8 คดีคนหายที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com โลกของเราอาจจะเป็นดาวดวงน้อยๆ ในจักรวาล แต่โลกใบนี้ก็ยิ่งใหญ่มากสำหรับพวกเรา มีเรื่องที่เรายังหาคำตอบไม่ได้เต็มไปหมด อย่างการหายตัวไปของใครหลายๆ คนบนโลกที่ยังเป็นปริศนาอยู่จนทุกวันนี้ โดยเฉพาะการหายตัวไปแบบไร้ร่องรอย ไร้เหตุผล และไร้คำอธิบาย ฟังดูน่ากลัวนะคะ พี่พิซซ่า เลยจะพาน้องๆ ไปย้อนรอยดูการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาที่ติดอันดับโลกค่ะ


1. การหายไปกลางอากาศ


     ในปี 1953 เรืออากาศเอกเฟลิกซ์ มอนคลา กำลังประจำการอยู่ที่ฐานทัพอากาศคินรอสในรัฐมิชิแกน เมื่อยานบินไม่ทราบที่มาปรากฏขึ้นในจอเรดาร์ มอนคลาก็รีบขับเครื่องบินประจัญบานสกอร์เปี้ยน F-89 ไปตรวจสอบทันที

     เจ้าหน้าที่เรดาร์ภาคพื้นดินรายงานว่ามอนคลาบินด้วยความเร็ว 500 ไมล์ต่อชั่วโมงจนเข้าใกล้วัตถุปริศนานั้นในระยะ 7,000 ฟุต ขณะกำลังอยู่เหนือทะเลสาบซุพีเรีย แล้วทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ภาคพื้นหลายคนที่กำลังเฝ้าจอเรดาร์อยู่ก็เห็นว่าเครื่องบินของมอนคลารวมเข้าเป็นชิ้นเดียวกับยานบินลึกลับนั้น และหายไปจากจอพร้อมๆ กัน


     การค้นหาและช่วยเหลือต้องเจอกับความว่างเปล่า เพราะไม่มีซากหรือชิ้นส่วนไม่ว่าจะของลำไหนตกอยู่เลย องค์การการบินของแคนาดาเองก็ยืนยันว่าในเวลานั้นไม่มีเครื่องบินลำใดของแคนาดาอยู่ในบริเวณนั้นเลย นับแต่นั้นก็ไม่มีใครพบเห็นมอนคลาและเครื่องบินของเขาอีกเลย


2. การหายไปกลางทะเล


     ในปี 1955 เรือ MV Joyita ออกเดินทางเที่ยวสั้นๆ เป็นระยะเวลา 2 วัน พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 25 คน แต่เรือลำนี้กลับหายไปอย่างลึกลับกลางมหาสมุทรแปซิฟิคตอนใต้นานถึง37 วันกว่าจะถูกพบใกล้ฟิจิ

     เรือ MV Joyita ก็เคยได้ชื่อว่าเรือที่ไม่มีวันจมเหมือนกับไททานิค ซึ่งเรือลำนี้ก็ไม่ได้จมซะทีเดียว เพราะมันสามารถลอยเอื่อยๆ มาแบบน้ำท่วมครึ่งลำมาได้จนกระทั่งมีคนเจอ แต่สินค้าหายไปถึง 4 ตัน ทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ท่อนซุง อาหารและน้ำมัน เรือยางทั้งหมดหายไปแต่มีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดตกอยู่มากมาย


เส้นสีแดงแสดงเส้นทางที่เรือต้องเดินทาง แต่วงกลมสีชมพูคือจุดที่พบเรือในอีก 37 วันต่อมา

     นักวิชาการคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเรือน่าจะเกิดปัญหาบางอย่างทำให้น้ำไหลเข้าท่วมและเริ่มจม ลูกเรือจึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไป (น่าจะส่งเพราะวิทยุตั้งไว้ที่ช่องนี้ แต่ไม่มีหลักฐานว่าส่งสำเร็จ) ทุกคนจึงสละเรือ แต่เรือชูชีพมีไม่พอสำหรับทุกคน คาดว่าส่วนหนึ่งคงลอยคอในเสื้อชูชีพและรอการช่วยเหลือซึ่งไม่มีวันมาถึง จึงน่าจะค่อยๆ เสียชีวิตเพราะจมน้ำหรือฉลามกิน แต่ที่ยังน่าสงสัยอยู่คือเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ได้ขึ้นเรือชูชีพ พวกเขาหายไปไหน และเรือลำนี้มาโผล่ตรงนี้ได้อย่างไรหลังหายไปนานกว่า 1 เดือน


3. การหายไปกลางอากาศที่หลอนกว่า


     ปี 1978 นักบินเครื่องเซสน่า 182L เฟรเดอริก วาเลนทิค รายงานว่าพบเห็น UFO ระหว่างทางที่เขาบินไปยังเกาะคิง ประเทศออสเตรเลีย เขาระบุว่ายานบินลำดังกล่าวบินอยู่เหนือเขาสูงขึ้นไป 1,000 ฟุต อันที่จริงคือเขาพูดว่า "เครื่องบินแปลกๆ ลำนั้นร่อนอยู่เหนือหัวผมอีกแล้ว มันบินร่อนอยู่และมันไม่ใช่เครื่องบิน"


     หลังจากนั้นไม่นานเครื่องบินของเขาก็รวนและหายไปจากจอเรดาร์แบบถาวร แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าเฟรเดอริกเชื่อเรื่อง UFO เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงอาจมโนไปเองก็ได้ว่าเจอเข้ากับ UFO จริงๆ แต่เสียงที่ยังบันทึกได้ในช่วง 17 วินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะหายไปก็เป็นเสียงโลหะแปลกๆ ที่ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนบอกได้ว่ามันคือเสียงอะไรจนถึงทุกวันนี้ และในสัปดาห์เดียวกันนั้นเองก็มีรายงานการพบเห็น UFO บริเวณใกล้เคียงเข้ามาอีก 10 ฉบับ


4. การปล้นสะท้านโลก


     เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ D.B. Cooper (ดี.บี. คูเปอร์) มาบ้างแล้ว เพราะเขาเป็นสลัดอากาศชื่อดังที่สุดรายหนึ่งของโลก มีนิยายและภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากเขามากมาย

     เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1971 ชายคนหนึ่งจี้เครื่องบินโบอิ้ง 727 ที่กำลังเดินทางจากพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ไปยังซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน เขาเรียกค่าไถ่ได้เป็นเงินถึง 2 แสนเหรียญสหรัฐก่อนจะกระโดดออกจากเครื่องและหายไปแบบไร้ร่องรอยพร้อมกับเงินที่ว่านั้น


เงินในถุงของคูเปอร์ที่หาพบในป่าและริมแม่น้ำกลายเป็นของสะสมราคาแพง

     FBI ทุ่มเททุกอย่างเป็นสิบๆ ปีในการตามหาตัวคูเปอร์ แต่ก็ยังไม่สามารถไขคดีนี้ได้ นี่จึงเป็นคดีจี้เครื่องบินครั้งเดียวในประวัติศาสตร์การบินของสหรัฐอเมริกาที่ยังไขไม่ได้ แน่นอนว่าความเป็นปริศนาถึงทุกวันนี้ทำให้เกิดทฤษฎีขึ้นมามากมายที่พยายามอธิบายว่าดีบี คูเปอร์เป็นใคร เขาหายไปไหน และเงินหายไปไหน แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอจะสนับสนุนได้เลย แม้จะมีคนชื่อมาร์ล่า คูเปอร์ อ้างว่าเคยเห็นลุงของเธอกลับบ้านมาแบบสะบักสะบอมหลังคืนที่เครื่องบินโดนจี้ แต่แม้จะเทียบลายนิ้วมือแล้วก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าตกลงใช่หรือไม่ใช่กันแน่


5. การหายไปอย่างประหลาดที่สามเหลี่ยมเบนนิงตัน

     ถ้าพูดถึงเรื่องพื้นที่สามเหลี่ยมที่มักมีการหายไปอย่างลึกลับ เราก็จะนึกถึงสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา หรือสามเหลี่ยมมังกรที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แต่ยังมีพื้นที่สามเหลี่ยมเล็กๆ ที่ไม่ได้อยู่กลางทะเลอีกที่หนึ่งที่มีกรณีคนหายบ่อยๆ เช่นกัน บริเวณนี้คือสามเหลี่ยมเบนนิงตันในรัฐเวอร์มอนต์ของสหรัฐอเมริกา

 

     ช่วงที่มีการหายตัวไปบ่อยที่สุดบริเวณนี้คือระหว่างปี 1920 - 1950 โดยการหายไปที่จะนำมาเล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยค่ะ เพราะจริงๆ ในช่วงนั้นแทบจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ถึงปีละสองครั้งเลย

     วันที่ 1 ธันวาคม 1946 พอลล่า เวลเดน วัย 18 ปีหายไปขณะออกไปเดินเล่น เธอถูกพบครั้งสุดท้ายโดยกลุ่มนักเดินเขาที่กำลังเดินตามหลังเธออยู่ พวกเขาให้การว่าเห็นเธอครั้งสุดท้ายตอนที่เธอเลี้ยวไปตามทางเดิน แต่เมื่อพวกเขาเดินมาถึงเลี้ยวนั้นก็ไม่เห็นเธอแล้ว และการตามหาอย่างจริงจังจากเจ้าหน้าที่ทั่วเมืองก็ไม่เป็นผล

 

     วันที่ 1 ธันวาคม 1949 ทหารผ่านศึกนายหนึ่งนามว่าเจมส์ เทตฟอร์ดหายไปอย่างไร้ร่องรอยบนรถบัสที่คนแน่นขนัด ผู้โดยสาร 14 คนให้การว่าเห็นเทตฟอร์ดนั่งหลับอยู่ในที่นั่งบนรถแต่พอรถจอดเมื่อถึงที่หมาย เทตฟอร์ดก็หายไปกับอากาศเลย มีการสืบสวนและตามหามากมายแต่ก็ไม่มีใครได้เจอเขาอีกเลยเช่นกัน


6. การหายไปของกลุ่มฮิปปี้ที่สโตนเฮนจ์


ภาพกลุ่มฮิปปี้ที่เข้าไปตั้งแคมป์ในปี 1984 (ไม่ใช่กลุ่มที่หายไป)

     ในสมัยก่อนนั้นสโตนเฮนจ์ที่อังกฤษเปิดให้คนทั่วไปเข้าไปตั้งแคมป์หรือจัดพิธีกรรมทางศาสนาแบบค้างคืนได้ ซึ่งในเดือนสิงหาคมของปี 1970 ก็มีกลุ่มฮิปปี้เข้าไปกางเต็นท์นอนภายในวงหินพร้อมก่อกองไฟ แต่เวลาประมาณตีสองของคืนที่เกิดเหตุนั้น ก็เกิดพายุรุนแรงขึ้นในแถบนั้นและมีฟ้าผ่าลงมามากมาย

     พยาน 2 คนที่เห็นเหตุการณ์คือชาวไร่และเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การว่าพวกเขาเห็นฟ้าผ่าเป็นสายลงมาที่หินหลายก้อนของสโตนเฮนจ์ และบริเวณในวงหินก็เกิดแสงสีน้ำเงินที่สว่างมากจนพวกเขาต้องปิดตา ซึ่งขณะนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้คนในแคมป์นั้น และเมื่อสายฟ้าหายไป ทั้งคู่ก็รีบวิ่งไปที่สโตนเฮนจ์เพื่อจะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หรือคาดว่าจะเจอศพที่โดนฟ้าผ่าจนเสียชีวิต แต่สิ่งที่พวกเขาพบมีแค่เต็นท์ที่ไฟไหม้และกองไฟที่ยังไม่ดับเท่านั้น

 

     เสียดายที่ตอนนั้นยังไม่มีกล้องมือถือที่จะช่วยบันทึกภาพหรือคลิปได้อย่างฉับไว จึงไม่แน่ใจว่าทั้งหมดโดนฟ้าผ่าอย่างรุนแรงจนไหม้เป็นจุณแล้วปลิวไปกับสายลมหมดแล้วหรือไม่ แต่สโตนเฮนจ์เองก็มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้สงสัยว่าเรื่องนี้อาจมีอะไรมากกว่าตาเห็น


7. การหายไปของคนทั้งหมู่บ้าน


     ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บคืนหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ปี 1930 นายพรานชาวแคนาดา โจ ลาเบลล์ เดินทางมาจนถึงหมู่บ้านชาวอินูอิตที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ข้างทะเลสาบอันจิกุนิ แต่ลาเบลล์ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าคนทั้งหมู่บ้านหายไปแบบไร้ร่องรอย

     ลาเบลล์เจอชามสตูว์ที่พร้อมทานตั้งอยู่บนโต๊ะอาหาร เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ในบ้านก็วางอยู่ปกติ แต่หลุมศพในเขตสุสานของหมู่บ้านกลับถูกขุดขึ้นมาหมดและกลายเป็นหลุมเปล่า นอกจากนี้เขายังเจอศพฝูงสุนัขลากเลื่อนที่อดข้าวจนตายถูกฝังอยู่ใต้หิมะหนา 12 ฟุต


ตัวอย่างครอบครัวชาวอินูอิต (ไม่ใช่กลุ่มที่หายไป)

     ลาเบลล์รีบไปยังสถานีโทรเลขที่ใกล้ที่สุด และส่งข้อความไปแจ้งตำรวจภูเขาของแคนาดา ซึ่งเมื่อตำรวจมาถึงก็ไม่สามารถสรุปสาเหตุการหายไปของคนกว่า 2,000 คนในหมู่บ้านนี้ได้ แต่ก่อนหน้าที่ลาเบลล์จะไปถึงหมู่บ้านนี้ตำรวจก็ได้รับรายงานจากนายพรานหลายคน เรื่องการพบเห็นแสงสีน้ำเงินแปลกตาเคลื่อนที่อยู่แถวๆ เส้นขอบฟ้า นายพรานคนหนึ่งแจ้งว่าเห็นวัตถุบินได้รูปร่างประหลาดเคลื่อนที่ตรงมายังทะเลสาบอันจิกุนิ โดยตอนแรกวัตถุนี้มีรูปร่างทรงกระบอก แต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นทรงกระสุน


8. การหายตัวของแม่ลูก


โรงงานนั้น

     เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 1987 คอร์ริน่า มาลินอสกี้ คุณแม่วัย 26 ปีจากเซาธ์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา หายตัวไปขณะไปทำงาน รถของเธอจอดไว้หน้าโรงงานแต่ตัวเธอกลับไม่มาทำงานวันนั้น ซึ่งเรื่องแค่นี้คงไม่น่าติดอันดับความลึกลับหรอก ถ้าไม่ใช่ว่า...


ภาพแอนเน็ตต์ที่ปรับให้ดูมีอายุตามจริง

     วันที่ 4 ตุลาคม 1988 เกือบ 1 ปีต่อมา ลูกสาวของคอร์ริน่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน แอนเน็ตต์วัย 8 ปีหายตัวไประหว่างเดินทางไปโรงเรียน เด็กน้อยเดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายหน้าโรงงานแห่งเดียวกันนี้และหายตัวไปเลย เรื่องแปลกอีกอย่างคือที่ป้ายรถประจำทางนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่ โดยมีข้อความว่า "พ่อคะ แม่กลับมา ฝากกอดพวกเด็กผู้ชายด้วยนะคะ" แม้ลายมือจะดูเร่งรีบ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือก็สรุปว่าเป็นลายมือของแอนเน็ตต์แน่นอน หลายคนสรุปว่าคอร์ริน่าคงกลับมารับลูกสาวเพื่อที่จะได้หายไปด้วยกัน แต่ทำไมเธอถึงทิ้งลูกชายอีก 2 คนไว้ และทำไมต้องรอเกือบปี


     นอกจาก 8 เรื่องที่คัดมาแล้ว ยังมีเรื่องการหายไปอย่างลึกลับอีกมากมาย ไม่ว่าจะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาและครอปเซอร์เคิล หรือการหายตัวไปของทั้งอาณานิคมโรอาโน้ก หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่ระทึกขวัญที่สุดของปีนี้อย่าง MH370 ซึ่งพวกเราก็ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆ นานาเท่านั้น น้องๆ คนไหนมีเรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับแบบนี้อีกก็สามารถเล่าให้เพื่อนๆ ฟังได้เลยนะคะ


 



ข้อมูลและภาพประกอบ
www.oddee.com/item_99144.aspx, en.wikipedia.org, www.coinnews.net
listverse.com/2013/04/28/10-mysterious-disappearances-with-bizarre-clues
www.cracked.com/article_19765_the-5-creepiest-disappearances-that-nobody-can-explain_p2.html
www.toptenz.net/top-10-most-mysterious-disappearances-in-history.php
www.benningtontriangle.com, susiewoo.weebly.com, www.baitnthangs.com, doccotton.com
astronomologer.com, www.infobarrel.com
thevanishedarchives.wordpress.com/2014/08/16/the-mysterious-disappearances-of-korrina-sagers-malinkoski-and-annette-sagers/

 
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
SassY LadY Member 24 ธ.ค. 57 13:37 น. 3

หืม?

มันก็มีทั้งที่อธิบายได้ตามมโนภาพที่จะจินตนาการไป

และอธิบายไม่ได้เพราะสมัยและกาลเวลาไม่ใช่ช่วงเดียวกัน

จะเอาอะไรมากกับโลกใบนี้ที่ลอยคว้างได้อยู่ในจักรวาลโดยที่ไม่ร่วงหล่นตุ้บลงไปล่ะเนอะ

คงมีมุมอื่นๆ อีกเยอะที่เราไม่รู้และไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อีกเยอะแน่ๆ อ่ะ

เยี่ยม

0
กำลังโหลด
ทศพร กล่ำพรหมราช Member 24 ธ.ค. 57 20:24 น. 13

มีอีกเรื่องนึงจะฝากฮะ คือเรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่องบินทิ้งระเบิดลำนึงบินขึ้นเพื่อจะไปทิ้งระเบิดใส่เป้าหมาย แต่จู่ๆสัญญาณก็หายไปพร้อมกับเครื่องบิน พอช่วงจบสงครามโลก มียายแก่คนนึงแจ้งตำรวจว่าพบหิมะก้อนกลมๆสีแดงแถวๆหลังบ้านเธอ เจ้าหน้าที่นำไปตรวจสอบแต่ปรากฎว่าไม่ใช่หิมะ แต่เป็นเลือดคน!! ซึ่งผลที่ตรวจออกมาคือ DNA ในเลือดนั้นตรงกับลูกเรือที่ขึ้นเครื่องบินทิ้งระเบิดลำนั้นนั่นเอง...

6
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

41 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
SassY LadY Member 24 ธ.ค. 57 13:37 น. 3

หืม?

มันก็มีทั้งที่อธิบายได้ตามมโนภาพที่จะจินตนาการไป

และอธิบายไม่ได้เพราะสมัยและกาลเวลาไม่ใช่ช่วงเดียวกัน

จะเอาอะไรมากกับโลกใบนี้ที่ลอยคว้างได้อยู่ในจักรวาลโดยที่ไม่ร่วงหล่นตุ้บลงไปล่ะเนอะ

คงมีมุมอื่นๆ อีกเยอะที่เราไม่รู้และไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อีกเยอะแน่ๆ อ่ะ

เยี่ยม

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Chattida Member 24 ธ.ค. 57 15:06 น. 5

อันนี้เราดูมาแล้วที่ยำสยองค่ะ..เข้าไปติดตามดูคลิปได้นะคะที่

https://www.youtube.com/channel/UC9QuD0PuXkgBIWojQpihUGg

ยำสยอง จะรวมเรื่องราวลี้ลับ มีคำพูดอธิบายชัดเจนเลยค่ะ

เยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
สกปรก 24 ธ.ค. 57 15:17 น. 7
เอกยุทธ อัญชัญบุตร ลึกลับสุดแล้ว หายไปเป็นปุ๋ย รุ้ตัวคนบงการ สีกากีทีมอุ้มฆ่าเดียวกับ ทนายสมชาย นีลไพจิตร แต่ กลับไม่ดำเนินคดีตัวบงการ ทีมอุ้ม ที่มี ผู้บัญชาการนครบาลได้ดีเพราะพี่ให้รู้เห็น100% แล้ววงการสีกากี สีเขียว นักการเมือง ไม่มีใครสนใจ ตายฟรี
1
กำลังโหลด
poroyo Member 24 ธ.ค. 57 16:48 น. 8

การหายตัวไปอย่างลึกลับของอกาธา คริสตี้ก็น่าสนใจนะครับ

เธอเป็นนักเขียนนิยายสืบสวนชื่อดัง หายตัวไปตั้งสิบกว่าวันหลังจากที่รู้ความจริงว่าสามีนอกใจ

มีหลายๆ คนพยายามสันนิษฐานถึงวิธีการหลบหายไปของเธอ

แล้วเรื่องนี้ก็กลายเป็นต้นแบบของหนังเรื่อง Gone Girl ครับ

0
กำลังโหลด
กีรต้าร์ 24 ธ.ค. 57 16:49 น. 9
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นั่นมันมีก๊าซอะไรไม่รุ้ซักอย่างนี่แหล่ะที่มันจะดูด ให้ลบงไปน่ะ #เหมือนเคยอ่านเจอในหนังสือ งง
1
Ri'ya Member 30 ธ.ค. 57 19:02 น. 9-1
ก๊าซมีเทนค่ะ มันก็แค่ข้อสันนิษฐานนะคะ เพราถ้ามีมีเทนจริงต้องมีในปริมาณมหาศาล ซึ่งยังไม่น่าเชื่อถือเท่าข้อสันนิษฐานอื่นๆค่ะ
0
กำลังโหลด
Chanyanuch Member 24 ธ.ค. 57 17:05 น. 10

ขาดเรื่องการหายตัวไปของเดวิด  แลงนะ

จู่ๆก็หายไปต่อหน้าภรรยากับลูกชายและลูกสาวทั้งสองคน  คือ  ซาร่ากับยอร์ช

ท่านผู้พิพากษากับลูกเขยที่มาแวะเยี่ยมครอบครัวของเขาได้ยินเสียงกรี๊ดของมิสซิสแลง

ลงจากรถม้ามาช่วยกันตามหา  พวกเพื่อนบ้านก็มาช่วยตามหา

อีกหลายเดือนต่อมา  ตรงที่มิสเตอร์แลงหายไปมีต้นหญ้าขึ้นมา

แม่หนูซาร่ากับพ่อหนูยอร์ชบังเอิญไปวิ่งเล่นกันตรงที่พ่อหายตัวไปพอดี

และได้ยินเสียงร้อง  "ช่วยด้วย"  ของพ่อและก็หายไปเลยตลอดกาล

3
กำลังโหลด
kop 24 ธ.ค. 57 19:43 น. 11
อันนี้เราเจอกับตัวมาเองเลย แม่บ้านที่บ้านญาติหายไปแบบ ทุกคนอยุ่ด้านล่างหมดแล้วแม่บ้านคนนั้นขึ้นไปด้านบนแล้วไม่ลงมาอีกเลย
0
กำลังโหลด
ปริศนาทุกอย่างไขกระจ่างแล้ว 24 ธ.ค. 57 20:23 น. 12
1.ชนกับเครื่องบินไม่ทราบสัญชาติ ระเบิดกลางอากาศเป็นจุล ไม่เหลือซากให้ค้นหา 2.โดนโจรสลัดดักปล้นสินค้า อาหาร น้ำมัน ทิ้งไว้แต่คนเจ็บ(จากการต่อสู้กับโจรสลัด)บนเรือที่ไม่มีเชื้อเพลิง คนเลยตัดสินใจทำแผลคนเจ็บ แล้วลงเรือเล็ก เพื่อหาทางเอาชีวิตรอด แต่โชคไม่ดี ไม่มีเรือไหนมาพบ เลยอดตายกลางทะเลหรือถูกพายุซัดจนจมทะเลหมด ส่วนเรือถูกพายุและกระแสน้ำพัดไปติดเกาะจนคนมาเจอ 3.นักบินเชื่อเรื่องยูเอฟโอ เลยมโนว่าเห็นยูเอฟโอ แล้วพอดีเครื่องบินมีปัญหาระเบิดกลางอากาศหาซากไม่เจอ 4.ปล้นเงินได้แล้วโดดร่มหนีจากเครื่องบิน และหลบหนีไปในประเทศที่ไม่มีสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับอเมริกา เปลี่ยนชือ แซ่ แล้วเสวยสุขกับเงินที่ปล้นได้ 5.เนื่องจากเกิดเหตุคนหายบ่อย อาจมาจากหลายๆ สาเหตุ พวกผู้ร้ายที่จะก่ออาชญากรรม จึงฉวยโอกาสใช้สถานที่ดังกล่าวประกอบอาชญากรรม แล้วอ้างว่าคนหายจากเหตุลึกลับ 6.ขณะเกิดเหตุ พายุแรง และฟ้าผ่า ฮิปปี้โดนฟ้าผ่าจนไหม้เป็นเถ้า และถูกพายุพัดเถ้าออกไปจากบริเวณ หรือง่ายกว่านั้น คือฮิปปี้วงแตก บ้านใครบ้านมันหลังฟ้าผ่า 7.เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงเช่นพายุหิมะ และอาจไปพอดีกับความเชื่อท้องถิ่น ว่าให้อพยพด่วน โดยต้องเอาซากบรรพบุรุษที่ตายอยู่ในหลุมไปด้วย จึงอพยพไปอย่างเร่งรีบ พายุหิมะดังกล่าวพัดหิมะถล่มใส่หมาตาย จึงมีหมาถูกฝังใต้กองหิมะ 8.แม่วางแผนหนีสามี (อาจทนอยู่ด้วยไม่ไหวแต่ไม่กล้าเลิกเพราะกลัวถูกตามรังควาน) เลยหนีไปดื้อๆ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เปลี่ยนสถานที่อยู่ทุกอย่าง เพื่อไม่ให้สามีตามเจอ ต่อมา 1 ปี ชีวิตใหม่ลงตัวแล้ว อยากได้ลูกไปอยู่ด้วย เลยมาแอบเอาตัวลูกสาวไป จนลูกสาวทิ้งโน๊ตไว้ให้พ่อ แต่ไม่ได้มารับลูกชายไปเพราะ พ่ออาจระวังป้องกันลูกเข้มงวดขึ้นหลังการหายไปของลูกสาว หรือแม่อาจจะคิดว่าลูกชายควรให้อยู่กับพ่อก็ได้ เลยไม่พาไปด้วย
5
กำลังโหลด
ทศพร กล่ำพรหมราช Member 24 ธ.ค. 57 20:24 น. 13

มีอีกเรื่องนึงจะฝากฮะ คือเรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่องบินทิ้งระเบิดลำนึงบินขึ้นเพื่อจะไปทิ้งระเบิดใส่เป้าหมาย แต่จู่ๆสัญญาณก็หายไปพร้อมกับเครื่องบิน พอช่วงจบสงครามโลก มียายแก่คนนึงแจ้งตำรวจว่าพบหิมะก้อนกลมๆสีแดงแถวๆหลังบ้านเธอ เจ้าหน้าที่นำไปตรวจสอบแต่ปรากฎว่าไม่ใช่หิมะ แต่เป็นเลือดคน!! ซึ่งผลที่ตรวจออกมาคือ DNA ในเลือดนั้นตรงกับลูกเรือที่ขึ้นเครื่องบินทิ้งระเบิดลำนั้นนั่นเอง...

6
กำลังโหลด
กำลังโหลด
airrrrrr 25 ธ.ค. 57 04:48 น. 15
อ่านมาแปดเรื่องมีใครเอะใจมั๊ยว่าทุกเรื่องเกิดเกือบทุดเรื่องเกิดที่เดือน พฤษจิกาพอดี 5555 เกิดเดือนนั้นพอดีแหนะ555 เขิลจุง
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
เด็กน้อยในกองหิมะ Member 25 ธ.ค. 57 14:13 น. 18

อันที่จริงมันก็มีความเชื่ออีกหนึ่งอย่างแต่มันพิสูจน์ไม่ได้ การหายไปของคนเป็นร้อยเป็นพันคนไม่ใช้เหตุบังเอิญ หรือแม้แต่การเดินทางธรรมดาแต่จู่ๆก็หายไปมันก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้

หากพวกเขาเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติต้องเหลือเศษซากร่างกายเอาไว้บ้าง แต่นี่ไม่มัยก็มีโอกาศเป็นไปไได้ที่พวกเขาจะเดินทางผ่านรอยต่อของห้วงเวลา เพราะถึงมีคนให้ปากคำว่าเห็นอยา่งนั้นอย่างนี้มันก็เป็นความเชื่อที่สมัยก่อนสามารถเชื่อถือได้ แต่ถ้าเราดูในปัจจุบันแล้วนั่งคิดมันก็อาจจะเป็นเหตุว่า "สิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์เรา ที่อาศัยอยู่ในกาแลคซี่อื่นและมีเทคโนโลยีที่เหนือขั้นกว่าโลกของเราอยู่เป็นแน่" จักรวาลมันกว้างใหญ่และนักอวกาศทั้งหมดบนโลกยังสำรวจไม่หมด น่าจะเป็นคนพวกนั้นเอาพวกเขาไปก็ได้นะ

บอกตามตรงก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่มันลึกลับจนอดคิดไปทางนี้ไม่ได้จริงๆ แบบให้คิดไปทางอื่นก็คิดได้แค่ "เดินทางข้ามห้วงเวลา ไม่ก็มีคนมารับตัวไป"

1
Nong\'Nu Mike Chaethong Member 25 ธ.ค. 57 19:15 น. 18-1
บางทีอาจ หลุดเข้าประตูมิติปัยก้อได้ คัยจาปัยรู้ล่ะว่า บางทีอนาคตอาจสร้างไทม์แม็กชีนขึ้นมา แร้วข้ามเวลากลับมาจนทำหั้ยนักบินหลุดเข้าไปในห้วงเวลาตอนที่ยังมั่ยปิดก้ออาจแน่ //แต่ว่ามาหายปัยอย่างงี้.......//สงสัย
0
กำลังโหลด
Mamiar Member 25 ธ.ค. 57 16:19 น. 19

เป็นไปได้ไหมว่ามันจะมีโลกคู่ขนาน โลกอีกโลกหนึ่งสำหรับคนที่หายตัวไปอะ ...

ไหนๆ ก็ไหนๆละ เคยอ่านเรื่องนี้มาลองไปอ่านดูละกัน

   

 ชาวเมืองนอร์ฟอร์ค (Norfolk) แก่ๆ คนหนึ่งชื่อ สไควเรล (Mr. Squirel) งานอดิเรกของแก คือ การสะสมเหรียญเก่า และก็คล้ายๆ กับนักสะสมคนอื่นๆที่เก็บเหรียญเก่าไว้ในแฟ้มหรือซองพลาสติกที่ทำไว้สำหรับ เรื่องนี้โดยเฉพาะ ทำนองเดียวกับแฟ้มสำหรับนักสะสมแสตมป์ 

วันหนึ่งนายสไควเรลคนนี้เดินทางไปที่ เกรท ยาร์มัธ (Great Yarmouth) เพื่อหาซื้อแฟ้มหรือซองพลาสติกสะสมเหรียญ ซึ่งแกได้ยินมาว่ามีอยู่ร้านหนึ่งซึ่งขายสินค้าพวกนี้โดยเฉพาะ วันนั้นเป็นวันที่ 9 สิงหาคม ปี 2516 แกก็มาที่ร้านดังกล่าวนี้ ซึ่งไม่เคยมามาก่อนแต่ก็หาไม่ยากนัก เพราะเพื่อนฝูงสาธยายตำแหน่งแห่งหนให้รู้จนชัดแจ้งแล้ว สิ่งที่สะดุดตาอันแรกที่มาถึงร้านนี้ก็คือ หน้าร้านที่เป็นลานกว้างโรยด้วยก้อนกรวดขาวสะอาด เมื่อนายสไควเรลก้าวเข้าไปในร้าน แกรู้สึกว่าการตกแต่งร้านจะดูโบราณไปหน่อย แต่ก็ดูสง่างามน่าทึ่งไม่ว่าจะเป็นตู้โชว์หรือกรอบรูปข้างฝา รวมทั้งที่วางไม่เท้าทางประตูทางเข้า ซึ่งคนสมัยก่อนนิยมการถือไม้เท้าหรูๆ เมื่อหญิงสาวคนขายโผล่ออกมา แกก็ยิ่งแปลกใจใหญ่ เพราะผมเผ้าตลอดจนการแต่งเนื้อแต่งตัวดูเหมือนจะแกะออกมาจากแค็ตตาล็อคในยุคของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดแต่แกก็ไม่คิดอะไร เพราะแฟชั่นของสาวสมัยนี้แกเองก็แก่แล้วตามไม่ทัน ในระหว่างที่ถามหาสิ่งที่ต้องการ เฒ่าสไควเรลรู้สึกผิดสังเกตอย่างหนึ่งคือ ภายนอกร้านรู้สึกเงียบเชียบ ไม่มีเสียงรถราแล่นผ่านเหมือนกับมีการปิดกั้นการจราจร ทั้งๆ ที่ถนนหน้าร้านเป็นย่านจอแจแห่งหนึ่ง 

ในวันนั้นแกซื้อซองสะสมเหรียญเก่าถูกใจไปได้ใบหนึ่ง สัปดาห์ต่อมาพ่อเฒ่าสไควเรลแกชอบอกชอบใจย้อนไปซื้อใหม่อีก คราวนี้แกต้องแปลกใจมากๆ เมื่อไปถึงร้าน ไม่ใช่เพราะร้านย้ายหนีไปแล้ว แต่เป็นเพราะหน้าร้านนั้นเปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตา ลานกว้างที่โดรยด้วยกรวดสีขาวหายไปกลายเป็นทางเท้าริมถนนธรรมดา ทีแรกแกก็นึกว่าแกแล้วเลยทำให้จำร้านผิด เมื่อทบทวนและทบทวนอีกก็มั่นใจว่าร้านนี้แน่ๆ เมื่อสไควเรลก้าวเข้าไปในร้าน คิ้วของแกก็ยิ่งขมวดหนักขึ้นเพราะร้านนี้กลายเป็นร้านขายนาฬิกาไปเสียแล้ว ไม่มีวี่แววของร้านเดิมให้แก่พบเห็นเลย สิ่งที่แกได้มาก็คือ ซองใส่เหรียญซึ่งยืนยันได้ว่า ซื้อมาจากร้านตรงนั้นเมื่ออาทิตย์ก่อน เมื่อนำซองใส่เหรียญนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบดู ก็ได้รับคำตอบว่าลักษณะของซองเป็นของที่นิยมใช้กันในทศวรรษของปี 2463 ปัจจุบันไม่มีขายในท้องตลาดแล้ว!

ถ้าเป็นเรื่องจริงนี่คงขำไม่ออกแน่ แบบย้อนยุคกลับไปได้ยังไงเป็นเพราะรอยเชื่อมต่อของเวลาเหรอ แล้วผู้หญิงที่เป็นคนขายอะ ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอแบบประมาณว่านี่มันไม่ใช่ลูกค้าในสมัยของฉันนี่! ไรประมาณนี้ หรือว่า....โดนผีหลอก....ช็อค

4
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด