สวัสดีค่ะ กลับมาเจอคอลัมน์ Admission Idol สุดยอดบุคคลที่เป็นไอดอลในเรื่องแอดมิชชั่น วันอังคารแบบนี้เรามีนัดกันเหมือนเดิม ใครจะไปคิดว่าคะแนน +2000 จากคะแนนต่ำสุด จะไม่ติดในรับตรงคณะสัตวฯ จุฬาฯ แต่เมื่อผลออกมาแบบนั้นใครท้อก็ต้องแพ้ แต่ใครไม่ท้อ ก็ขอให้ลุกขึ้นใหม่ เหมือนพี่ไอซ์ พี่ไอซ์ มานิตตา มหาศาลวิจจิตร ที่มุ่งมั่นฟิตจนสอบแอดมิชชั่นได้ที่ 1 ของคณะ เรื่องราวสุดโหดของพี่ไอซ์จะเป็นยังไง พร้อมแล้วไปอ่านกันเลยค่ะ
แนะนำตัว
สวัสดีค่ะ ชื่อ มานิตตา มหาศาลวิจจิตร ชื่อเล่น ชื่อไอซ์ค่ะ จบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะ (นิสัยใจคอ) เป็นคนเรื่อยๆ ชอบอะไรสนุกๆ ทำตัวสบายๆ แต่อาจจะมีบ้างที่ขี้เบื่ออะไรง่ายๆ (สัตวฯ สนุกตรงไหนเนี่ย) ไอซ์ว่าเรียนสัตวฯ เราได้เจออะไรแปลกๆ อยู่เยอะนะ สัตว์แต่ละชนิดก็มีโรคที่ต่างกัน ตรงนี้แหละความท้าทาย เราก็เลยสนุกกับมันค่ะ
รู้จักตัวเอง
เรารู้ว่าเราอยากเข้าคณะอะไรตั้งแต่ ป.6 เพราะเราชอบสัตว์ตั้งแต่เด็ก แล้วเราก็ไม่อยากเป็นคุณหมอรักษาคน เป็นคุณหมอของสัตว์ดีกว่า สัตว์เค้าพูดไม่ได้ น่าสงสารนะคะ ถ้าเรารักษาเค้าได้มันก็น่าภูมิใจมากเลย พอเรารู้เราก็ดูว่าเราต้องใช้วิชาอะไรบ้างในการสอบ แล้วก็เน้นเฉพาะวิชานั้นๆ
เคยเปลี่ยนใจไปคณะอื่น!!!
ช่วง ม.5 - ม.6 เคยอยากเข้าคณะ Digital Art (หืม?!?!?! คนละสายเลยนะ) ใช่ค่ะ ตอนนั้นก็ลังเลเหมือนกันเพราะเราชอบวาดการ์ตูน แต่สุดท้ายก็เลือกสัตวฯ เพราะคุณพ่อไม่อยากให้ไปทางนั้น (พ่อไม่ปลื้ม?) คือในสายตาผู้ใหญ่จะมองว่าคณะทางนั้นอาจจะเลี้ยงตัวยาก เค้าเลยไม่อยากให้เราเรียนสักเท่าไหร่ (เราตามใจพ่อแม่เลย?) ไม่ขนาดนั้นนะคะ เพราะส่วนนึงเราก็อยากเรียนสัตวฯ อยู่แล้ว พอเรามานั่งคิดเราก็รู้ว่าเราสามารถทำเป็นงานอดิเรกและก็ศึกษาเองได้ควบคู่ไปกับการเรียนได้นี่ เลยตัดสินใจมุ่งสู่สัตวฯ
เตรียมตัวแอดมิชชั่นแบบไอซ์
ไอซ์เริ่มเรียนพิเศษครั้งแรกตอน ม.4 – ม.5 ค่ะ แต่ไมได้เรียนหนัก เรียนๆ เล่นๆ แต่อ่านหนังสือทุกวัน คือช่วงสอบจะอ่านประมาณวันละ 1 ชม. แต่ถ้าไม่ใกล้สอบ อ่านวันละ 30 นาที แต่อ่านทุกวันนะคะ ส่วนเรียนพิเศษ เรียนแค่ เคมี ฟิสกส์ คณิตฯ ส่วนวิชาไหนที่ไม่ได้เรียนอย่างชีวะฯ ก็จะอ่านหนังสือเอง (เรียนพิเศษคอร์สอะไร?) แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักนะคะ คือเริ่มที่เรียนพวกเนื้อหาก่อน แต่ก่อนแอดมิชชั่นเราก็วางแผนว่าจะต้องเรียนพวกการทำโจทย์ให้จบพอดี
