สวัสดีค่ะ น้องๆ ชาว Dek-D ทุกคน เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินว่าชีวิตการเรียนในช่วงมัธยมกับมหาวิทยาลัยนั้นไม่เหมือนกัน วันนี้ พี่อาตู ก็เลยมาตีแผ่ชีวิตมหาวิทยาลัยกับ 6 ข้อ ที่มั่นใจมากว่าน้องๆ มัธยมไม่เคยได้สัมผัสแน่นอน รู้แล้วอาจจะทำให้น้องๆ หวั่นใจก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเลยทีเดียว ไปดูกัน!
ปกติแล้วตอนเรียนมัธยม ช่วงปิดเทอมเราสามารถนอนตีพุงสบายอยู่บ้านรอเปิดเทอมได้เลยแต่ชีวิตมหาวิทยาลัยไม่ใช่อย่างนั้น เพราะช่วงเวลาปิดเทอมจะเป็นช่วงเวลาที่แต่ละคนจะวางแผนชีวิต ว่าจะลงทะเบียนเรียนอย่างไรให้เก็บหน่วยกิตครบ เรียนจบอย่างสบายใจ เพราะชีวิตมหาวิทยาลัยนั้นจะต้องลงทะเบียนเรียนเองค่ะ คือทางคณะและมหาวิทยาลัยจะกำหนดหลักสูตรมาให้ว่าจะต้องเรียนทั้งหมดกี่วิชา และกี่หน่วยกิต แต่การทำหน้าที่เลือกวิชาที่จะเรียน ลงทะเบียนรวมถึงจัดตารางสอน เป็นตัวเราเอง ดังนั้นถ้าหากเก็บหน่วยกิจได้ไม่ครบ ไม่จบพร้อมเพื่อนในรุ่นก็ต้องรับผิดชอบตัวเองเต็มๆเลย
2. ลงทะเบียนเรียนประดุจจองบัตรคอนเสิร์ต
นอกจากวางแผนชีวิตแล้วก็ยังต้องฝึกวิทยายุทธ์การลงทะเบียนเรียนอีก เพราะไม่อยากจะเม้าท์เลยว่า การลงทะเบียนให้ได้วิชาที่ต้องการนั้นยากมาก การแข่งขันสูงยิ่งกว่าตอนสอบเข้าอีก เพราะทุกๆ คนก็อยากเก็บวิชาที่เรียนง่าย ได้เกรดสวยกันทั้งนั้น ซึ่งขอบอกเลยว่าวัดกันที่ดวงล้วนๆ บวกกับอินเตอร์เน็ตเร็ว คอมพิวเตอร์แรงอีกทางหนึ่ง ไม่งั้น “เด้ง” ลงทะเบียนไม่ได้/ที่นั่งเต็ม ชีวิตหายนะมาเยือน ต้องวางแผนวางตารางสอนใหม่อีก โอ้ยยยยย....วุ่นวายสุดๆ
3. ข้อสอบ 90% เป็นข้อเขียน
ปรากฏการณ์ช็อกโลก! ที่ทำเหล่าเฟรชชี่ปี 1 อึ้งไปตามๆกัน นั้นคือข้อสอบค่ะ เพราะข้อสอบที่เจอในระดับมหาวิทยาลัยนั้นส่วนใหญ่เป็นข้อเขียน จะพบน้อยมากถึงขั้นไม่มีเลยกับข้อสอบตัวเลือกเหมือนมัธยม โดยเฉพาะคณะที่ต้องใช้ทฤษฎีและการวิเคราะห์ เช่น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ นี่เรียกได้ว่าเขียนกันเพียวๆ ช้อยส์ไม่เกี่ยว แล้วไม่ใช่เขียนกันข้อละบรรทัด สองบรรทัดนะคะ โจทย์แต่ละข้อนี่ตอบกัน 1-2 หน้ากระดาษเลยทีเดียว พี่อาตู เจอมากับตัวเองเลยค่ะตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัย โจทย์ให้มาเป็นกระดาษ A4 หนึ่งแผ่น แต่เขียนตอบกลับไปอย่างต่ำๆ คือสมุด 2 เล่ม ภายใน 3 ชั่วโมง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ บอกได้เลยว่าอารมณ์แบบนี้น้องๆ มัธยมไม่เคยรู้จริงๆ ว่ามันช่าง……อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกกันเลยนะ
4. เวลาอ่านหนังสือ มากกว่าเวลานอน T T
หากไปถามเด็กระดับมหาวิทยาลัย เชื่อเลยว่าส่วนใหญ่ต้องบอกว่าการอ่านหนังสือสอบตอนช่วงมัธยมสบายที่สุดแล้ว แม้กระทั่งการอ่านเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่าง O-NET GAT PAT เพราะเมื่อก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเพียงพื้นฐาน.. คิดดูสิน้อง อ่านขนาดนั้นยังได้แค่พื้นฐาน!! คณะสายวิทย์นี่แอบกระซิบมาบอกน้องๆ มัธยมเลยว่า ฟิสิกส์ เคมี ชีวะที่เรียน 3 ปีในมัธยม เข้ามหาวิทยาลัยมาอัดเนื้อหาทั้งหมดภายในครึ่งเทอม เฮือกกกก
ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ชีวิตของเด็กมหาวิทยาลัยจะมีพลังงาน แรงผลักดัน ความกดดันหลายอย่างมาก ที่ทำให้อ่านหนังสือเยอะยิ่งกว่าตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีก บางคนสามารถแปลงร่างจากหนุ่มหล่อสาวสวยไปเป็น "ซอมบี้" ได้ภายในช่วงเตรียมตัวสอบ ตอนแรก พี่อาตู ก็คิดว่าอะไรจะขนาดนั้น แต่พอถึงช่วงตัวเองสอบจริงๆ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลย เพราะว่าเนื้อหาเยอะมาก แล้วไม่อ่านก็ไม่ได้ เพราะข้อสอบก็เดาไม่ได้ ระดับมหาวิทยาลัย ถ้าคะแนนตกได้เกรด F ต้องลงเรียนใหม่ แล้วถ้า 4 ปียังเก็บหน่วยกิตไม่ครบ ก็เตรียมเรียนจบทีหลังเพื่อนในรุ่นได้เลย โอโห.. สถานการณ์ยังคับขนาดนี้ พลีชีพยอมอ่านจ้า
5. การบ้านไม่เยอะ แต่รายงานเยอะมากกกกกกกก
น้องๆ เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า หนีเสือปะจระเข้กันมั้ยคะ? นั่นแหละค่ะ อารมณ์ของชีวิตมหาวิทยาลัยเลย หนีข้อสอบมาเจอรายงาน หนีอาจารย์ไปเจอหนังสือ อะไรอย่างนั้นเลย ถ้าใครพูดคำว่ารายงาน หรือเปเปอร์ (Paper อ่านปากพี่อาตูนะคะ) เด็กระดับมหาวิทยาลัยหลายคนร้องกรี๊ดเลย เพราะถึงแม้บางคณะโดยเฉพาะสายศิลป์จะเรียนสนุก ลุกนั่งสบาย ไม่ต้องเจอ Lab เหมือนคณะสายวิทย์ แต่บอกเลยว่าทุกคณะเหมือนกันหมด คือมีรายงานค่ะ จะตามหลอกหลอนตั้งแต่ก่อนสอบ สอบ หลังสอบ ปิดเทอม เรียกว่าตลอดชีวิตช่วงมหาวิทยาลัยเลยดีกว่า
รายงานนี้ใน 1 วิชาจะไม่ได้สั่งรายงานแค่หนึ่งเล่ม หรือถ้าสั่งแค่หนึ่งเล่มจะต้องพ่วงตามด้วยงานอื่นๆ อีกเพียบ อีกทั้งระดับความยากของรายงานก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่ามัธยม การให้คะแนนก็ยากกว่ามาก และถึงแม้ว่าจะสอบจบไปแล้ว แต่อารมณ์รายงานจะยังไม่จบนะคะ เพราะรายงานส่วนใหญ่อาจารย์จะสั่งไว้ล่วงหน้า เช่น ส่งหลังสอบ 2 สัปดาห์ สองสัปดาห์นั้นก็จะเป็นสองสัปดาห์แห่งการปั่นรายงาน ยิ่งถ้าเรียนหลายๆ วิชาก็ต้องทำรายงานหลายๆ เล่ม ปั่นค่ะปั่น ปั่นแล้วก็ใส่วิปครีมกินเข้าไปเลยค่ะ!
