถ้ายืนยันสิทธิ์ไป จะถูกตัดสิทธิ์รับตรงอื่นๆ ที่เข้าร่วมเคลียริ่งเฮาส์ทั้งหมด บางโครงการสอบติดก็ไม่สามาารถสมัครรับตรงในมหาวิทยาลัยนั้นได้แล้ว เป็นต้น
- เงื่อนไขเรื่องการสละสิทธิ์ว่าสามารถทำได้หรือไม่
รายละเอียดส่วนนี้จะอยู่ท้ายระเบียบการค่ะ ลองเสียเวลาอ่านกันสักนิด จะช่วยตัดสินใจได้ดีขึ้น บางคนอาจจะอยากลองสนามสอบเฉยๆ แต่ถ้าไปสอบในที่ที่ยืนยันสิทธิ์แล้วตัดสิทธิ์รับตรงทั้งหมด จะกลายเป็นลำบากแทนค่ะ
7. โอกาสพิเศษเพื่อเราโดยเฉพาะ
น้องๆ เคยสังเกตไหมว่าบางโครงการมีคุณสมบัติเอาไว้ เช่น กำหนดเรื่องจังหวัดที่สมัครสอบ กำหนดเรื่องแผนการเรียน หรือกำหนดเรื่อง portfolio ในมุมมองของพี่มิ้นท์คิดว่าถ้าเรามีคุณสมบัติตรงตามที่โครงการกำหนดและอยากเรียนคณะนั้นพอดี ควรรีบคว้าไว้เลย เพราะคุณสมบัติที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดมาจะคัดกรองให้คนเหลือน้อยลง เช่น รับเฉพาะภาคเหนือ ภาคอื่นก็สมัครไม่ได้แล้ว เราก็จะแข่งกับคนน้อยลง โอกาสติดก็เพิ่มมากขึ้น ฝากน้องๆ ลองอ่านระเบียบการเยอะๆ แล้วจะรู้ว่ามีหลายโครงการที่เกิดมาเพื่อเราโดยเฉพาะ
น้องๆ เคยสังเกตไหมว่าบางโครงการมีคุณสมบัติเอาไว้ เช่น กำหนดเรื่องจังหวัดที่สมัครสอบ กำหนดเรื่องแผนการเรียน หรือกำหนดเรื่อง portfolio ในมุมมองของพี่มิ้นท์คิดว่าถ้าเรามีคุณสมบัติตรงตามที่โครงการกำหนดและอยากเรียนคณะนั้นพอดี ควรรีบคว้าไว้เลย เพราะคุณสมบัติที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดมาจะคัดกรองให้คนเหลือน้อยลง เช่น รับเฉพาะภาคเหนือ ภาคอื่นก็สมัครไม่ได้แล้ว เราก็จะแข่งกับคนน้อยลง โอกาสติดก็เพิ่มมากขึ้น ฝากน้องๆ ลองอ่านระเบียบการเยอะๆ แล้วจะรู้ว่ามีหลายโครงการที่เกิดมาเพื่อเราโดยเฉพาะ
8. ปัจจัยอื่นๆ ที่น่าคิด
นอกเหนือจากเหตุผลที่พูดมาทั้งหมดแล้ว ยังมีองค์ประกอบบางอย่างที่น้องๆ คิดไม่ถึง แต่เป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจได้แทบจะทันที เช่น
- มีรับตรงเปิดกี่รอบ บางแห่งมีสองรอบ บางแห่งมีรอบเดียว ที่ไหนมี 2 รอบ รอไปสอบรอบ 2 ก็ได้
- มี/ไม่มีประกาศตัวสำรอง หรือ มีประกาศผลรอบสอง ลองหาข้อมูลสถิติปีก่อนๆ ว่ามีการเรียกตัวสำรองหรือไม่ คณะที่มีการเรียกตัวสำรองแสดงว่ามีโอกาสที่คนจะสละสิทธิ์เยอะ และถ้าโชคดี(ในกรณีที่สอบไม่ติด) อาจมีชื่อเราเป็นตัวสำรองอยู่ก็ได้
- คณะเดียวกันแต่มีไม่กี่ที่ที่เปิดรับตรง บางคณะโชคร้ายหน่อยมีเปิดรับตรงเพียงไม่กี่มหาวิทยาลัย ที่เหลือต้องรอไปสอบรอบแอดมิชชั่นกลางอย่างเดียว ฉะนั้นถ้าอยากสอบติดตั้งแต่รอบรับตรง เล็งคณะประเภทนี้ไว้ก่อนก็ดีค่ะ จะได้ไม่ต้องไปแย่งกันในรอบแอดมิชชั่นกลาง
- ทุน ทุนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจนะคะ บางมหาวิทยาลัยมีทุนให้ด้วยหากสอบติดและคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดไว้
นอกเหนือจากเหตุผลที่พูดมาทั้งหมดแล้ว ยังมีองค์ประกอบบางอย่างที่น้องๆ คิดไม่ถึง แต่เป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจได้แทบจะทันที เช่น
- มีรับตรงเปิดกี่รอบ บางแห่งมีสองรอบ บางแห่งมีรอบเดียว ที่ไหนมี 2 รอบ รอไปสอบรอบ 2 ก็ได้
- มี/ไม่มีประกาศตัวสำรอง หรือ มีประกาศผลรอบสอง ลองหาข้อมูลสถิติปีก่อนๆ ว่ามีการเรียกตัวสำรองหรือไม่ คณะที่มีการเรียกตัวสำรองแสดงว่ามีโอกาสที่คนจะสละสิทธิ์เยอะ และถ้าโชคดี(ในกรณีที่สอบไม่ติด) อาจมีชื่อเราเป็นตัวสำรองอยู่ก็ได้
- คณะเดียวกันแต่มีไม่กี่ที่ที่เปิดรับตรง บางคณะโชคร้ายหน่อยมีเปิดรับตรงเพียงไม่กี่มหาวิทยาลัย ที่เหลือต้องรอไปสอบรอบแอดมิชชั่นกลางอย่างเดียว ฉะนั้นถ้าอยากสอบติดตั้งแต่รอบรับตรง เล็งคณะประเภทนี้ไว้ก่อนก็ดีค่ะ จะได้ไม่ต้องไปแย่งกันในรอบแอดมิชชั่นกลาง
- ทุน ทุนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจนะคะ บางมหาวิทยาลัยมีทุนให้ด้วยหากสอบติดและคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดไว้
ตอนนี้ก็เดินทางมาครึ่งทางของเด็กแอดฯ แล้ว แต่ก็ยังมีรับตรงทยอยมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งไม่แน่ว่าบางโครงการจัดสอบชนกันอีกก็ได้ ยังไงก็อย่าลืมเอาคำแนะนำเหล่านี้ไปใช้และบอกต่อเพื่อนๆ ด้วย ที่สำคัญที่สุดการอ่านทำให้เราเข้าใจทุกอย่างได้ดีขึ้น ระเบียบการเขาทำออกมาให้อ่านฉะนั้นอ่านเข้าไปเถอะค่ะ แล้วน้องๆ จะตัดสินใจได้เองว่าควรหรือไม่ควรสมัครโครงการไหน ขอให้น้องๆ โชคดี สอบติดรับตรงกันทุกคนนะคะ ด้วยรักและหวังดีเสมอ จุ๊บๆ :D
5 ความคิดเห็น
ว้าว*-* เป็นคำแนะนำที่ดีมากๆ
ขอบคุณนะคะ