สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน หลังเกิดเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ในวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา วันนี้เราก็ได้ภาพสเก็ตช์ผู้ต้องสงสัยที่น่าจะเป็นผู้ก่อเหตุแล้ว แต่ก็มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เห็นเหมือนในกล้องวงจรปิดเลย ใช่แน่เหรอ คนให้การจำผิดหรือเปล่า
วันนี้ “พี่น้อง” ขอไขความจริงเรื่องภาพสเก็ตช์ให้ฟังกันค่ะว่าอาชีพนี้เขาต้องเรียนอะไรมา แล้วมาทำอะไร ภาพนี้เชื่อถือได้แค่ไหน และจะช่วยจับคนร้ายได้จริงหรือเปล่า
วันนี้ “พี่น้อง” ขอไขความจริงเรื่องภาพสเก็ตช์ให้ฟังกันค่ะว่าอาชีพนี้เขาต้องเรียนอะไรมา แล้วมาทำอะไร ภาพนี้เชื่อถือได้แค่ไหน และจะช่วยจับคนร้ายได้จริงหรือเปล่า
คนสเก็ตช์ภาพคนร้าย หรือ Forensic Artist
อาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพทั่วๆ ไป ไม่ใช่ว่าแค่วาดรูปเป็นก็มาทำได้ แต่คนที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้นั้นต้องจบด้านศิลปกรรมศาสตร์สาขาจิตรกรรม หรือใกล้เคียง เพราะต้องวาดภาพเหมือนได้ นอกจากนี้ยังต้องมีความรู้เรื่องสรีระวิทยา (Anatomy) เช่น โครงสร้างและการทำงานของกระดูกบนใบหน้า การเรียงตัวของฟัน มีความรู้ด้านชีววิทยาเกี่ยวกับความหลากหลายของชาติพันธุ์ เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่เก่งศิลปะอย่างเดียวแต่ต้องมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย
แต่ก่อนนักสเก็ตช์ภาพคนร้ายต้องใช้ดินสอวาดสดบนกระดาษ ความรู้พวกนี้จึงต้องแน่นๆ เป๊ะๆ แต่ภายหลังมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยก็สบายหน่อย อย่างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะใช้วิธีการสำรองภาพลักษณะของอวัยวะส่วนต่างๆ ของใบหน้า ตั้งแต่ หน้าผาก คาง ตา หู จมูก ปาก ฯลฯ แล้วนำมาตัดต่อในโปรแกรมแต่งภาพแทน ทำให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
ถ้าใครสนใจอยากเรียนทางด้านนี้ ก็ต้องไปเรียนต่อสาขา Criminal Justice ซึ่งจะมีรายวิชาย่อยเกี่ยวกับการพิสูจน์หลักฐาน เช่น
ถ้าใครสนใจอยากเรียนทางด้านนี้ ก็ต้องไปเรียนต่อสาขา Criminal Justice ซึ่งจะมีรายวิชาย่อยเกี่ยวกับการพิสูจน์หลักฐาน เช่น
- มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อันดับหนึ่งด้านกฎหมายของอเมริกา
- สแตนฟอร์ด นี่ก็มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของอเมริกาเช่นกัน
- University College London ที่นี่เปิดสอนด้าน Forensics โดยเฉพาะในระดับปริญญาโท
ไม่ใช่แค่วาด สัมภาษณ์ก็สำคัญ
นอกจากการสเก็ตช์ภาพแล้วบางทีคนวาดเอง หรือเจ้าหน้าที่สอบสวนจะต้องสัมภาษณ์เหยื่อหรือผู้เห็นใบหน้าคนร้ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และต้องมีชั้นเชิงในการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ที่สุด หรือนำแฟ้มภาพสเก็ตช์อาชญากรมาให้ดูเป็นตัวอย่างเพื่อให้ผู้เห็นใบหน้าคนร้ายอธิบายลักษณะคนร้ายได้ง่ายขึ้น (เผื่ออธิบายไม่ถูกว่าปากเป็นไง ก็ดูภาพแล้วจิ้มเอา)
ภาพสเก็ตช์ตรงกับผู้ต้องสงสัย 100% หรือไม่?
เป็นไปไม่ได้ที่ภาพสเก็ตช์จะออกมาตรงกับความเป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ ปัจจัยสำคัญก็คือ “ความจำ” ของผู้เห็นใบหน้าคนร้ายนี่แหละค่ะ ให้ชาวเด็กดีลองหลับตาแล้วนึกภาพเพื่อนเรา ถ้าพี่ถามว่าปีกจมูกของเพื่อนเรากว้างหรือแคบ เราพอจะตอบได้หรือเปล่าคะ?
ความจริงคือเวลาที่เราเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว สมองเราเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้แค่ผ่านๆ เท่านั้น มันไม่เหมือนเวลาเรานั่งท่องศัพท์แล้วเอาไปใช้สอบ สมองเราจะเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้พร้อมเรียกใช้ได้ทันที (ถ้าสมองไม่เอ๋อไปเสียก่อน)
เช่นเดียวกันกับภาพสเก็ตช์คนร้ายวางระเบิดที่ได้พยานเป็นพี่วินมอเตอร์ไซค์ โชคดีที่พี่วินไม่ได้เป็นเหยื่อโดยตรงของเหตุการณ์นั้น การนึกหน้าคนร้ายจึงไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ แต่พี่วินก็คงไม่ได้ถึงขั้นไปนั่งจ้องหน้าคนร้ายแล้วจำแม้แต่ช่องว่างระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง หรือปากบนปากล่างว่าหนาบางเท่ากันไหม ภาพที่ออกมาจึงอาจไม่ตรงร้อยเปอร์เซ็นต์เสียทีเดียว
ความจริงคือเวลาที่เราเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว สมองเราเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้แค่ผ่านๆ เท่านั้น มันไม่เหมือนเวลาเรานั่งท่องศัพท์แล้วเอาไปใช้สอบ สมองเราจะเก็บรายละเอียดทุกอย่างไว้พร้อมเรียกใช้ได้ทันที (ถ้าสมองไม่เอ๋อไปเสียก่อน)
เช่นเดียวกันกับภาพสเก็ตช์คนร้ายวางระเบิดที่ได้พยานเป็นพี่วินมอเตอร์ไซค์ โชคดีที่พี่วินไม่ได้เป็นเหยื่อโดยตรงของเหตุการณ์นั้น การนึกหน้าคนร้ายจึงไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ แต่พี่วินก็คงไม่ได้ถึงขั้นไปนั่งจ้องหน้าคนร้ายแล้วจำแม้แต่ช่องว่างระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง หรือปากบนปากล่างว่าหนาบางเท่ากันไหม ภาพที่ออกมาจึงอาจไม่ตรงร้อยเปอร์เซ็นต์เสียทีเดียว
แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ อย่าเพิ่งถอดใจ ถึงภาพจะไม่ตรง แต่ความสำคัญของการสเก็ตช์ภาพไม่ได้อยู่ที่การหาหน้าคนร้ายชัดๆ แต่เป็นการหา “เอกลักษณ์สำคัญบนใบหน้า” ซึ่งจะช่วยให้ตำรวจและประชาชนทั้งหลายใช้อ้างอิงในการค้นหาตัวผู้ต้องสงสัยนั่นเองค่ะ ให้เราลองค้น google แล้วหาข่าวที่มีภาพสเก็ตช์คนร้ายประกอบ จะเห็นว่าหลายคดีเลยที่ภาพสเก็ตช์นั้นค่อนข้างใกล้เคียงกับคนร้ายทีเดียว
แล้วภาพสเก็ตช์ช่วยได้จริงหรือ?
อย่าดูถูกพลังของภาพสเก็ตช์คนร้ายไปค่ะ เมื่อปี 1995 เคยมีเหตุวางระเบิดหน้าที่ว่าการรัฐ ในเมืองโอกลาโฮม่าของอเมริกา คร่าชีวิตคนไป 168 คนและบาดเจ็บอีกกว่า 600 คน เป็นการก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดรองจาก 9/11 เลยทีเดียว
ยุคนั้นแน่นอนว่าเทคโนโลยีไม่รวดเร็วเท่ายุคนี้ แต่หลังเหตุระเบิด เจ้าหน้าที่รีบสืบหาที่มาของรถบรรทุกที่คนร้ายทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ และติดต่อเจ้าของเอเจนซี่ที่ให้เช่ารถคันนี้เพื่อเรียกตัวมาสอบปากคำ หลังได้ภาพสเก็ตช์คนร้าย หน่วยค้นหาประจำรัฐก็ออกปฏิบัติการและจับตัวนายทิโมธี แมกเวย์ได้ภายในวันนั้นเลย
ยุคนั้นแน่นอนว่าเทคโนโลยีไม่รวดเร็วเท่ายุคนี้ แต่หลังเหตุระเบิด เจ้าหน้าที่รีบสืบหาที่มาของรถบรรทุกที่คนร้ายทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ และติดต่อเจ้าของเอเจนซี่ที่ให้เช่ารถคันนี้เพื่อเรียกตัวมาสอบปากคำ หลังได้ภาพสเก็ตช์คนร้าย หน่วยค้นหาประจำรัฐก็ออกปฏิบัติการและจับตัวนายทิโมธี แมกเวย์ได้ภายในวันนั้นเลย
ดังนั้น ด้วยพลังของสื่อโซเชียลในยุคนี้ ถ้าเราใช้ให้ถูกวิธี เราต้องช่วยกันหาตัวชายในภาพมาได้แน่นอน แต่ขอให้ทุกคนระมัดระวังเรื่องการชี้ตัวผู้ต้องสงสัยนะคะ ถ้ามีเบาะแสหรือคิดว่าคนนี้ดูเหมือน ให้ปฏิบัติกับเขาเสมือนว่าเขา “เป็นผู้บริสุทธิ์” ไว้ก่อน แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนต่อไป ถ้าเราไปประณามหรือทำร้ายเขาโดยที่ยังไม่รู้ความจริงแล้วผลออกมาว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เท่ากับว่าเราทำลายชีวิตคนๆ หนึ่งเลยนะคะ
#StayStrongThailand
5 ความคิดเห็น
อธิบายดีเยี่ยมคะ
ต้องเก่งจริง อาชีพนี้ #ขอให้จับตัวคนร้ายได้ไวๆค่ะ
อ่านบทความแล้วได้ทั้งความรู้และข้อคิดในการใช้โซเชี่ยลครับ
ได้ความรู้เต็มสมองเลย
สุดยอดไปเลยค่ะะะ