"พี่ลูกกอล์ฟ" เจาะเทคนิคฟันคะแนน Eng. 7 วิชาสามัญ

          สัปดาห์สิ้นปีหลังประกาศผล GAT-PAT 1/58 ไม่ใช่ว่าเด็ก ม. 6 จะทิ้งตัวได้ เพราะเปิดมาปีหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ สนามรบ 7 วิชาสามัญรออยู่ วิชาที่น่ากังวลคือ "ภาษาอังกฤษ" วันนี้ พี่ลูกกอล์ฟ คณาธิป สุนทรรักษ์ มาเปิดเทคนิคฟันคะแนนกันชัดๆ !!!!!
          คะแนน GAT-PAT 1/58 คะแนนทำเอาหงายเงิบกันเป็นแถบๆ แต่อย่าเพิ่งท้อไปค่ะ ยังมีสนามสอบที่จะมาช่วยกู้ชีวิตเราแน่ๆ ถ้าเราตั้งใจอย่างไม่ย่อท้อ !!! วันนี้พี่เมษ์ชวนพี่ลูกกอล์ฟมานั่งคุยกัน ฟันให้ชัดว่า 7 วิชาสามัญ โดยเฉพาะวิชา "ภาษาอังกฤษ" นั้น เราเอาอยู่!!! มาฟังกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรเด็ดๆ บ้าง งานนี้ อยากให้ตั้งใจฟัง เพราะน้องๆ จะได้กำลังใจ และเทคนิคดีๆ เพียบ!!!
      
     ความแตกต่างระหว่าง GAT / O-net / 7 วิชาสามัญ ?      
  
         
 พี่ลูกกอล์ฟว่านะ 3 ตัวนี้ เท่าที่ดูข้อสอบและสอนมา ดูจากชื่อก่อนทีละตัว
         GAT คือ General Aptitude Test เป็นแบบทดสอบทางความถนัดโดยทั่วไป ดูตามชื่อคำศัพท์ก็น่าจะเป็นคำศัพท์ทั่วไปที่เด็กน่าจะรู้หรือเคยเจอมาบ้าง แต่เท่าที่สอนมาพี่กลับรู้สึกว่าบางทีมันยากเหมือนกันเนอะ เราก็เคยรู้สึกว่า เอ้ย นี่มันทั่วไปจริงๆ เหรอ? ถ้าตามชื่อมัน มันควรจะต้องเป็นการวัดความถนัดโดยทั่วไปของเด็กสิ Get ม่ะ?
          ส่วน O-net อย่างนี้ มันคือ Ordinary หรือ โดยปกติ พี่ว่าใกล้ๆ กันมาก คือเป็นศัพท์ปกติ ถ้าเกิดถามพี่นะ พี่ว่าศัพท์คือคำที่เด็กควรเจอ ข้อสอบพวกนี้พี่ว่ามันควรจะเป็นข้อสอบที่วัดสิ่งที่เด็กเรียนมา และเด็กควรทำมันได้จากการเรียนมาที่โรงเรียน ไม่ใช่การมานั่งกวดวิชา 
          เท่าที่ดูเนื้อหาจริงๆ ถ้าเด็กๆ ตั้งใจเรียนที่โรงเรียนมาตลอด ถ้าเด็กๆ สะสมมาโดยตลอด ตั้งแต่ ม.ต้น ม.ปลาย มันจะรอด!!! ต่อให้เราไม่เรียนพิเศษ เราจะรอดเพราะว่าปัญหาของเด็กส่วนใหญ่ คือเด็กไม่ได้สะสมความรู้มา คุณไม่ได้เก็บความรู้มา แล้วพอจะสอบนี่แหละคุณเพิ่งมาเตรียมตัวไง นี่แหละคือช่องโหว่ที่ใหญ่มากของเด็กน้อยประเทศไทยของเรา ก็คือ เราไม่ได้สนใจมันมาตลอด เราเพิ่งมาฟิตเดือนเดียว เราเพิ่งมาฟิตสองอาทิตย์ เราเพิ่งมาฟิตสามเดือน ซึ่งบางทีมันไม่ครอบคุลมไง มันไม่มีทางรู้ทุกอย่างทัน เพราะว่าเวลาเค้าออก มันครอบคลุมมาก
 
         
 ส่วน 7 วิชาสามัญ ค่อนข้างเฉพาะ เพราะว่า 7 วิชาสามัญ ไมได้ต้องสอบทุกคน แล้วแต่ว่าคณะที่เราอยากเข้าใช้รึเปล่า เทียบกับ O-net นี่มันต้องทุกคน Gat ส่วนใหญ่ เด็กก็สอบแต่อย่าง 7 วิชาสามัญก็แล้วแต่คนที่จะต้องใช้มัน ดังนั้น ถ้าถามว่า
7 วิชาสามัญต่างกันมั้ย พี่ว่ามันมีความยากมาก โดยเฉพาะ Passage ของมัน คำศัพท์ของมัน ยากเหลือเกิน
   
   
               สิ่งที่น่ากลัวสำหรับ 7 วิชาสามัญ ?               
 
         
 พี่ว่าเป็นเรื่องของการทำไม่ทัน คือ เด็กๆ บ่นทุกข้อสอบนะว่าทำได้นะ แต่ทำไม่ทัน ซึ่งมันน่ากลัวนะ เพราะพี่ถือว่า จริงๆ คุณทำได้ แล้วเงื่อนไขมันคืออเวลา คุณต้องไปแก้ตรงนั้น หมายความว่า เวลาฝึกซ้อมทำข้อสอบ ปัญหาของเด็กคือ ไม่จับเวลา ย้อนกลับไปตอนเราเป็นเด็ก ตอนที่พี่ทำโจทย์พี่ก็จะบอกกับตัวเองว่า พี่มีเวลาชั่วโมงนึง เราต้องทำให้เสร็จให้ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่ แล้วเราก็จะแบ่ง จัดสรรเวลาเอง 
          เด็กหลายๆ คน เวลาเราไปทำโจทย์ย้อนหลัง บางทีเรานั่งไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ทำ 25 ข้อ เดี๋ยวค่อยทำเพิ่ม 10ข้อ เดี๋ยวเราไปกินน้ำ เดี๋ยวค่อยมาทำ Passage 1 อัน ดังนั้นถ้าถามว่าแนะนำยังไง เงื่อนไขมันคือเวลา และตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแย่ เราทำได้ ฐานศัพท์เรารู้ เราอุตส่าห์เรียนเทคนิคมาแล้วก็ต้องไปแก้ที่เงื่อนไขเรื่องเวลา ต้องจับเวลา ต้องบังคับตัวเองให้ได้ Manage ให้ได้ แล้วเรื่องพวกนี้มันไม่มีใครบังคับได้ เพราะบางคนทำพาร์ทนี้ถนัด บางคนทำพาร์ทนี้ช้ามาก บางคนทำพาร์ทนี้เร็วมาก ดังนั้นคุณก็ต้องไปประเมินตัวเองว่าแล้วเราจะให้เวลาในส่วนของมันแค่ไหนผ่านการเอาข้อสอบเก่าๆ นี่แหละ หรือแนวทางข้อสอบมาทำแล้วจับเวลาตัวเอง
          ที่สำคัญ เรื่องของคำศัพท์ที่หนูบอกว่ามันยาก คือสำหรับพี่ 7 วิชาสามัญ ศัพท์ยากจริง คือ มันยากมากกกกก คืออยากถามว่า คนออกข้อสอบเค้าต้องการอะไร? เค้าต้องการแค่ให้เด็กสอบผ่าน หรือให้เด็กทำได้? พี่ก็ไม่รู้เพราะเราไม่อยากไปยุ่งประเด็นนั้น แต่เราต้องบอกเด็กๆ ว่าเอาล่ะ แล้วจะทำยังไงให้เรารอดเพราะส่วนใหญ่เท่าที่รู้เด็กไม่ต้อง Excellent คือไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองยอดเยี่ยมใน 7 วิชาสามัญ แต่มันต้องทำให้ผ่านเกณฑ์เพื่อเอาคะแนนไปยื่นในคณะที่ตัวเองสนใจได้ ดังนั้นถ้าถามพี่นะ พี่ว่าอย่าเครียด เพราะข้อสอบนี้มันยาก มันยากจริงๆ คนที่เค้าเตรียมตัวมาแล้วยังพลาดเลยแล้วนับประสาอะไรกับเรา เราอย่าเพิ่งรู้สึกว่าเอ๊ะเราโง่รึเปล่า คือมันไม่ใช่
    

