คะแนนที่ว่านั้นก็คือ TOEFL หรือ IELTS ที่เขียนไว้แล้วในข้อแรกนั่นเอง หลายๆ คนอาจจะยังงงๆ ว่าคืออะไร?
- TOEFL(อ่านว่า โทเฟิล) และ IELTS (อ่านว่า ไอเอลท์) เป็นผลทดสอบ
ภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก มหาวิทยาลัยที่ไหนๆ ในโลกก็ยอมรับคะแนนพวกนี้ ดังนั้นน้องๆ ที่คิดจะโกอินเตอร์แน่นอน "ต้องสอบเก็บไว้"
- TOEFL มีการสอบหลายแบบ เช่น สอบด้วยคอมพิวเตอร์ สอบด้วยกระดาษ แต่วิธีที่นิยมที่สุดในปัจจุบันคือสอบด้วยอินเตอร์เน็ต เราเรียกว่า TOEFL iBT โดยมีคะแนนเต็มที่ 120 คะแนน มหาวิทยาลัยส่วนมากมักกำหนดที่ 70 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัย
ดังระดับโลก จะเรียกที่ 100 คะแนนขึ้นไปค่ะ สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุน
ต่างๆ พี่ว่าควรได้อย่างต่ำที่ 80 ขึ้นไปนะ สามารถสมัครสอบได้ที่ www.toefl.org หรือ
ผ่านเอเจนซี่ต่างๆ ที่เป็นตัวแทนรับสมัคร ค่าสอบอยู่ที่ 160 USD (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน) คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 5 พันบาทค่ะ
- ส่วน IELTS มีคะแนนเต็มที่ 9.0 มหาวิทยาลัยทั่วไปจะเรียกที่ 5.5 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้ามหาวิทยาลัยดังๆ ก็จะกำหนดไว้ที่ 7.0 ค่ะ สำหรับคนที่คิดจะสอบไว้สมัครทุนต่างๆ ควร
ได้ 6.0 ขึ้นไป สามารถสมัครสอบได้ที่ British Council ค่าสอบอยู่ที่ประมาณ 6 พัน
กว่าบาทค่ะ
- ทั้ง TOEFL และ IELTS ข้อสอบจะมี 4 พาร์ทคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดย
น้องต้องปึ๊กทั้ง 4 พาร์ท จะเก่งพูดแต่ไม่เก่งอ่านก็ไม่ได้ เพราะบางมหาวิทยาลัยก็จะมีเงื่อนไขคะแนนด้วย เช่น คะแนนสอบ IELTS แต่ละส่วนจะมีคะแนนเต็มที่ 9.0 จากนั้นจะนำมาหาร 4 เพื่อสรุปเป็นคะแนนตัวจริง
แต่บางมหาวิทยาลัยก็จะกำหนดว่า คะแนน IELTS ต้องได้ 6.5 ขึ้นไป โดยไม่
มีพาร์ทไหนได้ต่ำกว่า 6.0 ดังนั้นต่อให้บางคนได้่พาร์ทการพูด การเขียน การฟังเต็ม 9.0 แต่ได้พาร์ทอ่านแค่ 5.0 แบบนี้ก็ถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์มหาวิทยาลัยนั้นค่ะ (โหดมั้ยล่ะนั่น)
- คะแนนจะเก็บไว้ใช้ได้ 2 ปี ส่วนมากจัดสอบเดือนละ 2-4 ครั้ง ผลสอบจะออกหลังสอบประมาณ 2 สัปดาห์
- คนส่วนมากนิยมไปสมัครคอร์สติว TOEFL หรือ IELTS ก่อนสอบ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าค่อนข้างยาก ค่าสอบก็แพง ดังนั้นบางคนจึงยอมจ่ายแพงเสียเงินไปติวเพื่อความชัวร์ สอบทีเดียวจะได้ผ่านเลย
- แล้วจะเลือกสอบอะไรดี? ถ้าน้องคิดจะไปเรียนที่อเมริกา ควรสอบ TOEFL ค่ะ แต่หากจะไปแถบยุโรปหรือออสเตรเลีย ควรสอบ IELTS เพราะจะเป็นที่นิยมมากกว่า (แต่จริงๆ มันพอแทนกันได้ค่ะ)
***คำแนะนำจากพี่คือ ใครคิดจะสมัครทุนจริงๆ น้องควรต้องไปสอบเก็บไว้จริงๆ นะ มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆๆ เพราะบางทุนให้ระยะเวลาในการสมัครเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น!! ซึ่ง
พอถึงเวลานั้น น้องอยากได้ทุนนี้มาก แต่น้องก็ต้องชวดแน่นอน เพราะถึงน้องไปสมัครสอบ TOEFL หรือ IELTS แต่กว่าผลจะออกก็ 2 สัปดาห์แล้ว ดังนั้นไปสอบเก็บไว้ล่วงหน้าเถอะ
พี่ขอร้อง***
สอบ TOEIC แทนได้มั้ย?? TOEIC เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษที่มักใช้วัดความสามารถก่อนเข้าทำงาน ดังนั้นนิสิตนักศึกษาจะนิยมสอบกันค่อนข้างเยอะค่ะ มีคะแนนเต็มที่ 990 คะแนนค่ะ ข้อสอบไม่ยากมาก แถมค่าสอบก็ไม่แพง แค่พันกว่าบาทเท่านั้น
แต่!! จุดประสงค์ของข้อสอบ TOEIC จะต่างจาก TOEFL/IELTS เพราะ
TOEIC จะเน้นเพื่อเข้าทำงานซะมากกว่า ดังนั้นมหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรป
จึงไม่พิจารณาคะแนน TOEIC ค่ะ แต่พี่เองก็เคยเห็นพวกทุนการศึกษาบางทุนใน
แถบเอเชีย อนุโลม ให้ใช้ TOEIC ในการยื่นสมัครด้วย เพราะฉะนั้นน้องๆ ก็ควรไปสอบ
ตัวนี้เก็บไว้ด้วยนะ
นอกจากนี้ยังมี SAT เป็นผลสอบอีกตัวหนึ่งที่ "น้องๆ ที่อยากไปเรียนปริญญาตรีที่อเมริกา" ควรมีไว้ค่ะ ดังนั้นพวกทุนต่างๆ ที่จะให้ไปเรียนอเมริกามักกำหนดว่าต้องมีผลสอบ SAT ด้วย และยังมีหลักสูตรอินเตอร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงที่ไทยก็กำหนดด้วยว่า
ให้ใช้ผลสอบ SAT ในการยื่นสมัคร หรือแม้แต่บางมหาวิทยาลัยในบางประเทศ เช่น
สิงคโปร์ ก็กำหนดให้ใช้ SAT ในการสมัครเข้าเรียนเหมือนกันค่ะ ดังนั้นใครคิดว่าพอไหวก็ลองไปสอบนะ
น้องๆ ที่คิดจะไปเรียนต่อในประเทศที่ใช้ภาษาที่ 3 ต้องอ่านไว้ค่ะ โดยเฉพาะเกาหลี จีน ญี่ปุ่น น้องๆ ควรไปสอบวัดระดับภาษาเกาหลีนั้นๆ เก็บไว้ เพราะบางทุนกำหนดว่า "ต้องมีคะแนนวัดระดับของภาษานั้นๆ" ประกอบในการยื่นสมัครด้วย หรือบางทุนไม่ได้บังคับว่าต้องมี แต่ทุนนั้นๆ มักจะลงท้ายว่า "ผู้ที่มีผลคะแนนวัดระดับของภาษานั้นๆ
จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ" แล้วแบบนี้จะไม่ไปสอบเก็บไว้ได้ยังไงล่ะ??
ตัวอย่าง ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น(ปริญญาตรี) กำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครไว้ว่าต้องเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
- มีผลการเรียนเฉลี่ย 3.80 ขึ้นไป
- มีผลการเรียนเฉลี่ย 3.30 ขึ้นไปและมีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นระดับ 1 หรือ 2
- มีผลการเรียนเฉลี่ย 3.50 ขึ้นไปและมีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นระดับ 3 หรือ 4
น้องๆ หลายคนที่เกรดไม่ถึง 3.80 ก็ต้องชวดทุนนี้ไปอย่างน่าเสียดายมากกกก แหม
ถ้ามีผลสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นไปยื่นด้วยก็สบายเลย น่าเสียดายมากค่ะ นี่คือตัวอย่าง
ว่าทำไมเราถึงควรไปสอบวัดระดับภาษานั้นๆ เก็บเอาไว้
- การสอบวัดระดับภาษาจีน (HSK) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กลางปีและปลายปี สมัครได้ที่ มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่ง สำนักงานกรุงเทพ
- การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) จัดสอบปีละ 2 ครั้ง กรกฎาคมและธันวาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนสอนภาษาสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น
- การสอบวัดระดับภาษาเกาหลี (TOPIK) จัดสอบปีละครั้ง ตุลาคม สมัครได้ที่ โรงเรียนนานาชาติเกาหลี
นั่นก็คือกำหนดการการสอบคร่าวๆ นะคะ ขอย้ำเลยว่าควรต้องสอบเก็บไว้และติดตาม
ข่าวให้ดีว่าเขาจะเปิดรับสมัครเมื่อไหร่ อย่างก่อนหน้านี้มีน้องๆ มาถามพี่บ่อยมากว่า สอบวัดระดับเกาหลีเมื่อไหร่? ทั้งๆ ที่มันเพิ่งจะสอบเสร็จไปไม่นานนี้เอง T^T ดังนั้นต้องติดตาม
ให้ดีๆ ค่ะ
มาถึงหมวดเอกสารบ้าง เอกสารที่ใช้ในการสมัครทุนต่างๆ นั้นมีเยอะทีเดียวค่ะ พี่ขอแนะนำตามนี้
เอกสารที่ต้องขอจากโรงเรียน
- ใบแสดงผลการศึกษา หรือเรียกง่ายๆ ว่าทรานสคริปต์ คือใบที่จะบอกว่าเกรดแต่ละวิชาในแต่ละระดับชั้นที่ผ่านมา เราได้เท่าไหร่บ้าง หรือใบปพ.1 นั่นเองค่ะ
- ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียนหรือใบรับรองการจบการศึกษา คือใบที่ทางโรงเรียน
จะรับรองว่า เรานี่แหละมีสภาพเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้จริงๆ หรือหากน้องเพิ่งเรียนจบ
มา มันก็จะกลายเป็นใบที่รับรองว่าเราจบการศึกษาจากโรงเรียนนี้จริงๆ นะ
เอกสารทั้ง 2 ใบนี้สำคัญมากกกกค่ะ น้องสามารถขอได้จากฝ่ายทะเบียนของโรงเรียน และควรขอเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ(ถ้าโรงเรียนสามารถทำให้ได้)
คำแนะนำคือ ให้น้องขอไว้ทีเดียวอย่างละ 5-6 ใบเลยค่ะ เพราะบางทีเกิดอาการหลายใจ ทุนนั้นก็น่าสมัคร ทุนนี้ก็น่าสนใจ เราจะได้ไม่ต้องกลับไปขอใหม่บ่อยๆ เสียเวลาเปล่าๆ ให้ขอมาทีเดียวเยอะๆๆ เลยค่ะ ขอเป็นสิบใบเลยก็ได้ นอกจากนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าบางทุนเปิดให้สมัครแค่ 2 สัปดาห์ แล้วดันตรงกับช่วงปิดเทอมพอดี แย่เลย เพราะบางโรงเรียนก็ดำเนินการช้ามาก ใช้เวลาทีเป็นสัปดาห์กว่าจะเสร็จ ดังนั้นน้องควรไปขอมาตุนไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ
เอกสารที่เป็นของเราเอง
- สูติบัตร หรือใบรับรองการเกิด หลายคนคงสงสัยว่าทำไมพวกทุนการศึกษาถึงต้องขอใบนี้ด้วย?? คำตอบก็คือ เขาขอเพื่อไปดู "ความสัมพันธ์ระหว่างเราและบิดามารดา" ว่า
พ่อแม่เราชื่อนี้จริงๆ มั้ย พ่อแม่เราสัญชาติไทยจริงๆ หรือเปล่า ดังนั้นสูติบัตรเป็นอีกใบที่
ต้องใช้ค่ะ หากของใครอยู่ในสภาพที่เน่ามาก น้องๆ สามารถไปขอคัดสำเนาสูติบัตรได้ที่สำนักงานเขตค่ะ
- ทะเบียนบ้าน ส่วนมากจะใช้หน้าที่มีชื่อเรานั่นเอง
- หนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต บางทุนกำหนดว่าผู้สมัครต้องส่งสำเนาพาสปอร์ตไป
ให้ดูด้วย เพื่อดูว่าเรามีสัญชาติไทยจริงๆ มั้ย แต่หากใครไม่มีพาสปอร์ตจริงๆ อาจจะใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนแทนได้ค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้ก็เป็นภาษาอังกฤษกันหมดแล้วเนาะ
เอกสารที่ต้องนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ
เอาล่ะ เตรียมเอกสารสำคัญกันในมือครบแล้ว เอ๊ะ เอกสารที่เรามีมันเป็นภาษาไทย
หมดเลย ทำไงดี?? แน่นอนค่ะว่า ทางทุนเค้าอ่านไม่ออกแน่ๆ ดังนั้นเราจึงต้องนำเอกสารทั้งหมดไปแปลเป็นภาษาอังกฤษค่ะ
- น้องๆ ควรนำไปแปลตามร้านรับแปลเอกสารต่างๆ หาได้ทั่วไปตามริมถนน ใช้เวลา 1-2 วันเท่านั้น เอกสารที่ควรนำไปแปลคือ เอกสารที่ต้องเน้นความแม่นยำและถูกต้อง แบบว่า
แปลผิดไม่ได้เด็ดขาด นั่นก็คือเอกสารราชการค่ะ เช่น ใบสูติบัตร ใบทะเบียนบ้าน (ไม่
แนะนำให้แปลเองนะคะ เพราะแปลผิดขึ้นมาเดี๋ยวจะยุ่ง) ใช้เวลาแปล 2-3 วัน ค่าแปลหน้า
ละประมาณ 300 บาท
-
เมื่อแปลเสร็จเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาแล้ว ต้องมีการรับรองว่าเอกสารที่แปลนั้นถูก
ต้อง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมการกงสุล น้องๆ สามารถอ่านวิธีการยื่นคำร้องรับรองเอกสารได้ที่นี่ค่ะ
คลิกเลย ซึ่งหากน้องเกิดแปลเองและแปลผิด ทางกรมการกงสุลจะติดต่อกลับมาว่าแปลผิดนะ ใช้ไม่ได้ ซึ่งก็จะยิ่งเสียเวลามากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงควรให้ร้านรับแปลเอกสารแปลให้แต่แรกน่าจะดีกว่าค่ะ
- ส่วนเอกสารอื่นๆ เช่น ใบแสดงผลการศึกษา ใบรับรองสภาพการเป็นนักเรียน หาก
โรงเรียนไม่สามารถออกเป็นภาษาอังกฤษได้จริงๆ (แย่จัง) น้องก็ควรนำไปให้ร้านรับแปลเอกสารแปลเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ต้องนำไปรับรองที่กรมการกงสุลนะคะ (แต่พี่ก็เห็นมี
น้องๆ บางคนลองแปลเองเหมือนกันนะ)
- พอร์ตฟอลิโอ หรือ ใบประกาศนียบัตร ที่เคยได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่ซีเรียสค่ะ แปลเองได้โลด ไม่ต้องไปจ้างร้านรับแปลเอกสารก็ได้ค่ะ
***ทั้งหมดนี้สำคัญมากนะคะ อยากให้น้องๆ เตรียมเอกสารในมือให้พร้อมไว้
ล่วงหน้าเลย หลายคนสมัครทุนไม่ทันก็เพราะติดปัญหาเรื่องเอกสารนี่แหละค่ะ***
หากเป็นทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัย เราคงไม่ต้องคิดมาก เพราะหากได้ทุนมา ก็
ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยนั้นอยู่แล้ว แต่สำหรับทุนรัฐบาลของประเทศต่างๆ เช่น ทุนรัฐบาลเกาหลี ทุนรัฐบาลจีน ทุน 1 อำเภอ 1 ทุน เราสามารถเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเรียน
เองได้ค่ะ ซึ่งก็จะมีคำถามตามมา "พี่คะ หนูอยากเรียนด้านการเงินที่จีน มหาวิทยาลัยไหนดีและดังบ้าง?"
สิ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ตัวนี้ให้เราได้ก็คือ RANKING หรือการจัดอันดับค่ะ น้องๆ สามารถค้นหาจากกูเกิ้ลได้ไม่ยาก เช่น "TOP FINANCE PROGRAM IN CHINA" เพียงเท่านี้ กูเกิ้ลก็จะช่วยหาคำตอบให้เราได้แล้วค่ะ ดังนั้นน้องๆ ควรศึกษาล่วงหน้าไว้บ้างว่า สาขาที่เราอยากเรียนนั้นมีที่ใดดังบ้าง จะได้มีเป้าหมายมากขึ้นว่าเราอยากเรียนต่อในมหาวิทยาลัยไหน
ในโลกนี้มีทุนเยอะมากค่ะ ทั้งทุนยอดฮิตที่คนแย่งกันสมัคร และทุนที่ไม่ค่อยฮิตฮิตที่ไม่มีใครรู้จักแต่ก็แจกจริงให้จริงเหมือนกัน ดังนั้นหากเรารู้จักแหล่งรวบรวมทุนเด็ดๆ ล่ะก็ โอ้วววว สวรรค์เลย
และจะดีแค่ไหน ถ้ามี "โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอก" แค่เพียงคลิกเดียว ก็สามารถค้นหาได้แล้วว่ามีทุนให้เรียนในสาขาหรือประเทศที่เราต้องการหรือเปล่านะ ดังนั้น
คอลัมน์เรียนต่อนอกของเว็บไซต์ Dek-D.com เลยจัดให้ทันทีค่ะ!!
วิธีใช้ก็ง่ายแสนง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก เพียงแค่น้องๆ เข้าไปที่
www.dek-d.com/studyabroad/scholarship และค้นหาจากช่องรายการ โดยสามารถเลือกค้นได้จากประเทศ สาขา หรือระดับการศึกษา จากนั้นก็คลิกปุ่มค้นหา ระบบก็จะโชว์ว่ามีทุน
อะไรบ้างที่กำลังเปิดรับสมัครอยู่ตอนนี้ ง่ายมากๆ เลยค่ะ
นั่นก็คือ 6 ขั้นตอนในการเตรียมตัวก่อนสมัครขอทุนนะคะ อยากให้น้องๆ ลอง
นำไปใช้กัน ขอให้ได้ทุนไปเรียนต่อสมใจกันทุกคนเลยจ้า!! (บทความนี้ยาวมาก
มีใครอ่านจบมั้ยเนี่ย >_<)
62 ความคิดเห็น
ถึงตอนนี้จะเรียนตรีอยู่ ก็พยายามมองหาทุนต่อโทไว้บ้าง
เผื่อมีโอกาสจะได้เป็นเด็กนอกกะเค้า555
ขอบคุณมากๆเลย มีประโยชน์มาก อยากให้มีอะไรดีๆแบบนี้อีกบ่อยๆนะคะ
เป็นกำลังใจให้พี่เป้ค่า >[]<
แต่ตอนนี้เอาปัจจุบันให้รอดก่อน 555 สอบไฟนอลล
ถ้าแปลแล้วไม่ผ่านการกงสุล
แล้วส่งไปเลย ได้มั้ยคะ 555
ปัญหาทุกอย่างคลายได้อย่างสบายเพราะพี่ ขอขอบคุณจริงๆค่ะ
**ติดตามมาหลายกระทู้แล้ว
Au Pair in America
ให้ทุนไปทำงานและท่องเที่ยวในต่างประเทศ (Au Pair) เช่น อเมริกา, นอร์เวย์, ฝรั่งเศส, เยอรมัน เป็นระยะเวลา 1-2 ปี พร้อมรับทุนการศึกษาเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยของรัฐ โดยมีรายได้ถึงกว่า 300,000 บาทต่อปีจากการดูแลเด็กให้กับครอบครัวชาวต่างชาติที่พักอาศัยอยู่ด้วย เสมือนหนึ่งสมาชิกในครอบครัวโดยจะได้รับค่าตอบแทนเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน
คุณสมบัติผู้สมัคร
- เพศหญิง อายุระหว่าง 18-29 ปี
- จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือกำลังศึกษาอยู่หรือเทียบเท่า
- สื่อสารภาษาอังกฤษ หรือภาษาของประเทศนั้นๆ ได้
- สุขภาพแข็งแรง
Live-in Caregiver in Canada (ลิฟอิน แคร์กิฟเวอร์ อิน แคนาดา) คือโครงการที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการทำงาน ที่ประเทศแคนาดา ได้ฝึกภาษาและท่องเที่ยว เป็นระยะเวลา 1-2 ปี สิทธิพิเศษหากอยู่ครบ 2 ปีมีสิทธิสมัครเป็นพลเมืองถาวรที่ประเทศแคนาดาได้อีกด้วย
คุณสมบัติของผู้สมัคร
- มีอายุ18-40 ปี ไม่จำกัดเพศ ศาสนา เชื้อชาติและสถานภาพการสมรส
- สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ ฟัง พูดได้
- มีประสบการณ์การทำงานภายใน 3 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับ เด็ก คนป่วย ผู้สูงอายุ เช่น ครู พยาบาล ออแพร์ อย่างน้อยหนึ่งปี หรือ จบปริญญาตรี สาขาการศึกษาปฐมวัยอนุบาลศึกษา หรือจบพยาบาลศาสตร์ พยาบาลศึกษา ยกเว้นผู้ช่วยครู ผู้ช่วยพยาบาล
- สุขภาพแข็งแรง
หมายเหตุ
: บริษัทไทยแอนด์อเมริกัน คัลเชอรัลเอ็กซเชนจ์ จำกัด เป็นบริษัทที่เป็นตัวแทนดำเนินการในด้านคัดเลือกบุคลากรเพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในประเทศต่างๆ ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 13 แล้ว สนใจติดต่อสอบถามได้ที่บริษัทเพื่อรับทราบรายละเอียดเบื้องต้นของโครงการในแต่ละประเทศ และนัดสัมภาษณ์ ได้ที่
412/63 อาคารบ้านพหลโยธินเพลส ชั้น 3 (ฝั่งพลาซ่า), สามเสนใน, พญาไท กรุงเทพ 10400
โทร. 02 6191017, 02 6191048 แฟกซ์. 02-6191048
ขอนแก่น : 565 ถนนกลางเมือง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000 โทรศัพท์ : 043-227152
เชียงใหม่ : ชั้น 5 อาคารศิริพานิช ถ.ห้วยแก้ว 50200 โทรศัพท์ : 053-400977
ภูเก็ต : มือถือ : 083-068-6615
Website : http://www.thaiaupair.com
Email : info@thaiaupair.com
http://www.facebook.com/thaiaupair.bangkok