มันส์สุดขั้ว ทัวร์ยกออฟฟิศ! ทีมงาน Dek-D ออนทัวร์ มาเลเซีย

    ทริปนี้เราเดินทางกันด้วยสายการบินมาเลเซีย
แอร์ไลน์ โดยนัดพบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา
3.30 น. ...ไม่รู้จะเรียกว่าเช้ามากหรือดึกมากดี! ซึ่งการ
เดินทางจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยเวลาที่
มาเลเซียเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง เมื่อไปถึงที่หมาย
“ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์” เราก็ได้
พบสนามบินที่สวยงามทันสมัยสมกับเป็นสนามบินที่
ติดอันดับ 8 ของโลกจากการประกวด 2012 World
Airport Awards เนื่องจากมีการออกแบบอาคารที่
สวยงามในคอนเซ็ปต์ สนามบินในป่า มีพื้นที่สีเขียว
มากมาย สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึงปีละ 35 ล้าน
คน นอกจากนี้ยังเคยได้รับรางวัลระบบด่านตรวจคน
เข้าเมืองที่ดีที่สุดด้วย เริ่ดเวอร์!

    เมืองปุตราจายา เมืองใหม่ของมาเลเซีย โดยแนว
คิดของอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ที่จะ
สร้างเมืองเพื่อเป็นที่ตั้งของฝ่ายบริหารและประมุขของ
ประเทศ สถานที่ที่ห้ามพลาดสำหรับเมืองปุตราจายาก็คือ
“มัสยิดสีชมพู” หรือมัสยิดปุตรา ซึ่งเป็นมัสยิดแห่งเดียว
ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้

    พระราชวังแห่งชาติ หรือ "ISTANA NEGARA" เป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระราชา
ธิบดีแห่งมาเลเซีย ใหญ่โตรโหฐานสมกับเป็นพระราชวังจริงๆ ค่ะ โดยนอกจากมีพื้นที่กว้างขวาง
แล้ว ยังมีการรักษาความปลอดภัยอย่างดี และเราสามารถเข้าชมได้เพียงด้านหน้าเท่านั้น

    อนุสรณ์สถานมาเลเซีย สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหาร
ที่เสียชีวิตจากสงครามในอดีต โดยสร้างเป็นอนุสาวรีย์
เด่นสง่า และอนุสรณ์รูปปั้นทหารไว้ใจกลางน้ำพุล้อมรอบ
พร้อมกับปลูกต้นชบาสีแดง ต้นไม้ประจำชาติมาเลเซีย
ออกดอกบานสะพรั่งไว้รอบบริเวณ

    จัตุรัสเมอร์เดก้า หรือ Merdeka Square เป็นลาน
สนามหญ้ากว้างเขียวขจี ล้อมรอบด้วยอาคารสำคัญๆ เช่น
อาคารสุลต่านอับดุลซาหมัด ซึ่งเป็นศาลสูงของมาเลเซีย
(เดิมเป็นที่ทำการรัฐบาลอังกฤษ) หอนาฬิกาบิ๊กเบน
มาเลเซีย เป็นต้น รวมถึง “เสาธงที่สูงที่สุดในเอเชียตะวัน
ออกเฉียงใต้” ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ด้านหนึ่งของสนามหญ้า

    อิ่มและเหนื่อยกันมาเต็มวันแล้ว เราก็เข้าสู่ที่พักโรงแรม PUDU SENTRAL (มี wi-fi ฟรีด้วย
นะเออ) โดยตลอดทั้งทริปในวันแรก นอกจากเราจะได้ท่องเที่ยวสถานที่สำคัญๆ หลายแห่ง
ของมาเลเซียแล้ว ที่มาเลเซียซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนา ทั้งจีน มลายู
อินเดีย และตะวันตก ยังมีอาหารการกินให้เลือกชิมหลากหลายเช่นกัน และเราก็ได้อิ่มอร่อย
กับทั้งอาหารจีน อาหารเวียดนาม และอาหารสไตล์ชาบู ตลอดจนได้แวะเที่ยวชมสีสันของ
เมืองยามค่ำคืนอีกด้วย

    โบสถ์เซนต์ปอล เป็นโบสถ์เก่าแก่ถูกสร้างตั้งแต่สมัย
โปรตุเกสเข้ามาปกครอง โดยขณะนั้นโปรตุเกสได้สร้าง
สถานที่ราชการขึ้นมาแทนที่พระราชวังของสุลต่าน
มะละกาที่ได้เผาทำลายไป และสร้างป้อมปราการ
A’ Famosa (The Famous) เพื่อป้องกันการรุกรานจาก
ชาติอื่นขึ้นมาด้วย โดยครองเมืองอยู่จนกระทั่งเสียเมือง
ให้แก่ฮอลันดา (ฮอลแลนด์)

    จัตุรัสดัชต์ (Dutch Square) หรือที่เราเรียกว่าย่าน
ตึกแดงนี้ นับตั้งแต่ฮอลันดาได้ครองเมืองมะละกา ก็ได้
สร้างสถานที่สำคัญไว้ในมะละกาไว้มากมาย โดยปัจจุบัน
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ไม่เพียงมีความสวยงามโดดเด่นและมี
คุณค่าทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นเอกลักษณ์
ของเมืองมะละกาอีกด้วย

    นอกจากนี้ ที่จัตุรัสดัชต์ยังมีย่านการค้าซึ่งมีทั้งสินค้าท้องถิ่น ของพื้นเมือง ของเก่า ของที่
ระลึก และอาหารพื้นเมืองมากมายให้ลองชิมและเลือกซื้อหาอีกด้วย โดยพวกเราได้เดินเล่นที่
ถนน Jonker Street ซึ่งเต็มไปด้วยของขายสองฟากถนนน่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก โดยเฉพาะ
อาหาร อิอิ (แถมยังได้ของฝากจากที่นี่หลายชิ้นอีกด้วย)

    ถ้ำบาตู (Batu Caves) ศาสนสถานของพราหมณ์ หรือฮินดู มีรูปปั้นอนุสาวรีย์พระขันธกุมารที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 42.7 เมตร ที่ตั้งอยู่บริเวณปากทางขึ้น ถ้ำ อนุสาวรีย์นี้มีมูลค่าประมาณ 24 ล้านรูปี ใช้สีทองใน การทาองค์พระถึง 300 ลิตร

    ตึกแฝดปิโตรนาส (Petronas Towers) มีความสูง
452 เมตร จำนวน 88 ชั้น ในอดีตเคยมีสถิติเป็นตึกแฝด
ที่สูงที่สุดในโลก (ปัจจุบันสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก) ใช้งบ
ประมาณการก่อสร้าง 20,000 ล้านบาท การออกแบบได้รับ
แรงบันดาลใจจากเสาหินทั้ง 5 ของอิสลาม ผสมผสานกับ
โครงเหส็กที่ท่อหุ้มในแต่ละจุด ทำให้เป็นสถาปัตยกรรม
ที่สวยงามแปลกตา และที่สำคัญคือ การจะถ่ายรูปคู่กับตึก
ที่สูงขนาดนี้ ต้องใช้ท่ายากเท่านั้น!

เราใช้เวลาที่ตึกปิโตรนาสกันตลอดทั้งบ่าย
ไม่ใช่แค่สรรหาท่าทางมาถ่ายรูปคู่กับตึกเท่านั้น
แต่ยังหมดเวลาไปกับการช้อปปิ้งและชิมอาหารอร่อยๆ
อีกด้วย ฮ่าๆ

    สำหรับของที่ระลึกและของฝาก แน่นอนว่านอกจาก
จะเป็นบรรดาของที่ระลึกมากมายที่มีรูปตึกปิโตรนาสแล้ว
ก็ยังมีช็อกโกแลตอร่อยๆ อีกด้วย นอกจากนี้ก็เป็นของเก่า
ของพื้นเมือง ซึ่งไกด์พาเราทัวร์ไปชมจนครบ แถมด้วยสินค้า
แฟชั่นแบรนด์ดัง ทั้งของใช้และเครื่องสำอางที่ถูกใจสาวๆ
อย่างมาก

• ทุกรัฐ(จังหวัด) ทุกเมือง ของประเทศมาเลเซียจะมีธงเป็นของตัวเอง โดยจะมีธงชาติ
  แยกออกมาต่างหากอีก 1 ธง

• กษัตริย์มาเลเซียจะมาจากการคัดเลือกจากผู้ครองรัฐทั้ง 9 รัฐของมาเลเซีย
  โดยจะมีวาระคราวละ 5 ปี

• ต้นมะละกา “Malacca Tree” ซึ่งเป็นที่มาของเมืองมะละกา ก็คือ ต้นมะขามป้อม
  ของไทยนั่นเอง

• มาเลเซีย ก็มีสนามหลวงเหมือนบ้านเรา แต่ของเขามีชื่อว่า
  "เมอร์เดก้าสแควร์" (ลานอิสรภาพ)

• มาเลเซียมีตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก 
  และการจะถ่ายรูปตึกให้สวยเป็นเรื่องยากมาก

• มาเลเซียมีเสาธงที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความสูง 100 เมตร
  ตั้งอยู่ที่เมอร์เดก้าสแควร์

• เสาธงที่เมอร์เดก้าสแควร์ถูกชักธงประเทศมาเลเซียขึ้นหลังจากตก
  เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ โดยก่อนหน้านี้ มาเลเซียตกเป็นเมืองขึ้นของดัชต์

• เราสามารถนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปยังประเทศมาเลเซียได้ ในเส้นทางรถไฟ
  สายกรุงเทพ - บัตเตอร์เวอร์ธ โดยใช้เวลาเดินทาง 21 ชั่วโมง

• ที่ชั้น 4 ของตึกปิโตรนาส ในส่วนของอาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ (KLCC)
  มีเปโตรซายน์ส (Petrosains) ซึ่งเป็นศูนย์วิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยมากที่สุดแห่งหนึ่ง