MIT ย่อมาจาก Massachusetts Institute of Technology (สถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์) เป็นสถาบันเก่าแก่ของอเมริกาที่ขึ้นชื่อเรื่องการเรียนการสอนด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของโลก ใครได้ยินก็คงจะคิดว่าที่นี่เข้ายาก คงมีแต่อัจฉริยะไปเรียน อ๊ะๆ อย่าเพิ่งถอดใจไปค่ะ มาดูก่อนว่า MIT เขามีเกณฑ์คัดเลือกคนยังไง “พี่น้อง” รับรองว่าไม่ยากอย่างที่คิดแน่ๆ
MIT สอนอะไร?
MIT นั้นแบ่งเป็น 5 คณะหลัก ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์, วิทยาศาสตร์, การจัดการ, สถาปัตยกรรมศาสตร์, และมนุษยศาสตร์ ศิลปะ และสังคมศาสตร์ ที่เด่นๆ ก็จะเป็นสาขาด้านวิทย์-คณิตมากกว่าด้านศิลป์ และเน้นการวิจัยและการปฏิบัติมากกว่านั่งเรียนทฤษฎีอย่างเดียว
การสมัครเรียน
สำหรับระดับปริญญาตรี MIT มีโควตารับนักศึกษาต่างประเทศทั้งหมดไม่เกิน 150 คน จากผู้สมัครทั้งหมดราวๆ 18,000 คน (สถิติจากภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงปี 2015) ที่ต้องจำกัดการรับเพราะที่นี่ให้สิทธินักศึกษาต่างชาติเท่ากับนักศึกษาอเมริกัน เมื่อเราเข้าเรียนที่นี่ได้แล้ว สิทธิการขอทุนสนับสนุนด้านการศึกษาต่างๆ เราขอได้เท่ากับคนอเมริกันเลย ไม่มีการแบ่งแยก ต่างจากสถาบันอื่นๆ ที่มักจะมีทุนให้เฉพาะนักศึกษาที่เป็นพลเมืองอเมริกันเท่านั้น
การสมัครเรียนที่ MIT จะแบ่งเป็น 2 รอบ เรียกว่า
การสมัครเรียนที่ MIT จะแบ่งเป็น 2 รอบ เรียกว่า
- Early Action (EA) เริ่มเปิดรับสมัครเดือนตุลาคม
- Regular Action (RA) เริ่มเปิดรับสมัครเดือนธันวาคม
สองรอบนี้ไม่ได้ต่างกันค่ะ แค่แบ่งเพื่อที่กรรมการจะได้มีเวลาสแกนผู้สมัครเรียนเท่านั้นเอง ไม่ต้องกลัวว่ารอบไหนคนเยอะแล้วจะมีโอกาสน้อยกว่า ถ้าเราเจ๋งจริง ยังไงเขาก็รับเราไว้ค่ะ
ขั้นตอนการสมัครเรียน
- ให้เราสมัครเป็นสมาชิก MyMIT เอาไว้รอเลย MyMIT คือระบบการรับสมัครของสถาบันนี้โดยเฉพาะ (คล้ายๆ สมัครสมาชิกเว็บเด็กดี) โดยที่การเปิดบัญชีนี้จะเป็นการสมัครรับข่าวสารของสถาบันโดยอัตโนมัติ จึงไม่ต้องกลัวว่าจะตกข่าวใดๆ
- เมื่อเรามี MyMIT แล้ว จะมีการแจ้งในบัญชีของเราว่า EC หรือที่ปรึกษาด้านการศึกษาของเราคือใคร ให้เราติดต่อกับเขาเพื่อขอสัมภาษณ์ปากเปล่า การสัมภาษณ์นี้ไม่ได้บังคับ (แต่สัมภาษณ์ไว้จะดีกว่า) ถ้าอยู่ต่างประเทศ อาจมีอาสาสมัครมาติดต่อเพื่อขอคุยกันตามที่ต่างๆ หรือคุยผ่าน Skype แต่ถ้าไม่มีอาสาสมัครในพื้นที่ของเราจริงๆ ก็ไม่ต้องสัมภาษณ์ค่ะ
*การสัมภาษณ์ไม่ได้จริงจังมาก เขาแค่อยากรู้จักตัวตนของเรามากกว่าในกระดาษเท่านั้น คำแนะนำจากเว็บไซต์ของ MIT คือ เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดค่ะ
- หลังจากนี้จึงเป็นขั้นตอนการกรอกข้อมูลและส่งเอกสาร ตั้งแต่ประวัติส่วนตัวของเรา กิจกรรมที่เราเคยทำมา ความเรียงสั้นๆ ที่บอกความเป็นตัวเรามากที่สุด (ไม่จำเป็นต้องเขียนให้ดูดี เน้นให้แสดงตัวตนค่ะ) ซึ่งลำดับการกรอกข้อมูลนี้มีหมดเขตด้วย เราจึงต้องตรวจสอบให้ดีผ่านอีเมล์ที่ MIT ส่งมาให้ หรือเข้าไปดูได้ที่หน้านี้ค่ะ
- สำหรับนักเรียนต่างชาติ ที่จะเรียนต่อระดับปริญญาตรี จะต้องแสดง Transcript ม.ปลายของเรา เพื่อแสดงว่าเรามีความรู้ในวิชาอะไรเป็นพื้นฐานมาบ้าง ที่จำเป็นต้องมีคือ ภาษาอังกฤษอย่างน้อย 4 ปี คณิตศาสตร์ที่ต้องอยู่ในระดับแคลคูลัส สังคมศาสตร์หรือประวัติศาสตร์อย่างน้อย 2 ปี และฟิสิกส์ เคมี ชีวะ
*ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายค่ะ เรายังสมัครเรียนได้อยู่ดี เขาก็จะพิจารณาจากส่วนอื่นแทน
- นักเรียนต่างชาติต้องมีผลการทดสอบภาษาอังกฤษ TOEFL ขั้นต่ำ 577 คะแนน สำหรับ Paper-Based และ 90 คะแนนสำหรับ Internet-Based อันนี้จำเป็นจริงๆ ค่ะ เพราะที่ MIT ไม่มีวิฃา ESL หรือวิชาสำหรับนักศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองโดยตรง ทุกคนต้องพร้อมมาเรียนที่นี่โดยไม่มีปัญหาด้านภาษาใดๆ
*สำหรับผลสอบ TOEFL ให้แจ้งกับสถาบันสอบเลยว่าให้ส่งผลสอบไปที่ MIT โดยตรง
MIT ต้องการนักเรียนแบบไหน?
สังเกตไหมคะว่าเงื่อนไขการสมัครที่พี่น้องเขียนไว้ มีหลายจุดเลยที่สถาบันเองบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องมีก็ได้ ที่นี่ดีอย่างนี้นี่เอง เขาไม่ได้ต้องการคนที่เก่งที่สุด แต่ต้องการผู้สมัครที่มีความหลากหลายคละกันไป ขั้นตอนการคัดเลือกจึงไม่ได้เน้นที่การสอบวัดความรู้ แต่เป็นการวิเคราะห์ผู้สมัครผ่านโปรไฟล์และการสัมภาษณ์ เพื่อหาตัวตนที่แท้จริงของเรา
ใบสมัครและข้อมูลทั้งหมดที่เราส่งไปจะผ่านมือคณะกรรมการหลายสิบคนจากคณะและภาควิชาต่างๆ เพื่อคัดเลือกคนที่เหมาะสมกับที่นี่จริงๆ โดย MIT บอกว่าคนที่จะเข้ากับที่นี่ได้นั้น ควรมีคุณสมบัติดังนี้
ใบสมัครและข้อมูลทั้งหมดที่เราส่งไปจะผ่านมือคณะกรรมการหลายสิบคนจากคณะและภาควิชาต่างๆ เพื่อคัดเลือกคนที่เหมาะสมกับที่นี่จริงๆ โดย MIT บอกว่าคนที่จะเข้ากับที่นี่ได้นั้น ควรมีคุณสมบัติดังนี้
- อยากสร้างโลกที่ดีกว่านี้ ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นการสอนเด็กบ้านไกลให้มีความรู้ หรืออยากผลิตยารักษาโรคเอดส์ให้หายขาดก็ถือเป็นเป้าหมายที่ทำให้โลกดีขึ้น เล็กใหญ่ไม่สำคัญ
- มีสปิริตในการร่วมมือกับผู้อื่น งานวิจัยของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นงานกลุ่ม ถ้าเราชอบฉายเดี่ยว ก็ไม่เป็นไร แต่เราอาจไม่มีความสุขมากนัก เพราะเขาเน้นการช่วยเหลือกันมากกว่าเอาตัวรอดคนเดียว
- ไขว่คว้าหาความรู้ ที่นี่ความรู้ไม่ได้เสิร์ฟใส่จานมา แต่เราต้องไขว่คว้าหาความรู้เอาเอง
- ลงมือทำ ไม่ใช่คิดอย่างเดียว ที่นี่เน้นให้ทดลองทำจนได้ข้อสรุป เขาเรียกว่ายอมให้ “มือเปื้อน” บ้าง จะได้รู้ว่ามันผิดหรือถูก
- มีความสนใจและความรักในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง เพราะเมื่อเราชอบสิ่งใด เราก็จะทำสิ่งนั้นได้ดีจริงๆ
- มีบุคลิกชอบช่วยเหลือ เป็นแรงบันดาลใจให้สมาชิกในสถาบัน
- อย่าเรียนอย่างเดียว เล่นด้วย เราอาจรู้สึกว่าที่ MIT มีแต่หัวกะทิ แต่คนพวกนี้แหละค่ะที่เวลาเล่นก็เล่นจริงจัง วีรกรรมนักศึกษาที่นี่เรียกได้ว่าเข้าขั้น “เกรียน” ทีเดียว
เรียนที่ MIT ต้องใช้เงินเท่าไร?
มาถึงเรื่องขนหน้าแข้งกันบ้าง พี่น้องเชื่อว่าหลายคนที่เก่งๆ อยากไปเรียนต่างประเทศมักจะถอดใจกลางทางเพราะที่บ้านไม่มีฐานะพอจะส่งเราไปเรียนต่างประเทศได้ ต่อให้ได้ทุนเต็มจำนวนก็ยังขัดสนอยู่ดี แต่ที่ MIT เขาประกาศเลยว่าทุกคนที่ได้เข้าเรียนที่นี่ต้องได้เรียนแม้จะไม่มีเงินเลยสักแดง และจะไม่มีการคัดเลือกนักศึกษาจากฐานะทางการเงินเด็ดขาด
ค่าเทอมของที่ MIT ตกปีละ 60,000 ดอลลาร์ รวมค่าที่พักและค่าอุปกรณ์การเรียนด้วยแล้ว นั่นคือราวๆ สองล้านบาทไทย อาจจะยังมากอยู่สำหรับบางคน ถ้าเราไม่มีเงินจริงๆ ที่นี่จะมีวิธีการช่วยเหลือให้เรา เช่น ให้ทุนสนับสนุนแบบให้เปล่า (ไม่ต้องใช้คืน) ให้กู้ยืมเงิน หรือมีงานพิเศษให้ทำ
ทุนสนับสนุนเขาจะไม่ให้เต็มจำนวน แต่เราต้องช่วยตัวเองด้วย โดยมีหลักการคำนวณอัตราการให้ทุนดังนี้
ค่าเทอมของที่ MIT ตกปีละ 60,000 ดอลลาร์ รวมค่าที่พักและค่าอุปกรณ์การเรียนด้วยแล้ว นั่นคือราวๆ สองล้านบาทไทย อาจจะยังมากอยู่สำหรับบางคน ถ้าเราไม่มีเงินจริงๆ ที่นี่จะมีวิธีการช่วยเหลือให้เรา เช่น ให้ทุนสนับสนุนแบบให้เปล่า (ไม่ต้องใช้คืน) ให้กู้ยืมเงิน หรือมีงานพิเศษให้ทำ
ทุนสนับสนุนเขาจะไม่ให้เต็มจำนวน แต่เราต้องช่วยตัวเองด้วย โดยมีหลักการคำนวณอัตราการให้ทุนดังนี้
เพราะงั้นไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเงินเรียนค่ะ ยังไงก็มี MIT จะหาทางช่วยเราให้ได้มากที่สุดนั่นเอง แถมเขาการันตีด้วยว่าจบจากที่นี่ ค่าแรงขั้นต่ำที่จะได้รับต่อปีเกินค่าเทอมที่จ่ายแน่นอน
ศิษย์เก่าของที่นี่มีใครบ้าง?
แน่นอนว่าสถาบันชั้นนำแบบนี้ต้องมีคนดังเป็นศิษย์เก่ามากพอๆ กับสถาบันในไอวี่ลีกแน่นอน และส่วนใหญ่มักเป็นนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล หรือผู้บริหารของบริษัทชื่อดัง เช่น
ที่พี่น้องเขียนมาทั้งหมดนี้เป็นสาระล้วนๆ สำหรับคนที่สนใจหรืออยากเรียนต่อสถาบันนี้โดยเฉพาะ แต่ยังมีอีกด้านของนักศึกษาใน MIT วีรกรรมหลุดโลกที่จะล้างภาพความซิเรียสของคนที่นี่ให้หมดไปอย่างแน่นอน
อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^
ขอบคุณข้อมูลจาก
mitadmissions.org
kmitl.ac.th
businessinsider.com.au
kmitl.ac.th
businessinsider.com.au
12 ความคิดเห็น
อยากไปเรียน MIT มากๆเลยล่ะแต่คงจะเรียนหนักน่าดูเลยสินะ
คนนี้ก็จบ MIT นะคะ ไอดอลของเราเลย
จบทั้ง Harvard และ MIT เลย เก่งมากๆ ^-^
พี่ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สามีพี่ต่าย ชุติมา ซีซั่นเชนจ์ ค่ะ
อยากทราบค่ะถ้าจบป.ตรีมาแล้วหนึ่งใบสมัครเรียนตรีอีกรอบที่ได้มั้ยคะ คือเห็นแล้วอยากเรียนเลย หรือจะเป็นโทก็ได้นะ
เรียนแล้วนำความรู้มาทำอะไรให้ประเทศบ้างหล่ะ
ถามใครครับ.. ถามตัวเองหรือยัง
ถ้าจะไปต่อตอนโทต้องยื่นอะไรบ้างหรอคะะ
พี่คะ ถ้าจะเรียนป.ตรี เขามีกำหนดอายุในการรับสมัครไหมคะ ถ้ากำหนด เกณฑ์อยู่ที่ไม่เกินอายุเท่าไหร่หรอคะ