คลินิกนักเขียน
ตอน หรรษา
กับบทสนทนาที่ไหลลื่นเป็นธรรมชาติ
สวัสดี ชาวไรเตอร์ทุกคนเช่นเคย
คลินิกนักเขียนประจำเดือนธันวาคมกลับมาพบกับน้องๆ เช่นเคย
สำหรับเดือนนี้ พี่ตินได้จับมือกับ หรรษา คุณหมอนักเขียนคนเก่ง
ที่เด่นทั้งด้านวาดรูปและเขียนนิยาย
โดยหัวข้อที่หรรษารับผิดชอบก็คือ "การเขียนบทสนทนา" นั่นเอง
มาดูกันว่าใครคือผู้โชคดีได้รับเลือกวิจารณ์ผลงานจากนักเขียนของเรา
หรรษา หรือ siiKk
นักเขียนและนักวาดที่กำลังได้รับความนิยมมาก เขียนงานมามากกว่า 10 ปี มีเพจของตัวเอง ชื่อว่า Hunsa และมีอีกนามปากกาคือ "สินา" แนวนิยายที่เขียนมีหลากหลาย ทั้งรักหวานแหวว ซึ้งกินใจ และรักผู้ใหญ่
การเขียนบทสนทนาให้น่าสนใจ
โดย หรรษา
หลังจากได้โจทย์จากพี่ตินมาเรื่องการเขียนบทสนทนาอย่างไรให้น่าสนใจ หรรก็มาวิเคราะห์วิธีการเขียนบทสนทนาของตัวเองค่ะ แต่ละนักเขียนอาจมีวิธีแตกต่างกันไปนะคะ แต่ของหรรได้ข้อสรุปมาดังนี้! นี้! นี้!
1. ตัวละครนิสัยอย่างไร นิสัยตัวละคร เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงเป็นสิ่งแรก เพราะคนแต่ละคนมีลักษณะการพูดไม่เหมือนกัน คนเรียบร้อยพูดยังไง คนเก่งพูดแบบไหน คนใจร้อนจะพูดอย่างไร คนแต่ละประเภทล้วนมีวิธีไม่เหมือนกัน เมื่อเรากำลังเขียนคาแรคเตอร์ตัวไหน เราต้องคิดว่าเขาจะพูดอย่างไร ไม่ใช่เขียนตามใจเราไปเรื่อยๆ หากทำแบบนั้นตัวละครทุกตัวในเรื่องก็จะพูดจาเหมือนกันทั้งเรื่อง ทำให้ไม่เกิดเสน่ห์
2. ความสมเหตุสมผลของเหตุการณ์ เมื่อรู้นิสัยใจคอของตัวละครที่ต้องการเขียนแล้ว สิ่งที่ต้องวิเคราะห์ลำดับถัดมาคือความสมเหตุสมผลในเหตุการณ์นั้นๆ คนใจร้อน? คนใจเย็น? จะโต้ตอบยังไงว่าอยู่ในสถานการณ์คับขัน บทพูดย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เป็นสิ่งที่เราในฐานะนักเขียนต้องกำหนดและเขียนออกมาจนบทสนทนาของตัวละครสอดคล้องกับลักษณ์นิสัยตามสถานการณ์นั้นๆ
3. คำพูดติดปาก สิ่งที่เสริมให้ตัวละครมีเสน่ห์อีกอย่างคือ คำพูดติดปาก ค่ะ ทุกคนย่อมมีอยู่แล้วคำพูดที่มักจะพูดออกมาในสถานการณ์ต่างๆ เช่น ฉันคิดว่า... , ไม่ค่อยดีมั้งคะ, เฮ้ย! แย่เลย หรืออะไรก็ตาม การหาคำพูดติดปากให้ตัวละครจะช่วยให้ตัวละครเรามีความน่าสนใจขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ
4. ใช้คำพูดที่เข้ากับทุกยุคสมัย หรรจะหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่เป็นเทรนในช่วงเวลานั้นๆ ค่ะ เช่น สตรอง ที่ตอนนี้ฮิตกันมาก แน่นอนถ้าตัวละครเอาไปใช้พูดในตอนนี้นักอ่านก็คงรู้สึกขำรู้สึกอิน แต่ลองคิดว่ามันผ่านไปสักปีสิคะ คำว่า สตรอง ก็จะเป็นเพียงคำๆ หนึ่งไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว ดังนั้นคำพูดของตัวละครของหรรจะเลือกใช้คำที่ไม่ว่าคนจะหยิบนิยายของเราออกมาอ่านอีกสักกี่ปีให้หลัง มันก็ยังมีความคลาสสิกของมันอยู่ในงานของเรา
สิ่งสำคัญเวลาหรรจะใส่บทสนทนาในเรื่องหรรจะคำนึงถึง 3 ปัจจัยนี้ด้วยค่ะ สนทนาเพื่อบอกนิสัยตัวละคร สนทนาเพื่อบอกว่ากำลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หรือ สนทนาเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้เพราะถ้าเราใส่การพูดคุยเรื่อยเปื่อยลงไปในนิยายนอกจากจะทำให้งานน่าเบื่อแล้วยังทำให้เสียพื้นที่หน้ากระดาษไปกับบทสนทนาที่ไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์กับเนื้อหาด้วยค่ะ
ไม่ยากเนอะวิธีคิดบทสนทนาเพียงแต่เราต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์เพิ่มเติมก่อนจะเขียนด้วย แต่หากทำได้ก็จะเสริมให้บทสนทนาของนิยายเราดึงดูดน่าสนใจขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ! ขอบคุณเด็กดีที่ให้โอกาสมาเป็นนักเขียนรับเชิญในช่วงคลินิกนักเขียนนะคะ หวังว่าความรู้ที่หรรมาบอกน่าจะเป็นประโยคกับทุกท่านไม่มากก็น้อยค่ะ ยังไงก็หวังว่าคำวิจารณ์ของหรรจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนางานเขียนไม่มากก็น้อยนะคะ สู้ๆ ค่ะ
ตัวอย่างอาการ :
ณ บ้านนาน้อย หมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย หญิงสาวตากลมโต ร่างเล็ก สูง 156 เซนติเมตร ไว้ผมสั้น ในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดกำลังเดินทอดกายสูดรับอากาศในยามเช้า เธอมีชื่อว่า บุปผา อารัญกมล หรือ แต้ว มีดีกรีเป็นถึงช่างภาพฝีมือดีซึ่งการันตีด้วยผลงานที่ปรากฏในปกนิตยสารชื่อดังหลายฉบับ และยอดผู้ติดตามในอินสตราแกรมกว่าครึ่งแสน เวลานี้เธอกำลังชะเง้อมองรถที่นานๆ จะผ่านหน้าบ้านของเธอสักคันหนึ่ง แต่จนบัดนี้ยังไม่มีวี่แววของเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่เธอเฝ้ารอ และแล้วก็มีรถกระบะมาจอดที่หน้าบ้านของแต้ว ทันใดนั้นเองประตูฝั่งด้านข้างคนขับเปิดออก ร่างของชายใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนา รูปร่างสันทัดด้วยส่วนสูง 175 เซนติเมตร ก็ปรากฏขึ้น เธอเห็นแวบแรกก็รู้ในทันทีว่านั่นคือวิชิตนั่นเอง แต้วไม่รอช้ารีบเดินออกไปต้อนรับอดีตเพื่อนเก่าที่พึ่งมาถึง
(อ่านเนื้อเรื่องต่อได้ที่ลิงก์ด้านบน)
วินัจฉัย :
บทพูดไม่มีความเป็นธรรมชาติค่ะ เพื่อนที่รู้จักกันทักทายด้วยการหวัดดีและหยอกล้อด้วยมุกแปลกๆ ที่ดูไม่ค่อยสมจริงและแปลกๆ ค่ะ สมมติถ้าจะหยอกล้อเพื่อนน่าจะเข้ามาทักทายแบบ ว่าไงป้าไม่เจอกันนานหน้าแก่ขึ้นเยอะนะ อะไรทำนองนี้จะดูเป็นธรรมชาติกว่าการทักทายว่าใครเนี่ยไม่รู้จัก
แล้วบทสนทนาไม่รู้สึกสนุกเลยค่ะ ทั้งที่เป็นเพื่อนกันแต่การโต้ตอบกลับดูแข็งทื่อไม่มีความรู้สึกว่าตัวละครพวกนี้ผูกพันกันเลย ลองนึกถึงเวลาคุยกับเพื่อนๆ ในกลุ่มดูค่ะ ทำไมเราถึงรู้สึกสนุก เพื่อนกันการรับส่งมุกน่าจะเข้ากัน การพูดคุยน่าจะลื่นไหลกว่านี้ค่ะ และยังขาดความต่อเนื่องที่จะอ่านแล้วเข้าใจระหว่างบทบรรยายและบทสนทนาด้วย พออ่านบทบรรยายแล้วกลับมาอ่านบทสนทนาบางทีก็ไม่เข้าใจค่ะ ต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่เพราะมันไม่สอดคล้องกัน น่าจะเป็นเรื่องการลำดับบทบรรยายกับบทสนทนาที่ยังไม่สับสนด้วยค่ะ เลยทำให้ตอนอ่านรู้สึกสับสน
ลองถามตัวเองดูค่ะว่าบทนี้ต้องการบอกอะไร และบทพูดบางบทมันสำคัญมั้ย มันจำเป็นต้องมีมั้ย ยิ่งเป็นบทเปิดการเลือกคำพูดและบทที่น่าสนใจจะยิ่งดึงดูดคนอ่านได้ค่ะ
ตัวอย่างอาการ :
“นายมาจากที่ไหนเหรอ?”
“ห้องพักประธานนักเรียน” คำตอบเนิบๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพาให้คนฟังค้างเติ่งไปชั่วครู่ราวกับคนควานหาสติไม่เจอ ครั้นพอได้สติว่าอีกฝ่ายกวนประสาทก็นึกอยากจะเอาคืนโดยพลัน ประโยคต่อมาจึงถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดูไม่สมกับเป็นผู้หญิง
“อ้อ... นึกว่ามาจากดินแดนน้ำแข็งซะอีก เห็นชอบแผ่รังสีเย็นเยียบประจำ”
คำว่าที่ทำเอานัยน์ตาคมๆ ของคาร์ลอสฉายวาบตวัดมองคนปากดีอีกรอบทันควัน แต่มีหรือว่าตัวแสบอย่างเธอจะสนใจ น้ำเสียงหวานยังคงกล่าวต่อไปไม่หยุด
“แต่รู้ไหมว่าคนอยู่ใกล้มันหนาว หัดเกรงใจกันบ้างสิ”
แล้วเธอก็แกล้งตีหน้าซื่อก่อนจะเบือนหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มไปทางอื่นเมื่อนัยน์ตาคมกริบยังคงจับจ้องราวกับจะเอาเรื่องให้ได้
“นั่นมันเรื่องของฉัน... ”
น้ำเสียงฟังดูคล้ายคนกำลังข่มอารมณ์โกรธ เท่านั้นแหละคนชอบยั่วโทสะอีกฝ่ายก็หัวเราะกึกในลำคอก่อนจะหันกลับมาคลี่ยิ้มทะเล้นที่พาให้คนเห็นถึงกับต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างเยือกเย็น
“เอ้า แล้วไหนว่าจะทำไงล่ะ รีบๆ ทำเข้าสิ เดี๋ยวหมดเวลานะ!”
(อ่านเนื้อเรื่องต่อได้ที่ลิงก์ด้านบน)
วินัจฉัย :
โดยรวมถือว่าทำได้ดีค่ะ แต่บทสนทนายังไม่เป็นธรรมชาติมากพอและไม่มีความน่าสนใจในบทพูดเท่าไร แต่ปัญหาที่ค่อนข้างชัดคือเรื่องการคุมโทนเรื่องค่ะว่าตกลงจะเป็นแฟนตาซีหรือนิยายวัยรุ่นกันแน่ คำพูดมันกระโดดไปกระโดดมาน่ะค่ะ มีทั้งตัวละครพูดด้วยสำนวนแบบนิยายแฟนตาซีและมีสำนวนแบบวัยรุ่นอย่างคำว่า อะ หลุดมา อ่านแล้วให้ความรู้สึกงงค่ะ ยังคุมบรรยากาศโดยรวมไม่ได้ ต้องมานั่งถามตัวเองดูค่ะว่าจะเขียนนิยายแนวไหน ถ้าจะใช้ศัพท์แนวแฟนตาซีก็ต้องคุมให้อยู่ค่ะ
ไม่งั้นเวลาอ่านจะไม่รู้สึกต่อเนื่องเพราะมีคำศัพท์แบบวัยรุ่นมาคอยรบกวนตลอด ลองจับประเด็นในงานตัวเองดูนะคะ
ตัวอย่างอาการ :
ฉันยืนมองตัวเองในชุดนักเรียนใหม่ มันไม่ใช่ชุดนักเรียนที่ฉันเคยใส่ที่มันเป็นเพียงแค่ชุดนักเรียนมัธยมปลายโรงเรียนรัฐบาลธรรมดาเท่านั้นไม่มีเนกไท ไม่มีสูท เหมือนอย่างเคย
ใช่ฉันกำลังจะย้ายโรงเรียนยังไงล่ะ...
“รินแต่งตัวเสร็จยังลูก?”
“ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ แม่รอหนูแป๊บหนึ่งนะคะ”
และนี่แม่ของฉันเองแหละ ที่ฉันต้องย้ายจากโรงเรียนสุดหรูของฉันก็เพราะเรื่องนั้นเรื่องนั้นเรื่องเดียว ฉันต้องจากจากเพื่อนสุดที่รักของฉันอย่างยัยเบลล์ เพื่อนที่ฉันรักมากที่สุดคนหนึ่ง TOT เพราะ...เรื่องเงิน
เมื่อก่อนเราสองคนแม่ลูกใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบายท่ามกลางเมืองหลวง มีเงินใช้อย่างสนุกสนาน แต่ แต่ แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ฉันเพิ่งรู้ว่าตั้งแต่ที่พ่อตายไปเมื่อนานแสนนานแล้ว ตั้งที่ฉันยังเด็กฉันแทบไม่รู้เรื่อง ท่านได้ทิ้งหนี้อันใหญ่มหาศาลให้เราสองคนแม่ลูก ทำให้แม่ของฉันต้องต้องใช้เงินทั้งหมดที่มีไปใช้หนี้หมด ทีนี้ไงเราสองก็ต้องย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดที่ที่เป็นบ้านเกิดของแม่ฉันเอง ถ้าขืนยังอยู่เมืองหลวงต่อไปรับรองตายแบบไม่มีเงินใช้แน่นนอน T_T
“รินลูกโอเคมั้ย?”แม่ถามฉันหลังจากที่เห็นหน้าที่แสนจะเศร้าสลดของฉัน มันเศร้าขนาดนั้นเลยหรอ?
“ค้าาา ^_^เรื่องแค่นี้ทำอะไรกับคนอย่างรินไม่ได้หรอกคะ”ฉันตอบแบบฉีกยิ้มกว้างไปให้แม่เพราะฉันกลัวว่าท่านจะไม่สบายใจ
“งั้นก็ดีแล้วลูกงั้นวันนี้ลูกไปโรงเรียนเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันนี่ก็สายแล้ว”
“กี่โมงแล้วคะ”
“เจ็ดโมงสี่สิบหกแล้วลูก”
“แล้วทำไมแม่ไม่บอกหนูล่ะคะมันสายมากแล้ว”
“พอดีแม่ลืมน่าลูก”
“งั้นหนูรีบไปแล้วนะคะ”
“จ้า เดินทางดีๆล่ะ”
(อ่านเนื้อเรื่องต่อได้ที่ลิงก์ด้านบน)
วินัจฉัย :
บทสนทนาดูยัดเยียดมากไปค่ะ เช่น พระเอกด่านางเอกว่าไม่ดูตาม้าตาเรือแถมมาเรียนสาย คือเหมือนจะตอกย้ำนางเอกเรื่องไปเรียนสาย แต่ด้วยสถานการณ์แล้วคนเรามาชนกันเราไม่มีเวลาใส่ใจอีกฝ่ายขนาดนั้นค่ะ เราจะมองที่รูปลักษณ์เบื้องหน้ามากกว่า เช่นนางเอกเตี้ย พระเอกน่าจะบ่นว่า ไม่ดูตาม้าตาเรือหรือไงยัยเตี้ย แบบนี้จะดูเป็นธรรมชาติกว่าไม่ยัดเยียดคำว่า มาสาย ใส่ในการพูดคุยค่ะ
ยังมีความไม่สมเหตุสมผลของเนื้อหาบทสนทนาที่ว่าทั้งพระเอกนางเอกต่างกำลังรีบร้อนทั้งคู่แต่กลับมีเวลายืนเถียงกัน ทำไมบทสนทนาไม่เป็นเหตุสอดคล้องกับเนื้อหาที่กำลังเกิดขึ้นค่ะ
เอกลักษณ์ของนิยายรักหวานแหววอยู่ที่บทสนทนาที่มากกว่าบทบรรยายดังนั้นควรใช้บทสนทนาในการบอกเล่าเรื่องราวด้วยค่ะ อยากจะบอกลักษณะของนางเอก ก็ใช้บทพูดของตัวละครนี่แหละบอก เช่น พระเอกชนกับนางเอก ก็พูดขึ้นมาว่า ยัยเตี้ย คนอ่านก็จะได้รับรู้ว่า อ๋อ นางเอกตัวเตี้ย นางเอกก็อาจจะด่าพระเอกกลับว่า ฉันไม่ได้เตี้ยน่ะสูงเองต่างหาก อีตาเสาไฟ เท่านี้เราก็จะใช้ประโยชน์จากบทสนทนาไปในตัวด้วยค่ะ
คำแนะนำ :
ตอนแรกเปิดมาได้ดีค่ะ จนถึงหลังจากคำว่า ปิดคดี หลังจากนั้นบทสนทนาวกวนไปมาจ้ะ ไม่มีเสน่ห์ ไม่ได้ช่วยให้เนื้อหาดำเนินไป บทของเรย์กับซอลพูดกันวนอยู่กับที่และไม่ได้ช่วยให้เข้าใจเนื้อหามากขึ้นจ้า บางครั้งบทสนทนาถ้าใส่เข้ามาแล้วไม่ช่วยให้เกิดการเดินเรื่องหรือมีจุดบอกเล่าสำคัญให้คนอ่านเข้าใจอะไรก็สามารถลดทอนลงได้จ้ะ เพื่อให้เนื้อเรื่องดำเนินไวขึ้น น่าติดตาม บทสนทนาที่น่าสนใจควรมีสิ่งที่ประกอบเพิ่มเติมคือ สนทนาเพื่อบอกนิสัยตัวละคร สนทนาเพื่อบอกว่ากำลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หรือสนทนาเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ของตัวละคร ลองกลับไปตอบโจทย์ตัวเองดูนะคะว่าบทสนทนาเปิดนี้ต้องการอะไรกันแน่
คำแนะนำ :
บทสนทนายังขาดเสน่ห์ค่ะ เป็นบทพูดที่เรียกว่าเป็นแพทเทิร์นที่พบเห็นได้ทั่วไป ยังสามารถเติมคาแรคเตอร์ของตัวละครในการพูดได้อีกเยอะเลย อย่างเปิดมายังไม่ค่อยเข้าใจว่าคาแรคเตอร์ของมีนาเป็นยังไงทั้งที่เราสามารถบอกเล่ากับคนดูผ่านบทสนทนาได้แล้วตั้งแต่ไม่กี่ย่อหน้าแรก เช่น มีนาเป็นพวกซาดิสต์ชอบฆ่าคน อาจจะเติมให้มีนาหัวเราะตอนเห็นเลือดหรือเล่นสนุกกับเหยื่อก็จะช่วยให้ตัวละครมีคาแรคเตอร์และเพิ่มความน่าสนใจขึ้นได้ค่ะ
คำแนะนำ :
บทสนทนาถือว่าทำได้ดีค่ะ แต่ปัญหาอยู่ที่บทบรรยายโดยรวมทั้งหมดค่อนข้างยืด ทำให้อ่านแล้วไม่มีความต่อเนื่องการสนทนาเลยพลอยดูติดๆ ขัดๆ ไปด้วย และจำประเด็นที่ตัวละครพูดกันไม่ได้สักเท่าไรค่ะ เพราะโดนบทบรรยายมาคั่นแย่งซีนไปกว่าจะอ่านบทบรรยายจบกลับมาบทสนทนาก็ลืมไปแล้วค่ะว่าเมื่อครู่ตัวละครคุยอะไรกันไว้
จะมีอีกเรื่องคือค่อนข้างงงด้วยค่ะว่าบทไหนใครเป็นคนคุยด้วยความที่ไม่ได้บอกชื่อตัวละครไว้ มีใช้คำว่าเจ้านั่นอีกคนก็ไม่รู้ว่ารูปลักษณ์เป็นยังไงอ่านแล้วเลยยิ่งงงค่ะ น่าจะเติมเสริมด้านหลังประโยคคำพูดเพิ่มอีกสักหน่อยค่ะ ว่าชายร่างสูงเอ่ย ข้าตอบเขากลับไป อะไรกำกับไว้ก็จะช่วยทำให้บทสนทนาไม่งงค่ะว่าใครเป็นคนพูด
คำแนะนำ :
บทสนทนาถือว่าทำได้ดีค่ะที่ต้องเสริมคือเรื่องคาแรคเตอร์ของตัวละครที่จะทำให้เนื้อหาน่าสนใจมากขึ้น อย่างฮิโรโตะ ต้องการจะบอกว่าเป็นคนยังไงก็สามารถใส่คำพูดเสริมให้บุคลิกดูชัดเจนขึ้นได้อีก เช่น ตอนที่กำลังมาช่วยเพื่อนและต่อรองกับคนที่ถูกรังแก ถ้าฮิโรโตะมีพูดว่า “ฉันไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซาก” ประโยคคำพูดนี้จะช่วยเสริมให้ฮิโรโตะดูเป็นคนเด็ดเดี่ยวมีภาวะการตัดสินใจที่รวดเร็ว ทำให้คนอ่านเข้าถึงได้เร็วขึ้นว่าทำไมคนที่มารังแกเพลิงถึงรู้สึกกลัวฮิโรโตะ
คำแนะนำ :
บทพูดค่อนข้างเรื่อยเปื่อยค่ะสามารถตัดทอนให้เข้าเรื่องและดึงความน่าสนใจของเรื่องได้ไวกว่านี้เยอะเลย เสียเวลากับช่วงนางเอกเมากับบ่นกับเพื่อนไปหลายประโยคทีเดียวค่ะ สำนวนคำพูดยังไม่ค่อยดึงดูดเท่าไรไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ เพื่อนกันเวลาเพื่อนคุยกันมันจะมีความใกล้ชิดกันมากกว่านี้ค่ะ ยิ่งไปเมาด้วยกันคำพูดจะค่อนข้างสนิทสนมเป็นพิเศษด้วยเพราะเหมือนเป็นช่วงเวลาปล่อยผี แต่ที่อ่านมายังไม่รู้สึกถึงความสนิทสนมของตัวละครค่ะ
คำแนะนำ :
บทบรรยายกับบทสนทนาดูโดดไปโดดมาค่ะ จะว่าเป็นนิยายแนวจีนมันก็ไม่ใช่จะบอกว่าเป็นแฟนตาซีก็ไม่เชิง ด้วยศัพท์ที่ใช้บรรยายกับการคุยของตัวละครมันยังโดดไปมาค่ะ อ่านแล้วเลยรู้สึกขัดๆ คือบรรยายใช้ได้นะคะติดตรงยังคุมโทนทั้งเรื่องไม่ได้ ถ้าจะเน้นหนักเป็นนิยายจีนอาจต้องเสริมความขลังในการพูดจาของตัวละครขึ้นอีกค่ะ คนเก่งต้องพูดแบบไหน คนสุขุมเขาพูดกันยังไงในนิยายแนวจีน ต้องศึกษาให้ดีค่ะ
บทสนทนาโดยรวมที่อ่านคือธรรมดาค่ะยังไม่มีอะไรโดดเด่นยังแสดงเสน่ห์ของตัวละครออกมาไม่ได้ ต้องวิเคราะห์นิสัยใจคอของตัวละครมากกว่านี้ค่ะ จะช่วยเสริมให้บทพูดน่าสนใจมากขึ้น
คำแนะนำ :
เปิดมาด้วยบทสนทนาที่ยาวเหยียดแบบนี้ทำให้งานไม่น่าสนใจมากๆ ค่ะ ยิ่งเป็นแนวรักหวานแหววด้วยนักอ่านสไตส์นี้ไม่นิยมบทอ่านที่ยาวติดกันเป็นพรืดแบบนี้แน่นอน เราสามารถใส่บทสนทนาเสริมไประหว่างบทบรรยายได้นะคะ อย่างนางเอกตื่นนอนมาเราก็อาจจะให้นางเอกพูดสักหน่อยว่า “อา... อยากนอนต่อจัง” หรืออะไรก็ว่าไป ที่จะเป็นตัวช่วยคั่นระหว่างบรรทัดให้งานดูอ่านง่ายขึ้น
บรรยายส่วนมากดูเป็นการบ่นด้วยค่ะ ไม่มีความน่าดึงดูดหรือทำให้เนื้อเรื่องเดินหน้า บทสนทนายังไม่มีความเป็นธรรมชาติและไม่สมเหตุสมผลจ้ะ อย่างตอนนางเอกโดนคนปาหินใส่คือถ้าสถานการณ์จริงเกิดขึ้นคงไม่มีบ่นออกมาเป็นชุดเร็วขนาดนั้น อาจจะจุกก่อนหรือกำลังจะระเบิกโมโหอะไรทำนองนั้นจ้ะ ตอนปาหินอ่านเลยรู้สึกบทสนทนานางเอกแปลกๆ ยังจับอารมณ์ไม่ค่อยได้ว่าจะยังไง จะโกรธหรือจะยังไงเหมือนอั้นๆ ไว้ ยังรู้สึกงงๆ ค่ะ เพราะมีบทบรรยายมาคั่นระหว่างบทสนทนาไปมาด้วยทำให้ไม่ค่อยต่อเนื่องในการอ่านเท่าไรค่ะ
8 ความคิดเห็น
ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเลยครับ ช่วยให้ผมรู้จุดบกพร่องได้เป็นอย่างดีเลย ผมจะนำข้อแนะนำนี้ไปพัฒนางานเขียนให้ดียิ่งขึ้นนะครับ ขอบคุณสำหรับกิจกรรมดีๆ จากทางทีมงานมากเลยครับ ^_^
ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่าา
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ จะได้นำไปปรับปรุงและพัฒนาให้ดีกว่านี้
#อ่านจบแล้วรีบกลับไปอ่านตอนที่ส่งไปทันที ^^
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ
จะนำไปปรับใช้ดูค่า
ปล. เอ่อ...ลิงค์ของข้าน้อย มันไม่ใช่ลิงค์นิยายของข้าน้อยอ่าค่ะ มันเป็นลิงค์ของนิยายเรื่องอื่นอ่ะค่ะ
ดีใจมากค่ะ ที่ได้โอกาสเข้าร่วมคลีนิคนักเขียนนี้ ขอบคุณพี่ๆทีมงานทุกท่านด้วยนะคะ ><
และที่สำคัญ ขอบคุณคุณหมอนักเขียนสำหรับข้อติชมมากค่ะ เป็นประโยชน์กับเรื่องอย่างยิ่งเลยค่ะ :D
ขอบคุณมากๆสำหรับคำแนะนำนะคะ ขอบคุณพี่ๆทีมงานสำหรับกิจกรรมดีๆด้วยค่ะ >_____<
แล้วจะเอาไปปรับปรุงแน่นอนค่า ตอนนี้ขอผ่านพ้นวิกฤติไฟนอลไปให้ได้ก่อนนะ