บุกร้านหนังสือชื่อดังกลางกรุงโซล คนเกาหลีชอบอ่านหนังสืออะไร?

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com...เจอกับ พี่เป้ และ KoreanKori ตอนพิเศษ ที่เราบุกไปถ่ายถึงเกาหลีใต้กันเช่นเคย วันนี้ก็เป็นตอนที่ 6 แล้ว^^ เชื่อว่าหลายคนที่เข้ามาเล่นเว็บ Dek-D ก็น่าจะเป็นหนอนหนังสือแฟนคลับ นิยายหรือฟิคกันในบอร์ดนักเขียนอยู่ไม่น้อย แล้วมีใครเคยสงสัยมั้ยว่า .... เอ๊ ในต่างประเทศเนี่ย หนังสือแนวไหนขายดี? จะเหมือนหรือต่างจากบ้านเรามั้ย? วันนี้เลยจะขอพาไปดูร้านหนังสือที่เกาหลีใต้ค่ะ

ทำไมต้องเกาหลีใต้? จากสถิติที่มีการสำรวจในปี 2012 โดย IPA Global Publishing Statistics ตลาดธุรกิจหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก 20 อันดับแรก มีประเทศในเอเชียติดอยู่ 3 อันดับ(ไม่นับรัสเซียและตุรกี) นั่นคือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และหากเปรียบเทียบว่า ประเทศไหนมีอัตราส่วนการผลิตหนังสือต่อปีสูงสุด โดยเทียบกับจำนวนประชากร นั่นก็คือ เกาหลีใต้ เพราะมีอัตราส่วนการผลิตหนังสือใหม่ในแต่ละปีอยู่ที่ ประชากร 1,182 คน : หนังสือ 1 เล่ม (ญี่ปุ่น 1,525 คน : 1 เล่ม / จีน 5,302 คน : 1 เล่ม)

สำหรับร้านหนังสือที่จะไป(แอบ)ถ่ายกันก็คือ ร้านหนังสือคโยโบ(교보) เป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดและดังมากที่สุดของเกาหลีก็ว่าได้ มีหลายสาขา สาขาที่เราไปกันมาคือ สาขาที่สถานีควางฮามุน รถไฟใต้ดินสาย 5 เดินออกมาแล้วเจอเลยจ้า ลองมาดูกันว่า หนังสืออะไรนะที่คนเกาหลีนิยมอ่าน

เริ่มที่หมวดภาษาต่างประเทศ มองเผินๆ เหมือนบ้านเราเด๊ะเลย เพราะหนังสือภาษาอังกฤษที่ขายดี ส่วนมากจะเป็นหนังสือสอนไวยากรณ์ระดับต้นซะส่วนมาก โดย อันดับ 1 ของช่วงนี้คือเล่มสีเหลืองที่ชื่อว่า Grammar Gateway Basic เป็นหนังสือสำหรับมือใหม่หัดเรียนภาษาอังกฤษ เรียกได้ว่าถ้าอยากเขียนหนังสือภาษาอังกฤษขาย ให้เลือกเขียนเล่มแบบเบสิคสำหรับคนเรียนเบื้องต้น ยังไงก็มีโอกาสขายดีแน่ๆ

อีกเล่มที่น่าสนใจคือ อันดับ 3 Speaking Matrix ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ใน 1 นาที พูดถึงระบบสมองและระบบการจำของมนุษย์เรา เพื่อฝึกให้เราสามารถคิดประโยคภาษาอังกฤษยาวๆได้ภายใน 1 นาที และจะมีแบบทดสอบให้ลองคิดด้วย

อย่างรูปด้านขวาคือประโยคภาษาเกาหลีสั้นๆ เราต้องลองพยายามเปลี่ยนประโยคเกาหลีนี้ให้เป็นประโยคอังกฤษที่ถูกต้องภายใน 1 วินาที น้องๆ ลองคิดให้ออกกันภายใน 1 วินาทีนะ

- ฉันมั่นใจในไอเดียของตัวเอง
- ฉันพอใจในสิ่งนั้น
- ฉันกังวลว่าจะอ้วนขึ้น

มาต่อกันที่หมวดอาหารและสุขภาพ ขอพูดโดยภาพรวม อันดับ 1 เล่มสีชมพูนั้นเป็นหนังสือไดเอตหรือลดความอ้วนนั่นเอง ส่วนตัวเลข 1:9 นั้นคือสูตรออกกำลังกายเพียง 1 ส่วน : ทานอาหารที่เหมาะสม 9 ส่วน แหม สาวๆ ชอบกันอยู่แล้ววิธีลดความอ้วนที่ไม่ต้องออกกำลังกายมากอะเนาะ 5555

ส่วนอันดับ 2 คือหนังสือสอนแต่งหน้าของเซเลบชาวเกาหลีสุดฮอตที่คนไทยน่าจะเคยได้ยินชื่อ นั่นก็คือ PONY นั่นเอง นางออกเล่มใหม่ทีไรก็ขายดีตลอด

หมวดต่อมาคือ การพัฒนาตนเอง เป็นหนังสือออกแนวนามธรรมที่อ่านแล้วต้องนำมาปรับใช้ คนเกาหลีชอบอ่านอะไรทำนองนี้มากกกก อย่างพี่เคยลองเปิดอ่านบ้าง แรกๆ ก็โอเคนะ แต่อ่านไปมารู้สึกมันติสท์เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ 55555 เหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบฮิปสเตอร์ในยุคนี้ซะจริงๆ ลองดูตัวอย่างกัน อย่างอันดับ 1 ชื่อหนังสือคือ 한번은 독해져라 แปลเป็นไทยคือ ลองเข้มแข็งดูสักครั้งหนึ่ง มาลองเปิดอ่านสารบัญดูบ้าง หัวข้อแต่ละเรื่องก็ประมาณนี้

บทที่ 1 : อยากหนีไปให้ไกล ไม่มีที่ไหนให้ฉันหนีไปเหรอ?
บทที่ 2 : มีความเครียดสะสม เป็นฉันคนเดียวเหรอที่ลำบากแบบนี้?
อะไรประมาณนี้ ดูเป็นอะไรที่แบบ...จับต้องย๊ากยากกกกกเนาะ

หรืออย่าง อันดับ 10 ชื่อหนังสือคือ 나는 외롭다고 아무나 만나지 않는다 หรือแปลว่า ฉันเหงาและไม่พบใคร เออ...ชื่อหนังสืออะไรฟะเนี่ย เหงาแล้วยังไง หาอะไรทำมั้ย บอกคนอื่นทำไม ต้องทำเป็นหนังสือเลยเหรอ 555 แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ ถ้าเทียบกันแล้ว คนบ้านเค้าเครียดกว่าบ้านเราเยอะ ทั้งการเรียนและการทำงานนี่กดดันสุดๆ ดังนั้นจะมีหนังสือแนวนี้ออกมาเยอะก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย

ถ้าเป็นชั้นหนังสือท่องเที่ยวบ้านเรา แทบทุกชั้นโดนเกาหลีกับญี่ปุ่นถล่มไปซะหมดแล้ว ยิ่งช่วงปีนี้อะไรๆ ก็ญี่ปุ่นทั้งนั้นเพราะตอนนี้ไปง่ายไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ที่เกาหลีใต้ หนังสือท่องเที่ยวอันดับ 1 เล่มสีเหลืองๆ คือ ลาว!!! โอ้ววว คนเกาหลีเริ่มนิยมเที่ยวลาวมากขึ้นแล้วเหรอเนี่ย ซึ่งก็น่าจะจริงนะ เพราะมีเพื่อนเพิ่งกลับจากลาว ก็บอกว่าระหว่างทาง 80% ที่เจอมีแต่คนเกาหลีทั้งนั้นเลย

อันดับที่น่าจับตามองคือ อันดับ 11-12 คือหนังสือเที่ยวไต้หวัน คนเกาหลีนิยมเที่ยวไต้หวันแต่คนไทยยังไม่ค่อยนิยม เพราะคนไทยไปไต้หวันต้องใช้วีซ่า ส่วนคนเกาหลีไม่ต้อง นี่คนไทยหลายคน(เราด้วย)ก็รอกันเนาะว่าเมื่อไหร่จะได้ไปไต้หวันแบบไม่ต้องใช้วีซ่าซักที เพราะหลายคนที่เคยไปมาบอกว่ามันโอเคมากๆๆ ค่าครองชีพถูก อาหารการกินดี เที่ยวก็ง่าย

หมวดต่อมา เป็นอีกหมวดที่เห็นได้ชัดมากกกกกกกกกว่าต่างจากบ้านเรา สุดขีด นั่นคือหมวดเศรษฐศาสตร์และการบริหาร ถ้าใครเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ จะเห็นชัดมากๆ ว่า ที่ไทย 2-3 ปีนี้ มีแต่หนังสือสอนเล่นหุ้น การวิเคราะห์หุ้น กองทุน หนังสือเล่าชีวิตคนรวย ลาออกซะ รวยได้ก่อนอายุ 30 อะไรก็เน้นรวยมาก่อน บลาๆ อะไรทำนองนี้เต็มไปหมด แต่น่าแปลกมากๆ ที่หนังสือขายดีในหมวดนี้ของเกาหลีไม่มีหนังสือแนวนี้เลยค่ะ คือไม่ได้จะเทียบนะว่าบ้านเค้าหรือบ้านเราดีกว่า แต่รู้สึกว่า เออ แปลกดีแฮะ

แล้วอะไรล่ะขายดี? แทบจะไปทางเดียวกันคือ เทรนด์ในอนาคต" อย่างตอนที่ไปร้านหนังสือเป็นช่วงพฤศจิกายน อีกแป๊บๆ ก็จะปลายปีแล้ว ดังนั้น อันดับ 1 ที่ขายดีที่สุดคือ Trend Korea 2015 หนังสือที่รวบรวมแนวคิด ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคว่าในปี 2015 อะไรจะมาแรงบ้าง

อันดับ 4 ที่ขายดีก็เป็นหนังสือเทรนด์ปี 2015 แต่เป็น Mobile Trend หรือ
เทรนด์โทรศัพท์มือถือนั่นเองค่ะ

มาดูที่อันดับ 7 นี่ก็เป็นหนังสือที่พูดถึงปี 2030 "อนาคตที่กล้าหาญ" เพื่อ เตรียมรับมือกับสภาพเศรษฐกิจของเอเชียในอนาคต

ปิดท้ายด้วยหมวดนิยายขายดีบ้างดีกว่า ขอพูดถึงอันดับ 1 อันดับเดียวละกัน (เพราะเล่มอื่นไม่รู้จักนั่นเอง T_T) มองไกลๆ หลายคนต้องรู้จักซีรีส์เรื่องนี้แน่ๆ นั่นคือ 괜찮아 사랑이야 หรือ It's Okay, It's Love ซีรีส์เรื่องดังในปี 2014 ที่ออกวางขายในรูปแบบหนังสือ ถือว่าใกล้เคียงกับบ้านเรานะคะ แบบละครเรื่องไหนดัง หนังสือนิยายของละครเรื่องๆ นั้นก็ติด Best Seller ตามไปด้วย

ว่ากันว่า การจะได้เห็นนิสัยใจคอคนๆ นั้น ก็ให้ดูหนังสือที่เค้าอ่าน เวลาไปต่างประเทศก็เหมือนกัน การเข้าร้านหนังสือในบ้านเมืองนั้นๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่เลวที่จะได้ดูว่าคนในประเทศนั้นชอบหรือนิยมอะไร 

                   ขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก doopedia.co.kr

พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

krystalll Member 22 ม.ค. 58 22:17 น. 3

ร้านหนังสือนี้ รันนิ่งแมนก็เคยไปถ่ายทำด้วยค่ะ ตั้งแต่ตอนนั้นมาก็อยากไปร้านหนังสือนี้มากๆ เพราะหนังสือเยอะมากกกกกกกก แล้วก็เป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ด้วย ปัญหาคือไม่มีโอกาสได้ไปสักที 55555 เห้อม

 มืดมน เย้

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

13 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
krystalll Member 22 ม.ค. 58 22:17 น. 3

ร้านหนังสือนี้ รันนิ่งแมนก็เคยไปถ่ายทำด้วยค่ะ ตั้งแต่ตอนนั้นมาก็อยากไปร้านหนังสือนี้มากๆ เพราะหนังสือเยอะมากกกกกกกก แล้วก็เป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ด้วย ปัญหาคือไม่มีโอกาสได้ไปสักที 55555 เห้อม

 มืดมน เย้

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
barbiize Member 25 ม.ค. 58 22:27 น. 8

หมวดพัฒนาตนเองนี่ส่งผลมายังบ้านเราเลยนะ หนังสือแนวๆ พัฒนาตนเองส่วนมากก็แปลมาจากภาษาเกาหลีทั้งนั้นเลย เท่าที่อ่านๆ มา ^^

0
กำลังโหลด
เด็กน้อยในกองหิมะ Member 26 ม.ค. 58 12:01 น. 9

ร้านหนังสือนางน่าจับต้องมาก ลิสต์หนึ่วอย่างที่ต้องไปให้ได้ หากไปเกาหลี หึหึ

0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
IMSO 4 ก.พ. 58 12:45 น. 11
ภาษาที่ใช้ในการเขียนบทความ มีแต่การความคิดเห็นของเจ้าของบทความทั้งนั้นเลย ซึ่งเราอ่านแล้วอึดอัดใจ อย่างเช่นการเขียนถึงหนังสือปรัชญาชีวิต หนังสือให้กำลังใจ เจ้าของบทความใส่ความคิดของตนเองลงไปทั้งนั้น เช่น มองไม่เห็น จับต้องยาก อ่านไม่รู้เรื่อง หาอะไรทำมั้ย บอกคนอื่นทำไม อยากให้ปรับตรงนี้ แยกลีลาการเขียนให้ออกกับการใส่แต่ความคิดเห็นลงไป ระดับภาษาที่ใช้มีแต่ภาษาไม่เป็นทางการจนถึงระดับกันเอง อยากให้ปรับเรื่องการใช้ภาษาให้ดีกว่านี้ การใส่ความคิดเห็นลงไปในบทความไม่ผิดหรอก แต่ใส่มากเกินไปมันจะกลายเป็นน่าเกลียด แต่การนำเรื่องของหนังสือมานำเสนอก็นับว่าน่าสนใจทีเดียว ทีเหลือก็ปรับเรื่องการใช้ภาษา พัฒนากันต่อไปค่ะ เพราะเราเขียนบทความลงเว็บสาธารณะต้องคำนึงถึงทุกคนที่เข้ามาอ่าน บางคนเขารักหนังสือประเภทให่กำลังใจ สร้างแรง บันดาลใจแต่เจ้าของบทความกลับใส่ถ้อยคำประชดประชันออกไป ดูถูกผู้อ่านแม้จะไม่ได้เจตนาก็ตาม ติเพื่อปรับปรุงค่ะ
1
[ PaY ~ เป้ ] Member 20 มี.ค. 58 22:28 น. 11-1
ขอบคุณสำหรับความเห็นค่ะ แต่ปกติเลย ยอมรับว่าใส่ความเห็นของเราไปทุกบทความค่ะ และเป็นสไตล์การเขียนแบบนี้ตั้งนานมาหลายปีแล้ว คุณใช้คำว่าน่าเกลียดคงแรงไปมั้งคะ หาอะไรทำมั้ย? บทความของเราอาจไม่เหมาะกับสิ่งที่คุณชอบก็เป็นได้ค่ะ ส่วนระดับภาษา เราว่าเหมาะสมแล้วค่ะ เพราะเรา ในฐานะทำงานวงการการเขียนและแปลหนังสือภาษาเกาหลีออกมาหลายเล่ม และเขียนหนังสือออกมาเกือบสิบเล่ม (และเพื่อนอีกหลายคนที่คลุกคลีกับวงการหนังสือเกาหลี)ก็เห็นไปทางเดียวกันว่า หนังสือเกาหลีมีแบบนี้เยอะมากซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนเข้าไม่ถึงจริงๆ คิดว่าที่เขียนไปก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรนะคะ เป็นการวิจารณ์และใส่ความเห็นตัวเอง และคิดว่าคนอ่านก็น่าจะแยกแยะออกแน่นอนค่ะ เยี่ยม
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด