ป.โท 1 ปีที่อังกฤษ ตอบคำถามยอดฮิตของคนอยากเรียนต่อ !

        สวัสดีค่ะน้องๆชาว Dek-D.com ประสบการณ์เด็กนอกวันนี้ขอมาแปลกนิดหน่อย เพราะทุกทีจะเป็นบทสัมภาษณ์ของน้องๆ ทั้งที่ไปแลกเปลี่ยน ไปเรียนมัธยม ต่อปริญญาตรี หรือไป Work & Travel... แต่วันนี้ พี่สตางค์ จะมาขอแชร์ประสบการณ์การเรียนต่อปริญญาโทในประเทศอังกฤษ...ของ พี่สตางค์ เอง! (เขิลลลล 555+) แต่เชื่อว่าคงจะมีประโยชน์กับน้องๆหลายๆคนที่กำลังจะไป คิดจะไป หรืออยากจะไปเรียนต่อที่อังกฤษค่ะ โดย พี่สตางค์ จะพยายามตอบคำถามที่น้องๆถามกันเข้ามาบ่อยๆเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในอังกฤษด้วย ถ้ายังไงไปลองอ่านดูพร้อมๆกันเลยค่ะ ^^

                                 
     
           

"เอเจนซี่... ชื่อนี้ดี มีประโยชน์"

        ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่า สำหรับพี่แล้ว... การเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศนับเป็นการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้! แค่เริ่มต้นยังไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ไหน มันเหมือนกับมืดแปดด้าน 360 องศา เพราะครอบครัวพี่เองก็ไม่มีใครเคยมีประสบการณ์ต่อนอกมาก่อน เลยไม่รู้ว่าเราจะต้องเริ่มต้นตรงไหน จะติดต่อสถานที่เรียนยังไง ทำวีซ่ายังไง จองหอพักที่ไหน...โอยยยยย คำถามอีกร้อยแปดเลยค่ะ ถ้าลองสุ่มสี่สุ่มห้าทำเองก็กลัวว่าจะพลาด

   สุดท้ายพี่ก็เลยตัดสินใจอาศัยตัวช่วย นั่นก็คือ “เอเจนซี่” ค่ะ แต่ตรงนี้อยากดอกจันเอาไว้ให้ซักนิดนึงว่า **เอเจนซี่ มีทั้งที่คิดเงินค่าเหนื่อย แล้วก็มีแบบฟรีๆ** ซึ่งพี่เองเลือกใช้บริการเอเจนซี่อย่างหลัง คือไม่คิดค่าใช้จ่ายอะไรในการให้คำปรึกษากับเราเลย... ตอนแรกพี่ก็งงๆว่า เอ๊ะ ไม่เก็บตังค์แล้วเอเจนซี่อยู่ได้ยังไงหว่า แต่ก็มารู้เอาทีหลังว่า อ๋อออ... เอเจนซี่ก็เหมือนเป็นนายหน้าหรือคนกลาง ที่คอยส่งลูกค้า (นักเรียน) ให้กับมหาวิทยาลัย รายได้จึงมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆนั่นเอง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราก็คือ ศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจให้ดี ว่าเราอยากจะไปเรียนต่อคณะไหน ที่สถาบันไหน หรือถ้าให้เอเจนซี่แนะนำ เราก็ต้องให้แน่ใจว่ามหาวิทยาลัยนั้นเป็นยังไง ใช่อย่างที่เราต้องการหรือเปล่า โดยเราอาจจะดูจาก Ranking, ดูจากอันดับความน่าเชื่อถือ, คุณภาพการเรียนการสอน, ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดเราสามารถเสิร์ชหาในเน็ตได้เลยค่ะ
                        

    ทีนี้สิ่งที่เราจะต้องเตรียมสำหรับการสมัครเรียนก็คือเอกสารต่างๆ ซึ่งถ้าใครให้เอเจนซี่ดูแลเค้าก็จะบอกเราเองว่าต้องใช้อะไรบ้าง เช่น  Transcript, ผลสอบ IELTS, จดหมายรับรองจากอาจารย์ที่คณะ, Statement Of Purpose (SOP) ฯลฯ พอยื่นไปก็ต้องรอลุ้นว่าทางสถาบันจะรับเรามั้ย ซึ่งเราก็สามารถยื่นได้หลายๆที่เลยค่ะ (เผื่อๆไว้)

     อย่างตอนพี่ก็ยื่นไว้ 3 ที่ค่ะ ตอบรับเราทั้งหมด แต่ที่หนึ่งให้เป็น conditional offer คือตอบรับแบบมีเงื่อนไข และเงื่อนไขนั้นก็คือต้องการให้พี่สอบ IELTS ใหม่ (คะแนน writing พี่แย่ไปหน่อย - -“) แต่ว่าอีก 2 สองสถาบันตอบรับเป็น unconditional offer ค่ะ คือรับเข้าเรียนเลย ไม่มีเงื่อนไขอะไร (ก็เลยต้องแสดงความเสียใจกับสถาบันแรกด้วย ที่เล่นตัวให้เงื่อนไขมา เลยไม่ได้นักเรียนหน้าตาดีๆและหลงตัวเองได้อย่างแนบเนียนอย่างพี่ไปร่วมสำนัก โฮะๆ) และหนึ่งใน 2 สถาบันที่ตอบรับไม่มีเงื่อนไขนั้นเสนอเรื่องทุนการศึกษาด้วย พี่ก็เลยตัดสินใจไปมหาลัยที่มีทุนค่ะ (ด้วยความงก) ซึ่งก็คือ University of Leicester แห่งนี้นี่เอง *ปรบมือ* ซึ่งที่นี่ สาขาวิชา Mass Communication (ที่พี่จะเรียน) ของเค้าก็ดังด้วย นับว่าเป็นสถาบันที่ตรงกับโจทย์ที่พี่ตั้งไว้มากๆ (จริงๆแล้วความงกครอบงำมากกว่า 555+)


                                                

"ทุนการศึกษา"

        สำหรับเรื่องของทุนการศึกษาที่พี่ได้นั้นเป็นทุนส่วนลดค่าเล่าเรียนค่ะ พูดง่ายๆก็คือเป็นจำนวนเงินก้อนหนึ่งที่เอาไปหักกับค่าเล่าเรียนเต็ม นอกนั้นก็ไม่ได้มีเงื่อนไขทุนอะไร ซึ่งวิธีการชิงทุนนั้น อันดับแรกก็จะต้องดูว่าเรามีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ผู้สมัคร (ซึ่งทางมหาลัยเห็นคุณสมบัติต่างๆที่พี่ส่งไป เค้าก็เห็นว่าเรามีคุณสมบัติที่เข้าเกณฑ์ผู้สมัครทุนได้ เลยแนะนำให้เราลองชิงทุนค่ะ) จากนั้นหลังจากที่เราได้ Unconditional offer ในสาขาวิชาที่เราต้องการเรียนของมหาลัยนั้นแล้ว (สำคัญมากสำหรับทุนประเภทส่วนลด คือเค้าต้องให้แน่ใจว่าเราได้เรียนที่นั่นแล้วจริงๆค่ะ) เราก็จะต้องเขียน “เรียงความ” ส่งไป เป็นประมาณ Letter of Motivation แต่เน้นในเรื่องประวัติของเรา ความถนัด ความชื่นชอบ ความสามารถ และสิ่งที่เป็นเป้าหมายในชีวิต... ซึ่งสุดท้าย พี่ก็อาศัยโชคช่วยและได้ทุนมาจริงๆ ตอนได้นี่ดีใจมากๆค่ะ น้ำตาจะไหล T^T
                            
                                           
                                                       

"จัดกระเป๋า
งานเข้าแล้วเอย"

        หลังจากนั้น พี่ก็ดำเนินการทำเรื่องวีซ่า ตรวจร่างกาย จองหอพัก จองตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ ซึ่งทางเอเจนซี่คอยกำกับดูแล เลยรอดผ่านมาได้อย่างหวุดหวิด เอ๊ย หมายถึง เรียบร้อยดี 555+ ทีนี้ก็เหลือเรื่องหนักใจ 2 เรื่อง คือ 1. การจัดกระเป๋า ซึ่งเป็นโจทย์ที่แสนจะท้าทายว่า เราจะจำกัดของจำเป็นในชีวิตยังไงให้อยู่ในมวลน้ำหนักเพียงแค่ 30 กก.ได้ (น้ำหนักกระเป๋าสำหรับตั๋วนักเรียน ส่วนใหญ่จะได้น้ำหนักประมาณนี้ล่ะค่ะ) ซึ่งตอนแรกพี่ก็ปวดหัวมาก อยากจะเอานู่น นั่น นี่ ไปเยอะแยะมากมาย แต่สุดท้ายจริงๆแล้วของที่ว่าจำเป็นสุดๆอย่าง มาม่า น้ำปลา หรือข้าวสาร ที่อังกฤษก็หาซื้อได้ไม่ยากเลย หรือเสื้อกันหนาวที่ว่าอุ่นๆหนาๆ แต่เราก็ไปซื้อตัวใหม่ใส่อยู่ดี ข้าวของเครื่องครัวอย่างพวก จานชาม ช้อนส้อม หม้อ กระทะ ก็ไปซื้อต่อจากรุ่นพี่คนไทย ซึ่งเค้าก็ไม่อยากแบกกลับเมืองไทยอยู่แล้วเลยหาทางขายต่อถูกๆ หรือบางคนให้ฟรีๆเลยก็มี เพราะฉะนั้นของบางอย่างก็ไม่ได้จำเป็นต้องแบกไปให้ได้อย่างที่เราคิดเลยค่ะ ^^

                                       

"เงิน เงิน เงิน"

        เรื่องกลุ้มใจอย่างที่ 2 ก็คือเรื่อง “เงิน” คือการจะต้องพกเงินตั้งเยอะไปต่างประเทศ (สำหรับคนที่แม้แต่บัตรนักศึกษาก็ทำหาย บัตรรถไฟฟ้าก็ทำหาย โทรศัพท์ก็ทำตกน้ำ แว่นตาก็นั่งทับหัก คือว่า...แค่ดูแลรักษาของใช้ธรรมดายังเป็นเรื่องยาก แล้วนับประสาอะไรกับเงินก้อนโตๆ - -“) ให้ถือเงินสดไปทั้งหมดก็กระไรอยู่ ออกจะดูเสี่ยงโดยใช่ที่ ดังนั้นวิธีที่จะไม่ต้องถือเงินสดไป ก็คือ... ข้อใดดังต่อไปนี้...

ก.    โอนเงินข้ามประเทศ สะดวกสุดๆ ง่ายสุดๆ คือเราถือไปเฉพาะเงินที่จะใช้ในช่วงอาทิตย์ – สองอาทิตย์แรก แล้วพอไปเปิดบัญชีธนาคารที่นู่นได้ ก็โอนเงินจากไทยเข้าไป แต่วิธีนี้เสียค่าธรรมเนียมการโอนไม่ใช่น้อย (ทั้งค่าบริการการโอน และค่าส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารจะคิดอีกนะจ๊ะ)  
           
ข.    ซื้อเป็นเช็คเดินทางต่างประเทศ (Traveller’s Check) ถือเป็นเช็คไปใบเดียว ง่ายในการนำติดตัวเดินทาง ข้อเสียคือเช็คแบบนี้มีสภาพคล่องมาก คือถ้าทำหายก็ยุ่งยากหน่อย เพราะคนอื่นเอาไปใช้ได้ ต้องไประงับเช็คใบนั้นไม่ให้คนอื่นไปใช้ ต้องไปแจ้งความ และเอาใบแจ้งความไปออกเช็คใบใหม่อีก สรุปก็คือ...เหมือนถือเงินสด แต่ย่อมันไว้ให้อยู่ในรูปเช็คหนึ่งใบที่ดูแลง่ายหน่อยนั่นเอง
                
ค.    ซื้อเป็นดราฟท์ธนาคาร (Bank Draft) ค่าธรรมเนียมเพียง 200 บาท ระบุชื่อของเราและจำนวนเงิน สำหรับนำไปเปิดบัญชีธนาคารที่นู่น หรืออาจระบุชื่อมหาวิทยาลัยเพื่อนำไปจ่ายเป็นค่าลงทะเบียนเรียนเลยก็ได้ ข้อดีคือคนอื่นเอาดราฟท์ของเราไปใช้ไม่ได้เพราะระบุชื่อไว้ แต่ข้อเสียคือถ้าไปเอาเข้าบัญชี จะต้องใช้เวลาประมาณ 1-15 วันเงินถึงจะโอนเข้ามาค่ะ
                
ง.    ถือบัตรเครดิต (Credit Card)  ถือบัตรไปรูดปรื๊ดๆ แต่ต้องเป็นบัตรเครดิตระหว่างประเทศ เช่น  Visa, master, American Express เป็นต้น ข้อดีก็คือง่ายสุดๆต่อการพกพา บางคนก็กดเงินสดออกมาใช้ได้เลย แต่ข้อเสียก็คือเรื่องเงินค่าธรรมเนียมในการถอนเงินสูงกว่าบัตร ATM ทั่วไป (มาก)

        ใครชอบวิธีไหน สะดวกวิธีไหนก็เลือกกันได้เลยค่ะ อันนี้ไม่ใช่ข้อสอบปรนัย ไม่มีถูกไม่มีผิด เลือกกาได้เลย 555+ หรือใครจะเลือกข้อ จ. ถูกทุกข้อ แล้วเอามันไปทุกแบบทุกวิธีเลยก็ได้ ไม่มีใครว่า (แต่ลำบากตัวเอง ฮ่าๆ)

                                

"บินแล้วจ้า"

        และแล้วในที่สุด...วันเดินทางก็มาถึง... พี่เลือกที่นั่งริมทางเดิน เพราะว่าเป็นคนขี้เกรงใจ เวลาอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำจะได้ไม่ต้องรบกวนคนอื่นๆ แถมเวลาอยากจะเรียกแอร์เมื่อเค้าเดินผ่านไปมาก็ง่ายกว่า แต่ข้อเสียก็คืออดได้ผนังเครื่องบินไว้พิงนอน อดชมวิวที่หน้าต่าง แถมตรงทางเดินยังมีคนเดินไปเดินมาตลอดเลย (ทุกสิ่งอย่างมันมาพร้อมทั้งข้อดีและเสีย มันเป็นสัจธรรมโลก สาธุ T-T) ระหว่างนั่งเครื่องบินก็ฟุ้งซ่านนิดหน่อยค่ะ คิดหลายๆอย่าง เช่นว่า “ทำไมเราต้องไป” หรือไม่ก็ “ตัดสินใจไม่ไปตอนนี้ยังทันมั้ยวะ” 555+ เป็นความลังเลเฮือกสุดท้าย อารมณ์เหมือนเจ้าสาวก่อนเข้าพิธีแต่งงาน (ว่าเข้าไปนั่น 555+) แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว! จะกลับตัวตอนนี้ได้ยังไง...ก็เครื่องบินมันลอยอยู่กลางอากาศแล้ว เย้ย! ไม่ใช่ เราเตรียมการมาขนาดนี้แล้ว ไม่มีเวลาสำหรับความอ่อนแอ เราต้องสู้ต่อไปเพื่ออนาคต! *ดวงตาที่ลุกโชนด้วยความมุ่งมั่น มองออกไปยังท้องฟ้าสีทองเบื้องหน้าไกลๆ*  

                                 

"ถึงแล้วจ้า"

        พี่มาถึงสนามบิน Heathrow ประมาณเกือบเจ็ดโมงเช้าของอังกฤษค่ะ คนเยอะมากกกกกก (เติม ก. ต่อท้ายไปอีกแปดล้านตัว) ซึ่งเป็นนักเรียนซะส่วนใหญ่ แต่เป็นนักเรียนจีนเยอะมากกว่าไทยค่ะ มาถึงแล้วต้องกรอกใบนั่นนู่นนี่ระหว่างรอคิวตรวจคนเข้าเมือง รอคิวนานจนเมื่อยเลยค่ะ แล้วพอถึงคิวจริงเจ้าหน้าที่คนที่ตรวจพี่ก็ขอดูเอกสารเยอะแยะเชียว ทั้งที่นักเรียนไทยผู้ชายที่บินมาไฟล์ทเดียวกันอีกคนโดนตรวจแค่แป้บเดียวเอง... มารู้เอาทีหลังจากรุ่นพี่คนไทยที่มาก่อนให้หายสงสัยก็คือ เพราะพี่เป็นผู้หญิง เค้าก็คงกลัวเรื่องเข้าเมืองมากกว่าผู้ชาย (ช่างไม่ยุติธรรมต่อชะนี เอ๊ย ผู้หญิงเลย T^T)

     หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และเอากระเป๋าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาสู้ตายเพราะจากนี้ไปเราต้องยืนบนลำแข้งของตัวเองแล้วค่ะ! อันดับแรกคือต้องหาที่ขึ้นรถโค้ช (Coach) ซึ่งก็อยู่ใต้แอร์พอร์ทนั่นแหละค่ะ ใครไม่ทราบ แอบบอกทริคง่ายๆว่าไปทางเดียวกันกับที่ไป tube (รถไฟใต้ดิน) นั่นแหละค่ะ หาไม่ยาก หรือไม่ก็ถามพนักงานหรือคนแถวนั้นได้ แม่พี่สอนมาว่า “หนทางอยู่ที่ปาก” อยากรู้อะไรก็ถามเอาเลยค่ะ เราเป็นชาวต่างชาติ ทำอะไรไม่มีเสียหน้าอยู่แล้ว 555+

      อ้อ! ลืมบอกว่าที่ต้องหารถโค้ชก็เพราะพี่เรียนอยู่เมือง Leicester (อ่านว่า เลสเตอร์ เมืองที่อังกฤษชอบสะกดไม่สมเหตุสมผลกับการออกเสียงด้วยสาเหตุบางประการ เช่น Loughborough ก็ออกเสียงว่า ลัฟเบรอะ อะไรประมาณนี้ค่ะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องสะกดให้ยากๆด้วย - -“) ซึ่งเมือง Leicester ห่างจากลอนดอนไปประมาณ 2 ชม.ค่ะ จริงๆถ้าไปรถไฟจะเร็วกว่า และถูกกว่า แต่เพราะว่าพี่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วย (น้ำหนักเกิน 30 กก.มาเล็กน้อยพอน่ารัก...) ขึ้นรถไฟจึงไม่สะดวกเพราะไม่มีที่วางค่ะ แต่รถโค้ชนี่สบายมาก เค้าจับกระเป๋าเราโยนไว้ใต้ท้องรถ ส่วนตัวเราขึ้นไปนั่งรถชมวิวทิวทัศน์ตัวเบาๆได้เลย


                                               

"ที่พัก"

        มาถึงเลสเตอร์ประมาณสิบโมงกว่าๆนิดหน่อยได้ค่ะ มาถึงก็ต่อแท๊กซี่ไปหอพักเลย เรื่องที่พักเนี่ยมีน้องๆหลายคนถามกันเยอะค่ะว่า อยู่หอพักดีกว่า หรือหาบ้านเช่าอยู่กับเพื่อนดีกว่า พี่สตางค์มาลองๆวิเคราะห์ดู ได้ข้อดีข้อเสียออกมาอย่างนี้ค่ะ คือ

      หอพักนักเรียนมีความปลอดภัยสูง สะดวกสบาย ค่าน้ำ
ค่าไฟ (และบางทีรวมค่าเน็ตด้วย) ก็รวมอยู่ในค่าหอที่เราจ่ายรวบยอดไปหมดแล้ว ใช้เปลืองก็ไม่เป็นไร เปิดฮีตเตอร์มันทั้งวันทั้งคืนก็ได้ แถมยังมีความเป็นส่วนตัวเพราะเราอยู่คนเดียว สบายใจตรงนี้ แต่ของพี่ใช้ครัวรวมกับ Flat mate ค่ะ ก็มีต้องไปวุ่นวายเรื่องตู้เย็นกับทำความสะอาดครัวนิดหน่อยประปราย ส่วนบ้าน ข้อดีก็คือ ถูกกว่าอยู่หอ (รวมค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส ค่าเน็ต ค่าอะไรแล้วถูกกว่า) แต่เราต้องดูแลกันเอง คือคอยไปจ่ายค่าอะไรต่อมิอะไรเองทุกเดือน ต้องคอยประหยัดกันเอง แต่อยู่บ้านด้วยกันหลายคนก็อบอุ่นค่ะ มีเพื่อนเยอะ ไม่เหงา สนุกสนาน แต่ใครเจอเพื่อนร่วมบ้านชวนอารมณ์เสียก็โชคร้ายหน่อย เพราะเราต้องใช้ชีวิตอยู่บ้านนี้ไปอีกทั้งปี ถ้ามีเรื่องทะเลาะกันแล้วแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทนอยู่ด้วยกันไป อีกอย่างคือการอยู่บ้านหลายๆคนไม่เหมาะกับคนสันโดษที่ชอบความเงียบสงบค่ะ (เพราะเพื่อนๆจะชวนปาร์ตี้ตลอด คนไปป่วนก็พวกที่อยู่หอคนเดียวเหงาๆนี่แหละ 555+)

                                                  


"เรื่องของหอพัก"

       

     หอพักที่พี่อยู่ ชื่อว่า Opal Court ค่ะ เป็นหอค่อนข้างใหม่ แบ่งเป็นตึกๆ เรียกว่า block แบ่งเป็น block A, B, C, D แต่ละ block ก็มีอีกประมาณ 12-14 ชั้น ในชั้นเดียวกันก็จะแบ่งออกเป็น flat อีก ใน flat หนึ่งๆจะมี 5 ห้องค่ะ ซึ่งใน flat เดียวกันก็จะต้องใช้ครัวร่วมกัน (ยกเว้นจองห้องพักแบบ studio ที่มีครัวส่วนตัวด้วย) ในห้องครัวก็แบ่งเป็นส่วนทำอาหาร มีอ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ แล้วอีกด้านเป็นโต๊ะทานข้าวค่ะ

     พี่โชคดีหน่อย ได้ flat mate เป็นผู้หญิงหมด เป็นคนจีนสามคน คนไทยอีกหนึ่ง (ซึ่งมารู้จักกันที่หลัง) และตัวพี่อีกหนึ่งรวมเป็น 5 คน ทุกคนก็รักษาความสะอาดครัวกันดีค่ะ แต่เราก็ต้องผลัดเวรกันดูแล และคอยเอาขยะสดไปทิ้งในที่ทิ้งขยะใหญ่ของหอทุกวัน ส่วนห้องน้ำนี่มีในตัวของแต่ละห้องนอนค่ะ ในห้องนอนก็ไม่มีอะไรมาก มีเตียง (ตาม size ที่เราเลือก) มีโต๊ะทำงาน โต๊ะหัวเตียง ชั้นวางของ ตู้เสื้อผ้า ไม่มีอะไรมาก ถ้าอยากเล่นต้องลงไปส่วนกลางที่ชั้นล่างสุดของตึกค่ะ เพราะจะมีห้องนั่งเล่นรวม มีโต๊ะสนุกเกอร์ โต๊ะปิงปอง เปียโน โทรทัศน์ ชั้นหนังสือ (มายืมไปอ่านได้) แล้วก็มีห้องซักผ้า ซึ่งมีตู้ซักแล้วก็ตู้อบผ้าค่ะ ใช้งานง่าย แค่ใส่ผ้า ใส่ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม หยอดเหรียญ กดปุ่ม จบข่าว พอซักเสร็จก็เปลี่ยนมาใส่เครื่องปั่น อยากแห้งขนาดไหนก็หยอดเหรียญไป หยอดแพงหน่อยก็ปั่นนานหน่อย ผ้าก็ออกมาร้อนเลย แต่ระวังอาจจะหดได้ 555+         
         
                               

"วาระซื้อของเข้าบ้าน (หอพัก) แห่งชาติ"

        หลังจากเข้าไปพบกับความว่างเปล่าในห้องพักแล้ว พี่ก็ตัดสินใจว่าเราจะต้องออกไปซื้อของ (คือจริงๆ ถึงไม่ตัดสินใจ ยังไงก็ต้องไปอ่ะค่ะ ผ้าปูเตียง หมอน ผ้าห่ม ก็ไม่มี T_T)  ก็เลยชวนเพื่อนคนไทย (ที่รู้จักกันเพราะว่าติดต่อผ่านเอเจนซี่เดียวกัน) ไปซื้อของเข้าบ้านค่ะ พวกของใช้ เช่น กระทะ หม้อ ผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่ม ฯลฯ ก็ไปซื้อกันในห้าง Homebase โดยเฉพาะเครื่องกรองน้ำนี่ต้องซื้อไว้เลยค่ะ เป็นของจำเป็นมาก หน้าตาเครื่องกรองน้ำจะคล้ายๆเป็นเหยือกน้ำอันใหญ่ๆหน่อย มีที่กรองอยู่ตรงกลาง พอใส่น้ำก็จะกรองลงมาข้างล่าง กรองได้ทีละหนึ่งเหยือก ส่วนพวกของกิน ก็ไปซื้อ Tesco หรือไม่ก็ Asda (ซึ่งเป็นอารมณ์คล้ายๆ บิ๊กซี โลตัส บ้านเราอ่ะค่ะ ทุกคนคงพอนึกภาพออก) อีกทีก็ Mark&Spencer ขนมอร่อยมากมาย ^0^ อ้อ อยากแนะนำนิดนึงค่ะ สำหรับใครที่จะไปซื้อผ้านวม (ผ้าห่ม) อยากแนะนำให้ซื้อผ้านวมที่มี TOG เยอะๆ ( TOG มันเป็นหน่วยวัดประมาณความหนาของตัวไส้ผ่าห่มอ่ะค่ะ) จะนุ่มและอุ่นมาก ส่วนหน้าร้อนก็... หน้าร้อนมันไม่นานหรอกค่ะ ปีนึงมีแป้บเดียวเอง ซื้อแบบอุ่นๆไว้คุ้มกว่า 5555+

                              

"ตารางเรียน"

        มาพูดถึงเรื่องการเรียนกันบ้างดีกว่า สำหรับการเรียนปริญญาโทนั้นจะเป็นการเรียนที่เน้นการศึกษาด้วยตัวเองเยอะมากๆค่ะ คือเค้าชั้นเรียนที่เป็น lecture จริงๆแล้วอาทิตย์ละไม่กี่ครั้ง แต่จะมีเน้นที่เป็น seminar หรือ group discussion ค่ะ แล้วก็เวลาทำงาน assignment ทีนึงก็ต้องอ่านหนังสือเยอะมากกกกกกก แบบว่าอ่านกันเป็นตั้งๆ แถมยังจะต้องไปแย่งชิงหนังสือจากห้องสมุดด้วยค่ะ เพราะคนอื่นๆที่ทำหัวข้อเดียวกับเราก็มีเยอะ บางทีเข้าห้องสมุดไปแล้วเจอชั้นหนังสือ (section ที่เราต้องใช้) ว่างเป็นแถบๆ น้ำตาจะไหล 555+

     ห้องสมุดนี่เรียกว่าเป็นบ้านหลังที่สองของเราเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะว่าใช้ชีวิตอยู่กันทีเป็นวันๆ เวลามีงานกลุ่มหรือจะต้องเตรียมพรีเซ้นต์งาน ก็จะนัดเพื่อนมาเจอกันที่นี่ เพราะห้องสมุดจะมีห้องประชุมเล็กไว้บริการเยอะพอสมควรเลยค่ะ ใครอยากใช้ก็มาจองคิวกันได้ ในห้องมีโต๊ะ เก้าอี้ จออันใหญ่ไว้พร้อม คุยเสียงดังก็ได้เพราะเป็นห้องปิด แต่ข้างนอกห้องประชุมนี่ห้ามเสียงดังเด็ดขาด! เพราะจะมีผู้คุมเดินคอยตรวจความเรียบร้อยตลอดๆ


                                            

"เพื่อนต่างชาติ"

        นักเรียนปริญญาโทที่นี่มาจากหลากหลายเชื้อชาติมากๆค่ะ แต่ที่เป็น native หรือชาวอังกฤษน้อยมาก เข้าใจว่าคนอังกฤษไม่ค่อยนิยมเรียนต่อป.โทมากนัก ถ้าไม่ได้จะเป็นนักวิชาการหรือนำไปใช้ต่อจริงๆก็จะไม่เรียน ดังนั้นจึงเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ (แต่ป.ตรีนี่คนอังกฤษทั้งนั้นเลยค่ะ) คอร์สที่พี่ลงเรียนเป็นคนจีนเยอะมากๆ แบบว่าเกิน 80% เลยค่ะ ทั้งจีนแผ่นดินใหญ่และจีนไต้หวัน เข้าห้องเล็คเชอร์ทีนึงคิดว่ามาเรียนที่เซี่ยงไฮ้ไม่ใช่เลสเตอร์ 555+ คนไทยมีกันอยู่แค่ 2 คนเองค่ะ ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆจำนวนไม่มาก พี่เลยมีเพื่อนเป็นคนจีนซะเยอะเลย แต่ก็มีข้อดีคือคุยกันง่าย แล้วเวลาจะกินเลี้ยงกัน เพื่อนคนจีนก็จะพาไปกินที่ร้านอาหารจีน แล้วเปิดเมนูสั่งอาหารแบบเทพๆมาให้ชิม (เวลาเรามาเองต้องงมนานมากว่าเมนูไหนคืออะไร เพราะชื่ออาหารภาษาจีนเราก็ไม่รู้ แปลเป็นอังกฤษแล้วยิ่งงงเข้าไปใหญ่ค่ะ - -“) แต่ก็นับว่าเป็นมิตรภาพที่ดีมาก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่เลยค่ะ ^^
                                  
                     
                                 
                                        

"อยู่ที่นู่น..."

        เวลา 1 ปี แม้จะเป็นเวลาที่ไม่นานมาก แต่พี่ก็รู้สึกว่าตัวเองได้อะไรเยอะมาก แต่จะให้เล่าทั้งหมดกลัวน้องๆจะเบื่อกันซะก่อน 555+ เพราะฉะนั้นพี่ก็เลยสรุปประเด็นประสบการณ์ที่อยากแบ่งปันเป็นข้อๆละกันนะ ^^

1.    โลโบ้ (Lobo) คือนวัตกรรมที่ขาดไม่ได้!

        สำหรับคนที่ไม่รู้จัก...โลโบ้ คือเครื่องช่วยปรุงอาหารไทยสำเร็จรูปที่มาในรูปแบบเป็นผงหรือพริกแกง อย่างเช่น พริกแกงเขียวหวาน ผัดกะเพรา ผัดฉ่า ต้มยำ ต้มข่า ผงลาบ...โอย...มีทุกอย่างแม้กระทั่งผงข้าวผัด (อาหารที่เด็กๆ ถ้าพ่อแม่อนุญาตให้เปิดเตาแก๊สได้ ก็ทำได้) บางครั้งเจอเครื่องปรุงอาหารสำเร็จรูปเหล่านี้ยี่ห้ออื่นก็ตาม แต่คนไทยก็ยังนิยมเรียกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ว่าโลโบ้ (เหมือนแฟ้บ เครื่องซีร็อกซ์ ซันไลต์ นึกภาพออกใช่มั้ยคะ? ถ้าไม่ก็เปิดกูเกิ้ล หรือไม่ก็ถามคนข้างๆนะ พี่ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว 555+) ซึ่งสำหรับคนที่ทำกับข้าวไม่เป็น หรือคนที่คิดถึงกับข้าวไทยซึ่งทำได้ยาก เช่นผัดพริกแกง แกงป่า แกงเขียวหวาน แกงส้ม ฯลฯ การมีโลโบ้ติดครัวไว้ก็เป็นอะไรที่ช่วยได้มากเลยค่ะ

2.    คนจีนคือคนจีน คนไทยก็คือคนจีน (เอ๊ะ ยังไง?)

        ฝรั่งทักหนีห่าวกับพวกเราตลอดเวลา คนจีนก็พ่นภาษาจีนกับพวกเราตลอดเวลา แต่เราเองก็เดินเข้าร้านขายของจีนตลอดเวลา (ร้านจีนมีข้าว น้ำปลา มาม่า ผลิตภัณฑ์อาหารไทย แม้กระทั่ง “โลโบ้” ขาย) รวมถึงเดินเข้าร้านอาหารจีนด้วย (อาหารพื้นเมืองอร่อย.. อยู่ประมาณสองอาทิตย์แรก แล้วก็เลี่ยน ร้านอาหารไทยรสชาติแบบเอาใจฝรั่ง ซึ่งก็คือ รสชาติแย่ ทำเองอร่อยกว่า สรุปแล้วร้านอาหารจีนดีสุด ราคาสมเหตุสมผลสุดด้วย) ซึ่งจุดนี้ก็อาจจะเป็นเราเองที่ทำให้ฝรั่ง หรือคนจีนเข้าใจผิดว่าเราเป็นคนจีนได้เหมือนกัน 555+

3.    อย่าปล่อยให้อำนาจฝ่ายมืดมาชักนำเราได้...ง่ายๆ... (คือมันต้องมีอิดออดบ้างนะ เป็นมารยาท)

        อำนาจฝ่ายมืดมักมาในหลายรูปแบบ...ไม่ว่าจะในเรื่องช้อปปิ้ง...อาหารการกิน...การสังสรรค์...การทำงาน Assignment...เพื่อนฝูงที่ชักชวนไปทำเรื่องสนุกสนานจนเราเองละเลยความรับผิดชอบ...เมื่ออยู่ตัวคนเดียว เสียงอำนาจฝ่ายมืดมักจะดังกว่าเสียงอำนาจฝ่ายดี แถมยังไม่มีใครมาช่วยตักเตือน ดังนั้นขอเพียงยึดมั่นไว้ในใจให้ดีว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร สุดท้ายเสียงอำนาจฝ่ายมืดก็จะโดนกลบไป...ด้วยเพลงเกาหลี ถ้าเปิดดังพอ เย้ย~
                                  

        ไม่น่าเชื่อเลยว่าในที่สุดก็เรียนจบมาได้! *จุดพลุฉลอง* แต่ประสบการณ์ 1 ปีที่อยู่ที่นู่น ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาไม่นาน แต่พี่ก็รู้สึกว่าได้ประสบการณ์อะไรมากมายจริงๆนะ จะให้เขียนเพียงไม่กี่หน้ากระดาษมันไม่พออ่ะค่ะ! มันต้องเขียนเป็นเล่ม! (เว่อร์มั้ย 555+)

        อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้มีอะไรยากเกินความสามารถของเรา ขอเพียงแต่มีใจสู้... แล้วก็ที่สำคัญ...มีความรับผิดชอบต่อตนเองมากๆ...

        ประสบการณ์หนึ่งปีที่ผ่านมานับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ที่ทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งเติบโตแข็งแรงได้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าอาหารเสริมยี่ห้อไหนๆ ^^ และพี่รู้สึกขอบคุณทุกๆสิ่งที่ทำให้พี่ได้มีช่วงเวลาเหล่านั้น เพราะฉะนั้น สำหรับใครที่ยังลังเลอยู่ หรืออุปสรรคเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราไม่ยอมก้าวเดินต่อไปคือ “ความกลัว” แล้วล่ะก็ วันนี้เรามาสลัดความกลัวนั้นไปพร้อมๆกัน และเปิดประตูแห่งโอกาส... ที่มีแต่เพียงเราเท่านั้น ที่จะสามารถเปิดรับมันได้ด้วยตัวเราเองค่ะ ^^
                                                  

      
 
      ขอขอบคุณสำหรับการหลวมตัวติดตามอ่านมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ขอให้น้องๆทุกคนโชคดี และทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จให้ได้ หากมีอุปสรรคใดๆก็ขอให้ก้าวข้ามไปให้ได้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง เพราะเมื่อเรามองย้อนกลับไป เราจะเห็นได้เองว่าเรานั้นเก่งกาจขึ้นแค่ไหน ^^
พี่สตางค์ เป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนค่ะ! เย้~ ^0^

                              

บทความโดย : พี่สตางค์
ภาพประกอบ : พี่สตางค์

                  

พี่สตางค์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Abukadir 5 พ.ย. 55 00:46 น. 20
ที่อังกฤษเรียนหนักครับ พวก Coursework เนี่ย ผมมีทุกวิชา ถ้าน้องไม่เข้าใจ อธิบายง่ายๆ คือ เหมือนรายงานอะไรประมาณนี้ ของผมเผอิญเรียนด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่ไม่ตรงกับสาขาที่เรียนใน ป.ตรี ความยากเลยเป็นทวีคูณเลยครับ อีกอย่างที่นู่นจะสอบแบบรวบยอด คือ ที่เรียนมาตั้งแต่ต้นเทอมจนวันสุดท้าย จะอยู่ในข้อสอบทั้งหมด ไม่เหมือนเมืองไทยที่มีสอบกลางภาคแล้วก็ไม่ต้องสนใจเนื้อหาวิชาในส่วนที่สอบกลางภาคไปแล้ว

ส่วนห้องสมุด ผมไม่ค่อยได้เข้าสักเท่าไรหรอก จะหมกตัวในห้องนอนซะส่วนใหญ่ เพราะช่วงนั้นยังมีพวกเว็บไซต์ดาวน์โหลดพวกหนังสือ E-book ได้ แต่ตอนนี้ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ที่ทางการสหรัฐฯ ได้ปิดเว็บไซต์เหล่านั้นแทบจะทั้งหมดแล้ว

ส่วนห้างแบบคล้ายๆ โลตัส ก็มีเยอะ พวก ASDA, Morrison, Tesco แล้วก็มีห้างแบบของถูกๆ อย่าง PRIMARK, POUNDLAND ที่สินค้าบางตัวถูกกว่าไทยอีก (สินค้าพวกนี้ผลิตใน ไอร์แลนด์ สเปน หรือจีน) แต่คุณภาพก็เหมือนเป็นเงาตามตัวกับราคา แบบใช้ได้ครั้งคราวเท่านั้น

คนที่จะมาอังกฤษแนะนำให้เอากระเป๋าแบบใส่เหรียญมาดีกว่า เพราะเหรียญเยอะมาก จนบางครั้งเหลือจนใช้ได้ยาก (ถ้าเทียบกับเมืองไทยก็ประมาณเหรียญ 25 สต. 50 สต. ประมาณนั้น) อย่างเหรียญ 1 Pence เนี่ย ผมเคยเหลือแบบว่าหนักชั่งรวมกันแล้วประมาณเกือบ 1 กิโลฯ OMG!!!

ต้องเรียกว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่สนุก และเรียนหนัก ไปพร้อมๆ กัน
0
กำลังโหลด

65 ความคิดเห็น

keawliko 1 พ.ย. 55 13:04 น. 1
อิอิ เรียนจบปริญญาตรีแล้วก็อยากไปต่อโทอังกฤษบ้างจัง
ดูน่าสนุกจังเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่เอาประสบการณ์มาแชร์กันเนอะ^^
0
กำลังโหลด
lightwars Member 1 พ.ย. 55 16:13 น. 2
ว้าวววาวว ขอบคุณที่มาแชร์กันนะคะได้รู้อะไรดีๆเยอะเลย
555ทักหนีห่าวมา รัวไทยกลับไปน่าจะดี เขาจะได้รู้ว่าเราเป็นคนไทย><
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
2966 1 พ.ย. 55 20:30 น. 4
ขอบคุณคะเป็นแนวได้มากเลย
ที่บ้านหนูก็ไม่เคยมีใครมีประสบการณ์ไปเรียนเมืองนอกมาก่อน
ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ค่ะ T[]T
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
ณัฐณิชา 2 พ.ย. 55 19:49 น. 8
ช่วยส่งชื่อเอเจนซี่หน่อยได้ไหมค่ะ เพิ่งอยู่ม.6 เดือนที่แล้วเพิ่งไปเรียนอังกิดมา 1เดือน เพื่อจบปริญญาตรีแล้วอยากจะต่อโทอ่ะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
0
กำลังโหลด
datapan 2 พ.ย. 55 21:23 น. 9
อยากได้ชื่อของเอเจนซี่ค่ะ แต่ไม่เก่งภาษาเลยไม่รู้เรื่องอย่างมาก กลัวมากค่ะกลัวเรียนไม่รอด ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ mail นะคะ k-virus@hotmail.co.th
0
กำลังโหลด
urngiiz__♥ Member 2 พ.ย. 55 21:27 น. 10
กำลังจะไปปีหน้าเหมือนกันเลยค่ะ แต่คิดว่าจะไป york อยากอยู๋บ้านเหมือนกัน แต่กลัวเจอคนไม่ดีมาแชร์ด้วย ก็จะเซงไปป่าวๆ T_T ขอบคุณมากค่าะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
โนร่า Member 3 พ.ย. 55 11:22 น. 14

พี่สตางค์ -0- ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไรหรอค่ะ แล้วทุนนี่เค้าช่วยเราเท่าไรอ่า หนูอยากไปแต่งบน้อย 55 หนูอยากรู้คะแนนไอเอลของพี่ด้วยจังเลยค่ะ -0- ขอชื่อเอเจนซี่ด้วยได้ไหมค่า>< ขอบคุนพี่สตางค์มากๆเลยนะค่ะ พี่ทำให้หนูไฟที่จะไปเรียนต่อ แม้จะมีงบน้อย ภาษาอังกฤษเน่าๆ ก็ตามT^T

saresa7@hotmail.com



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2555 / 11:22
0
กำลังโหลด
ปั๊กสีกะปิ Member 3 พ.ย. 55 22:05 น. 16
อยากทราบค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยค่ะ แล้วอยากทราบว่ามันจะมีเป็นทุนเต็มมั้ยคะ
ทุนที่เขาออกให้ประมาณเท่าไหร่ ที่เราต้องออกเองและเตรียมไปเท่าไหร่บ้าง
ต้องทำคะแนนไอเอลเท่าไหร่คะ เอเจนซี่ฟรีนี่หายังไงบ้างคะ
หนูอยากไปเรียนด้านเดียวกับพี่เลยค่ะ เพราะตอนนี้ปริญญาตรีก็เรียนคณะนี้อยู่ค่ะ
ฝากพี่สตางค์ด้วยนะคะ nc_ice-ja@hotmail.com ค่ะ
0
กำลังโหลด
panpan_tak Member 4 พ.ย. 55 10:03 น. 17
เรียนต่อต่างประเทศโดยเฉพาะที่อังกฤษก็ดีอย่างนี้ เรียนสั้นจบเร็ว

เราซิเรียนต่อโทที่เมืองไทย 2ปีจะจบไหมนะ?? เมืองไทยนี่ชอบดึงเด็กในเรียนนานๆ

ปล.เราเรียนวิศวกรรมศาสตร์ นะคะ พอเข้าเรียนที่คณะก็การันตรีเลยว่าตั้งแต่ตั้งคณะมา

ไม่เคยมีใครจบก่อน 2ปีครึ่งนะคะ เป็นไงล่ะเอากะเค้าซิ
0
กำลังโหลด
T_M_C 4 พ.ย. 55 20:02 น. 18
อยากได้ชื่อเอเจนซี่แบบฟรีอ่ะคะ รบกวนพี่สตางค์บอกได้มั๊ยค่ะ ตอนนี้เรียนปีสามแล้ว อยากหาทางไปต่อโทที่เมืองนอกพอดีค่ะ (แต่ภาษาอังกฤษยังแย่มากๆอยู่เลย T^T)
ขอบคุณล่วงหน้านะคะ...นี่อีเมลล์ค่ะ ixohoxi_cinderella@hotmail.com
1
กำลังโหลด
Abukadir 5 พ.ย. 55 00:46 น. 20
ที่อังกฤษเรียนหนักครับ พวก Coursework เนี่ย ผมมีทุกวิชา ถ้าน้องไม่เข้าใจ อธิบายง่ายๆ คือ เหมือนรายงานอะไรประมาณนี้ ของผมเผอิญเรียนด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่ไม่ตรงกับสาขาที่เรียนใน ป.ตรี ความยากเลยเป็นทวีคูณเลยครับ อีกอย่างที่นู่นจะสอบแบบรวบยอด คือ ที่เรียนมาตั้งแต่ต้นเทอมจนวันสุดท้าย จะอยู่ในข้อสอบทั้งหมด ไม่เหมือนเมืองไทยที่มีสอบกลางภาคแล้วก็ไม่ต้องสนใจเนื้อหาวิชาในส่วนที่สอบกลางภาคไปแล้ว

ส่วนห้องสมุด ผมไม่ค่อยได้เข้าสักเท่าไรหรอก จะหมกตัวในห้องนอนซะส่วนใหญ่ เพราะช่วงนั้นยังมีพวกเว็บไซต์ดาวน์โหลดพวกหนังสือ E-book ได้ แต่ตอนนี้ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ที่ทางการสหรัฐฯ ได้ปิดเว็บไซต์เหล่านั้นแทบจะทั้งหมดแล้ว

ส่วนห้างแบบคล้ายๆ โลตัส ก็มีเยอะ พวก ASDA, Morrison, Tesco แล้วก็มีห้างแบบของถูกๆ อย่าง PRIMARK, POUNDLAND ที่สินค้าบางตัวถูกกว่าไทยอีก (สินค้าพวกนี้ผลิตใน ไอร์แลนด์ สเปน หรือจีน) แต่คุณภาพก็เหมือนเป็นเงาตามตัวกับราคา แบบใช้ได้ครั้งคราวเท่านั้น

คนที่จะมาอังกฤษแนะนำให้เอากระเป๋าแบบใส่เหรียญมาดีกว่า เพราะเหรียญเยอะมาก จนบางครั้งเหลือจนใช้ได้ยาก (ถ้าเทียบกับเมืองไทยก็ประมาณเหรียญ 25 สต. 50 สต. ประมาณนั้น) อย่างเหรียญ 1 Pence เนี่ย ผมเคยเหลือแบบว่าหนักชั่งรวมกันแล้วประมาณเกือบ 1 กิโลฯ OMG!!!

ต้องเรียกว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่สนุก และเรียนหนัก ไปพร้อมๆ กัน
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด