เป็นเด็ก ม.6 ไม่ง่าย "เมญ่า" ไฝว้กับครอบครัวเพราะไม่อยากแอดมิชชั่น จะจบยังไง มาดู

            สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D ทุกวันอังคารเราจะมาเจอกันในคอลัมน์ Admission Idolสุดยอดบุคคลที่เป็นไอดอลในเรื่องแอดมิชชั่น  วันนี้ พี่เมษ์ มีโอกาสดี๊ดี ไปคว้าตัวสาวสวย "พี่เมญ่า" นนธวรรรณ ทองเหล็ง มาเล่าเรื่องเส้นทางการเรียน โอ้โห้ กว่าเมญ่าจะได้เรียนสิ่งที่ชอบเนี่ย ถึงขั้นต้องไฝว้กับที่บ้านมาแล้วนะคะ เรื่องราวจะเป็นยังไง มาดูกันเลย
             นาทีนี้สาวสวยระดับนางงามที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดคนหนึ่งก็คือ พี่เมญ่า นนธวรรณ ทองเหล็ง Miss Thailand World 2014 แต่ชีวิตการเรียนพี่เมญ่าก็ไม่เคยมองข้ามนะ จะบอกว่าเห็นสวยๆ แบบนี้ ชีวิตแอดมิชชั่นมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ได้ใช้ชีวิตแบบเด็ก ม. 6 อีกหลายๆ คนที่ต้องผ่านด่านการไฝว้กับคุณพ่อคุณแม่มาเหมือนกัน จะโหด มัน ฮา แบบเด็กแอดมิชชั่น เคล้าน้ำตารึเปล่า ลุยค่ะ!!
 
แนะนำตัวกับน้องๆ
             สวัสดีค่ะ พี่เมญ่า นนทวรรณ ทองเหล็ง จริงๆ เป็นคิดบวก ชอบทำให้คนอื่นมีความสุขเพราะไม่ชอบทำอะไรเครียดๆ ถ้ามีเรื่องเครียดจะชอบทำอะไรตลกๆ บางทีก็ฮาๆ แต่บางมุมก็เป็นคน Sensitive เจออะไรแปลกๆ มากไม่ได้ จะน้ำตาไหล บางครั้งมันตื้นตัน พูดอะไรไม่ออก น้ำตาไหลออกมาเลย หรือบางครั้งมั้นเศร้า พูดไมได้ ก็ร้องไห้ออกมาเลย

พูดถึงคณะการจัดการธุรกิจการบิน ต้องเป็นแอร์?
             เมญ่าเรียนในคณะสาขาการจัดการธุรกิจการบิน หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ดค่ะ เพื่อให้เข้าใจกัน คือ คณะนี้คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นแค่แอร์โฮสเตส คุณสามารถเป็นได้ทั้ง Air Traffic control เป็นได้ทั้ง Ground Service, Cargo Airline หรือ Catering Service ฯลฯ ก็ได้ค่ะ เพราะสามารถครอบคลุมได้หมดทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการบินด้านไหน (แล้วกัปตันละ สมมติอยากบิน?) กัปตันก็เป็นไปได้นะ เพราะเราเรียนลึกถึงการฟังกัปตันพูดกันซึ่งกัปตันไหนหลายประเทศ เวลาพูดสำเนียงจะแตกต่างกัน เป็นแรงบันดาลใจให้เราเหมือนกันว่า ตอนนี้เราเรียนเรื่องอุตสาหกรรมการบินแล้ว เกิดเราอยากจะต่อเป็นนักบินเราก็ทำได้ เพราะเรามีพื้นฐานมา ก็ไปเรียนเพิ่มเติม เก็บชั่วโมงได้ค่ะ สำหรับคนที่อยากทำตามฝัน 

ได้ยินมาว่าไม่แอดมิชชั่น จริงเหรอ?
             ใช่ค่ะ เมญ่าไม่ได้แอดมิชชั่น แต่ว่า เคยไปสอบGAT - PAT / O-NET อะไรแบบนี้เหมือนที่น้องๆ กำลังเจอเลย เรามีคะแนนพร้อมสำหรับแอดมิชชั่นทุกอย่าง เพียงแต่เราเลือกที่จะไม่ทำ เลือกเลยว่าจะเรียนที่นี่ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากคุณพ่อคุณแม่

ทำไมถึงไม่แอดมิชชั่น ถามจริง?
             จะบอกว่าเมื่อก่อนก็เคยคิดว่าจะแอดมิชชั่น แต่พอถึงจุดนึง เรามองจริงๆ แล้วเรารู้ว่าตัวเรากำลังมองหาสิ่งที่ใช่สำหรับเรานี่ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมอง จะเข้าม.รัฐบาลก็ได้ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่ทางของเรา ไม่ใช่สิ่งที่ใช่ที่สุดสำหรับเราในตอนนั้น เพราะเราเองก็ศึกษา มีมหาวิทยาลัยหลายที่ที่มีหลักสูตรอินเตอร์แต่ปัญหาที่เรากังวล คือ สภาพแวดล้อมที่เป็นคนไทย เราก็คิดต่อว่ามันอาจจะพัฒนาภาษาของเราช้าเพราะได้ใช้แค่ในห้องเรียน แต่ที่นี่มันมากกว่าแปดสิบประเทศที่มาเรียนกับเรา ครูนานาชาติมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นที่อยู่ที่นี่ มันทำให้เรารู้สึกว่า นี่แหละ สิ่งที่เราได้จริงๆ และที่สำคัญคือ เราได้ฝึกจริงๆ ได้ฝึกกับฝรั่งจริงๆ มีเพื่อนเป็นฝรั่งจริงๆ  มีการแลกเปลี่ยนกันทางภาษาตลอด และวัฒนธรรมกันตลอด
ตอนไฝว้กับที่บ้านเรื่องเข้าเรียน ม.เอกชน ทำยังไง?
             ตอนนั้น ก็ยากเหมือนกันค่ะ ต้องพยายามเอาเหตุผลมาคุยกันให้คุณแม่คุณพ่อดูว่า ถ้าหนูไปแอดมิชชั่นอย่างที่เพื่อนๆ จะเป็นยังไง แต่หนูว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะทำ แล้วเราก็เริ่มศึกษาว่าถ้าไม่แอดมิชชั่น เราจะไปทางไหนต่อได้บ้าง พอได้ข้อมูลและเหตุผลก็อธิบายให้พ่อกับแม่ฟังว่าถ้าเราไม่แอดมิชชั่น เราจะได้อะไรมากกว่ายังไง คือ เราต้องหาจุดได้เปรียบไปพูดให้พ่อแม่ฟัง ใช้เหตุผลคุยกัน เป็นการซัพพอร์ตด้วยเหตุผล พอเราเห็นว่าที่ไหนตอบโจทย์ที่เราตั้งใจจริงๆ และจะทำได้ดีจริงๆ พ่อแม่ก็สนับสนุนอยู่แล้ว

แนะนำน้องๆ ถ้าต้องคุยกับที่บ้านเรื่องที่เรียน
             อยากให้น้องๆ เลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ และมองก่อนว่าตัวเองทำได้ดี ไม่ใช่ว่าอยากเป็นนู่นนี่นั่นแต่ชั้นทำอะไรไม่ได้เลย ไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย เช่น อยากจะพูดภาษาอังกฤษเป็นแต่ชั้นไม่กล้าที่จะพูดกับฝรั่งเลย ไม่ลองที่จะทำเลย อันนี้ไม่มีทางที่คุณจะสำเร็จ คือ ถ้าไม่ประเมินตัวเองก่อน ต่อให้คุณเข้าไปเรียนที่ไหนก็ตาม มันก็ไม่ช่วยให้คุณสำเร็จได้
           เอาหละ หลังจากรู้ตัวแล้ว คุณต้องเปิดใจที่จะกล้าทำ ทำและพยายามด้วย เพราะว่าคนเราไม่ได้เก่งเพราะพรสวรรค์ทุกคนหรอก มันต้องมีพรแสวง อย่างที่เมญ่าเองก็ทำอยู่ทุกๆอย่าง เพื่อจะทำในสิ่งที่เราอยากทำ ทำในฝันของเราให้เป็นจริงให้พ่อแม่เห้น มันคือบทพิสูจน์ว่าที่เราเลือกจะเรียนอะไรสักอย่างที่เราคิดว่าเราทำได้ดีจริงๆ ไม่ใช่แค่ดื้อกับคุณพ่อคุณแม่ หรือไม่อยากต่อสู้ในสนามสอบแอดมิชชั่น

สอนวิธีเก่งภาษาอังกฤษให้เหมาะกับเด็กไทย ?
             ต้องออกตัวก่อนเลยว่าก่อนหน้านี้ ตอนเรียนโรงเรียนไทย เราฟังรู้เรื่องนะ แต่ว่าจะตอบยังไงเนี่ย ยากแล้ว - -" เราตอบไม่ได้เลย กลัว ทุกคนน่าจะรู้สึกเหมือนกัน มันทำให้เราตั้งคำถามว่าแล้วเราจะทำยังไงให้เราตอบได้ ฟังเข้าใจ ก็เลยเลือกมาเรียนนานาชาติ 
             พอเรารู้ปัญหาแล้ว ก็ต้องพยายามทำให้ตัวเองเก่งภาษาอังกฤษขึ้น สำหรับเมญ่า เมญ่าว่าคนไทยกลัวเรื่องพูด ต้องแก้ให้ตรงจุด "พูด" เลยค่ะ พูดเป็นไม่เป็นก็พูดค่ะ เพราะว่า เวลาเราพูดผิดเพื่อนก็จะแก้ให้เรา เมญ่าเป็นคนที่เรียนจากความผิดพลาดของคนอื่นและของเราเอง ยิ่งเวลาเราผิดพลาดแล้วโดนทัก เราจะจำได้ แล้วเราจะไม่ทำแบบนั้นอีกเลย (แล้วไม่เขินเหรอ?) เขินทำไม เราจะเขินเพราะเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยก็ได้พยายามแล้ว ฝรั่งจะชอบคนที่พยายาม ไม่ใช่คนที่กลัว
             อีกอย่างที่ทำง่ายๆ คือ ฝึกโพสต์เป็นภาษาอังกฤษลงใน Social network คือ จริงๆ เราอาจจะโพสต์ไม่ได้ถูกแกรมมาร์มากมาย แต่ถ้าเราได้ฝึกพูด ฝึกพิมพ์ อย่างน้อยถ้าเราก็ได้พยายาม แถมถ้าต้องใช้คำสักคำแต่คิดไม่ออก เราก็ต้องเปิดดิกชันนารี ซึ่งเราจะจำได้มากกว่าเหมือนมีอะไรคอยเตือนว่าคำนี้สะกดยังไงนะ แค่นี้แหละสิ่งที่ช่วยเราได้แบบไม่รู้ตัวเลย ,,, อย่ากลัวที่จะเปิดดิกชันนารี อย่ากลัวที่จะทำเอง อย่ามัวแต่ถามคนอื่น คอยถามเพื่อน แบบนั้นไม่เอาค่ะ
             นอกจากนี้ก็อยากให้ลองพยายามใช้กับชีวิตประจำวันค่ะ อาจจะเป็นการการคุยกับเพื่อนต่างชาติ การโพสต์เป็นภาษาอังกฤษ การอ่านภาษาอังกฤษ อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ การดูหนังที่มี Soundtrack  หรือว่าเวลาลองคุยกับเพื่อน ลองหัดคุยเป็นภาษาอังกฤษด้วยก็ได้ หรืออาจจะแปะโน๊ตไว้ตามที่ต่างๆรอบตัวว่าศัพท์นี้แปลว่างี้ คำนี้ใช้ยังไงอะไรแบบนี้ หรือถ้าเจอศัท์ที่ไม่เข้าใจ อยากรู้ว่าแปลว่าอะไรก็เปิดเลย ทุกความพยายามแหละ เป็นผลดีเสมอ
             สุดท้าย เมญ่าอยากให้น้องมีทัศนคติที่ดีกับภาษาอังกฤษค่ะ อยากให้มองว่าภาษาอังกฤษสำคัญ และต่อไปถ้าน้องไม่มีภาษาอังกฤษน้องจะโดนแย่งงานนะคะ เพราะตอนนี้มีอาเซียน และทุกประเทศก็พูดภาษาอังกฤษได้ ในวันนี้เราอยู่ในแผ่นดินของเรา ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษได้ก็ปิดโอกาสที่ประเทศอื่นๆ ที่จะเข้ามาแย่งงานเรา เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองก่อนจะปล่อยให้โอกาสนั้นให้คนอื่นค่ะ

ชีวิตแอดมิชชั่นดราม่า ชีวิตในรั้วมหา'ลัย ดราม่ากว่ามาก?
             ต้องบอกว่าดราม่าเลยค่ะ ถ้าคิดว่าแอดมิชชั่นคือช่วงพีคของชีวิต ช่วงมหาวิทยาลัยหนักกว่าเยอะค่ะ!!! อย่างเมญ่าเอง ปีนี้นับเป็นช่วงปีที่สุดยอดมากสำหรับปีสุดท้ายของการเรียนเพราะตอนที่ประกวดคือเทอมสุดท้ายที่ทางมหาวิทยาลัยเค้าเปลี่ยนกฎใหม่ว่าขาดเกินห้าครั้งคือหมดสิทธิ์สอบ แต่ระหว่างการประกวดมีการเก็บตัวหนึ่งเดือนซึ่งถ้าคุณขาดกิจกรรมของกองเกินจำนวนที่ทางกองกำหนด เราก็โดนตัดสิทธิ์เหมือนกัน ซึ่งทั้งสองอย่างไปพร้อมๆ กัน กดดันมากทั้งสองด้าน
           (แล้วเอาตัวรอดมาได้ยังไง?) เรารู้สึกชีวิตดราม่ามาก อะไรจะขนาดนี้ แต่ด้วยความที่เราอยากจะทำ เราก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเราอยากทำจริงๆ คือ เข้ามาคุยกับทางมหาวิทยาลัย คุยกับอาจารย์ คุยกับที่บ้านว่าเราอยากทำจริงๆ ซึ่งก็โชคดีที่อาจารย์เห็นใจ และก็พยายามช่วยเราตลอด แต่ก็ไม่ได้มีสิทธิมากกว่าคนอื่นนะคะ ทำเหมือนเพื่อนทุกๆ อย่าง อาจจะสอบก่อนบ้าง สอบหลังเพื่อนบ้าง แถมเตรียมตัวหนักกว่าคนอื่นเพราะเราต้องเตรียมทำกิจกรรมกับกองประกวด บางทีประกวดเสร็จกลับมาก็อ่านหนังสือสอบ เช้ามาก็ไปทำกิจกรรมของกองต่อ ทำแบบนี้เหมือนคนอื่น แต่เราอาจจะต้อง Extra กว่าคนอื่น ตรงนี้ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ด้วยเพราะคอยส่งแนวคำถาม ช่วยดูการบ้าน คอยบอกเราว่าอาจารย์สั่งงานอะไรบ้าง ช่วยเตือนเราทุกอย่าง
             ส่วนวิธีอัพคะแนน คือ ช่วงสองปีที่ว่างจากการประกวดนางงาม ตอนปี 1 กับ 2 เราพยายามอัพเกรดตัวเอง ทำให้เกรดเราสูงขึ้นเพราะเทอมสุดท้ายมันอาจจะลดกว่าตอนก่อนจะประกวด แต่มันก็ไมได้ลดมาก ไม่ได้ต่ำกว่า 3 ซึ่งเราตั้งเป้าหมายว่าชีวิตเนี่ยต้องจบด้วยเกรดมากกว่า 3.00  แล้วเราก็ทำได้ มันก็โอเคมากเพราะเรารู้สึกว่าเวลาเราไปทำงาน มันไม่น่าเกลียดถ้าต้องยื่นคะแนนให้ที่ทำงานเค้าพิจารณาเรา อีกอย่างมันเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราจะทำได้ เรารู้สึกว่าเราเรียนแล้วเราต้องเรียนให้ดี ถ้าทำไม่ดีก็ไม่ต้องทำ ไปทำอย่างอื่นดีกว่า

             เป็นไงกันบ้างคะ เต็มอิ่ม จุใจกับสาวคนนี้รึยัง พี่เมษ์ว่าถ้าใครได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ก็น่าจะมีแรงผลักดันตัวเองทั้งเรื่องสอบ เรื่องเรียน เรื่องชี้แจงทางบ้าน ขึ้นเยอะเลยนะคะ ก็บอกแล้วไงชีวิต ม. 6 มันไม่ง่ายจริงๆ เห็นเงียบๆแต่ความเครียดสะสมนะจ๊ะ - -"
             แล้วกลับมาเจอกันใหม่สัปดาห์หน้า วันอังคาร กับคอลัมน์ดี๊ดีกับ Admission Idol คอลัมน์ที่จะพาน้องๆ มาเจอบุคคลที่เป็นไอดอลด้านการแอดมิชชั่น แต่สัปดาห์หน้าจะโหด ดราม่า หรือจะน้ำตาท่วมมั้ย ต้องรออ่านจ๊ะ วันนี้พี่เมษ์ต้องลาไปก่อนค่ะ บ๊ายบาย
พี่เมษ์
พี่เมษ์ - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายการศึกษา

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Prang 3 ก.พ. 58 18:39 น. 3
จริงๆมันอยู่ที่เหตุผลของแต่ละคน เราเป็นหนึ่งคนที่ถ้ามีเงินขนาดนั้นเราจะเรียน เอกชน แต่เราไม่มีเราก็ต้องขยัน และอ่านหนังสือหนักมากเพื่อได้เข้าไปเรียน ม.รัฐ ที่ดีระดับนึงแถวสามย่านซึ่งอาจจะอุดข้อนี้และพอเข้ามาแน่นอนเราไม่ใช่คนเก่งอะไรแต่ต้องมาอยู่ท่ามกลางเพื่อนที่เก่งๆเราจึงต้องพลักดันตัวเอง อีกอย่างภาษาอังกฤษ คือเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นภาคไทยฉะนั้นเราก็ต้องฝึกเองเรียนรู้เองไม่ได้มีคนมาป้อนให้หรือสภาพแวดล้อมมันเอื้อต่อการฝึกเหมือนเรียนอินเตอร์หรือม.เอกชน บางทีมันก็ไม่ใช่ว่าเราจะเลือกทางเดินได้ด้วยตัวเองไปซะทุกทางแล้วไม่แคร์รอบข้างอะไรเลย มันก็ยังมีเหตุและผล ข้อกำจัดต่างๆที่จะทำให้เราเลือกหรือไม่เลือกรวมอยู่ด้วย
0
กำลังโหลด
Superboo Member 3 ก.พ. 58 16:14 น. 2

เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ฉีกแนวออกมาค่ะ เรียนได้เกรด 3 กว่า สอบ Gat Pat Onet เกียรติบัตรอีกจำนวนหนึ่ง มีทุกอย่างพร้อม แต่เลือกที่จะไม่ไปสอบที่ไหนเลย ไม่ว่าสอบตรงหรือแอด เพราะอยากเรียนรามคำแหงซึ่งจริงๆ เรียนพรีดีกรีมาก่อนอยู่แล้ว สาเหตุที่เลือกเรียนที่รามคำแหงเพราะ อยากจบเร็ว อยากเรียนแบบมีอิสระ ไม่ต้องมีอาจารย์มาคอยบังคับให้เข้าเรียนโดยขู่เรื่องเช็คชื่อ ไม่อยากทำรายงาน การบ้าน หรือทำกิจกรรม ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เรารู้ตัวเราเองว่าเราต้องการอะไร อยากเรียนแบบที่สบายใจที่สุดและมีความสุขที่สุด โชคดีที่พ่อกับแม่เราไม่เคยบังคับเราเรื่องเรียนเลย ไม่เคยกดดันว่าต้องเรียนได้เกรดดีๆ ไม่เคยเช็คผลสอบ (ซึ่งร.ร.จะส่งไปรษณีย์ไปที่บ้าน) เพราะเราจะบอกทุกครั้งที่ผลสอบออก ไม่เคยบอกว่าต้องเรียนม.ดังๆ แต่ให้โอกาสเราเลือกเอง ซึ่งญาติๆ เราไม่มีใครเห็นด้วยเลย แต่ไม่มีใครกล้าพูดกับพ่อเรา เลยมาพูดกับเราว่าลองไปสอบที่อื่นดูก่อนไหม ถ้าไม่ได้ค่อยกลับมาเรียนรามคำแหง ญาติเราคิดว่าพ่อเราบังคับให้เรียนที่รามคำแหง เราโกรธมาก แต่ตอนนี้เราทำให้เค้าเห็นแล้วว่าเราอยากเรียนที่รามคำแหงจริงๆ เพราะคนที่โดนบังงคับคงไม่มีแก่ใจอยากมาเรียนสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบหรอก เรียนมาเกือบ 2 ปีตอนนี้ก็ใกล้จะจบแล้ว คิดไม่ผิดที่มาเรียนตามสิ่งที่ตัวเองชอบ

3
กำลังโหลด
กำลังโหลด
ช็อคโก้คุง Member 3 ก.พ. 58 21:00 น. 4

เราอยากเรียนเอกชนนะ พร้อมที่จะพูดจะเรียนรู้ทุกอย่าง ใจมันมาเต็มแล้ว แต่...

.

.

.

.

.

.

.

ไม่มีเงิน...

0
กำลังโหลด

5 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
Superboo Member 3 ก.พ. 58 16:14 น. 2

เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ฉีกแนวออกมาค่ะ เรียนได้เกรด 3 กว่า สอบ Gat Pat Onet เกียรติบัตรอีกจำนวนหนึ่ง มีทุกอย่างพร้อม แต่เลือกที่จะไม่ไปสอบที่ไหนเลย ไม่ว่าสอบตรงหรือแอด เพราะอยากเรียนรามคำแหงซึ่งจริงๆ เรียนพรีดีกรีมาก่อนอยู่แล้ว สาเหตุที่เลือกเรียนที่รามคำแหงเพราะ อยากจบเร็ว อยากเรียนแบบมีอิสระ ไม่ต้องมีอาจารย์มาคอยบังคับให้เข้าเรียนโดยขู่เรื่องเช็คชื่อ ไม่อยากทำรายงาน การบ้าน หรือทำกิจกรรม ซึ่งมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เรารู้ตัวเราเองว่าเราต้องการอะไร อยากเรียนแบบที่สบายใจที่สุดและมีความสุขที่สุด โชคดีที่พ่อกับแม่เราไม่เคยบังคับเราเรื่องเรียนเลย ไม่เคยกดดันว่าต้องเรียนได้เกรดดีๆ ไม่เคยเช็คผลสอบ (ซึ่งร.ร.จะส่งไปรษณีย์ไปที่บ้าน) เพราะเราจะบอกทุกครั้งที่ผลสอบออก ไม่เคยบอกว่าต้องเรียนม.ดังๆ แต่ให้โอกาสเราเลือกเอง ซึ่งญาติๆ เราไม่มีใครเห็นด้วยเลย แต่ไม่มีใครกล้าพูดกับพ่อเรา เลยมาพูดกับเราว่าลองไปสอบที่อื่นดูก่อนไหม ถ้าไม่ได้ค่อยกลับมาเรียนรามคำแหง ญาติเราคิดว่าพ่อเราบังคับให้เรียนที่รามคำแหง เราโกรธมาก แต่ตอนนี้เราทำให้เค้าเห็นแล้วว่าเราอยากเรียนที่รามคำแหงจริงๆ เพราะคนที่โดนบังงคับคงไม่มีแก่ใจอยากมาเรียนสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบหรอก เรียนมาเกือบ 2 ปีตอนนี้ก็ใกล้จะจบแล้ว คิดไม่ผิดที่มาเรียนตามสิ่งที่ตัวเองชอบ

3
กำลังโหลด
Prang 3 ก.พ. 58 18:39 น. 3
จริงๆมันอยู่ที่เหตุผลของแต่ละคน เราเป็นหนึ่งคนที่ถ้ามีเงินขนาดนั้นเราจะเรียน เอกชน แต่เราไม่มีเราก็ต้องขยัน และอ่านหนังสือหนักมากเพื่อได้เข้าไปเรียน ม.รัฐ ที่ดีระดับนึงแถวสามย่านซึ่งอาจจะอุดข้อนี้และพอเข้ามาแน่นอนเราไม่ใช่คนเก่งอะไรแต่ต้องมาอยู่ท่ามกลางเพื่อนที่เก่งๆเราจึงต้องพลักดันตัวเอง อีกอย่างภาษาอังกฤษ คือเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นภาคไทยฉะนั้นเราก็ต้องฝึกเองเรียนรู้เองไม่ได้มีคนมาป้อนให้หรือสภาพแวดล้อมมันเอื้อต่อการฝึกเหมือนเรียนอินเตอร์หรือม.เอกชน บางทีมันก็ไม่ใช่ว่าเราจะเลือกทางเดินได้ด้วยตัวเองไปซะทุกทางแล้วไม่แคร์รอบข้างอะไรเลย มันก็ยังมีเหตุและผล ข้อกำจัดต่างๆที่จะทำให้เราเลือกหรือไม่เลือกรวมอยู่ด้วย
0
กำลังโหลด
ช็อคโก้คุง Member 3 ก.พ. 58 21:00 น. 4

เราอยากเรียนเอกชนนะ พร้อมที่จะพูดจะเรียนรู้ทุกอย่าง ใจมันมาเต็มแล้ว แต่...

.

.

.

.

.

.

.

ไม่มีเงิน...

0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด