"พริตตี้" 1 ใน Top แอดมิชชั่น 59 เผยเคล็ดลับสอบฉบับ "เด็กไม่สอบรับตรง"


          สวัสดีค่ะ Admission Idol ของเราในวันนี้ พี่อีฟจะชวนไปดูเคล็ดลับความสำเร็จ ของหนึ่งในรุ่นพี่ที่มีคะแนน Top Admission 59 ลองมาดูว่ารุ่นพี่ที่มีคะแนนสูงขนาดนี้ มีเคล็ดลับความพยายามในการอ่านหนังสือยังไงบ้าง แอบบอกว่าแอดมิชชั่นไอดอลของเราคนนี้ ไม่สมัครรับตรงด้วย มุ่งแอดมิชชั่นอย่างเดียว ! น่าสนใจขนาดนี้ เราไปรู้จัก "พี่พริตตี้" พิชยา โอภาสเสถียร กันเลยค่ะ
 

แนะนำตัวให้น้องๆ รู้จักกันหน่อย 
         สวัสดีค่ะ ชื่อนางสาว พิชยา โอภาสเสถียร ชื่อเล่นพริตตี้ค่ะ ตอนนี้เป็นผู้มีสิทธิ์สัมภาษณ์คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบชั้น ม.6 จากโรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา แผนการเรียนศิลป์ภาษาจีน ผลการเรียนเฉลี่ย 3.96 ค่ะ

จุดเริ่มต้นของการเลือกคณะนี้
         ต้องบอกก่อนว่าเราชอบภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ และวิชาภาษาอังกฤษก็เป็นวิชาที่เราถนัดที่สุดมาตลอด พอถึงช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกคณะในอนาคต ก็คิดว่าภาษาอังกฤษมันสามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน มันกลายเป็นอะไรที่สำคัญของสังคมปัจจุบันไปแล้ว
          ส่วนการค้นหาตัวเอง ว่าคณะนี้เหมาะกับเราจริงๆ รึเปล่า เราก็เลือกดูตามความชอบของตัวเองค่ะ เพราะเราเชื่อว่า ถ้าได้เรียนในสิ่งที่ชอบ เราก็จะไม่เครียดและไม่กดดัน ทำให้เรียนได้ดี มีความสุข ถึงจะยาก ก็เชื่อว่าจะผ่านไปได้แน่นอนค่ะ


สอบรับตรงอะไรไปบ้าง
          บอกตามตรงว่าไม่ได้สมัครรับตรงที่ไหนเลยค่ะ เพราะเราตั้งเป้าหมายตั้งแต่แรกแล้วว่าจะแอดมิชชั่น ตอนนั้นเราเพิ่งกลับมาจากการไปแลกเปลี่ยนด้วย ทำให้ไม่มั่นใจว่าจะเตรียมตัวทันรึเปล่าสำหรับรอบรับตรง โดยเฉพาะ 9 วิชาสามัญ ซึ่งขึ้นชื่อว่ายากมากๆ เราเลยตัดสินใจไม่สอบ 9 วิชาสามัญค่ะ เพราะอยากมุ่งไปทางเดียวเลยคือ แอดมิชชั่น ซึ่งไม่ได้ใช้คะแนนวิชาสามัญที่อาจต้องยื่นหลายวิชา ถ้ารอบแอดมิชชั่นเราเน้นแค่วิชาภาษาอังกฤษได้ รวมถึงตอนนั้นเรามุ่งเป้าไปที่คณะศิลปศาสตร์ มธ. ซึ่งมีแค่ในรอบแอดมิชชั่นด้วยค่ะ
 

 4 อันดับตอนเลือกแอดมิชชั่น มีอะไรบ้าง
          อันดับ 1 คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ม.ธรรมศาสตร์
          อันดับ 2 คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ม.มหิดล
          อันดับ 3 คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
          อันดับ 4 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
          ต้องบอกเลยว่าไม่ได้มีหลักเกณฑ์ในการเลือกเลยค่ะ น้องๆ ไม่ควรทำตามเลยค่ะ 55555 เลือกจากความชอบอย่างเดียวเลย อันดับ 1 กับ 2 คือคณะที่อยากเข้ามากที่สุดค่ะ ส่วนอันดับ 3 และ 4 คือคณะที่เคยฝันอยากจะเข้า ซึ่งถ้าได้คณะไหนใน 4 อันดับนี้ เราก็ดีใจทุกอันดับค่ะ


สอบ GAT PAT เตรียมตัวยังไงบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย
          เราสอบ GAT PAT 5 แล้วก็ PAT 7.4 (ภาษาจีน) ค่ะ มีเวลาเตรียมตัวน้อยมากๆ ค่ะ ประมาณ 3 เดือนกว่าๆ สำหรับการสอบรอบแรก เพราะเพิ่งกลับมาจากการไปแลกเปลี่ยนด้วย ช่วง ม.6 ทางโรงเรียนก็มีโครงการจัดติวให้บ้างค่ะ ซึ่งก็ได้เทคนิคดีๆ มาช่วยทำข้อสอบเยอะเลย นอกจากนั้นก็จะโหลดพวกข้อสอบเก่ามาฝึกทำเยอะมาก ต้องขอบอกเลยว่าข้อสอบเก่ามีประโยชน์เยอะมาก และสามารถช่วยเราไว้ได้จริงๆ ค่ะ ตอนนั้นก็จะพยายามอ่านเนื้อหาให้จบตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ เพราเราต้องแบ่งเวลาไปฝึกทำโจทย์ ช่วง 2 เดือนแรก เราอ่านหนังสือทบทวนเต็มที่เลย ส่วนช่วง 1 เดือนก่อนสอบ ก็ตะลุยทำโจทย์อย่างเดียวเลยค่ะ
          ส่วน PAT จีน เราก็ตะลุยทำโจทย์และข้อสอบเก่าอย่างเดียวเลยค่ะ แต่ก็ต้องขอบคุณที่เราเรียนศิลป์ภาษาจีนและการไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศจีนด้วย ที่ทำให้เราได้ความรู้และประสบการณ์ใหม่ที่นำมาใช้ต่อยอดในการสอบได้เยอะเลย

คะแนน GAT PAT ได้เท่าไหร่บ้างคะ
          คะแนน GAT       ได้    280    คะแนน
          คะแนน PAT 5     ได้    202    คะแนน
          คะแนน PAT 7.4  ได้    255    คะแนน

 
 
อยากรู้ว่า O-NET วิชาไหนยากสุดหรือง่ายสุด สำหรับเรา
          วิชาที่ยากที่สุดของ O-NET คิดว่าเป็นวิชาวิทยาศาสตร์กับวิชาคณิตศาสตร์ค่ะ ด้วยความที่เราเป็นเด็กสายศิลป์ ก็เลยไม่ถนัดและไม่ชอบวิชาด้านนี้เลยค่ะ คิดว่าเด็กสายศิลป์ด้วยกันคงจะเข้าใจ ส่วนวิชาที่ง่ายที่สุดก็น่าจะเป็นวิชาภาษาอังกฤษ เพราะเป็นวิชาที่เราถนัดที่สุดค่ะ

คณะที่เราชอบรอบแอดฯ มีเกณฑ์ O-NET ขั้นต่ำวิชาภาษาอังกฤษ เราเตรียมตัวยังไงบ้าง
          ใช่ค่ะ อย่างคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษที่ มธ. จะมีเกณฑ์ขั้นต่ำ O-NET วิชาภาษาอังกฤษ 75 คะแนน ซึ่งเราได้คะแนนประมาณ 86 คะแนน เรื่องการเตรียมตัวต้องบอกว่า โชคดีที่วิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่เราชอบมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเหมือนกับว่าเราเตรียมตัวมาตลอด แต่พอใกล้สอบเราก็เตรียมตัวจริงจังมากขึ้น ช่วงนั้นก็ไปลงเรียนพิเศษภาษาอังกฤษมาคอร์สนึงค่ะ แล้วก็ทบทวนพวกหลักไวยากรณ์เพิ่มเติม
           สิ่งที่สำคัญมากเลย คือ การฝึกทำโจทย์ ลองหาข้อสอบเก่า และซื้อแบบฝีกหัดมาทำเยอะๆ เพราะการทำโจทย์ จะทำให้เราเข้าใจทั้งหลักไวยากรณ์และก็ได้ศัพท์เพิ่มเติม ในส่วนของการท่องศัพท์ เราเลือกใช้ช่วงเวลาที่ว่างระหว่างทำกิจกรรมอื่นแทนการมานั่งท่องจริงจังเป็นชั่วโมงๆ เช่น ใช้เวลาระหว่างนั่งรถไปโรงเรียน ระหว่างนั่งรอเรียน ฯลฯ แต่ถ้าเป็นเวลาว่างจริงๆ ที่มีหลายๆ ชั่วโมง เราใช้ไปกับอ่านหนังสือหรือทำโจทย์ค่ะ


GPAX สูงมาก มีวิธีเรียนยังไงบ้างให้ได้เกรดดี
          ตั้งใจเรียนในห้องค่ะ ตอนนั้นก็พยายามทำความเข้าใจบทเรียนให้ได้มากที่สุด ตอนเรียนก็จะกระตือรือร้น สนใจเรียน สนใจการสอนของคุณครู ถ้าเราทำได้ ก็เหมือนเป็นด่านแรกที่ทำให้ได้คะแนนความประพฤติดีแล้วค่ะ  ส่วนคะแนนในส่วนอื่น เช่น การทำงาน เราก็ต้องทำงานให้ดีทุกครั้ง ทำให้เรียบร้อย ส่งงานให้ครบตามกำหนด ส่วนการสอบ ก็จะเน้นทบทวนความรู้ทุกวันค่ะ เวลาสอบจะได้ไม่ต้องอ่านเยอะมาก
 

กดดันไหมเวลาที่เพื่อนติดรับตรงหมดแล้ว แต่เรารอแอดมิชชั่น
          ก็กดดันนิดหน่อยนะคะ แต่ตอนนั้นก็รู้ตัวเองค่ะ ว่าเราไม่พร้อม ถ้าสอบก็คงจะได้คะแนนไม่ดีแน่ๆ เลยเอามาเป็นแรงผลักดันให้ตั้งใจมากขึ้นกว่าเดิมดีกว่าค่ะ ตอนนั้นก็ฟิตอ่านหนังสือจริงจังเลย ช่วงก่อนสอบ GAT รอบแรก เราก็อ่านแต่ภาษาอังกฤษ ซื้อหนังสือมาหลายเล่ม วางแผนแบบคร่าวๆ ว่าอาทิตย์นี้ต้องอ่านเล่มนี้จบ อาทิตย์ต่อไปต้องทำแบบฝึกหัดให้เสร็จ ประมาณนี้ค่ะ ส่วนตอนสอบ O-NET ตอนนั้นก็ไม่ได้กดดันตัวเองค่ะ วางแผนว่าเดือนนี้ต้องวิชานี้ เดือนหน้าจะได้เริ่มวิชาใหม่ ไม่ได้เข้มงวดมาก

ถ้าย้อนเวลาได้ อยากแก้ไขการเตรียมตัวสอบเรื่องอะไรไหม
          อยากแก้ไขตอนเตรียมตัวสอบ O-NET เลยค่ะ เพราะหลังจากที่ประกาศผล GAT PAT รอบแรกแล้ว เราค่อนข้างพอใจกับคะแนนตัวเองมากเกินไป ทำให้ชะล่าใจ ปล่อยตัวเอง แล้วก็ไม่ตั้งใจเตรียมตัวสอบ O-NET เท่าที่ควร ทำให้มีช่วงหนึ่งเราทำตัวไม่ดี แอบหยุดโรงเรียนเพื่อมาอ่าน O-NET เลย ซึ่งเป็นอะไรที่เราอยากกลับไปแก้ไขมาก

เรื่องเครียดๆ ในแบบนักเรียน ม.6
          ช่วงเริ่มขึ้น ม.6 มาเราไม่ค่อยเครียดนะคะ เพราะตั้งใจจะใช้ชีวิตปีสุดท้ายของมัธยมให้ดีที่สุด ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเด็กมัธยมทั่วไปเลย พยายามไม่เครียด และไม่กดดันตัวเองค่ะ แต่พอมาช่วงใกล้สอบ จะมีช่วงที่เครียดมากๆ คือ ช่วงสอบ O-NET โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ เรียกได้ว่าเราไม่มีความรู้เลย ช่วงนั้นก็เลยอ่านแบบเต็มที่มากๆ แต่พอคิดว่าอ่านเต็มที่แล้ว ช่วงใกล้ๆ วันสอบ เราก็เลยลองทำข้อสอบเก่าๆ ดู ปรากฏว่าได้คะแนนน้อยมาก ก็เครียดไปพักใหญ่เลย แอบคิดว่าทำไมไม่เทไปเลย แต่ก็ทำไม่ได้ พอถึงวันสอบจริง แล้วคะแนนออกมา เราก็โล่งแล้วที่ผ่านช่วงนั้นมาได้

สุดท้าย ฝากอะไรถึงน้องๆ ที่ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ของเราหน่อยค่ะ
          พี่คิดว่าการสอบมันไม่ได้วัดความเก่งนะ แต่มันวัดพร้อมของเรา ถ้าน้องเตรียมตัวมาดีทั้งความรู้ สุขภาพกายและสุขภาพใจ มีสติและสมาธิในห้องสอบ น้องก็จะทำได้ดีแน่นอน มันอาจจะเป็นปีที่ยาก และก็เหนื่อยมากๆ แต่พี่ก็ไม่อยากให้ทุกคนเครียดหรือกดดันตัวเองนะ หาเป้าหมายให้เจอแล้วก็ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด  สู้ๆ พี่เป็นกำลังใจให้น้องทุกคนค่ะ^^
 

          เป็นยังไงกันบ้างคะกับเรื่องราวของแอดมิชชั่นไอดอลของเรา เป็นอีกคนที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วนะคะว่าทุกอย่างอยู่ที่ความพร้อมของเราทั้งนั้น พี่พริตตี้ไม่ได้มองว่าการไม่สมัครรับตรงเป็นความเสี่ยงเลย แต่เลือกมองว่า เรามีจุดมุ่งหมายเป็นแอดมิชชั่น เราก็ทุ่มเทไปตรงนั้นให้เต็มที่ และสุดท้าย ผลของความพยายามก็คุ้มค่าจริงๆ ค่ะ ส่วนในครั้งหน้า แอดมิชชั่นไอดอลของเราจะเป็นใคร อย่าลืมติดตามกันนะคะ :D
 
พี่อีฟ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด