สวัสดีน้องๆ Dek-D ที่น่ารักทุกคนนะคะ ว่าด้วยชีวิตปี 1 กับการเรียนมหาวิทยาลัย อดีตเฟรชชี่หลายคนต่างพากันโอดครวญว่า โอ๊ย! กิจกรรมเยอะมาก แถมเวลายังผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งนั่งเครื่องบินเจ็ท เล่นซะปรับตัวไม่ทัน รู้ตัวอีกทีเกรดบางคนผ่านปี 1 ไปแบบเริ่ดๆ ขณะเดียวกันกับที่บางคนร่วงกราวเลยทีเดียว
วันนี้แหละจะเป็นวันที่พี่เมก้าพาน้องๆ มาสำรวจชีวิตการเรียนของอดีตเฟรชชี่ปี 1 ที่มีเคล็ดลับดีจนคว้าเกรด A มาครองง่ายๆ เรียกได้ว่าผ่านปี 1 ไปแบบเริ่ดเวอร์สุดๆ งานนี้ถ้าน้องๆเตรียมความพร้อมได้ก่อน รู้จักวางรากฐานที่ดีตั้งแต่ชั้นปีแรก รับประกันได้เลยว่าอนาคตทางการศึกษาก็จะมีแต่รุ่งๆ พุ่งขึ้นไปจนถึงปีสุดท้ายเลยล่ะค่ะ
1. ศึกษาประมวลรายวิชาอย่างละเอียดครบถ้วน
จุดเริ่มต้นของการเรียนให้ประสบความสำเร็จคือการรู้เป้าหมายของการเรียน รู้ว่าเราจะต้องเรียนอะไรเพื่อปรับตัวให้ได้ น้องๆ อาจเคยคิดว่าคาบเรียนแรกไม่สำคัญ ขาดนิดหน่อยคงไม่เป็นไร เอิ่ม ความคิดนี้บอกตรงว่าอันตรายมาก! เพราะคาบเรียนแรกในมหาวิทยาลัยสำคัญที่สุดนะคะ เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ทำความรู้จักอาจารย์ผู้สอน รวมถึงทำความเข้าใจรูปแบบการเรียนใหม่ๆ จากประมวลรายวิชาด้วย
1. ศึกษาประมวลรายวิชาอย่างละเอียดครบถ้วน
จุดเริ่มต้นของการเรียนให้ประสบความสำเร็จคือการรู้เป้าหมายของการเรียน รู้ว่าเราจะต้องเรียนอะไรเพื่อปรับตัวให้ได้ น้องๆ อาจเคยคิดว่าคาบเรียนแรกไม่สำคัญ ขาดนิดหน่อยคงไม่เป็นไร เอิ่ม ความคิดนี้บอกตรงว่าอันตรายมาก! เพราะคาบเรียนแรกในมหาวิทยาลัยสำคัญที่สุดนะคะ เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ทำความรู้จักอาจารย์ผู้สอน รวมถึงทำความเข้าใจรูปแบบการเรียนใหม่ๆ จากประมวลรายวิชาด้วย
ประมวลรายวิชาคืออะไร? เจ้าสิ่งนี้จะช่วยแสดงให้น้องๆ เห็นโครงสร้างของการเรียนตลอดเทอม ไม่ว่าจะเป็นคำอธิบายรายวิชาที่บอกให้รู้ว่าแต่ละคาบเรียนอะไร วิธีจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร มีหนังสือสำหรับอ่านเพิ่มเติมเล่มใดบ้าง ที่ขาดไม่ได้คือเกณฑ์การให้คะแนนต่างๆ โหดไม่โหดนี่มีลุ้นกันจนตัวโก่ง ฯลฯ ทุกอย่างจะมีความชัดเจนให้น้องๆ สามารถบริหารจัดการชีวิตตัวเองกับการเรียนได้ดีนั่นเองค่ะ
2. เรียนรู้และค้นคว้าด้วยตนเองคือสิ่งสำคัญ
หากเอ่ยถึงหลักสูตรการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย เชื่อเลยว่ากระบวนการเรียนรู้ที่ทางคณาจารย์จัดขึ้นย่อมทำให้นิสิตนักศึกษาได้รับความรู้อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากพออยู่แล้ว แต่ความพิเศษที่จะส่งเสริมให้น้องๆ เก่งขึ้นไปได้อีกก็คือการทำตัวเหมือนเจ้าฟองน้ำสพันจ์บ็อบ รู้จักที่จะซึมซับความรู้และค้นคว้าสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยตนเอง เพราะยิ่งรู้มากเท่าไหร่เราก็ยิ่งนำความรู้มาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นเท่านั้น
2. เรียนรู้และค้นคว้าด้วยตนเองคือสิ่งสำคัญ
หากเอ่ยถึงหลักสูตรการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย เชื่อเลยว่ากระบวนการเรียนรู้ที่ทางคณาจารย์จัดขึ้นย่อมทำให้นิสิตนักศึกษาได้รับความรู้อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากพออยู่แล้ว แต่ความพิเศษที่จะส่งเสริมให้น้องๆ เก่งขึ้นไปได้อีกก็คือการทำตัวเหมือนเจ้าฟองน้ำสพันจ์บ็อบ รู้จักที่จะซึมซับความรู้และค้นคว้าสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยตนเอง เพราะยิ่งรู้มากเท่าไหร่เราก็ยิ่งนำความรู้มาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นเท่านั้น
ปัจจุบันห้องสมุดของหลายมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งความรู้ที่ทันสมัยมากเลยนะคะ น้องๆควรหาเวลาว่างไปทักทายทำความรู้จักกับเพื่อนสนิทซี้ปึ้กเหล่านี้ไว้บ้าง พี่เมก้าคิดว่าสถานที่แห่งนี้พร้อมที่จะซัพพอร์ตความรู้ให้เราอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ยืนยันเสียงจากรุ่นพี่อีกด้วยว่าการนั่งอ่านเฉพาะเลคเชอร์ ชีทเรียนเป็นตั้ง หรือจุ๊บสไลด์จากอาจารย์หลังจบคลาส ไม่พอจริงๆ ค่ะ ต้องค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมให้มากและอ่านหนังสืออย่างหลากหลายด้วยค่ะ
3. แบ่งเวลาให้เป็นระหว่างเรียนกับกิจกรรม
น้องๆ เคยแปลกใจมั้ยว่าทำไมเพื่อนบางคน 'เรียนดีกิจกรรมเลิศ' เพื่อนกลุ่มนี้ไม่ได้อัจฉริยะข้ามคืนหรือแตกต่างไปจากเราหรอกนะ ทุกคนก็สามารถตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมสนุกๆ ไปพร้อมกันได้ เพียงอาศัยเคล็ดลับง่ายๆ อย่างการรู้จักแบ่งเวลาระหว่างเรียนกับกิจกรรมให้เหมาะสม ภาพชีวิตในมหาวิทยาลัยที่น้องๆ วาดฝันไว้จะเต็มไปด้วยสีสันและมีความสุขมากเลยค่ะ
3. แบ่งเวลาให้เป็นระหว่างเรียนกับกิจกรรม
น้องๆ เคยแปลกใจมั้ยว่าทำไมเพื่อนบางคน 'เรียนดีกิจกรรมเลิศ' เพื่อนกลุ่มนี้ไม่ได้อัจฉริยะข้ามคืนหรือแตกต่างไปจากเราหรอกนะ ทุกคนก็สามารถตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมสนุกๆ ไปพร้อมกันได้ เพียงอาศัยเคล็ดลับง่ายๆ อย่างการรู้จักแบ่งเวลาระหว่างเรียนกับกิจกรรมให้เหมาะสม ภาพชีวิตในมหาวิทยาลัยที่น้องๆ วาดฝันไว้จะเต็มไปด้วยสีสันและมีความสุขมากเลยค่ะ
การจัดลำดับความสำคัญโดยใช้ประโยชน์จากการเรียนและการทำกิจกรรมไปพร้อมกันคือเคล็ดลับของคนเรียนดีกิจกรรมเด่น ไม่เน้นกิจกรรมเยอะ ไม่เน้นเรียนหนัก แค่เปลี่ยนจากการมีส่วนร่วมทุกกิจกรรมมาเป็นเข้าร่วมเฉพาะสิ่งที่สนใจหรือคิดว่ามีความสำคัญต่อตัวเรามากจริงๆ การมีเวลาจัดการทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรมให้ดำเนินควบคู่กันไปโดยไม่ต้องทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งคือการสร้างประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากกว่า
4. พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมทุกคาบ อย่าขาด!
ต้องยอมรับว่าชีวิตเฟรชชี่ปี 1 อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่ามีอิสระขึ้น ไม่มีครูฝ่ายปกครองมายืนโบกไม้เรียวรอทำโทษ ไม่มีครูประจำชั้นคอยโทรศัพท์ตามตัวเรากับพ่อแม่ มีแต่เราที่ต้องรับผิดชอบอนาคตตัวเองล้วนๆ พี่เมก้าบอกเลยว่าคาบเรียนของมหาวิทยาลัยหนักและจริงจังกว่าช่วงมัธยมเยอะมากเลยค่ะ หากน้องๆ วางเป้าหมายไว้ว่าจะเรียนให้เริ่ดแต่อยากหนีไปเที่ยวพักผ่อนสักอาทิตย์ละครั้ง งานนี้คงต้องมีคิดใหม่แล้วแหละ
4. พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมทุกคาบ อย่าขาด!
ต้องยอมรับว่าชีวิตเฟรชชี่ปี 1 อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่ามีอิสระขึ้น ไม่มีครูฝ่ายปกครองมายืนโบกไม้เรียวรอทำโทษ ไม่มีครูประจำชั้นคอยโทรศัพท์ตามตัวเรากับพ่อแม่ มีแต่เราที่ต้องรับผิดชอบอนาคตตัวเองล้วนๆ พี่เมก้าบอกเลยว่าคาบเรียนของมหาวิทยาลัยหนักและจริงจังกว่าช่วงมัธยมเยอะมากเลยค่ะ หากน้องๆ วางเป้าหมายไว้ว่าจะเรียนให้เริ่ดแต่อยากหนีไปเที่ยวพักผ่อนสักอาทิตย์ละครั้ง งานนี้คงต้องมีคิดใหม่แล้วแหละ
เพราะอะไรรู้มั้ย? ถ้าเราขาดเรียนไปคาบหนึ่ง ความรู้ในคาบเรียนนั้นก็เท่ากับหายวับไปกับตาทันที อย่าหมายน้ำบ่อหน้าว่าจะขอยืมเลคเชอร์จากเพื่อนที่เก่งและจดสรุปดีเลย เพราะโน้ตสรุปความรู้จากใครก็ไม่แจ่มและเข้าใจง่ายได้เท่ากับโน้ตสรุปจากตัวเราเองหรอกค่ะ จำคำพี่เมก้าไว้นะคะ วันไหนที่น้องๆ เหนื่อยให้อดทนรอคาบว่างอีกสักนิดแล้วพักไปให้เต็มที่ ถ้าเราเข้าเรียนส่งงานครบจำนวนชั่วโมง คะแนนเก็บมาเต็มแถมยังมีสิทธิ์สอบได้ไปต่อด้วยค่ะ
5. ตั้งใจฟังให้เข้าใจก่อนการจดทุกครั้ง
ความจริงแล้วเคล็ดลับการตั้งใจฟังให้เข้าใจก่อนจดนี้ใช้ได้ตั้งแต่มัธยมฯ จนถึงมหาวิทยาลัยเลยนะคะ เพียงแต่ว่าการเรียนมหาวิทยาลัยน้องๆ อาจจำเป็นต้องฝึกใช้เทคนิคนี้เป็นพิเศษ เพราะรูปแบบการเรียนส่วนใหญ่จะเป็นการบรรยายผ่านสไลด์ อาจารย์แต่ละท่านก็จะมีสไตล์การสอนที่แตกต่างกันไป ถึงขนาดที่มีนักศึกษาแอบแซวด้วยความเคารพรักอยู่บ่อยๆ ว่าอาจารย์กำลังฝึกเทศน์หรืออาจารย์กำลังฝึกแร็ปอยู่ ก็ว่าไปนั่นเนอะ!
5. ตั้งใจฟังให้เข้าใจก่อนการจดทุกครั้ง
ความจริงแล้วเคล็ดลับการตั้งใจฟังให้เข้าใจก่อนจดนี้ใช้ได้ตั้งแต่มัธยมฯ จนถึงมหาวิทยาลัยเลยนะคะ เพียงแต่ว่าการเรียนมหาวิทยาลัยน้องๆ อาจจำเป็นต้องฝึกใช้เทคนิคนี้เป็นพิเศษ เพราะรูปแบบการเรียนส่วนใหญ่จะเป็นการบรรยายผ่านสไลด์ อาจารย์แต่ละท่านก็จะมีสไตล์การสอนที่แตกต่างกันไป ถึงขนาดที่มีนักศึกษาแอบแซวด้วยความเคารพรักอยู่บ่อยๆ ว่าอาจารย์กำลังฝึกเทศน์หรืออาจารย์กำลังฝึกแร็ปอยู่ ก็ว่าไปนั่นเนอะ!
พี่เมก้าจะบอกว่าการเรียนมหาวิทยาลัยอาจไม่เหมือนมัธยม ตรงที่ไม่มีทิ้งช่วงให้จดตามกระดานหรือขีดใจความสำคัญในหนังสือตามที่ครูสอน น้องๆ ต้องตั้งใจฟังให้เข้าใจก่อน เพราะถ้าเอาแต่ก้มหน้าจดเราไม่มีทางเข้าใจบทเรียนเชิงลึกนี้แน่นอน ฟังพร้อมคิดตามแล้วจดสรุปสิ่งที่เข้าใจเป็นลำดับสุดท้ายความรู้จะยังอยู่กับตัวเราค่ะ อ้อ น้องๆ อาจใช้ตัวช่วยเป็นเครื่องบันทึกเสียง ตาม E-lectures ย้อนหลัง หรือจุ๊บสไลด์จากอาจารย์ได้นะคะ
6. รู้จักสร้างข้อสงสัยระหว่างเรียนเป็นประจำ
ลักษณะการสอนในชั้นเรียนมหาวิทยาลัย โดยส่วนมากมักเป็นการเรียนที่กระตุ้นให้น้องๆ เกิดความคิดแล้วไปปรับประยุกต์ใช้ อย่างที่เราจะพบเจอกันบ่อยๆ ก็คือการเรียนแบบอภิปรายกลุ่ม น้องๆ จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทัศนคติระหว่างเพื่อนร่วมคลาสในประเด็นความรู้ต่างๆ ที่เรียนมา ซึ่งจะทำให้เราเปิดรับมุมมองความคิดในแง่มุมที่หลากหลาย เกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้มากขึ้น
6. รู้จักสร้างข้อสงสัยระหว่างเรียนเป็นประจำ
ลักษณะการสอนในชั้นเรียนมหาวิทยาลัย โดยส่วนมากมักเป็นการเรียนที่กระตุ้นให้น้องๆ เกิดความคิดแล้วไปปรับประยุกต์ใช้ อย่างที่เราจะพบเจอกันบ่อยๆ ก็คือการเรียนแบบอภิปรายกลุ่ม น้องๆ จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทัศนคติระหว่างเพื่อนร่วมคลาสในประเด็นความรู้ต่างๆ ที่เรียนมา ซึ่งจะทำให้เราเปิดรับมุมมองความคิดในแง่มุมที่หลากหลาย เกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้มากขึ้น
ทุกครั้งที่เข้าชั้นเรียนน้องๆ จึงควรตั้งข้อสงสัย รู้จักเสนอความคิดเห็น และซักถามในประเด็นที่น่าสนใจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้ทั้งตัวเราเองและเพื่อนเกิดเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น ความรู้พื้นฐานที่ตักตวงในชั้นปีที่ 1 จะช่วยต่อยอดความรู้ในชั้นปีสูงได้อีกมาก รวมถึงเตรียมความพร้อมสำหรับนำความรู้ไปประกอบอาชีพในอนาคตด้วย ถ้าเราหมั่นตั้งสติเตรียมสมองพร้อมสตาร์ทตลอดเวลาที่เข้าเรียน รับรองว่าเริ่ดค่ะ
7. ทุกชิ้นงานอาศัยการทำอย่างประณีตบรรจง
การบ้านหรือรายงานในมหาวิทยาลัยมีความพิถีพิถันมากกว่ามัธยมหลายเท่ามากค่ะ น้องๆ จะมานั่งปั่นงานด่วนงานร้อนแบบเดิมไม่ได้แล้ว เพราะคะแนนทุกชิ้นงานกำหนดอนาคตของเราอยู่! และอาจารย์มหาวิทยาลัยเอาจริงนะคะ เคยมีกรณีนักศึกษาส่งงานเลท ทำแบบลวกๆ แถมยังเป็นโจรไปขโมยความคิดหรือข้อความของคนอื่นมาใส่ในรายงานตนโดยไม่อ้างอิงอีก บทลงโทษคือโดนปรับตกในวิชานั้นเลยนะ
7. ทุกชิ้นงานอาศัยการทำอย่างประณีตบรรจง
การบ้านหรือรายงานในมหาวิทยาลัยมีความพิถีพิถันมากกว่ามัธยมหลายเท่ามากค่ะ น้องๆ จะมานั่งปั่นงานด่วนงานร้อนแบบเดิมไม่ได้แล้ว เพราะคะแนนทุกชิ้นงานกำหนดอนาคตของเราอยู่! และอาจารย์มหาวิทยาลัยเอาจริงนะคะ เคยมีกรณีนักศึกษาส่งงานเลท ทำแบบลวกๆ แถมยังเป็นโจรไปขโมยความคิดหรือข้อความของคนอื่นมาใส่ในรายงานตนโดยไม่อ้างอิงอีก บทลงโทษคือโดนปรับตกในวิชานั้นเลยนะ
การจะเรียนให้ได้เกรด A ในมหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องยากแค่จริงใจกับทุกชิ้นงานที่ทำและมีความรับผิดชอบค่ะ หากมีแล็บก็ต้องตั้งใจทำ หากต้องส่งรายงานควรผ่านการประมวลความคิดค้นคว้าอย่างละเอียดด้วยตัวเราเอง อย่าก็อปปี้งานคนอื่น พยายามอ้างอิงทุกครั้งที่นำทฤษฎีหรือเหตุผลในเชิงหลักทางวิชาการของบุคคลอื่นมาซัพพอร์ตงานเรา ถ้าน้องๆ ทำงานถูกทำงานดีอย่างน้อยคะแนนสะสมก็มาเต็มแล้วค่ะ เกรดที่มุ่งหวังไม่ไปไหนไกล
8. ช่วงสอบจำเป็นต้องอ่านหนังสือให้ครบและหนัก
น้องๆ คงไม่ลืมว่าข้อสอบมหาวิทยาลัยไม่ได้มีช้อยส์ให้เราเดาสุ่มเหมือนตอนมัธยมแล้วนะ *กาดอกจันพันดอก* ไม่อ่าน = ไม่มีอะไรไปสอบ เราต้องเขียนล้วนๆหลายสิบหน้ากระดาษ A4 เลย ถ้าน้องๆ ปล่อยให้สมองว่างไม่ได้ผ่านการทำความเข้าใจมาแบบกระจ่างจริงๆ ก็เหมือนทิ้งดิ่งร่างตัวเองจากหน้าผาลงสู่ทะเลไปกินปลาจนอิ่มพุงกางเลยนะคะ แอบได้ยินน้องบอกว่ากินปลาเยอะๆ สิดีจะได้ฉลาด งุ้ยยย ปลาที่พี่เมก้าบอกคือ 'F' ค่ะ อันตรายมั้ยล่ะ?
8. ช่วงสอบจำเป็นต้องอ่านหนังสือให้ครบและหนัก
น้องๆ คงไม่ลืมว่าข้อสอบมหาวิทยาลัยไม่ได้มีช้อยส์ให้เราเดาสุ่มเหมือนตอนมัธยมแล้วนะ *กาดอกจันพันดอก* ไม่อ่าน = ไม่มีอะไรไปสอบ เราต้องเขียนล้วนๆหลายสิบหน้ากระดาษ A4 เลย ถ้าน้องๆ ปล่อยให้สมองว่างไม่ได้ผ่านการทำความเข้าใจมาแบบกระจ่างจริงๆ ก็เหมือนทิ้งดิ่งร่างตัวเองจากหน้าผาลงสู่ทะเลไปกินปลาจนอิ่มพุงกางเลยนะคะ แอบได้ยินน้องบอกว่ากินปลาเยอะๆ สิดีจะได้ฉลาด งุ้ยยย ปลาที่พี่เมก้าบอกคือ 'F' ค่ะ อันตรายมั้ยล่ะ?
ก่อนสอบสักประมาณ 1-2 สัปดาห์ ควรทบทวนบทเรียนล่วงหน้าได้แล้ว ค่อยๆ ทยอยอ่านสะสมไปจะได้ไม่กดดันตัวเองมากนัก น้องๆ ต้องสู้มากเป็นพิเศษ อ่านหนังสือให้ครบทุกเล่มและอ่านหนักๆ เข้าไว้ให้ความรู้ทุกส่วนซึมซับเข้าไปในซีรีเบลลัม เพราะการเรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช้ความจำแล้ว อาศัยความคิด ความเข้าใจล้วนๆเลยค่ะ อ้อ จดสรุปโน้ตความรู้เพื่อทบทวนด้วยตนเองสามารถช่วยได้แน่นอน ที่สำคัญวิชาคำนวณฝึกทำโจทย์เยอะๆ มีชัยทุกครั้ง!
9. เพื่อนเป็นคู่คิดคู่ปรึกษาที่ดีต่อการเรียน
มหาวิทยาลัยเป็นโลกกว้างที่เปิดความรู้ใหม่ให้กับเรา น้องๆ ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ได้ ควรมีเพื่อนรู้ใจไว้เป็นคู่คิดคู่ปรึกษาที่ดีนะ อาจไม่จำเป็นว่าจะต้องคบเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ถึงขั้นตั้งทีมไปเล่นฟุตบอล ฮ่าๆ เอาเป็นไม่กี่คนแต่ขอให้คลิกกัน คุยกันรู้เรื่องเท่านั้นก็พอแล้วค่ะ เพื่อนจะคอยช่วยเหลือกันเรื่องการเรียน การทำงาน การให้คำปรึกษาในทุกๆ เรื่องตลอดเวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมหาวิทยาลัย
9. เพื่อนเป็นคู่คิดคู่ปรึกษาที่ดีต่อการเรียน
มหาวิทยาลัยเป็นโลกกว้างที่เปิดความรู้ใหม่ให้กับเรา น้องๆ ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ได้ ควรมีเพื่อนรู้ใจไว้เป็นคู่คิดคู่ปรึกษาที่ดีนะ อาจไม่จำเป็นว่าจะต้องคบเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ถึงขั้นตั้งทีมไปเล่นฟุตบอล ฮ่าๆ เอาเป็นไม่กี่คนแต่ขอให้คลิกกัน คุยกันรู้เรื่องเท่านั้นก็พอแล้วค่ะ เพื่อนจะคอยช่วยเหลือกันเรื่องการเรียน การทำงาน การให้คำปรึกษาในทุกๆ เรื่องตลอดเวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมหาวิทยาลัย
พี่เมก้าอยากให้น้องๆลองนึกภาพตามว่า ถ้าเราเรียนคนเดียวอ่านหนังสือคนเดียวเราก็อาจได้รับความรู้ในแง่มุมเดียว แต่ถ้าเราได้เพื่อนมาแชร์ความรู้ ประสบการณ์ เนื้อหาก่อนสอบ เราอาจได้มวลความรู้มากมายมหาศาลเลยนะ ฉะนั้นก่อนสอบพี่เมก้าแนะนำให้น้องๆ รวมกลุ่มติวเลยค่ะ วิชาไหนที่เราไม่ถนัดฟังเพื่อนอธิบายจะเข้าใจมากขึ้น ส่วนวิชาไหนที่เราเทพเตรียมความรู้มาแบ่งปันเพื่อน เราจะได้พัฒนาและเก่งไปด้วยกันทั้งทีมค่ะ
เคล็ดลับการเรียนที่สำคัญที่สุดคือน้องๆ ต้องรู้หน้าที่ รู้จักจัดลำดับความสำคัญของการเรียนและการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันให้ดำเนินไปได้ด้วยดี ที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้ชีวิตปีหนึ่งของใครหลายคนร่วงร่อแร่ก็เป็นเพราะปรับตัวไม่ได้ ปล่อยชีวิตกับการเรียนไปเรื่อยๆ โดยไม่วางแผนนี่แหละ อย่าลืมนะคะว่าเรียนมหาวิทยาลัยเท่ากับว่าเราโตขึ้นแล้ว ต้องรู้จักรับผิดชอบชีวิตและอนาคตของตัวเองให้มากๆ การเรียนปี 1 ของน้องจะรุ่งเริ่ดเวอร์มากค่ะ
เคล็ดลับการเรียนที่สำคัญที่สุดคือน้องๆ ต้องรู้หน้าที่ รู้จักจัดลำดับความสำคัญของการเรียนและการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันให้ดำเนินไปได้ด้วยดี ที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้ชีวิตปีหนึ่งของใครหลายคนร่วงร่อแร่ก็เป็นเพราะปรับตัวไม่ได้ ปล่อยชีวิตกับการเรียนไปเรื่อยๆ โดยไม่วางแผนนี่แหละ อย่าลืมนะคะว่าเรียนมหาวิทยาลัยเท่ากับว่าเราโตขึ้นแล้ว ต้องรู้จักรับผิดชอบชีวิตและอนาคตของตัวเองให้มากๆ การเรียนปี 1 ของน้องจะรุ่งเริ่ดเวอร์มากค่ะ
5 ความคิดเห็น
งื้อ แอบปรับตัวไม่ทัน ต้องยอมรับแล้วสินะเราไม่ใช่เด็กๆกันแล้ว แค่อ่านในนี้ก็สยอง... ตอนสมัยมัธยมเราปั่นงาน 10 นาทีก่อนคาบที่จะส่งตลอดเลยอ่ะ (ยกเว้นรายงานนะ) ต้องเปลี่ยนซะแล้ว
สู้ๆนะ #dek59 ทุกคน
ปล. อยู่บ้านเหงาๆ เบื่อๆ ว่าง 5-6 เดือนนี้ควรไปทำอะไรดี?