ช่วงนี้เดินไปไหนมาไหน ได้ยินแต่ เสียงกลอง เสียงร้องเพลงเชียร์ ของเหล่าเฟรชชี่มหาวิทยาลัยต่างๆ ฟังแล้วน่าสนุกจริงเชียว...ทำให้นึกถึงตัวเองตอนอยู่ปี 1 (ซึ่งผ่านมาไม่กี่ปีนี้เอง) ตอนนั้นจำได้ว่าสนุกสนาน เมามันส์อย่าบอกใครเชียว... นอกจากความสนุกและรอยยิ้มที่นึกขึ้นได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยลืมนั้นก็คือ คำปรามาสจากเพื่อนๆหลายคน ที่สบประมาทมาว่า เรียนทำไมนิเทศฯ อยากเป็นดาราหรือไง เรียนไปก็ตกงาน ซึ่งตอนนั้นแทบจะไม่กล้ากลับไปงานเลี้ยงรุ่นเลย เพราะกลัวโดยถามว่า เรียนทำไม นิเทศศาสตร์ ความคิดก่อนเรียนนิเทศศาสตร์ ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย พี่ลาเต้ ก็ไม่เคยคิดนะครับว่า ตัวเองจะได้มาเรียนในด้านนิเทศศาสตร์ เพราะมีความคิดว่า ต้องหน้าตาดี สวยๆ หล่อๆ ต้องอยากเป็นดารา ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความอยากของ พี่ลาเต้ ซักนิดเดียว...แต่สาเหตุที่ต้องมาเรียนนิเทศศาสตร์ เพราะสอบติด... ตอนนั้นจำได้ว่า อ้อนวอนแม่ ทุกวันว่าอยากจะไปเรียนรามคำแหง เพื่อให้ได้เรียนในคณะที่สนใจจริงๆ แต่เหมือนแม่ก็รู้ทันว่า ไอ้ลูกคนนี้ หากปล่อยให้ไปเรียนรามฯ คงไม่จบแน่ๆ เลยออกอุบายว่า เรียนไปก่อน หากไม่ชอบค่อยกลับมาเรียนรามฯก็ไม่สาย หลังจบคำพูดประโยคนี้ของแม่ พี่ลาเต้ ก็ออกไปมหาวิทยาลัยที่สอบได้ เพื่อรายงานตัวนักศึกษาใหม่ทันทีเลยครับ... ระหว่างที่รายงานตัวที่มหาวิทยาลัย ก็มีรุ่นพี่ๆ มาคอยแนะนำ พี่ลาเต้ ก็เลยแอบถามรุ่นพี่ๆไปว่า พี่ครับ หากผมจะขอย้ายคณะตอนนี้จะได้ไหมครับ รุ่นพี่เมื่อได้ฟังอย่างนั้นก็ใจดีมีเมตตามากๆ ส่ง พี่ลาเต้ ไปหาอาจารย์ที่รับรายงานตัวทันที จากนั้นอาจารย์ท่านนั้นก็นั่งลง จะบรรจงถามถึงสาเหตุของพี่ ว่าทำไมถึงขอย้ายคณะ ซึ่งคำตอบสุดท้ายที่ได้นั้นก็คือ ย้ายคณะตอนนี้ไม่ได้ค่ะ เอาว่ะ..ย้ายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ลองตั้งใจเรียนในคณะที่เราไม่ชอบดูดิ..ว่าจะเรียนได้ไหม..หากไม่ได้จริงๆ ก็มีรามฯรอต้อนรับอยู่ครับ.. ความคิดหลังเรียนนิเทศศาสตร์ เพียง 1 เดือน จนกระทั่งวันเปิดเรียน อาจารย์ รุ่นพี่ๆ มารอต้อนรับน้องใหม่กันอย่างอบอุ่น...รู้สึกดีกับกิจกรรมมากๆ แต่ก็ยังรู้สึกอคติการเรียนกับคณะนี้อยู่...แต่พอถึงวันที่เรียนจริงๆ ได้เรียนเกี่ยวกับ การพูด การพัฒนาบุลิกภาพ การเขียน การออกแบบ การสื่อสาร และการมีมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีนี่หว่า และเหมือนจะทำได้ดีด้วย...ถึงเราไม่ชอบ แต่เราถนัด เราทำได้...ผิดกับเพื่อนๆบางคนให้เดินออกไปพูดหน้าชั้น ขาสั้น ท่องบทกันเป็นชั่วโมง...สิ่งเหล่านี้มันเลยทำให้ พี่ลาเต้ คิดว่า หรือที่ตรงนี้...มันเป็นที่เขาเรา เพราะรู้สึกว่าเวลาได้เรียนอะไรที่เราถนัด และทำได้ดี มันจะมีความสุข และสนุกมากๆ... ไม่เพียงแค่เนื้อหาที่ถูกใจ ยังมีอีกหลายร้อยวิชาที่ได้เห็นชื่อแล้ว ต้องกลับมาคิดอีกว่า คนที่เรียนนิเทศฯ คงจะเป็น ดารา ไม่ได้แล้วหละ เพราะสาขาด้านนิเทศศาสตร์ สอนให้คนเรียน เป็นประชาสัมพันธ์ เป็นนักโฆษณา เป็นนักออกแบบ เป็นนักข่าว เป็นนักสื่อสารมวลชน เป็นครีเอทีฟ เป็นโปรดิวเซอร์ เป็นช่างภาพ ช่องกล้อง รวมถึงเทคนิคกราฟิกเบื้องหลังต่างๆ ซึ่งก็มีให้เลือกแขนงความสนใจ โดยปัจุบันก็มีอยู่หลักๆ 4 สาชาวิชาด้วยกันครับ...ซึ่งมีดังต่อไปนี้ สาขาวารสารศาสตร์ จะเรียนเกี่ยวกับด้านการเขียนข่าว เขียนบทความ เขียนสารคดี การออกแบบกราฟิก การจัดหน้าหนังสือพิมพ์ การรายงานข่าวประเภทต่างๆ รวมถึงการถ่ายภาพ ซึ่งเมื่อจบไปแล้ว สามารถประกอบอาชีพ นักข่าว , นักเขียน , คอลัมน์นิสต์ , ผู้ประกาศข่าว , บรรณาธิการ , เจ้าหน้าที่ออกแบบจัดหน้า , ช่างภาพ เป็นต้น สาขาวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ จะเน้นทางด้านเบื้องหลัง เบื้องหน้า การแสดงละครเวที การจัดรายการวิทยุ การจัดรายการโทรทัศน์ การผลิตสารคดี หรือหนังสั้น โดยคนที่จบมาสามารถประกอบอาชีพเป็น โปรดิวเซอร์ , ช่างแต่งหน้า , นักพูด , พิธีกร , เจ้าหน้าที่ตัดต่อ ช่างภาพ, ดีเจ เป็นต้น สาขาประชาสัมพันธ์ จะสอนเกี่ยวกับ การวางแผนสื่อประชาสัมพันธ์ , การนำเสนอ , การฝึกอบรม , การสัมมนา , ด้านภาษา , การผลิตสื่อ โดยจบไปแล้วสามารถประกอบอาชีพได้หลากหลาย เช่น นักประชาสัมพันธ์ , พิธีกร , เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล , เจ้าหน้าที่มวลชนสัมพันธ์ , เจ้าหน้าที่ต้อนรับ , พิธีกร เป็นต้น สาขาโฆษณา เป็นสาขาที่แนวมากที่สุด คนเรียนจะต้องใช้หัวสุดๆ จะเรียนเกี่ยวกับ การวางแผน , การผลิตสื่อ , การนำเสนอผลงาน , การคิดงานให้สร้างสรรค์ รวมถึงการออกแบบสร้างสรรค์ต่างๆ ส่วนใหญ่คนที่จบไป จะมุ่งไปเป็น ครีเอทีฟ , นักการตลาด , ฝ่ายวางแผน , เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการขาย , เจ้าหน้าที่ออกแบบ เป็นต้น จนถึงวันนี้แนวคิดเก่าๆที่เคยอยู่ในหัวว่า เรียนนิเทศศาสตร์ เพื่อเป็นดาราก็หายไปแล้วครับ อีกทั้งยังเกิดแนวคิดใหม่ตามมาด้วยว่า การที่เราเรียนในสิ่งที่ถนัด (แม้สิ่งนั้นจะไม่ชอบ) จะมีความสุขมากๆครับ |
พพี่ลาเต้ขอขอบคุณรูปภาพจาก music.tkpark.or.thพ |
59 ความคิดเห็น
เหอๆๆ - -"
ตอนแรกก็คิดจะเข้านิเทศฯ
แต่คิดไปคิดมาอยากเรียนพวกศิลปศาสตร์ อักษรฯ แล้วล่ะ
อยากเข้าเหมือนกัน แต่คนจบเยอะมาก
เพราะอยากเป็นนักข่าว
ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่ ม.1 ว่าจะเรียนทางนี้ให้ได้
แต่พอบอกคนที่บ้านครั้งแรก
"ฟิล์ม เธอเรียนนิเทศจบมาจะทำอะไรกิน"
ตอนหัวเลี้ยวหัวต่อก็แอบหวั่นๆ ตามลมปากใครต่อใคร
แต่ตอนนี้มั่นคงอย่างที่สุดแล้ว
เพราะได้ลองทำหลายสิ่งอย่าง
งานไหนก็ไม่เหมาะกับเราเท่าทางนิเทศศาสตร์
แม้ว่าจะจบมาไม่ได้ทำงานตรงสาย
ชั้นก็จะเรียนสาขานี้
/me ตอนนี้ต้องเข้าให้ได้ก่อน ^^
ถูกต้องที่สุดค่ะ มีแต่คนเข้าใจว่าอยากเป็นดารา นักร้อง ต้องเรียนนิเทศ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย
ตอนนี้กำลังฟิตเพื่อนิเทศอีก 2 ปีข้างหน้า 555+
แรกๆบอกแม่อยากเรียนนิเทศอยากทำงานเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์แม่ก็โอเค
แต่แม่ไปฟังใครเป่าหูมาก็ไม่รู้ในทีวี (ขอใช้แบบนี้เลย มันสุดจะเฮิร์ทจริงๆ T^T) บอกว่าทำหนังแค่เรื่องเดียวเสียไปไม่รู้กี่สิบล้าน
โถ่ๆๆๆๆ ใครมันจะใจป้ำกล้าทุ่มทุนตัวเองแบบนั้น ไม่ได้จะเป็นคนออกทุนซะหน่อย เป็นคนรับทุนต่างหาก แต่แม่ก็ยังไม่ฟังอยู่ดี
เอาเถอะ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ข้าพเจ้าจะเรียนนิเทศสายภาพยนตร์ให้จงได้!!~*0*
แล้วก็...ถึง คห.ที่ 12 ที่แน่ๆคือน้องไม่ต้องเรียนวิทย์-คณิตอ่ะค่ะ เรียนสายศิลป์ จะศิลป์อะไรก็ได้ แต่แนะนำศิลป์ภาษาเพราะพวกที่มาทางสายนี้จะไปทางนิเทศ ศิลปกรรม อักษร ศิลป์คำนวณให้พวกนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ ศิลปศาสตร์อะไรพวกนี้เรียนดีกว่าค่ะ ^^
อยากเข้านิเทศนานแล้ว~~ คงจะเป็นสาขาวิทยุโทรทัศน์~