การสอบแอดมิชชั่นก็มีมาอย่างยาวนาน ผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายครั้ง ให้เด็กแอดมิชชั่นได้หวั่นไหวกันทุกๆปีเลย แต่เชื่อมั้ยคะว่าการเปลี่ยนแปลงต่างๆนั้นกลับไม่ได้ส่งผลใหญ่หลวงต่อการสอบติดหรือไม่ติดของน้องๆเท่าไหร่เลย เพราะปัจจัยที่ทำให้เด็กแอดฯหลายคนผิดหวังหรือ ตกม้าตายไม่ได้เข้าคณะในฝันนั้นส่วนใหญ่แล้วกลับเป็นการ "แพ้ภัยตัวเอง" มากกว่า ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ!
วันนี้พี่อาตูจึงมี เคล็ดลับแอดมิชชั่นดีๆ ที่เป็นเหมือนยาแก้แพ้ ช่วยให้เราอยู่รอดปลอดภัยในสนามแอดมิชชั่นมาฝาก นั่นก็คือ 5 สิ่งที่ทำให้เด็กแอดฯตกม้าตายก่อนไปถึงคณะในฝัน จะมีอะไรให้พวกเราได้เตือนตัวเองเอาไว้ ไปดูกันเลย
วันนี้พี่อาตูจึงมี เคล็ดลับแอดมิชชั่นดีๆ ที่เป็นเหมือนยาแก้แพ้ ช่วยให้เราอยู่รอดปลอดภัยในสนามแอดมิชชั่นมาฝาก นั่นก็คือ 5 สิ่งที่ทำให้เด็กแอดฯตกม้าตายก่อนไปถึงคณะในฝัน จะมีอะไรให้พวกเราได้เตือนตัวเองเอาไว้ ไปดูกันเลย
ไม่มีเป้าหมายชัดเจน
เป็นเหตุผลที่มาแรงที่สุดหลุดทางโค้งทุกปีก็ว่าได้ น้องๆส่วนใหญ่ไปไม่ถึงฝันเพราะตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ฝันของเราคืออะไร? ตัวอย่างง่ายๆเลยค่ะ สมมติว่ามีเด็กอยู่สองคน คนหนึ่งตั้งเป้าหมายในการเรียนว่าต้องได้เกรด4ทุกวิชา กับเด็กอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรเลย แน่นอนว่าเด็กคนแรกอาจจะไม่ได้เกรด 4 ทุกวิชาแต่ย่อมได้เกรดที่ดีกว่าเด็กคนที่สองอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะพลังของการตั้งเป้าหมายนั่นเอง บอกได้เลยว่าน้องๆคนไหนที่ไม่ตั้งเป้าหมาย เราอาจจะเหนื่อยเปล่า เพราะนั่นหมายความว่าเรากำลังวิ่งโดยไม่มีเส้นชัยให้ตัวเองอยู่
โดนเสียงคนรอบข้างไซโค
สำหรับข้อนี้เรียกว่า "น่าเห็นใจ" เพราะไม่ใช่ว่าเป็นคนไม่มีเป้าหมาย แต่มันเคลื่อนไป เคลื่อนมาจนเตรียมตัวลำบากต่างหาก พี่อาตูอยากบอกน้องๆอย่างหนึ่งว่า "ยิ่งเราฟังเสียงรอบข้างมากแค่ไหน เรายิ่งได้ยินเสียงของหัวใจเราเบาลงเท่านั้น" สิ่งที่จะช่วยได้สำหรับเหตุการณ์แบบนี้ก็คือ "ต้องใจแข็ง" ค่ะ เราห้ามให้คนอื่นมาไซโคเราไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะรับฟังและตัดสินใจได้ เพราะอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการตัดสินใจของเราทั้งนั้น เช่น เรายอมเลือกคณะนี้ให้แม่เอง เราเลือกที่จะฟังคุณพ่อเอง เราตัดสินใจตามที่ญาติบอกเอง เราเลือกคณะในฝันโดยไม่ลังเลเอง โดยพื้นฐานแล้วรอบข้างของเราก็คือคนที่มี "เจตนาที่ดีและหวังดี" กับเราทั้งสิ้นค่ะ แต่จงจำไว้ว่าไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่ากับตัวเอง ย้ำอีกครั้ง เจอเสียงไซโค ต้องสู้ด้วยใจแข็งๆ ให้เสียงเหล่านั้นให้หายไปให้ได้ค่ะ
เป็นเหตุผลที่มาแรงที่สุดหลุดทางโค้งทุกปีก็ว่าได้ น้องๆส่วนใหญ่ไปไม่ถึงฝันเพราะตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ฝันของเราคืออะไร? ตัวอย่างง่ายๆเลยค่ะ สมมติว่ามีเด็กอยู่สองคน คนหนึ่งตั้งเป้าหมายในการเรียนว่าต้องได้เกรด4ทุกวิชา กับเด็กอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรเลย แน่นอนว่าเด็กคนแรกอาจจะไม่ได้เกรด 4 ทุกวิชาแต่ย่อมได้เกรดที่ดีกว่าเด็กคนที่สองอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะพลังของการตั้งเป้าหมายนั่นเอง บอกได้เลยว่าน้องๆคนไหนที่ไม่ตั้งเป้าหมาย เราอาจจะเหนื่อยเปล่า เพราะนั่นหมายความว่าเรากำลังวิ่งโดยไม่มีเส้นชัยให้ตัวเองอยู่
โดนเสียงคนรอบข้างไซโค
สำหรับข้อนี้เรียกว่า "น่าเห็นใจ" เพราะไม่ใช่ว่าเป็นคนไม่มีเป้าหมาย แต่มันเคลื่อนไป เคลื่อนมาจนเตรียมตัวลำบากต่างหาก พี่อาตูอยากบอกน้องๆอย่างหนึ่งว่า "ยิ่งเราฟังเสียงรอบข้างมากแค่ไหน เรายิ่งได้ยินเสียงของหัวใจเราเบาลงเท่านั้น" สิ่งที่จะช่วยได้สำหรับเหตุการณ์แบบนี้ก็คือ "ต้องใจแข็ง" ค่ะ เราห้ามให้คนอื่นมาไซโคเราไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะรับฟังและตัดสินใจได้ เพราะอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากการตัดสินใจของเราทั้งนั้น เช่น เรายอมเลือกคณะนี้ให้แม่เอง เราเลือกที่จะฟังคุณพ่อเอง เราตัดสินใจตามที่ญาติบอกเอง เราเลือกคณะในฝันโดยไม่ลังเลเอง โดยพื้นฐานแล้วรอบข้างของเราก็คือคนที่มี "เจตนาที่ดีและหวังดี" กับเราทั้งสิ้นค่ะ แต่จงจำไว้ว่าไม่มีใครรู้จักตัวเราดีเท่ากับตัวเอง ย้ำอีกครั้ง เจอเสียงไซโค ต้องสู้ด้วยใจแข็งๆ ให้เสียงเหล่านั้นให้หายไปให้ได้ค่ะ
.jpg)
ยอมแพ้ง่ายเกินไป
ข้อนี้ขอเตือนใจน้องๆทุกคนเลยค่ะว่า กว่าจะผ่านสนามแอดมิชชั่นไปได้ แน่นอนต้องเจอเหตุการณ์จิตตก ท้อแท้ แต่บอกเลยว่า ถอยไม่ได้ และต้องสู้ยิบตาเท่านั้น! ไม่อย่างนั้นจะเกิดการเสียดายค่ะ "รู้ว่าตัวเองทำได้ดีกว่านี้ ตั้งใจได้มากกว่านี้ แต่ไม่ทำ ก็เลยได้เท่านี้" บอกเลยว่าแบบนี้เรียกว่า "แพ้"ค่ะ ไม่ใช่แพ้ใครอื่น แต่เรากำลังแพ้ใจตัวเองอยู่ พี่อาตูเชื่อว่าน้องๆทุกคนมีพลังและศักยภาพที่ซ่อนอยู่เยอะมาก เราต้องใส่ให้หมด อย่าลืมนึกถึงเวลาที่เสียไป นึกถึงคนข้างหลังที่รอดูความสำเร็จของเราอยู่ ดังนั้นอย่ายอมแพ้ง่ายๆ ไม่มีใครถึงเป้าหมายด้วยการนอนรอโชคชะตา ดังนั้นเราต้องลุกขึ้นมา สู้โดยไม่มีคำว่าแพ้(ใจตัวเอง) คณะในฝันก็ไม่ไปไหนไกลแน่นอน
ชะล่าใจไม่เร่งทำคะแนน
ข้อนี้คล้ายๆกับการยอมแพ้ง่ายเกินไปเลยค่ะ แต่จะขอเจาะลงไปถึงสิ่งที่มีผลทำให้เราแอดฯติด หรือไม่ติด นั่นก็คือ "คะแนน" ในสนามแอดมิชชั่น มีน้องๆหลายคนมากที่มาเสียดายในภายหลังกับสิ่งที่สามารถเพิ่มคะแนนได้อย่างเช่น เกรดที่โรงเรียน จัดเต็มกับโอเน็ต หรือฟิตอีกสักตั้ง กับคะแนน แกท แพท ในรอบสอง เนื่องด้วยบางครั้ง น้องๆก็รู้สึกเหนื่อยกับการสอบที่ถาโถมเข้ามา การบ้าน รายงานเยอะแยะ ก็ทำให้เราหยวนๆกันไป คิดว่าไม่เป็นไร พอมารู้ตัวอีกที ก็ตอนเลือกคณะ อยากจะเพิ่มคะแนนอีกสักร้อย สองร้อยให้อุ่นใจในตอนนั้นก็ไม่ทันเสียแล้ว ดังนั้นอย่าชะล่าใจเลยค่ะ มีโอกาสทำคะแนนก็จงรีบคว้าไว้ เพราะเมื่อถึงเวลาเลือกคณะจริงๆ น้องๆอาจจะเห็นทางเลือกใหม่ๆ หรือคณะที่ใช่มากกว่า ที่ต้องใช้คะแนนสูงขึ้นก็ได้ อีกอย่างคือ ยิ่งมีคะแนนเยอะก็ยิ่งมีตัวเลือกเยอะนะ จะบอกให้
.jpg)
ไม่ศึกษาข้อมูลล่วงหน้า
พี่อาตูเห็นน้องๆในสนามแอดมิชชั่นเยอะมากค่ะ และก็ทำให้สังเกตได้ว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกันตั้งแต่การเตรียมตัว น้องบางคนนอกจากรู้เป้าหมายไม่พอ ยังรู้จริงลงไปถึงหลักสูตร รู้ว่าใช้คะแนนวิชาอะไรบ้าง เตรียมตัวอย่างไร ในคณะที่น้องบางคนกลับไม่รู้อะไรเลย พี่อาตูเชื่อว่า "พลังแห่งความตั้งใจ" เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ แต่เราต้องตั้งใจ แล้วต้องใส่ความตั้งใจลงไปตั้งแต่การเตรียมตัว นั่นก็คือหมั่นหาข้อมูลให้อัพเดตอยู่เสมอ ทั้งรู้ลึก และรู้กว้าง อย่างเช่น เป็นคนไม่ชอบเลข อยากเข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ น้องๆก็ควรรู้ไปถึงว่านอกจากนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ยังมีที่ไหนอีกบ้างที่เรียนเหมือนกัน มีการใช้สัดส่วนคะแนนแบบไหน ถ้าหากคะแนนไม่ถึงเลยจริงๆ เราจะขยับไปคณะใกล้เคียงเป็นคณะอะไรดีนะ ? แต่หากน้องๆไม่เคยตั้งคำถามเหล่านี้เลย เมื่อวันหนึ่งเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิด ผลคะแนนน้อยมากๆ ดันไม่มีแผนสำรองเพราะไม่เคยเตรียมข้อมูลไว้ก่อนเลย ก็จะทำให้ต้องพลาด ตกม้าตายอย่างน่าเสียดายเลยค่ะ
.jpg)
เอาล่ะค่ะ นี่ก็คือ 5 ข้อ เตือนใจ ไม่ให้น้องๆชาวแอดมิชชั่น Dek-D ต้องพลาดพลั้ง ผิดหวังเสียใจเพราะแพ้ภัยตัวเองกันนะคะ สุดท้ายนี้พี่อาตูก็ขออวยพรให้น้องทุกคนตั้งใจอ่าน ตั้งใจทำ และได้ผลดังหวัง สมกับที่ตั้งใจทุกคนนะคะ!
3 ความคิดเห็น
"ยิ่งเราฟังเสียงรอบข้างมากแค่ไหน เรายิ่งได้ยินเสียงของหัวใจเราเบาลงเท่านั้น"
อันนี้เลยถูกไซโค/ สับสนแรง