ส่วน ม.6 อ่านหนังสือแบบจริงจังค่ะ คือ อ่านซ้ำไปเรื่อยๆ 5 - 6 รอบ คืออ่านประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงในช่วงปกติ ช่วงสอบก็จะหนักขึ้น อย่าง เคมี ฟิสิกส์ คณิตฯ เราเรียนพิเศษ ก็กลับมาทบทวนซ้ำ แต่ ชีวะฯ อ่านเอง และอ่านสังคมด้วยเพราะเราต้องสอบ O-NET ส่วนภาษาไทย เราโชคดีที่เป็นเด็กกิจกรรมชมรมภาษาไทยได้ติวมาเยอะ เลยเบาใจได้วิชานึงค่ะ นอกนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือค่ะ
อีกอย่างเราก็ทำข้อสอบย้อนหลังช่วงใกล้สอบ วิชาละประมาณ 5-6 ชุดนะคะ คือ เล่มนึงที่ขายกันนั่นแหละค่ะ ทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกวิชาที่เตรียมตัวเลย
สอบตรง +2,000 แต่ไม่ติด ฟิตจนติดแอดฯ ที่ 1 ของคณะ!!
เราไปสอบตรงมา 2 ที่ค่ะ ที่แรก ก็คณะสัตวฯ ม. มหิดล ติดเข้าไปรอบสัมภาษณ์ แต่เราก็ไม่ไปสัมภาษณ์ เพราะว่าคุณพ่อเป็นห่วงเรื่องการเดินทาง แล้วเราก็ยังอยากสู้ดูว่าเราจะติดสัตวฯ จุฬาฯ ที่เราฝันได้รึเปล่า (กลัวไม่ติดบ้างมั้ย?) ไม่เชิงไม่กลัวนะคะ แค่รู้สึกว่าเราตั้งใจมาตลอด ก็น่าจะทำได้
ส่วนรอบที่ 2 นี่เราก็สมัครสัตวฯ จุฬาฯ แต่อันนี้ไม่ติด ทั้งๆ ที่ เราคำนวณคะแนนแล้ว ได้คะแนนสูงกว่าคะแนนต่ำสุดของปีก่อนหน้านี้ 2,000 คะแนนเลยนะ แต่คะแนนปีเราดันเฟ้อ ทุกคนคะแนนสูงหมด +2,000 คะแนนของเราก็เลยยังน้อยไป เลยไม่ติดค่ะ (รู้สึกยังไงบ้าง?) เสียใจนิดหน่อยนะคะ ไม่นอยด์เพราะเราก็เตรียมใจไว้ส่วนหนึ่ง แต่เรารู้ว่ามันยังมีรอบแอดมิชชั่น ไปตั้งใจอีกครั้งในรอบแอดมิชชั่นดีกว่า อาจจะมีถอนใจบ้างที่หยุดอ่านหนังสือไม่ได้อีกล่ะ แต่ก็ทำต่อไปค่ะ อ่านหนังสือสำหรับ O-NET และ GAT-PAT รอบ 2 เลยไม่มีเวลาเศร้าเท่าไหร่ค่ะ
หลังจากเราสอบตรงไม่ติดเราก็ฟิตจนติดแอดมิชชั่น ซึ่งในรอบแอดมิชชั่นเราก็ทุ่มสุดตัวละ เพราะอ่านหนังสือมาทั้งปี พอประกาศผลเราคือที่ 1 ของคณะในรอบแอดมิชชั่น เหมือนทุกอย่างที่ทุ่มเทสำเร็จแล้วค่ะ ดีใจมากเลย
ประสบการณ์สัมภาษณ์รอบแอดมิชชั่น
สำหรับสัตวฯ จุฬาฯ ตอนสัมภาษณ์แล้วแต่ว่าจะเจออาจารย์คนไหน บางท่านก็มีแกล้งเราบ้าง ถามความรู้บ้าง เจอสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ แนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษบ้าง แต่ไอซ์โชคดีที่เจออาจารย์ใจดีชวนคุยว่าบ้านอยู่ไหน ทำไมถึงอยากเรียนสัตวฯ แนวนั้นมากกว่าค่ะ แต่ไม่มีใครตกสัมภาษณ์นะคะ แอดมิชชั่นสัมภาษณ์สบายๆ แค่พูดให้รู้เรื่องก็โอเคแล้วค่ะ เพราะอาจารย์ทุกท่านใจดี
เมื่อสิ่งที่ชอบไม่ใช่สิ่งที่เรียน แต่ทำให้ไปด้วยกันได้ !!
เราชอบวาดรูปนะคะ ถึงตอนนี้ก็ยังชอบวาดอยู่แต่อาจจะมีเวลาน้อยลงเพราะเรียนหนักขึ้น แต่เราก็ได้ใช้นะคะ เพราะบางครั้งอาจารย์อยากได้รูปกระดูก กล้ามเนื้อ ไปทำสื่อการสอน หรือถ้าอาจารย์อยากได้โปสเตอร์ หรือภาพประกอบหนังสือ เราก็ช่วยเต็มที่เพราะมันคืองานที่เราชอบ ทำแล้วก็มีความสุข เรียกว่าไม่ได้ทิ้งจากสิ่งที่ชอบ แต่เอามาใช้ให้เข้ากับชีวิตและก็เรื่องเรียน
เล่าเรื่องการเรียน “คณะสัตวแพทยศาสตร์”
สำหรับการเรียนคณะสัตวฯ ไอซ์เล่าให้ฟังทีละปีเลยดีกว่า
ปี 1 เรียนวิทย์พื้นฐานทั่วไป พวกเคมีกับฟิสิกส์สำหรับการแพทย์ เรียนชีวะของสัตวแพทย์, วิชา Embryo เรื่องตัวอ่อน ว่าพัฒนามาเป็นรูปร่างของลูกสัตว์ยังไง หัวใจเกิดมาได้ยังไง และก็เก็บวิชาเลือกตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
ปี 2 เรียนวิชาคณะมากขึ้น อย่างวิชาชีวเคมีที่อยู่ภายในร่างกาย อาจจะคล้ายคนนะคะ และก็วิชาพื้นฐานที่จะใช้ในวิชาที่จะใช้ในปีสูงๆ ขึ้นไป อย่างกายวิภาค สรีรวิทยา เช่น เทอม 1 เรียนเรื่องน้องหมาทั้งหมด ส่วนเทอมสองจะเรียนเปรียบเทียบระหว่าง วัว ม้า ไก่ หมู อะไรแบบนี้
ปี 3 เป็นการเรียนวิชาปรสิตวิทยา เกี่ยวกับแมลง พยาธิ โปรโตซัว แบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ อะไรพวกนี้ที่เป็นตัวนำโรค หรือวิชาพยาธิวิทยา คือ ถ้าปี 2 เรียนเรื่องความปกติ ปี 3 เราก็กำลังเรียนเรื่องความผิดปกตินะคะ
ปี 4 เป็นการเรียน พรีคิลินิค การวินิจฉัยโรค จากความรู้ปี 3 ที่เราเรียนว่าสาเหตุของโรค แต่ปี 4 เราก็นำมาใช้จริงๆ เรียนรู้เรื่องการรักษามากขึ้น ว่าเราต้องใช้ยาตัวไหน กับอาการแบบไหน
ปี 5 - ปี 6 เราก็มีขึ้นวอร์ดปฏิบัติจริง บางส่วนไปตามคลินิก บางส่วนไปตามฟาร์ม เป็นการเก็บประสบการณ์
หลังจบ ปี 6 ก็มีการสอบใบประกอบโรค ซึ่งปีนี้เป็นรุ่นแรกที่สอบ ก็ต้องมาลุ้นกันค่ะว่าของจริงจะเป็นยังไง
ดราม่าในชีวิตมหาวิทยาลัย
มีแค่เรียนเรียนหนักเนี่ยแหละค่ะ น้องๆ อาจจะคิดว่าเข้ามหา’ลัย ไม่มีหนังสือเรียน ใช่ค่ะ ไม่มีหนังสือ แต่ชีทหนาปึ๊กเลยนะ 555 แล้วก็เข้าเรียนแต่เช้า 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็นก็มี หรือถ้าปีสูงๆ ต้องขึ้นคลินิก 7 โมงครึ่งก็ต้องไปให้ทันนะคะ หรือถ้าช่วงทำเคสจบนี่ เข้าแลปดึกๆ ดื่นๆ เลยนะ
อีกอย่างคณะสัตวฯ เนื้อหาจะวิชาการอยู่เยอะ แถมสัตว์ก็มีเยอะ บางทีก็จำสับสนบ้างว่าตกลงอันนี้ของวัว ม้า หรืออะไร ตีกันไปหมดเลยเหมือนกันนะ ก็ถือว่ายากเหมือนกัน
นอกจากนี้ ไอซ์ว่าเรื่องการแบ่งเวลาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเข้าไปโดยเฉพาะปีแรก กิจกรรมเยอะมาก ต้องแบ่งเวลาให้ดี เพราะเรียนก็หนัก ถ้าเราไม่แบ่งเวลาเราก็เสีย บางคนแบ่งเวลาไมได้ไม่รับผิดชอบ เก็บวิชาไมได้ สุดท้ายก็ต้องซ้ำชั้น ลงเรียนกับรุ่นน้องก็มีนะคะ
ฝากถึงน้องๆ
อยากให้น้องๆ ตั้งใจและขยันอยู่เรื่อยๆ เพราะคนฉลาด ยังสู้คนขยันไม่ได้ ยิ่งเข้ามหาวิทยาลัยจะรู้เลยว่าความฉลาดอย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องขยัน และรับผิดชอบให้มาก ต้องจัดการตัวเองให้ดี
โอ้โห ฟังแล้วมีกำลังใจสู้สุดๆ เลยนะคะ นี่แหละค่ะ ชีวิตเด็กแอดฯ มันไม่เคยง่ายเลยจริง เพราะอย่างพี่ไอซ์เองก็ไม่ติดรับตรง แต่วันนี้พี่ไอซ์คือคนที่แอดฯ ติดที่ 1 ของคณะ น้องๆ ที่รอแอดมิชชั่นและกำลังจะแอดมิชชั่นก็อย่าเพิ่งท้อใจไปนะคะ พี่เมษ์เชื่อว่าน้องๆ ทำได้แน่นอน ,,, แล้วกลับมาเจอกันใหม่วันอังคารหน้าพร้อมไอดอลคนถัดไปได้ใน Admission Idol ที่นี่ เว็บไซต์ Dek-D.com เท่านั้นนะจ๊ะ บ๊ายบาย
12 ความคิดเห็น
หนูคล้ายๆพี่เลยค่ะอยากเป็นสัตวแพทย์แต่ก็อยากเรียนทางด้านแอนิเมชั่นอยู่เหมือนกัน พอเห็นกระทู้นี่แล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ (T___T) ปล. เห็นชื่อสถาบันที่พี่จบมาก็รู้เลยค่ะว่าพี่ต้องเก่งอยู่พอสมควรแน่ๆ *___* 55555555 หนูยกให้พี่เป็นไอดอลเลยค่ะ
You're my idol. I want to be a veterinarion.
สุดยอดเลยครับพี่ไอซ์ ไอดอลเลยครับ ถ้ามีโอกาสเจอตัวจริง ขอถ่ายรูปด้วยนะครับ
ดีใจค่ะที่ได้เห็นกระทู้นี้ ท้อมาก แต่เริ่มมีแรงฮึดขึ้นเลย เราก็นิสัยคล้ายๆพี่แหละค่ะ แต่เราขี้เกียจไปหน่อย นี่คือแรงบันดาลใจ
สู้ตายค่ะ #dek58
พี่ไอซ์กับ jinze นี่คนเดียวกันใช่มั้ยคะ ไม่รู้ว่าพี่เรียนสัตวแพทย์นะเนี่ย(หนูก็อยากเรียน) ดีจัง เรียนก็เก่ง วาดรูปก็เก่ง เขียนนิยายก็เก่ง(โดยเฉพาะ night hunter)
#dek59
อยากทราบค่ะ คือเป็นคนที่ไม่ถนัดคณิตเลยและไม่ชอบมากๆด้วย แล้วแบบนี้ตอนสอบเข้าหรือสอบแอดแบบนี้จะมีโอกาสบ้างมั้ยคะ