  
  
     2 สัปดาห์ก่อน 7 วิชาสามัญ ควรทำอะไรมากที่สุด ?     
  
         
 จริงๆ ถ้าเตรียมตัวมาแล้ว ให้ทำสมาธิ  แล้วก็นั่งทำข้อสอบเก่าบ้างแล้วที่สำคัญอย่าเครียดเกินไป พี่จะบอกเลยนะว่าเด็กไทย เรียนภาษาอังกฤษด้านเดียว คือเราเห็นมันแค่ในการสอบแต่เราไม่เห็นมุมมองอื่นๆ ของมัน เช่น เราไม่เห็นว่าจริงๆ แล้วมันสนุก ลองไปดูซีรีย์ที่เป็นภาษาอังกฤษแล้วเราอินกับมัน เราก็ได้คำศัพท์โดยที่เราไม่ต้องมานั่งท่อง
          หรือถ้าเรามีนิยายที่เราชอบเราก็อ่าน อย่างถ้าเรารู้สึกเครียดจากการอ่านหนังสือสอบเราอาจจะอ่านนิยายภาษาอังกฤษสักบทหรือ 2 บท บางทีศัพท์ยากกว่าในข้อสอบอีกนะ แต่เราอ่านเข้าใจ จำศัพท์ได้ ไม่รู้สึก Anti เพราะว่าเวลาเรามองภาษาอังกฤษเป็นแค่ด้านเดียวคือด้านที่เป็นสอบ แล้วมันฆ่าเราเนี่ย เราจะเกลียดมัน พอเกลียดมัน ความเกลียดชัง หรือความโกรธ ความหงุดหงิด มันจะไม่ช่วยเรื่องการจำ
          แล้วที่สำคัญ Pressure ไม่ช่วยเรื่องการทำข้อสอบ ยิ่งพอเราเริ่ม Push ตัวเองแล้วไปกาโจทย์ปรากฏว่าคะแนนไม่อัพซะที ทำยังไงดีล่ะ ยิ่งเครียด ซึ่งความเครียดเนี่ยแหละจะยิ่งทำให้กดดันในห้องสอบแล้วความกดดันพี่ไม่เคยเห็นว่ามันจะมีข้อดีเลยในห้องสอบ
          ดังนั้นถ้าถามพี่ ถ้าเตรียมตัวมาดีแล้ว ทำสติ แล้วก็ทำข้อสอบเท่าที่เราทำไหว แล้วจากนั้นเราก็อาจจะพักสมองเราโดยการไปดูสื่ออื่นๆ ไปดู YouTube ที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษที่มันเป็นประโยชน์ ไปดูซีรีย์ ดูฝรั่งไปเลย เปิด Subtitles ภาษาอังกฤษ เปิดไปเลย แล้วดูไปเลย  พี่ว่าสำหรับพี่นั่นไม่ใช่เรื่องของการเสียเวลา แต่เด็กหลายคนรู้สึกว่า อะไรนะ? จะสอบแล้ว จะต้องมานั่งดูหนังอีกเหรอ? แต่พี่ว่าไม่สำหรับพี่มันคือการผ่อนคลายสมองแล้วได้ความรู้ด้วยโดยที่เราไม่ยัดเยียด
          ส่วนใครที่ไมได้เตรียมตัวมา พี่ว่าหนูต้องทำใจ คือสำหรับพี่ พี่เป็นเด็กต่างจังหวัดแล้วเอ็นเข้านิเทศน์ จุฬาฯ พี่เข้าใจว่าทุกอย่างที่มันได้มา มันไม่ง่ายนี่มันไม่ใช่การจับสลากได้ มันไม่ใช่การเปิดฝาน้ำอัดลม หรือเปิดฝาน้ำชาแล้วพี่เข้าไปได้เข้าใจมั้ย 
          ดังนั้นหากเหลือ 2 อาทิตย์ แต่ไม่ได้เตรียมตัวมาเลย แล้วคุณจะมาเตรียมแค่สองอาทิตย์นี้คุณอาจจะทำโจทย์ให้ได้มากที่สุดแล้วคุณก็ต้องไปตายเอาดาบหน้าแล้ว เพราะว่ามันไม่พอ คือ จะให้ว่ายังไงดี มันไม่มีทางพอ
          แต่อีกมุมมองนึง อาจจะตั้งสติเหมือนกันพี่ว่าสติสำคัญมากในการทำโจทย์นะ แล้วก็ลองอ่านมันดีๆ ลองดูว่ามันพอมีเหลืออยู่บ้างมั้ยไอ้ความรู้ที่เราเคยเรียนมาเนี่ยเพราะอย่างน้อยมันต้องเหลือความรู้บางอย่างแหละ เข้าใจมั้ยว่าบางที่ที่เราเรียนที่โรงเรียนมา ต่อให้เราตั้งใจไม่ตั้งใจ ลองมีสติแล้วดึงความรู้ที่เรามีมาใช้ให้ดีที่สุด
   


