ก่อนจะไปเทคนิค ขอทวนรายละเอียดการสอบ GAT พาร์ทภาษาอังกฤษปี 2559 กันหน่อย โดยข้อสอบจะมีทั้งหมด 60 ข้อ 150 คะแนน แบ่งออกเป็น 4 พาร์ท คือ Speaking and Conversation, Vocabulary, Structure and Writing และ Reading Comprehensive โดยข้อสอบจะปรับเป็น 5 ตัวเลือก 1 คำตอบนะคะ
สำหรับเทคนิคการทำข้อสอบพาร์ท Reading สิ่งที่ต้องทำ 3 อย่าง มีดังนี้
1. อ่านเร็ว บทความที่ให้มาแต่ละเรื่องไม่ใช่สองบรรทัดจบ บางเรื่องมีหลายย่อหน้า และเป็นบทความ unseen ที่ไม่เคยเห็นในหนังสือเรียน ถ้ามัวแต่อ่านเหมือนอ่านหนังสือที่โรงเรียน ทำข้อสอบไม่ทันแน่ๆ ต้องฝึกอ่านแบบ skimming คือ การอ่านแบบผ่านให้รู้คร่าวๆ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ผลสรุปเป็นยังไง เป็นการหาไอเดียสำคัญของเรื่อง อย่ามัวแต่อ่านแบบละเอียดตั้งแต่ครั้งแรก เพราะยังไงเราก็ต้องกลับมาอ่านเก็บรายละเอียดอยู่แล้ว
2. จดและจำ ขณะที่กำลัง skimming น้องๆ ก็จะพอรู้ไอเดียสำคัญของเรื่องแล้วว่า passage นั้นเกี่ยวกับอะไร คำศัพท์เด่นๆ ที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง หรือ มีเหตุการณ์สำคัญที่เป็นผลต่อยอดในเนื้อเรื่อง เมื่อน้องๆ อ่านเจอแล้วสะดุดตา ให้ขีดเส้นใต้ วงกลมคำศัพท์ หรือจดสรุปไว้ด้านข้าง กลับมาอ่านอีกครั้งจะได้หาเจอง่ายๆ
3. รอบคอบ ความรอบคอบสำหรับ Reading ไม่ใช่แค่การทวนคำตอบหลังทำเสร็จ แต่ต้องรอบคอบในระหว่างที่ทำด้วย โดยเฉพาะข้อสอบที่ถามรายละเอียด ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ผลเป็นอย่างไร ข้อไหนถูกผิด ต้องอ่านโจทย์ให้ดี รวมถึงกลับไปอ่านเนื้อเรื่องอย่างระวัง เพราะอาจโดนข้อสอบสับขาหลอกได้ค่ะ
หลังจากอ่าน skimming ไป 1 รอบ จากนั้นให้กลับมาอ่านโจทย์และตัวเลือกให้ครบทุกข้อ และจดไว้ข้างๆ ข้อว่าถามอะไร ซึ่งเทคนิคการทำข้อสอบแนว Reading พี่มิ้นท์ขอแยกง่ายๆ เป็นการทำก่อนและหลัง เพื่อให้จัดลำดับการทำข้อสอบ ไม่เสียเวลาอ่านข้ามไปข้ามมา ทีนี้มาดูกันว่าเมื่ออ่านโจทย์และช้อยส์ครบแล้ว ข้อสอบแบบไหนควรทำก่อนหรือทำทีหลัง
ข้อสอบที่ควรทำก่อน
1. ข้อสอบที่ถามรายละเอียดหรือ Detail ในเนื้อเรื่อง เช่น ใครเป็นคนพูดประโยคนี้, ใครทำเหตุการณ์นี้, เหตุการณ์ไหนเกิดขึ้นก่อนหลัง, ถามชื่อบริษัท, ถามชื่อประเทศ, ถามเหตุผล ฯลฯ พวกนี้มีคำตอบอยู่ในเนื้อเรื่องเป๊ะๆ ให้กลับไปอ่านอีกรอบแบบ scanning เพื่อหาคำตอบที่เราต้องการค่ะ ซึ่งถ้าน้องๆ ได้ขีดเส้นจุดสำคัญของเรื่องไว้ อาจจะเป็นคำตอบที่มีอยู่ในโจทย์แล้วก็ได้ เร็วเว่อร์ๆ
2. ข้อสอบที่เกี่ยวกับคำศัพท์ การที่ทำข้อสอบเก็บ Detail ไปแล้ว นั่นหมายความว่าได้ทบทวนเนื้อหาอย่างน้อยอีก 1 รอบ ยิ่งทำให้เราเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นและยังจำตำแหน่งของคำหรือประโยคในเนื้อเรื่องได้พอสมควรแล้ว การทำข้อสอบคำศัพท์ก็จะง่ายขึ้นอีกนิดค่ะ ทุกครั้งที่มีข้อสอบคำศัพท์ให้น้องๆ ย้อนกลับไปอ่านในบรรทัดนั้นๆ แล้วดูบริบทรอบๆ คำศัพท์ทั้งหน้าและหลัง ซึ่งการถามคำศัพท์พี่มิ้นท์ขอรวบยอดรวมไปถึงการอ้างถึงเนื้อหาในเรื่องด้วยนะคะ คำถามมักจะใช้คำว่า "refer" ซึ่งโจทย์มักจะถามว่า He, She ในบรรทัดนี้หมายถึงใคร เป็นต้น
ข้อสอบที่เก็บไว้ทำทีหลัง
1. ถามหาใจความสำคัญของเนื้อเรื่อง หรือ Main Idea ต้องเจอแทบทุก passage อยู่แล้ว และข้อสอบใจร้ายชอบเอามาไว้ข้อแรกๆ เพื่อตัดเวลาเราด้วย ถ้าใครเผลอไปทำก่อน มีสิทธิ์ที่จะทำข้อสอบไม่ทันนะ เพราะการอ่านแบบเน้นๆ ทุกบรรทัดตั้งแต่วินาทีแรกค่อนข้างหนักหัว พอมาเจอโจทย์ก็ต้องกลับไปอ่านใหม่อยู่ดี ดังนั้น ถ้าเจอคำถามหา main idea ข้ามไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทำทีหลังชัวร์ทั้งเรื่องเวลาและการเก็บรายละเอียดค่ะ
สำหรับใจความสำคัญของแต่ละเรื่อง ถ้าอย่างง่ายก็จะเจอแบบจะจะ ไม่ต้องคิดเลย เช่น ประโยคแรกของย่อหน้า, ประโยคท้ายของย่อหน้า แต่ถ้าข้อสอบยากๆ ก็ต้องอาศัยการอ่านและทำความเข้าใจเนื้อเรื่องเอาเอง
2. ถามการสรุป (Infer/ Summary) การถามสรุปเนื้อหาแต่ละย่อหน้าหรือทั้งเนื้อเรื่อง ก็ควรเก็บไว้ทำทีหลังค่ะ เพราะเป็นตอนจบของเรื่องที่เราควรผ่านการอ่าน จับใจความ ตีความมาเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าอ่านแล้วจับใจความไม่ค่อยได้เลย ลองหาตัวช่วยคำศัพท์ในเรื่อง เช่น most important, finally ประมาณนี้เป็นต้น (แต่อย่าลืมอ่านเนื้อหาทั้งหมดก่อนนะ เพราะบางครั้งคำพวกนี้ก็อาจไม่ใช่การสรุปเรื่องก็ได้จ้า)
3. ถามจุดประสงค์/ ทัศนคติผู้เขียน พี่มิ้นท์ว่าข้อสอบถามทัศนคติของผู้เขียนนี่ยากที่สุดแล้ว ขนาดข้อสอบภาษาไทยบางทียังเดาอารมณ์คนเขียนไม่ได้ นี่ดันเป็นภาษาอังกฤษอีก ดังนั้นความยากและต้องอาศัยความเข้าใจเนื้อเรื่อง จึงต้องเอามาทำเป็นอันดับสุดท้าย เพราะเสียเวลานั่นเองค่ะ
ดังนั้น สรุปแล้วการทำข้อสอบพาร์ท Reading ควรมีสเต็ปตามนี้
1. อ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดแบบ Skimming ขีดเส้นใต้หรือวงกลมข้อมูลสำคัญๆ ไว้ (ถ้าเนื้อหายาวๆ แนะนำให้เขียนเลขนับบรรทัดไว้ด้านหน้าด้วย)
2. อ่านโจทย์และคำตอบทุกข้อ เพื่อให้รู้ว่าข้อสอบถามอะไรบ้าง
3. ทำข้อสอบที่ถาม Detail ของเนื้อเรื่องก่อน
4. ทำข้อสอบที่ถามเชิงวิเคราะห์/สรุปความ
5. ทบทวน
เอาล่ะค่ะ นี่คือเทคนิคการทำข้อสอบ Reading ที่มีลักษณะเป็นบทความหลายย่อหน้าให้อ่าน แต่ทั้งนี้ข้อสอบ Reading ยังมีข้อสอบแนวอื่นๆ อีก เช่น เป็นจดหมาย เป็นการ์ตูน เป็นป้ายโฆษณา ข้อสอบประเภทนี้เน้นฝึกเยอะๆ ก็ไม่ยากแล้วค่ะ เพราะเนื้อหาไม่ยาวและเดารูปแบบได้
248 ความคิดเห็น
ส่วนตัวเป็นคนมีพื้นฐานภาษาไม่ดีแยู่แล้วค่ะ ไม่ค่อยได้เรียนพิเศษด้วย อ่อนที่สุดก็ vocab นี่แหละค่ะ สำหรับการเตรียมตัวก็พยายามท่องคำศัพท์ที่เจอในข้อสอบบ่อยๆให้ได้ค่ะเผื่อจะมีออกสอบบ้าง อิอิ
อ่อนตรงคำศัพท์ค่ะ ก็จะท่องแบบให้จำไม่ยากให้มันมีความสอดคล้องกัน และลองทำแบบฝึกหัดเพื่อตรวจดูว่าเราพัฒนาไปถึงไหนแล้วค่ะ ไม่หักโหมจนมากเกินไปมีเวลาพักผ่อนบ้างค่ะ
คิดว่าตัวเองอ่อนเรื่องคำศัพท์มากๆ เลยค่ะ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าตัวเองอ่อนด้านไหนก็หาศัพท์มาท่องเลยค่ะ5555 ศัพท์ครูสมศรี เอามาท่องทุกวัน ท่องตอนที่ตัวเองว่าง แต่ก็แอบกลัวเพราะมันเยอะมากๆ คิดว่าน่าจะจำได้ไม่หมดด้วย T^T แต่ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าเราไม่ได้ทำแล้วก็ไม่ได้พยายามอ่ะเนอะ #DEK59 ฉู้ตายจ้า!
อ่อนเรื่องแกรมม่าและศัพท์ค่ะ พยายามทำข้อสอบerrorเยอะๆ ทบทวนแกรมม่าของเรื่องที่ออกบ่อยๆ และท่องศัพท์พวกกลุ่มคำที่มีความหมายเหมือนกันค่ะ
อ่อนด้าน vocab กับ reading ค่ะ ด้าน vocab ก็ท่องศัพท์ทุกวัน ท่องศัพท์คำที่ออกบ่อยๆไม่ใช่ท่องไปมั่วๆ โดยวันต่อมาก็เอาศัพท์เมื่อวานมาทวนด้วย ถ้าได้หนังสือเล่มนี้ก็จะนำศัพท์ในเล่มนี้มาท่องค่ะ เวลาว่างก็ฟังเพลงภาษาอังกฤษค่ะได้ทั้งฝึกสำเนียงและได้ศัพท์ด้วย ส่วน reading ก็ฝึกทำโจทย์เยอะๆเพื่อฝึกการจับใจความสำคัญและการอ่านให้ไวขึ้นค่ะ
ด้าน Reading นี่แหละค่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วนานๆทีจะทำถูกทั้งหมดอาจมีผิดบ้างบางข้อ เพราะบทความพวกนี้คือต้องรอบคอบบางทีเราแปลผิดไปหรืออาจไม่ครบแทนที่จะได้แต้มกะเสียแต้มไปซะงั้น แล้วรี้ดดิ้งก็เป็นส่วนที่เห็นแพสเสจละเหนื่อยก่อนทำ เลยให้ตัวเองอ่อนสุดละกันวิธีฝึกคือ ทำโจทย์หาแนวให้ทำทันและถูก อ่านศัพท์พวกกลุ่มที่มักออกบ่อยๆ พวกการแพทย์ วิทยาศาสตร์ สังคม ฝึกหาโทนเรื่อง และอ่านหนังสือหรือข่าวพวกบทความคล้ายๆกันกับแกทเยอะ ๆเวลาเจอจริงๆจะได้ไม่ลนค่ะ
คิดว่าตัวเองอ่อนด้านไหน?
- น่าจะเป็นส่วนของ Grammar ค่ะ ส่วน Vocab, Idioms ยังพอถูไถ (นิดเดียวจริงๆค่ะ555555555) เพราะว่าแกรมม่าเป็นสิ่งสำคัญมากๆอย่างหนึ่ง เหมือนกับทำให้เราเรียงประโยคได้ถูกต้องมากขึ้น
- Reading เป็นอีกอันนึงที่คิดว่าตัวเองอ่อนมากๆค่ะ เป็นคนชอบอ่านนะ แต่อ่านไปเรื่อยๆรู้สึกสติเราหลุดออกมา เหม่อๆ แล้วพอหันไปมองอีกรอบก็ เอ้า! เราอ่านไปถึงไหนแล้ว? ก็ต้องเริ่มอ่านใหม่ พอมีศัพท์ยากๆหน่อยก็ไม่เข้าใจ พยายามอ่านบริบทที่ตามๆมาแล้วก็พอถูไถไปได้ค่ะ
วิธีเตรียมตัวสอบ
- เป็นคนชอบดูหนังมากค่ะ หนังเข้าโรงเรื่องไหนน่าสนุกไปดูตลอด ถ้าไปดูกับเพื่อนๆหรือพี่สาวจะเลือกดู Soundtrack ค่ะ หรือแม้แต่หาหนังเก่าๆดูที่บ้านก็เลือกหาอันที่เป็น Soundtrack แล้วพยายามไม่มองซับไทยค่ะ พยายามมองปากเขาว่าพูดอะไร เราจะได้ฝึกสำเนียงแบบเค้าด้วย เพราะชอบสำเนียงมากๆ ทั้งอเมริกันและบริติช หรือถ้าวันไหนมีแต่พากย์ไทย เวลาเค้าพูดเราก็พยายามนึกภาษาอังกฤษว่าประโยคนี้ๆ เค้าพูดว่าอะไรกันในภาษาอังกฤษ
- โหลด Flash card คำศัพท์ที่พี่ๆแนะนำเอาไว้ท่องก่อน แต่วิธีนี้เหมือนจะไม่ค่อยได้ผลกับเราเท่าไหร่ค่ะ T___T เศร้าแรงมาก มันจะต้องท่องต้องเจอมันทุกวันจริงๆถึงจะจำได้ เป็นคนจำอะไรยากมากกก
แต่จะสู้ แล้วก็พยายามต่อไปค่ะ! #dek59
เป็นคนอ่อนเรื่อง reading ค่ะ เห็นบทความยาวๆ แปลได้แค่บางตัวก็ท้อ เลยพยายามหาข้อสอบเก่ามาทำควบคู่ไปกับการท่องศัพท์ของครูสมศรีทุกๆวันค่ะ :)
vocab กับ grammar ค่ะ ตอนนี้ทุกเช้าจะท่องศัพท์เยอะมากค่ะ วันละสามสิบคำถึงร้อยกว่าคำ ถามว่าท่องเยอะขนาดนั้นจำได้มั้ย จำได้เกินแปดสิบเปอร์เซ็นค่ะเพราะใช้วิธีแบบการ์ดคำ สุ่มหยิบจบครบ แยกคำที่ท่องแล้วติดออกมาท่องซ้ำจนกว่าจะได้ วิธีนี้จะทำให้จำศัพท์ได้วันละเยอะๆ เวลาอ่านข่าวภาษาอังกฤษเจอศัพท์ที่แปลไม่ออกก็จดเอาไว้ท่องค่ะ ส่วนแกรมม่าลองทำข้อสอบค่ะ พอร๔้ว่าอ่อนเรื่องไหนก็ไปอ่านเรื่องนั้นจนเข้าใจแล้วทำใหม่ค่ะ