6.ชีวิตเด็กหอสุดหรรษา
ขอบอกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเกิดมาควรเป็นเด็กหอ เพราะชีวิตจะครบรสชาติมากเลย โดยเฉพาะหอใน หรือหอพักโดยความดูแลของมหาวิทยาลัย บางโรงเรียนในระดับมัธยมก็เป็นโรงเรียนหอนะคะ แต่จะคนละอารมณ์กับการอยู่หอในมหาวิทยาลัย แล้วยิ่งน้องๆ ที่เรียนโรงเรียนธรรมดาแบบไป-กลับ นี่ล่ะคือชีวิตมหาวิทยาลัยอีกด้านหนึ่งที่น้องมัธยมไม่เคยสัมผัสแน่นอน
การอยู่หอให้ประสบการณ์หลายอย่าง ตั้งแต่การสัมผัสตำนานเรื่องลี้ลับในสถาบัน หรือในตึกหอพักที่เราอาศัยอยู่ สังเกตมั้ยว่าเรื่องลี้ลับส่วนใหญ่มักจะเกิดที่หอเนี่ยแหละ! ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ซึ่งชอบเรียกกันว่า “เมท” (มาจากคำว่า Roommate แปลว่าเพื่อนร่วมห้องที่อาศัยอยู่ด้วยกันค่ะ) ซึ่งถ้าเป็นหอในเราจะเลือกไม่ได้ว่าอยากให้ใครมาเป็นเมทเรา อาจจะสองคน สามคนบ้าง ได้เรียนรู้เพื่อนต่างคณะใหม่ๆ ที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะมีนิสัย Lifestyle อย่างไร ถือว่าดวงดีได้เพื่อนใหม่ ดวงร้ายย้ายหอกันเลยทีเดียว
7. กิจกรรมจัดเต็ม นันสต็อป 4 เดือน
นอกจากการเรียนและรายงานแล้ว ชีวิตในมหาวิทยาลัยอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ “กิจกรรม” จะมีกิจกรรมให้เข้าร่วมเยอะมากถึงมากที่สุด ตั้งแต่เข้าไปเป็นเฟรชชี่ปีหนึ่งต้องร่วมกิจกรรมรับน้อง บางมหาวิทยาลัยก็จะมีกีฬาเฟรชชี่ที่น้องเล็กอย่างปี 1 ต้องลงแข่งเองทั้งหมด ทั้งกีฬา แสตนด์เชียร์ หลีด ขบวนพาเหรด ไม่พอยังมีกิจกรรมห้องเชียร์ พอขึ้นชั้นปีสูงไปเรื่อยๆ ก็ยังคงต้องมาจัดกิจกรรมให้กับน้องรุ่นใหม่ๆ แล้วยังมีชมรมต่างๆทั้งดนตรี กีฬา ฯลฯ
นอกจากกิจกรรมคณะก็มีกิจกรรมของมหาวิทยาลัยอีก อย่างเช่น จุฬาฯ ก็จะมีงานกีฬาฟุตบอลประเพณี มหาวิทยาลัยเกษตร ก็มีเกษตรแฟร์ หรือบางมหาวิทยาลัยก็จัดงานแนะแนวอย่างOpen House ซึ่งก็ต้องให้นิสิต/นักศึกษานี่ล่ะ เป็นคนเตรียมและดำเนินงาน ส่วนช่วงปิดเทอมก็จะมีกิจกรรมค่ายอาสาต่างๆ ที่แต่ละชมรมในมหาวิทยาลัยไปออกค่ายกันอีกด้วย นี่คืออีกหนึ่งรสชาติชีวิตมหาวิทยาลัยที่รับรองว่ากิจกรรมตอนมัธยมกลายเป็นเบาๆ ไปเลย
เป็นยังไงกันบ้างกับชีวิตมหาวิทยาลัยทั้ง 7 ข้อ พี่อาตู ผ่านมาแล้วเกือบทั้งหมด(ยกเว้นเป็นเด็กหอ) ขอบอกว่าชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยนี่ล่ะ โหด ฮา บ้าจริง แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีในชีวิตอีกช่วงหนึ่ง รับรองว่าลืมไม่ลงเลย สำหรับน้องคนไหนที่อยู่ ม.ปลายกันแล้ว ก็เตรียมตัวเตรียมใจได้เลย! สนุกสนานหรรษาแน่นอน!!
มหาวิทยาลัย โดนข้ออะไรไปบ้าง มารายงานตัวกันหน่อย ??
90 ความคิดเห็น
ทุกข้อเลยค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
แต่ข้อ1 นี่ต้องคิดตั้งแต่ยังไม่ปิดเทอมเลยยยยล่ะ T_T
โดนทุกข้อเลย ฮ่าๆๆ แต่ข้อสามไม่เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ข้อสอบจะเป็นปรนัย
ข้อห้านี่แบบ
ปีสามนรกชัดๆ
ข้อ 3. เนี่ย ตอนเข้าไปปี1 ช็อคจริงๆ ออกจากห้องสอบมาร้องไห้
เราเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ด้วย ข้อเขียนหมดเลยทุกวิชา
มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ
ถ้าถามถึงเรื่องความสบาย ชีวิตมหาลัยสบายกว่ามัธยมเยอะเลยนะคะ
อยู่ที่ว่าเราจะควบคุมตัวเองได้ขนาดไหน
ชั่วโมงในการเรียน ของมัธยมเยอะกว่ามหาลัยเยอะค่ะ
มัธยมเรียนตั้งแต่แปดโมงจนถึงสี่โมงเย็น "ทุกวัน" (บางที่อาจเยอะกว่านั้น)
แต่มหาลัยอย่างมากก็เรียนติดต่อกันสี่ชัวโมง กรือถ้าวันไหนมีเรียนทั้งวันก็จะโหดแค่วันนั้นๆวันเดียว ไม่ได้เรียนทุกวัน ยังมีวันว่างที่ไม่ใช่เสาร์-อาทิตย์ด้วย
* แต่เรื่องการลงทะเบียนเรียนนี่เรื่องจริงเลยค่ะ ช้าแม้แต่วินาทีเดียวนั่นอาจตัดสินเกรดคุณได้ ฮ่าๆ
* เรื่องกิจกรรมมันก็แล้วแต่บางที่แล้วค่ะเดี๋ยวนี้ บางที่สั่งงดกิจกรรมไปแล้วก็มี บางที่ให้ลดกิจกรรมก็มี บางที่กิจกรรมแบบเต็มรูปแบบก็มีเอ้า! ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองอยู่ดีค่ะว่าจะเลือกเข้ากิจกรรมหรือไม่ เข้าบ้างไม่เข้าบ้างหรือไม่ ชีวิตมหาลัยอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้นจ้า
***** ดอกจันล้านดวง = สิ่งสำคัญของการเรียนมหาลัยคือ 'เพื่อน'
มีเพื่อนดีมีชัย'เกิน'กว่าครึ่ง เพราะเพื่อนเนี่ยแหล่ะจะเป็นคนช่วยเราในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องเรียนที่จะช่วยกันเรียน เรื่องเที่ยว เรื่องกินเรื่องนอนที่จะคอยดูแลกัน แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องติดเพื่อนนะคะ ให้เราเป็นตัวของตัวเองเนี่ยแหล่ะ แต่แค่ให้เราเลือกคบเพื่อนดีๆเข้าไว้
#มาแบ่งปันชีวิตมหาลัยจ้ะ
น้องๆที่จะเข้ามหาลัยก็สู้ๆนะ!
ของเราสบาย เพราะเรียนม.รามคำแหง
ไม่บังคับเข้าเรียน ไม่บังคับต้องเข้ากิจกรรมชมรม
ยกเว้น คณะวิทยาศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ และคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาต่างประเทศ
ต้องบังคับเช็คชื่อเข้าเรียน ส่งการบ้าน และทำรายงานส่งอาจารย์
สอบทีก็โทรมที มีแต่คนทัก นอนหรือยังๆ จะตายใจจะขาดดด
ปีสามจัดว่านรกสุดแล้ว
ถ้าผ่านไปได้ ปีสี่เหลือเก็บโปรเจค
มันต้องผ่านไปให้ได้สิ แงงงงงงงงงงงง
อดทน พยายามเท่านั้นจริงๆ สู้ๆๆ
ผมนี่โดนทุกข้อเลยครับบ
ผมนี่โดนทุกข้อเลยครับบ
ทุกข้อนะ แถม...
มาเลทเกิน 15 นาที
อาจารย์ล็อกห้อง
555555555555555
แถมตารางเรียนยังไม่ค่อยสวย
บางทีว่างตอนกลางวันแบบสองสามชั่วโมง
คือเรียนเช้า แล้วไปเรียนอีกทีเย็นเลย
จะไปไหนก็ไปไม่ได้ เพราะไปแล้วมักจะไม่กลับมา -___-
ในห้องเรียนเย็นอย่างกับนั่งเรียนขั้วโลก
พออกมาข้างนอกเท่านั้นแหละ...ไข้แทบขึ้นได้ อากาศต่างกันสุดขั้ว
นี่ก็กำลังนั่งสกปงกเลยค่ะ นอนวันละ3ชม.มา2อาทิตย์ละ ช่วงสอบคือเวลาแห่งการกลายร่างเป็นซอมบี้
ปิดเทอมก็สบายได้ครับ
เว้นแต่... ห้าม F!!!!! ห้าม W!!!!! เท่านั้นเอ๊งงงงงงงงงง
เอาใจไปมันใช่ทุกข้อ!