  
  
               ข้อควรระวัง ใน 7 วิชาสามัญ ?               

          พี่ว่าน่าจะเป็นเรื่องของ Passage ข้อสอบยากมาก แล้วช๊อยส์ก็จะยากเหลือเกิน เหมือนล้ำไปเลย คิดว่าถ้าต้องเป็นเราสอบ ตอนเราอายุเท่าเค้า ไม่ได้มีความรู้ขนาดนี้เราคงแบบว่า คงไม่รอด
          เอาจริงๆ ไปลองถามเลย เอาข้อสอบมาให้คนวัยเราทำ ยังโหดเลยนะ  ก็เลยบอกเด็กว่าระวังเรื่องของแบบว่า Passage แหละ ที่ลองหัดดูหน่อย บางทีทำเยอะแล้วแต่ทำไม่ได้ บางคนคือทำโจทย์เยอะมากย้อนหลังไปแล้วไม่รู้กี่ปี แต่ก็ยังทำไม่ได้จริงๆ คะแนนไม่อัพจริงๆ อันนี้ต้องมานั่งวิเคราะห์แล้วว่า ปัญหาเกิดจากอะไร เช่น เราอ่อน Passage จริงๆ เราก็ต้องมาโฟกัสที่ Passage แล้วว่าตกลงแก่นของมันคืออะไร? ตกลงเค้าต้องการอะไรจากมัน? เทคนิคในการทำมันคืออะไรกันแน่?  
          ที่จริงมันมีคนทำคลิปใน YouTube เยอะมาก ไปลองหาดู เค้ามาแชร์กันเต็มเลยว่าอยากทำ Passage ให้ดีทำยังไง มองตรงไหน จากหลายๆ อาจารย์ด้วยนะ แค่เราใส่ใจ ปลายนิ้วเราเนี่ย คลิกเข้าไปดูแล้วเราก็เอาเทคนิคเหล่านั้นที่เค้าสอนเนี่ย มาลองทำดูเพราะถ้าเราทำไปเรื่อยๆ
          อีกมุมนึงก็จะมีเด็กที่ทำน้อยมาก ยังไม่เคยตะลุย ยังไม่เคยย้อนหลังอะไรสักอย่างแล้วบ่นว่า ทำไม่ได้ พี่ก็ต้องถามกลับว่า เห้ย นักเรียน แล้วไปกาข้อสอบย้อนหลังมาแล้วกี่ปีเนี่ย คำตอบของบางคนคือ ยังไม่ได้กาเลย คือเอ้า! แล้วมันจะทำได้ยังไงล่ะ แสดงว่าหนูก็ไม่เห็นแนวทางข้อสอบ หนูไม่เห็นฐานสอบที่ข้อสอบออกคำศัพท์
          คุยแบบแฟร์ๆ สมมติเรากาสัก 5 ปี แค่ 5 ปีนะ แบบตั้งใจ มีสติ ไม่เอาแบบกาเล่นๆ แบบนอนกานะ กาแบบเราโฟกัสกับมัน คิดซะว่ามันคือข้อสอบจริงที่เราต้องเจอ สมมติว่า 5 ปีที่เราเจอ มีศัพท์คำนึงที่ยากๆ อย่าง Penetrate ถ้าเจอครั้งนึง ราจะรู้สึกแอนตี้มาก แต่ลองคิดดูว่า สมมติเราเจอสัก 5 ปี เราจะคุ้นมากเลย พี่ว่าวัตถุประสงค์ของการกาข้อสอบย้อนหลังเยอะๆ คือ เพื่อให้เห็นว่าบางครั้งก็ต้องเจอคำศัพท์คำนี้มันวน ทำให้คุณคุ้นมันนะ อย่างศัพท์คำนึงมันมา 5 ครั้ง แสดงว่าคุณต้องรู้นะ บางครั้งมันอาจจะมา 3 ครั้ง บางครั้งมันมา 2 ครั้ง แต่เราก็คุ้นมัน แต่เด็กหลายคนก็คือ หนูทำไม่ได้ 2 ปีแล้วหนูก็มาบอกว่าหนูทำไม่ได้เลย อย่างงี้มันก็ต้องถามตัวเองว่ายังไงดี มันคือเราที่ไม่เตรียมตัวรึเปล่า
          พี่จะบอกเด็กๆ เสมอว่า บางทีเรามาหาอาจารย์ เรามาหาติวเตอร์ดีๆ หรือเรามาหาใครก็ตาม มาหาวิธีช่วย แต่ถามว่าสุดท้าย ตัวเราเนี่ยได้ทำมันเต็มที่แล้วรึยัง หากเราทำเต็มที่แล้วนะ เราต้องถามตัวเองว่า ทำเต็มที่กว่านี้ไม่ได้อีกแล้วนะ และเราไปทำข้อสอบ เมื่อคะแนนออกมาเป็นยังไง เราต้อง Happy กับมัน เพราะเราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว  ต้องเป็นเต็มที่แบบที่ว่าเต็มที่ที่สุดแล้วนะ ไม่สามารถเต็มที่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่ถ้าเรายังเหยาะแหยะอยู่ เรายังไม่ได้ฟิต เรายังไม่ได้ทุ่มเท แล้วคะแนนออกมาไม่ดี  เรามีสิทธิอะไรที่จะบ่น? ในเมื่อเรารู้อยู่แก่ใจว่า ที่จริงเรายังทำไม่เต็มที่และเราสามารถทำได้ดีกว่านี้แน่นอนหากเราตั้งใจ 
    


     
                    เทคนิคจำศัพท์ / เดาศัพท์ ?                    
   
         
 พี่ว่ามันจะมีศัพท์เฉพาะทางที่หนูก็ต้องทำใจนิดนึง แต่ว่าภาษาอังกฤษเป็นศาสตร์ของภาษาเนี่ย ภาษาเป็นศาสตร์ที่กว้างมาก เต็มไทยชอบเข้าใจผิดว่าเราต้องรู้ทุกคำ  ท่องต้องท่องอีกรึเปล่าอะไรแบบนี้  สิ่งนึงที่คุณต้องเข้าก่อนเลยคือภาษาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่กว้างมาก เหตุที่มันกว้างมากก็เพราะมันไปเกี่ยวข้องกับหลายๆ ศาสตร์ เช่นถ้าไปอยู่กับวิทยาศาสตร์ มันจะมีศัพท์วิทยาศาสตร์เฉพาะ บางทีมันไปเกี่ยวกับละคร สิ่งแวดล้อม ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มันก็จะมีศัพท์อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ดังนั้น ข้อแรกที่ต้องเข้าใจก่อนคือ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้ศัพท์ทุกคำ  ต่อให้เราจะป้องกันตัวเองดีแค่ไหน ฟิตมาก แบบโอ้โหท่อง Dictionary ตั้งแต่ A-Z  แต่เชื่อเถอะเข้าไปในข้อสอบ มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ทุกคำ
          คราวนี้สิ่งที่เด็กต้องระวังคือ การต้องเข้าใจก่อนว่าคำศัพท์แต่ละคำมีหน้าที่ของมันต่างกัน คำศัพท์บางคำที่เราเจอไม่ใช่คำศัพท์ใหม่ แต่เป็นคำศัพท์ที่เปลี่ยนหน้าที่ไป เช่น เราไปเจอคำว่า Stable เรารู้ว่าแปลว่ามั่นคง เสถียร แต่พอเราไปเจอในข้อสอบ มันเปลี่ยนเป็น Stability  เราอาจจะแปลก เราอาจจะตกใจ รู้สึกว่าเอ๊ะ นี่อะไรอ่า ไม่เข้าใจ ไม่เคยเจอ ทั้งๆ ที่มันแค่เปลี่ยนหน้าที่จาก Adjective เป็น Noun
          หรือบางทีเราท่องมาตลอด Probably ที่แปลว่า น่าจะ เรารู้เราเห็น Adverb ของมัน แต่พอเราไปเจอ Probable เราจะงง เอ๊ะ คำอะไรเนี่ย ไม่เคยเจอ ซึ่งจริงๆ แล้ว มันคือคำเดียวกันไง มันไม่ใช่คนละคำ!! แต่ Probably เป็น Adverb ส่วน Probable เป็น Adjective ของมัน
          หรือเหมือนเราเรียนคำว่า Mature ที่แปลว่าโตเป็นผู้ใหญ่ โตเต็มที่ พอเราเจอในข้อสอบกลายเป็น Immaturity เราตายเลยทั้งๆ ที่เค้าเอาแค่ Prefix อย่าง Im-  เข้ามาใส่ทำให้ Immature แปลว่า ยังไม่โต แล้วเค้าก็เปลี่ยนให้มันเป็น Noun เราก็ตาย งง ยากจัง หนีดีกว่า ซึ่งในความเป็นจริงเราต้องวิเคราะห์ก่อนว่า คำบางคำเรารู้นะ
         สมมิตอีกคำอย่าง Refuse แปลว่าปฏิเสธ พอเรามาเจอ Refusal นี่ไม่ใช่คำใหม่ มันคือคำเดิมที่เติม -al ใส่มาเป็นคำนาม แค่นั้นเอง
          ดังนั้น สิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่ต้องระวัง คือ คุณต้องเข้าใจคำศัพท์ก่อน รู้ว่าเค้าทำหน้าที่อะไร แล้วใครที่เกลียด Grammar เกลียดคำศัพท์นะ เชื่อพี่ ถ้าไม่ชอบเรียนกวดวิชา ไม่ชอบเรียนพิเศษนะ อ่าน หาสิ่งที่ตัวเองชอบ หานิยายดีๆ อ่านดู ช่วยใด้เยอะเลยเพราะนิยายดีๆ คนเขียนจะเก่ง เราจะได้แนวทางการใช้ประโยคหรือคำศัพท์ดีๆ มาเพิ่ม
          อีกอย่าง อย่าลืมถามตัวเองสักนิดว่าหนังสือที่เราอ่านอย่างจริงจังที่ไม่ใช่การอ่านหนังสือสอบ ล่าสุดเมื่อไหร่? อันนี้ช่วยได้สุดๆ คือ คุณต้องเข้าใจนะ หากคุณรักมัน มองมันว่ามันมีความรักอยู่ในนั้น มี Passion ไปกับมัน เราจะอิน ทุกครั้งที่สอบเราจะไม่รู้สึกว่ามันคือการสอบ มันจะกลายเป็นการทำในหนึ่งวิชาที่เรารักแค่นั้นเอง แล้วยิ่งภาษาอังกฤษมันเป็นศาสตร์ที่มีอยู่รอบตัว คุณอย่ามองแค่ในตำราตัวเอง มองไปให้รอบตัว ตามห้างดังๆ คอนโดดังๆ หรือที่ขึ้นตามป้ายบางทียากกว่าข้อสอบอีก พี่ยังต้องมาแชร์กับเด็กตลอด
          เล่าให้ฟังเลย เมื่อวันก่อนเลยเพิ่งแชร์ไป พี่ขับรถผ่านตรงเอ็มโพเรียม รถติดอยู่ พี่หันไปมอง มันจะขึ้น Emquartier ใหม่ มีคำศัพท์ 4 คำซึ่งยากมาก แต่ถามว่ามันอยู่ตรงนั้นของมันนะทุกวันแต่ถ้าเรานั่งรถผ่าน ไม่สนใจ มันก้จะเป็นแค่คำศัพท์ที่เราไม่สนใจ
          อย่างมีคำนึง Eccentric ที่แปลว่าแปลกประหลาด แปลกพิลึก มันคือคำที่ถ้าเราเจอในข้อสอบ เราจะรู้สึกว่า โอ้ย ยากจังเลย เอาอะไรมาออก ทำไมไม่ออกคำว่า Strange ทำไมเลือกออกคำนี้ ไม่ออกคำง่ายๆ เพราะมันคือระดับของภาษาไง! ภาษามันมีระดับของมัน ดังนั้นถ้าเราต้องไปสอบ เราก็ต้องเพิ่มพูน ให้มีระดับภาษาที่มันโอเคขึ้นมา เพื่อให้เราปลอดภัยในห้องสอบ
     


      
          ฝากทิ้งท้ายให้น้อง ก่อนสอบ 7 วิชาสามัญ          
   
          
พี่คุยกับนักเรียนทุกปีเลยนะว่า เวลาเราอยู่มหาลัยแล้ว เราจะมองกลับไปเราจะรู้สึกเลยว่าแบบทดสอบที่เราผ่านมาตอน ม. ปลายที่ตอนนี้มันดูยิ่งใหญ่มากสำหรับเรา แต่พอเราโตขึ้น มันจะกลายเป็นแค่แบบทดสอบเล็กๆ ในชีวิตเท่านั้น
          ตอนที่อยู่ตรงนี้ ที่ต้องผ่านมันไปให้ได้ พี่ขอให้น้องๆ ตั้งสติ ทำให้เต็มที่ และจำไว้เลยว่า ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เวลาอยู่ในห้องสอบ อยากทำเพื่อแม่ ทำไป อยากทำเพื่อใครทำไป แต่อย่าลืมว่า นี่เรากำลังทำเพื่อตัวเองอยู่ เพื่ออนาคตของตัวเอง ดังนั้นคนที่ทำเต็มที่แล้ว สุดท้ายเมื่อไปถึงปลายทาง มันจะรู้เลยว่า ทุกความเหนื่อย ทุกหยาดเหงื่อ ทุกความตั้งใจ มันส่งให้เราประสบความสำเร็จ และมันก็จะ Happy
          ดังนั้นตอนเนี้ยทุกข์ทรมานแค่ไหน โกรธเกลียดสังคม หงุดหงิดแค่ไหนก็ตาม ทำให้มันเต็มที่ และเมื่อมาถึงฝั่งมันจะโอเคมากๆ ส่วนใครที่พลาดไปก็มีโอกาสใหม่ อย่าเพิ่งโทษตัวเอง โอกาสมันมี มันยังไม่ได้จบแค่ตอนนี้ จบแค่การสอบครั้งนี้ครั้งเดียว มันมีโอกาสใหม่ๆ ทำโอกาสข้างหน้าให้ดี ทำให้เต็มที่กว่าเดิม 
          แล้วใครที่อยากเข้าที่ไหน พี่ก็ขอให้ทุกคนแอดมิชชั่นติดสมปรารถนา แล้วก็ถ้าไม่ได้คณะที่ตั้งใจ พี่ก็ขอให้ติดคณะที่อยู่แล้ว Happy มีความสุข และที่สำคัญสุดท้าย ให้น้องเป็นเด็กดี สำคัญมากแบบต้องขีดเส้นใต้ เพราะพี่ว่ามีความรู้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเป็นคนดีด้วย
   
     

         เป็นยังไงกันบ้างคะ จัดหนัก จัดเต็ม เต็มอิ่ม กับทั้งข้อคิดดีๆ คำเตือน ข้อควรระวัง เทคนิค คำศัพท์และก็กำลังใจอย่าล้นหลามจากพี่ลูกกอล์ฟ คณาธิป สุนทรรักษ์ เรียกได้ว่าครบเครื่อง พร้อมลุยสนามรบ 7 วิชาสามัญแน่นอน!!!!
          พี่เมษ์ก็มั่นใจว่าน้องๆ จะสามารถผ่านพ้นการสอบ 7 วิชาสามัญ และการแอดมิชชั่นจนประสบความสำเร็จ และสมปรารถนานะคะ ขอให้น้องๆ เชื่อมั่นในตัวเอง ทำให้เต็มที่ แล้วเราจะไม่เสียใจกับสิ่งที่เราได้ทำและผลลัพธ์ของมัน ,,, เอาละค่ะ 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ มีเวลา ก็ขอให้ลุยข้อสอบให้เต็มที่ เก็บให้ได้มากที่สุด อย่าลืมจับเวลา ทุ่มเทกับมันนะคะ สู้ค่ะน้องๆ
พี่เมษ์
พี่เมษ์ - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายการศึกษา

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

10 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
พิ้ง 29 ธ.ค. 57 14:21 น. 3-1
เราว่า cu-tep ง่ายกว่า เพราะมันมีพาร์ท listenning ให้โกยคะแนนด้วย ส่วน 7 สามัญ อ่านล้วนๆ ช้อยล้วนๆ เวลาจำกัดด้วย แต่เอาจริงๆเราก็ทำพาร์ท reading ไม่ทันทั้ง cu-tep แล้วก็ 7 สามัญอะ 555555 เวลาในการทำมันน้อย แต่ศัพท์ cu-tep เหมือนจะเดาง่ายกว่า 7 สามัญ 7 สามัญนี่ยากจริง ลองให้เพื่อนแคนาดาทำมันยังบ่นยาก มันถาม 'คนไทยสอบอะไรกัน ลองให้ลูกคนออกข้อสอบมาลองทำที อยากรู้ทำได้มั้ย' เราฟังแล้วขำกร๊ากเลย 55555555
0
กำลังโหลด
ขอบคุณนะคะ 28 ธ.ค. 57 14:02 น. 4
อ่านแล้วหนูมีกำลังใจที่จะเรียนภาษาอังกฤษขึ้นเยอะเลยล่ะค่ะ ^0^ ถึงแพทภาษาอังกฤษหนูจะพลาด แบบได้คะแนนน้อยมาก แต่จะไม่ท้อหรอกนะเพื่อคณะในฝัน ปล.ต่อไปนี้จะไม่พูดว่าเกียจภาษาอังกฤษอีกแล้ว ท่องไว้ๆ เราชอบมันๆๆๆๆ ^^ มาเป็นส่วนหนึ่งของฉันเถอะนะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
โอ่ยๆๆ 28 ธ.ค. 57 19:34 น. 6
หนูยังไม่เริ่มเลยคะ อ่านแล้วเสียใจกะตัวเองจังอะ จะเริ่มอ่านภายในสองอาทิตย์นี้หละทันไม๊ไม่รู้แต่เอาเหอะ พลาดดดอีกล้าาาาาาา มีลูกบอกลูกมีหลานบอกหลานนนนน รู้ตัวเร็วๆลูก อย่าไร้สาระะะะะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด