ชวนทำความรู้จัก 'กานท์ชญา' นักเขียนลูกหม้อเว็บเด็กดี
สวัสดีค่ะชาวเด็กดี แป๊บๆ ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว เพื่อนๆ ใครมีแพลนจะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้างคะ ส่วนพี่อรไม่ได้ไปไหนเลยปีนี้กะจะขออ่านนิยายรัก จิบชาอุ่นๆ แล้วก็คอยอัพเดทเนื้อหาที่น่าสนใจให้ทุกคนได้อ่านกัน เช่นเดียวกับคอลัมน์พบปะพูดคุยในสัปดาห์นี้ค่ะ พี่อรยินดีแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ
มะเหมี่ยว หรือเจ้าของนามปากกา
กานท์ชญา นักเขียนลูกหม้อของเว็บฯ เด็กดี ซึ่งจะว่าไปเธอคือหนึ่งในนักเขียนรุ่นแรกๆ จะเรียกว่าแจ้งเกิดและเติบโตมาพร้อมๆ กับเว็บฯ ก็คงไม่ผิด แต่ถ้าส่วนตัวพี่อรแล้ว พี่อรเริ่มรู้จักเธอคนนี้ผ่านงานเขียน
ชุด นางร้าย ในเว็บไซต์เด็กดีของเราเนี้ยแหละ จำได้ว่าตอนนั้นชุดนางร้ายติดอันดับท็อปอยู่หลายสัปดาห์ ส่วนตอนนี้หรอคะ... ก็ยังแอบวนๆ เวียนๆ ตามอ่านนิยายพีเรียดเรื่องใหม่ สรวงสุราลัย ของเธออยู่ และถ้าดูจากผลงานที่ผ่านมาคงน่าเสียดายหากไม่ได้พาเธอมาแนะนำให้น้องๆ ได้รู้จัก งั้นมาค่ะเรามาทำความรู้จักกับเธอคนนี้ให้มากขึ้น ไปพร้อมๆ กัน
นักเขียนสาวมั่นเจ้าของนามปากกา กานท์ชญา
แนะนำตัวเองให้ชาวเด็กดีรู้จักสักนิดค่ะ
ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่ามาเป็นนักเขียนได้ยัง
กานท์ชญา: ทุกวันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่ามาเป็นนักเขียนได้ยังไง (หัวเราะ) คือเหมี่ยวไม่ได้เป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะอะไรขนาดนั้น แต่รู้ตัวมาตั้งแต่จำความได้ว่าเป็นคนชอบเขียนกลอน เขียนเรียงความ คือก็เขียนกลอนเป็นเล่มๆตั้งแต่ประมาณ ประถม 4 อะค่ะ พอโตขึ้นมาหน่อยก็จะมีละครเข้าค่าย คือชอบเขียนบทละครเข้าค่าย แบบว่าเอาพวกวรรณคดีสมัยก่อนมาเขียนเป็นบทละครรอบกองไฟ ซึ่งผลที่ได้คืองานของเราออกมาดี มีคนชอบ ก็เลยได้เป็นคนเขียนบทมาตั้งแต่นั้น จนกระทั่ง เข้ามัธยมต้น ตอนนั้นเรียนโรงเรียนประจำค่ะ เวลาอยู่โรงเรียนไม่มีทีวีดู เลยชอบนอนคิดเรื่องราวเป็นละคร เป็นทีวีอะไรแบบนี้ พอได้กลับบ้านก็ลองเขียนๆดู โชคดีที่พิมพ์ดีดเป็น ก็เลยลองพิมพ์ๆเขียนไว้ ที่ตอนนี้กลับมาอ่านอีกทีก็จะรู้สึกว่าเอ๊ะ ฉันเขียนอะไรลงไป (หัวเราะ) แต่สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้เลย ก็คือ ครั้งหนึ่งเวปเด็กดีเคยมีการประกวดโครงการเรื่องสั้นวันพ่อ ซึ่งเหมี่ยวเองก็มีเรื่องจะเขียนพอดี ตอนนั้นก็เขียนเรื่อง “
แม่เราทำไมต้องให้คนอื่นเข็น” ส่งเข้าประกวด ปรากฏว่าได้รางวัลชนะเลิศเลย จากนั้นมาก็มีสำนักพิมพ์มาติดต่อเอาผลงานที่เขียนลงในเด็กดีไปเขียน แล้วก็ได้เป็นนักเขียนมาจนทุกวันนี้ค่ะ ต้องขอบคุณพี่ๆ เด็กดีด้วยนะคะ ที่ทำให้นักเขียนคนนี้มีโอกาสได้มีหนังสือเป็นของตัวเอง
ดูจากผลงานเรียกว่าเป็นนักเขียนนิยายรักตัวยงเลย แล้วส่วนตัวคิดว่าเสน่ห์ของนิยายรักอยู่ตรงไหน
กานท์ชญา: ของคนอื่นเป็นอย่างไรเหมี่ยวไม่แน่ใจนะคะ แต่สำหรับตัวเหมี่ยว นิยายของเหมี่ยวจะอาศัยเก็บเกี่ยวมาจากสถานที่จริงหรือประสบการณ์จริง
ชีวิตของคนเราถูกขับเคลื่อนไปด้วยเวลาและความรู้สึก เหมี่ยวเก็บเรื่องราวมากมายมาเขียน เพราะคิดว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราเนี่ย เราจะสัมผัสมันได้ เช่นกัน คนอ่านก็จะสัมผัสมันได้เหมือนกัน อีกอย่างเพราะความรักมีอยู่รอบตัวเราเสมอ
นิยายรักเนี้ย คนไม่เคยมีความรักเขียนได้ไหม
กานท์ชญา: สำหรับคนที่ไม่เคยมีความรักแล้วอยากจะเขียนนิยายรักได้ไหม เหมี่ยวว่าได้นะ อย่างที่บอกค่ะว่า เพราะความรักมีอยู่รอบตัวเราเสมอ ถ้าตัวเราไม่เคยมีความรัก ลองดูคนที่เคยมีความรักก็ได้ เช่น ความรักของพ่อกับแม่ ความรักของเพื่อน หรือความรู้สึกดีๆ ที่เรามีต่อใครสักคน อาจจะเป็นศิลปินที่เราชอบก็ได้ เหมี่ยวเองก็เคยเขียนนิยายรักเพราะศิลปินที่เหมี่ยวรักนะ เหมี่ยวชอบ ดงบังชินกิ เมื่อก่อนใช้นามปากกาว่า “
ชญากานท์” ตอนนั้นก็เอาดงบังชินกิ มาเขียน จะว่าฟิคชั่นก็ไม่ใช่ นิยายก็ไม่เชิง เหมี่ยวว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีนะคะ ถ้าเราไม่เคยมีความรักก็ลองมองความรักของคนรอบข้างดูค่ะ แต่สิ่งสำคัญเลยนะ คือคุณต้อง “รัก” ในงานที่คุณเขียนด้วย
หน้าปกของชุด ดวงใจสี่เหล่าทัพ ที่พูดถึง
ถ้าต้องเลือกนิยายรักให้นักอ่านอ่านรับฤดูหนาว คิดว่าผลงานเรื่องไหนของตัวเองเหมาะที่สุด เพราะอะไร
กานท์ชญา: ร้อยดวงใจใต้ปีกวันวาน เรื่องที่ 3 กองทัพอากาศ ใน
ชุด ดวงใจสี่เหล่าทัพ ค่ะ เรื่องนี้จะพาคนอ่านไปเที่ยว “ทุ่งทานตะวัน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์” คือเหมี่ยวเป็นคนลพบุรี ในนิยายจะพูดถึงนักบิน เอฟ 16 ที่ประจำอยู่ที่ กองบินที่ 4 ตาคลี และ โรงเรียนที่พระเอกกับนางเอกเคยเรียนด้วยกันตอนมัธยม ซึ่งเป็นโรงเรียนของเหมี่ยวเอง โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ลำนารายณ์ ที่สำคัญช่วงฤดูหนาวแบบนี้จะมี “ทุ่งทานตะวัน” ให้ได้ชมกันค่ะ ในเรื่องก็พูดถึงช่วงฤดูหนาวด้วย มีทั้งงานปีใหม่คาบเกี่ยวไปงานวันเด็กเลย ไทม์ไลน์เป็นช่วงเวลานี้พอดี ทั้งยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพราะเขื่อนป่าสักเป็นเขื่อนโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เลยอยากให้ทุกคนได้อ่านแล้วลองมาสัมผัสสถานที่จริงในช่วงเวลาเดียวกับนิยายด้วยค่ะ รับประกันว่าถ้าอ่าน จะไม่ได้มีแค่สถานที่เที่ยวสวยๆ แต่ยังมีความหวานของ
แดหวาและ
กัปตันวายุ อีกด้วยค่ะ
ชุด ดวงใจสี่เหล่าทัพ มีนักอ่านตามกันมาก แล้วส่วนตัวนักเขียนชอบเรื่องไหนที่สุดในชุดนี้
กานท์ชญา: จริงๆ ชอบทุกเรื่องเลย แต่ถ้าถามว่าเรื่องไหนเขียนแล้วประทับใจที่สุดก็น่าจะเป็น “
กองพันรักพิเศษที่หนึ่ง” ค่ะ คือตอนนี้บอกใครก็ไม่เชื่อว่าเหมี่ยวไม่ได้กรี๊ดทหารเป็นการส่วนตัวนะ แต่เหมี่ยวชอบเรื่องราวของหลักสูตรทหาร การรบ ยุทโธปกรณ์อะไรพวกนั้น แต่ที่ชอบเรื่องนี้เพราะเอา “สิ่งที่เห็นทุกวัน” มาเขียนค่ะ อย่างที่หลายๆ คนรู้กันว่าเหมี่ยวอยู่ ลพบุรี เมืองที่มีค่ายทหารตั้ง 11 ค่าย มีทหารเยอะมาก เดินไปไหนซ้ายขวาก็ทหาร บ้านเหมี่ยวเองก็อยู่ใกล้กับค่ายทหาร ค่ายทหารล้อมหน้าล้อมหลัง หน้าบ้านก็โรงหนังทหาร เพื่อนเป็นทหารบ้าง ลูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่บ้าง ลูกค้าที่บ้านก็ทหาร คือเห็นจนชิน บางวันก็ตื่นเพราะเสียงเฮลิคอปเตอร์ทหารก็มีค่ะ จากที่เฉยๆ เบื่อๆ พอลองมาเขียนเป็นนิยาย มันเลยง่ายเข้าใจง่ายด้วย แถมได้เขียนเรื่องตลกๆ สนุกๆ ก็คือเหมือนเอาตัวเองใส่ลงไป เลยกลายเป็นว่าชอบเรื่องนี้ไปเลย อีกอย่างคือเรื่องที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ค่ะ เหมี่ยวมีเพื่อนเป็นทหารไปประจำการที่ใต้กันเยอะ ส่วนใหญ่เป็นทหารไปคุ้มครองครู เหมี่ยวก็จะได้รับรู้เรื่องราวของทหารที่นั่นมา เลยเอามาประยุกต์กับนิยายเรื่องนี้ให้ออกมาดีที่สุดค่ะ เหมี่ยวไม่อยากให้คนไทยลืมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันในสถานที่แห่งนั้นค่ะ
คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดของการเขียนนิยายชุด
กานท์ชญา: การพล็อตเรื่องค่ะ คือพล็อตยังไงไม่ให้มันซ้ำกัน ทำยังไงให้มันดูใหม่ตลอดเวลา ทำยังไงไม่ให้คนอ่านทายถูกว่าตอนต่อไปมันจะเป็นยังไง คนอ่านสมัยนี้ชอบเดาพล็อต เราก็ต้องเอาชนะเขาด้วยการที่ทำอะไรในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง เขียนอย่างไรไม่ให้ซ้ำกับสิ่งที่เราเคยเขียนไปแล้ว คือโจทย์ที่ยากที่สุดสำหรับเหมี่ยว
ส่วนตัวคิดว่า การเก็บข้อมูลเหล่านี้เพื่อนำมาใช้ในนิยายมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าข้อมูลที่เราอ่านมากเพียงพอแล้ว
กานท์ชญา: เหมี่ยวจะอ่านหนังสือที่เหมี่ยวสนใจและอยากอ่านเท่านั้นค่ะ (หัวเราะ) อย่างที่อ่านเยอะล่าสุดก็เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ยุคสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งตัวเหมี่ยวเองก็จะเอาไว้ใช้เขียนเรื่อง สรวงสุราลัย ไปด้วย ถามว่าการเก็บข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญกับการเขียนนิยายมากน้อยแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เราต้องคิดก็คือคนอ่านนิยายของเรา มีมาจากหลายอาชีพ หลายช่วงอายุ เขาอาจจะเก่งกว่าเราหรือรู้ในเรื่องที่เราเขียนมากกว่าเรา ดังนั้นเราเองก็ต้องศึกษาให้ดี เพื่อให้คนอ่านได้รับสิ่งที่ดีและถูกต้องจากนิยายของเรา เพราะเขาควรจะได้อะไรมากกว่าการอ่านนิยายรักหวานๆโรแมนติก ถือเป็นกำไรและการให้เกียรติเขาที่มาอ่านนิยายของเราด้วยค่ะ ส่วนเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราอ่านหรือศึกษามามันพอแล้ว เหมี่ยวบอกเลยว่าการหาความรู้ก็ไม่มีวันสิ้นสุดค่ะ ยิ่งเป็นเป็นนักเขียนต้องไม่หยุดเรียนรู้ เพราะตราบใดที่ยังมีคนอ่านนิยายอยู่เราก็ต้องแสวงหาสิ่งใหม่มาสร้างสรรค์ผลงานของเราให้ดีค่ะ
ตั้งแต่เป็นนักเขียนมาเคยเจอคอมเมนต์แรงๆ ที่ทำให้รู้สึกแย่บ้างไหม ถ้ามีจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไง
กานท์ชญา: เคยค่ะ ก็ถามว่าแย่ไหม แย่ค่ะ... ส่วนมากที่เจอก็จะเป็นแบบว่า “คำผิด” เหมี่ยวว่านะนักเขียนทุกคนมีโอกาสพิมพ์ผิดนะ แต่การที่มีคนมาคอมเม้นต์บอก บางคนก็แร๊งแรง เอาซะเหมี่ยวรู้สึกว่า การที่เหมี่ยวพิมพ์ผิดเนี่ยมันปัญหาระดับชาติเลยเหรอ (หัวเราะ) พอนานๆเข้าเหมี่ยวก็เลยบอกเค้าว่า บอกกันดีๆ ก็ได้นะคะ เดี๋ยวจะปรับแก้ให้ ซึ่งแน่นอนว่าคนเหล่านั้นเลือกจะไม่บอกเรา และสุดท้ายก็วกกลับมาด้วยวาจาห้วนๆ แรงๆ เหมือนเดิม ซึ่งเหมี่ยวก็คิดว่าเอา เอาเถอะอย่างไรเขาก็ตามอ่านนิยายของเรา ต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำค่ะที่มาช่วยตรวจคำผิดให้ (หัวเราะ) และคอมเม้นต์เหล่านั้นก็สอนให้เหมี่ยวรู้ว่า เราต้องข้อมูลแน่นพอที่จะเอาชนะเขาจนไม่มีที่ให้เขาติให้ได้
รูป กานท์ชญา ตอนแจกลายเซ็นในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่เพิ่งผ่านมา
มีวิธีการตั้งชื่อเรื่องยังไงให้โดนใจคนอ่าน
กานท์ชญา: ห้ามซ้ำคนอื่น คือ...คิดไม่ออกก็ปล่อยเอาไว้ เดี๋ยวบทมันจะมามันก็จะโผล่เข้ามาในสมองเราเองค่ะ (หัวเราะ) เอาจริงๆนะอย่างชื่อนิยายเนี่ย เหมี่ยวเอาธีมของเรื่องเป็นหลักค่ะ ยกตัวอย่างสี่เหล่าทัพทัพเรือก็จะ ทะเล พูดถึงทะเล เพลงพี่เบิร์ดก็ดังขึ้นมาในความคิดค่ะ ฝากฟ้าทะเลฝัน อย่าง กองพันรักพิเศษที่หนึ่ง ที่แรกก็ไม่ใช่ชื่อนี้ค่ะ ชื่อเดิมมันซ้ำเลยต้องคิดชื่อใหม่ คิดไม่ออกก็ปล่อยไว้ค่ะ (หัวเราะ) สุดท้ายเดินไปร้านสะดวกซื้อ พอดีว่ารถรับส่งนักเรียนของ กองพลรบพิเศษที่หนึ่ง ผ่านหน้าพอดีเลย ได้ชื่อนี้มา ก็อย่างที่บอกค่ะว่า ชื่อนิยายส่วนมากจะมาแบบไม่ได้ตั้งใจ และมันต้องโดนใจเราก่อนที่จะไปโดนใจคนอ่านค่ะ
คิดว่านอกจาความบันเทิงแล้วสิ่งที่นักอ่านจะได้จากงานของ กานท์ชญา คืออะไร
กานท์ชญา: ได้ท่องเที่ยว ได้ความรู้ ได้สูตรอาหาร และได้ความฟิน (หัวเราะ) ในเรื่องที่ 2 ของชุดแก๊งนางร้าย สูตรรักดาวประกาย เป็นเรื่องเกี่ยวกับทำอาหารค่ะ เหมี่ยวเขียนวิธีทำและเทคนิคการทำอาหารจริงๆลงไปในนั้น มันใช้งานได้จริงค่ะ เพราะเหมี่ยวเรียนด้านอาหารมาและก็ลงมือทำจริงๆ ก่อนเขียนด้วย
นักเขียนที่ชื่นชอบมีใครบ้าง แล้วนักเขียนท่านนั้นมีอิทธิพลต่องานเขียนของกานท์ชญา ยังไงบ้าง
กานท์ชญา: เหมี่ยวโตมากับนวนิยายของ “
คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์” หรือ
ทมยันตี ค่ะ ท่านมีอิทธิพลกับงานเขียนของเหมี่ยวคือเรื่องของการสื่อการกระทำของตัวละครค่ะ ตัวละครของทมยันตีมีมิติในมโนภาพของเราตอนอ่าน อ่านแล้วรู้สึกว่าเข้าไปในใจของเราจริงๆ อีกท่านคือ
ครูอี๊ด อาริตา เหมี่ยวมีโอกาสได้ฟังเรื่องราวการเป็นนักเขียนของท่านแล้วเหมี่ยวรู้สึกว่า เราต้องไม่ท้อนะ เราต้องสู้ มันต้องมีสักวันที่ความฝันของเราจะเป็นจริงๆ
กระแสตอบรับจากนักอ่านดีขึ้นเรื่อยๆแบบนี้คิดว่าจะพัฒนางานตัวเองไปในทิศทางไหนให้ครองใจนักอ่านได้ต่อไป
กานท์ชญา: เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เขียนให้ดีขึ้น ให้ช่องโหว่ของเรามันน้อยลง คนอ่านเราอ่านนิยายเยอะขึ้น คนเขียนนิยายสมัยนี้ก็เยอะขึ้น เราเองก็ต้องรอบคอบให้มากขึ้น ทำทุกอย่างให้ดี จริงใจกับคนอ่าน รักในสิ่งที่เราเขียน รักและซื่อสัตย์กับคนอ่าน เหมี่ยวว่านี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ในวงการนี้ได้นานค่ะ
อินเนอร์มาเต็มกับชุดสีเขียวทหารทั้งตัว
ส่วนตัวคิดยังไงกับประโยคนี้คะ “จงทำงานที่เรารักและรักในสิ่งที่ทำ”
กานท์ชญา: เหมี่ยวว่ามีน้อยคนนะที่จะได้ทำงานเรารัก โอกาสมันยากมากๆ แต่เมื่อได้มาแล้วก็ควรจะเก็บมันเอาไว้ ตัวเหมี่ยวเองก็มีงานที่เป็นธุรกิจของครอบครัวด้วย แต่งานเขียนนิยายเป็นงานที่เหมี่ยวรัก รักแบบไม่มีเงื่อนไข เหมี่ยวมีโอกาสได้ลองทำงานอื่นๆ ก็รู้ว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของเรา เมื่อกลับมายืนในจุดเดิมที่เราเคยยืนก็รู้ว่า ทำงานที่เรารักและรักในสิ่งที่ทำ มันเป็นอะไรที่ใช่มากจริงๆ
ช่วยแนะนำน้องๆ ที่อยากเป็นนักเขียน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงสักหน่อย
กานท์ชญา: มีหลายคนพอรู้ว่าเหมี่ยวเป็นนักเขียนก็จะถามเหมี่ยวว่า เป็นนักเขียนต้องทำยังไง ต้องอ่านเยอะๆใช่ไหม เหมี่ยวอยากจะบอกว่า อยากเป็นนักเขียนก็ต้องเริ่มเขียน บางคนบอกว่า เขียนไม่จบ เขียนไม่ดีหรอก คือถ้าไม่ลองเขียนแล้วจะรู้เหรอว่าเขียนได้หรือเปล่า บางคนเขินกลัวนั่นนี่โน่น คือถ้ากลัวแล้วจะบินได้ไหม ของแบบนี้นะ ด้านได้อายอด จริงๆค่ะ อยากเขียนอยากได้ตีพิมพ์ก็ต้องกล้า กล้าจะเขียน กล้าจะรับฟังความเห็น และต้องเอาชนะตัวเองด้วยการ “เขียนให้จบ” ให้ได้ การเขียนนิยายเรื่องหนึ่งจนจบ มันยิ่งกว่าเล่นเกมแล้วได้รางวัลแจ็คพ็อตค่ะ ไม่เชื่อลองดูสิ
ฝากข้อคิดดีๆ ให้กับน้องๆ นักอ่านนักเขียนเด็กดีเป็นการปิดท้ายสักนิด
กานท์ชญา: ก็อยากจะบอกว่ากว่าเหมี่ยวจะโตมาจนทุกวันนี้ลองผิดลองถูกมามากมาย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ไม่มีอะไรเอาชนะความพยายามได้เลย คำว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น” มันใช้ได้กับทุกที่ ทุกเวลาและทุกสถานะจริงๆนะคะ
มีประโยคหนึ่งมะเหมี่ยวบอกกับพวกเราว่า "ไม่ลองเขียนแล้วจะรู้เหรอว่าเขียนได้หรือเปล่า" สำหรับประโยคนี้พี่อรเห็นด้วยเลยนะคะ เพราะถ้าเราไม่ลองก็ไม่มีทางรู้ได้หรอกค่ะว่าจริงๆ แล้วเราสามารถทำสิ่งๆ นั้นได้จริงไหม นอกจากประโยคนี้แล้วมันยังทำให้พี่อรนึกถึงคำพูดของ Henry Ford เขาบอกว่า "หนึ่งในการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ คือการค้นพบว่าตัวเองสามารถทำสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองกลัวมาตลอดว่าจะทำไม่ได้" เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะทำให้เรารู้ว่าเราทำสิ่งนั้นได้จริงไหม คือการลงมือทำมันเสียที อย่ากลัวว่าเขียนออกมาแล้วจะไม่สนุก จะไม่ถูกใจคนอ่าน แต่จงเขียนเพราะอยากที่จะเขียนค่ะ
ในส่วนของการสัมภาษณ์จบไปแล้วตอนนี้ได้เวลาเล่นเกมแล้วค่ะ
บอกเลยสัปดาห์นี้เรามีรางวัลใหญ่มาแจก
กติกาง่ายๆ เหมือนเดิม เพียงแค่ครั้งนี้น้องๆ
"เขียนข้อความให้กำลังใจตัวเอง จะสั้นแค่ไหนก็ได้หรือยาวแค่ไหนก็ได้"
ลงในคอมเมนต์ใต้บทความ ผู้โชคดี 1 ท่าน จะได้รับนิยาย
ชุด “ดวงใจสี่เหล่าทัพ”
ประกอบไปด้วย ฝากฟ้าทะเลฝัน, กองพันรักพิเศษที่หนึ่ง,
ร้อยดวงใจใต้ปีกวันวาน และ จับตรงที่นี้ความรัก
ไปอ่านกันจุใจที่บ้าน
เห็นแบบนี้แล้วมาเล่นเกมลุ้นรับหนังสือกันเยอะๆ นะคะ
สำหรับผู้ได้รับรางวัลกรุณาส่ง ชื่อ-นามสกุล (นามแฝง) พร้อมที่อยู่ในการจัดส่ง
ระบุว่าได้รับรางวัลหนังสือ ชุด “ดวงใจสี่เหล่าทัพ”
มาที่อีเมล์ atcharawadi@dek-d.com
ทางทีมงานจะจัดส่งรางวัลไปให้อ่านถึงที่บ้านเลยค่ะ ^ ^
(หมดเขตรับของรางวัล ในวันที่ 15 ธันวาคม 2558)
พี่อร
^____________^
47 ความคิดเห็น
"ธีรภัทร์ ดูสิ เธออ่านแล้วรู้สึกยังไง? แหงสิ กำลังใจก็มา ฉันล่ะชอบพี่เขาจังเลย >O< อิอิ ฉันรู้ว่าเธอก็พยายาม มันอาจจะยังไม่สำเร็จตอนนี้ แต่ฉันเชื่อว่าต้องมีซักวันที่เป็นของเรา ฉันอยากให้เธอเชื่ออย่างนี้อยู่เสมอนะ คิดไว้ถึงความรู้สึกแรกที่เราเขียนนิยายล่ะ เราทำเพื่ออะไร เพื่อสิ่งที่ตัวเองรักใช่มั้ย ใช่สิ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วแหละ : ) "
พูดกับตัวเองหนักมาก 5555 //มาอ่านบทสัมภาษณ์นี่แล้วชอบพี่มะเหมี่ยวมากเลยครับ น่ารักมาก 555 เป็นกำลังใจให้พี่นะครับ <3
"กาลเวลาล่วงเลยผันผ่าน วันวารยังคงย้ำให้จดจำ"
ทุกสิ่งที่ผ่านมาในอดีตเราอาจทำได้ไม่ดีพอ มีท้อ มีถอย แต่สิ่งหนึ่งที่จะอยู่กับเราไปตลอดก็คือจิตใจเราเอง ถ้าเรามัวแต่จมอยู่กับความหดหู่กับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว จิตใจเราก็หม่นไปด้วย สู้ให้ฝึกยิ้มอย่างมีความสุขดีกว่า มองโลกต่างๆให้กว้างขึ้น ปรับทัศนคติของตัวเองใหม่ ให้พร้อมกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป แล้วเราก็จะค้นพบความสุข ซึ่งความสุขของเรานั้นก็อยู่ใกล้ๆเรานี่แหละ ในใจของเรานี่เอง อย่าลืมบอกตัวเองให้สู้ๆนะ
หนูเป็นคนหนึ่งที่บอกตัวเองบ่อยๆว่า "ถึงเราจะไม่มีเหมือนคนอื่น ไม่เด่นเหมือนคนอื่น ไม่เก่งเหมือนคนอื่น" แต่เราก็ภูมิใจในสิ่งที่เรามีและเราเป็น เพราะเราไม่ต้องฝืนตัวเองให้เก่งตลอดเวลาได้ บางครั้งเราก็ท้อได้ เหนื่อยได้ แต่เราก็รู้ว่าสุดท้ายแล้วจุดหมายที่เราตั้งไว้เราต้องไปให้ถึงเพียงแต่เราอาจจะถึงช้ากว่าคนอื่นแค่นั้นเอง บางครั้งการยอมรับก็เหมือนการให้กำลังใจตัวเองนะหนูว่า เพราะเรายอมรับมันจึงทำให้เรามีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป คนอื่นให้กำลังใจเราไม่เท่าเราเข้าใจและให้กำลังใจตัวเอง ใจเรา เรารู้ว่าจะสู้ได้แค่ไหน //ขอบคุณค่ะ
ปล.แต่ก็เป็นกำลังแรงใจให้พี่เหมี่ยวตลอดนะคะ สู้ๆค่ะ ติดตามผลงานอยู่นะแต่อาจจะไม่ได้คอมเม้นนะคะเพราะไม่รู้จะเม้นว่าไรดี 5555+ เพราะมันดีอยู่แล้วค่ะ
บอกกับตัวเองเสมอว่า เหนื่อยได้ ท้อได้ แต่ถอยไม่ได้ เพราะคนข้างหลังเขารอเราอยู่
มีทางเข้าก็ต้องมีทางออก ไม่มีหรอกทางตันที่ว่า อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทางไหน เพราะทุกๆเรื่องจะต้องมีทางออกเสมอ
ความสุขของหนูมันหาได้ง่ายๆ แค่เห็นในหลวงแข็งแรง เห็นพ่อแม่หัวเราะ ได้ทำเพื่อคนอื่นเล็กๆน้อยๆตามกำลังที่เราจะทำได้. หรือเพียงแค่หยิบนิยายสักเล่มขึ้นมาอ่านก็มีความสุข แค่อยากบอกทุกคนว่าเราสามารถมีความสุขได้ง่ายๆกับทุกสิ่งอย่างรอบตัวโดยไม่ต้องขวนขวายหาความร่ำรวยความสุขไม่จำเป็นต้องใช้เงิน
เมื่อเจ้าท้อแล้ว จงมองกลับไปยังคนที่ด้อยกว่าเรา เราก็จะพบว่าเราได้รับโอกาสตั้งมากมายกว่าคนอื่นๆ
ถึงเราจะมีต้นทุนชีวิตไม่เท่าคนอื่น แต่เรามีหนึ่งสมองสองมือสองเท้าและหนึ่งชีวิตเท่ากัน
ไม่มีใครโชคดีตลอดไปและไม่มีใครโชคร้ายไปตลอด
ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจชีวิตยังมีหวัง สักวันต้องได้ดี
กำลังใจที่เรามีให้กับตัวเราเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ
เพราะต่อให้อุปสรรครอบกายมันจะมากมายสักขนาดไหน
แค่เราไม่ยอมแพ้และสู้ต่อไป วันนึงเราก็อาจจะไปถึงจุดที่ฝันเอาไว้
หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็ได้ลุกขึ้นมาพยายามทำอะไรให้กับ
ตัวของเราเองแล้วนะ ท้อได้แต่อย่าหยุดก้าวเดินไปข้างหน้า
นะตัวเอง
ปล. ขอบคุณทั้งพี่อรและคุณเหมี่ยวมากนะคะ กำลังท้อ ๆ กับงานเขียน
และอีกหลาย ๆ เรื่องอยู่เลย รู้สึกว่ามันหนัก พอมาอ่านบทสัมภาษณ์อันนี้
แล้วเหมือนได้แรงบันดาลใจอีกครั้งว่าคนเรากว่าจะสำเร็จมันต้องใช้ทั้งเวลา
และความพยายาม หมั่นฝึกฝน หวังว่าวันนึงจะได้ขึ้นบินแบบคุณกานท์ชญา
บ้างนะคะ ดีใจที่ได้เจอสาวกดงบังชินกิเหมือนกันนะคะ ชอบ concept
Love is all around you มากค่ะ จริง ๆ รอบตัวเรามีความรักอยู่มากมาย
จริง ๆ ด้วยค่ะ ^^