"บอส" เล่าชีวิตเตรียมสอบกับเป้าหมายสุดหิน "วิศวะฯ จุฬาฯ"


          สวัสดีค่ะ ในสนามสอบแห่งความฝัน พี่อีฟเชื่อแน่ว่า น้องๆ หลายคนอาจจะเคยรู้สึกว่าตัวเองเก่งไม่เท่าคนอื่น หรืออาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถมากพอจะไปสู้ใคร บางคนก็รู้สึกแบบนั้นและเลือกที่จะยอมแพ้ไป แต่ก็มีอีกหลายคนค่ะที่รู้สึกแบบนั้น แต่ก็เลือกที่จะพยายามไปให้ถึงฝัน
          วันนี้พี่อีฟเลยขอพา #dek60 และ #dek61 ทุกคน มาเตรียมตัวกับ Admission Idol ของเราในวันนี้ ที่พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะคว้าคณะในฝันให้ได้ ซึ่งวันนี้เขาทำสำเร็จแล้วค่ะ ไปติดตามเรื่องราวของ "บอส" อภิชา จารุดิลกวรกุล ที่จะมาเล่าเรื่องราวความพยายามที่กว่าจะถึงฝั่งฝันต้องผ่านอะไรมาบ้างพร้อมแนะสูตรฟิตติดรับตรง เราไปติดตามเรื่องราวกันเลยค่ะ

 

แนะนำตัวกับน้องๆ Dek-D กันหน่อยค่ะ
          สวัสดีครับ ผมชื่อบอส อภิชา จารุดิลกวรกุล จบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก เกรดเฉลี่ยรวม 6 เทอม ได้ประมาณ 3.34 ครับ ตอนนี้สอบติดที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยวิธีรับตรง (แบบปกติ) (คิดไว้รึยังว่าอยากเรียนภาควิชาอะไร) จริงๆ ก็คิดไว้ว่าอยากเข้าสาขาวิชาเครื่องกล แต่ก็ไม่รู้จะได้รึเปล่านะครับ55555 ก็มองไว้ว่าจะเน้นตั้งใจเรียนไว้ก่อนดีกว่า

จุดเริ่มต้นความสนใจกับวิศวกรรมศาสตร์
          เริ่มมาจากตอนเด็กๆ เราก็เล่นเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปที่ชอบสร้างอะไรเล่นๆ ชอบต่อนู่นต่อนี่ มีอะไรก็จะหยิบจับมาต่อมาสร้าง พอโตขึ้นมาหน่อย เราก็ค้นพบว่าวิชาที่เราชอบก็มาด้านนี้เหมือนกัน คือเราชอบคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ ถึงจะไม่ค่อยเก่งมาก แต่เราเน้นมองที่เราชอบไว้ก่อน และพยายามเพิ่มมากขึ้น พอเริ่มมองคณะวิศวกรรมศาสตร์ เราก็เริ่มหาข้อมูลด้านนี้เลย ว่าเรียนเกี่ยวกับอะไร จบไปทำงานอะไร มีสายงานอะไรบ้าง เราลองศึกษาดู ก็คิดว่าน่าจะใช่ตัวเรา
          จริงๆ กว่าจะตัดสินใจว่าจะเลือกด้านนี้ เราก็มีหลายอย่างที่สนใจ ตอนแรกเลยคือป๊ากับม้าอยากให้เราเป็นทนาย เราก็เริ่มมีอาชีพแรกในหัวละ ต่อมาพอตอน ม.ต้น ช่วง ม.1-2 เราชอบเรียนคณิตศาสตร์ ก็เริ่มสนใจคณะบัญชีฯ ต่อมาพอกำลังจะขึ้นชั้น ม.4 ตอนช่วง ม.3 ปลายๆ เราก็เริ่มต้องการเป้าหมายที่แท้จริง จะได้มุ่งมั่นแล้วก็ตั้งใจให้เต็มที่เลย แล้วเราก็มาเจอฟิสิกส์ตอน ม.4 ก็รู้สึกว่าชอบ เลยตัดสินใจจริงๆ ตอนช่วง ม.4 ว่าจะเลือกวิศวะฯ ครับ


การค้นหาตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย
          จริงๆ สำหรับผมที่มองว่ามันไม่ง่ายก็คือ เราไม่มีทางรู้จริงๆ เลยว่ามันเหมาะกับเรารึเปล่า เราแค่อาศัยวิชาที่ชอบ หรืออะไรที่เราคิดว่าเราชอบ ก็ต้องตัดสินใจเลือกแล้ว อย่างวิศวะฯ คนทั่วไปก็จะมองว่าเป็นอาชีพที่ต้องควบคุมการสร้างตึก สร้างถนน สร้างแปลนตึก ฯลฯ แต่เราจะรู้จริงๆ รึเปล่า ว่าเขาทำอะไรบ้าง พอไปเรียนแล้ว ไปเจอของจริงแล้ว เราจะชอบรึเปล่า ซึ่งตรงนี้มันไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลย ช่วงเวลาค้นหาตัวเอง ผมก็เลยพยายามพูดคุยกันคนรู้จักที่จบสายนี้ ทำงานด้านนี้ เพื่อที่จะสามารถช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีที่สุดครับ
 

มุ่งมั่นกับรับตรงวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ 
          หลังจากที่เราค้นหาตัวเองจนเจอคณะที่เราอยากเข้าแล้ว ก็มาถึงมหาวิทยาลัย เราตั้งใจจะเลือกที่จุฬาฯ เพราะใกล้บ้านที่สุด เราอยากเลือกที่เราสามารถเดินทางไปกลับได้ ถ้ามหาวิทยาลัยอื่นที่ไกลกว่านี้ ก็จะลำบากเรื่องการเดินทางแล้ว ต้องอยู่หอ เราก็เลยมองที่นี่เป็นที่แรกและที่เดียว ส่วนที่มุ่งมั่นกับรับตรง เพราะหลังจากเราเห็นคะแนน GAT PAT รอบแรก เราก็รู้เลยว่าถ้าอยากเข้าจุฬาฯ เราต้องติดรอบรับตรง ถ้าเป็นรอบแอดมิชชั่น เราไม่ติดแน่ๆ เพราะรอบแอดฯ รับไม่เยอะมาก และการแข่งขันก็สูงมากอยู่แล้ว GPAX เราก็ไม่ดี O-NET ก็ยากที่จะทำทุกวิชาให้ได้คะแนนดี GAT PAT เราก็ทุ่มให้รอบแรกสุดตัวแล้วยังทำได้เท่านี้ เราไม่มีทางที่จะได้รอบ 2 มากกว่านี้แน่ ลองดูคะแนนต่ำสุดปีที่แล้วประมาณ 20,500 คะแนน ซึ่งเราไม่มีทางติดเลย ก็เลยคาดหวังและมุ่งมั่นกับรับตรงมากครับ
           แต่ถึงจะมีเป้าหมายที่เราชอบที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าเราก็ควรจะมีเป้าหมายสำรองด้วย เราก็ลองมองหารับตรงมหาวิทยาลัยอื่นที่เราสนใจ ก็มีที่บางมดฯ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) ซึ่งเราก็ยื่นวิศวกรรมศาสตร์ไปเหมือนกัน ตอนแรกเราสนใจเครื่องกล แต่เครื่องกลปิดรับแล้ว ตอนนั้นมีภาคอุตสาหกรรมเปิดรับอยู่ เราก็ยื่นไป จนผ่านไปถึงรอบสัมภาษณ์ ก็ดีใจมาก ตอนนั้นเราก็สบายใจแล้วที่ติดบางมดฯ คิดไว้ว่าถ้าไม่ติดจุฬาฯ เราก็เอาที่นี่แน่ๆ เพราะนอกจากจุฬาฯ ก็จะมีบางมดฯ ที่ตรงกับเงื่อนไขการเดินทางของเราที่สุด


เตรียมตัวยังไงบ้างตั้งแต่มีเป้าหมาย
          ช่วง ม.4 ผมก็ยังเรื่อยๆ ครับ อย่างคณิตศาสตร์ก็คือ ตั้งใจเรียนในห้องเรียน ไม่ได้เรียนเพิ่มเติมที่อื่น ส่วนวิชาภาษาอังกฤษก็เรียนในห้องเรียนเหมือนกัน แต่เป็นวิชาที่ผมไม่ถนัดเลย ไม่รอดเลยวิชานี้ ส่วนฟิสิกส์ก็เรียนกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เรียนแบบตัวต่อตัวครับ ช่วงเวลานี้ก็ยังชิลๆ ได้ เรียนมาเรื่อยๆ แต่มันจะมีจุดพลิกผันตอนทำเชียร์ (จตุรมิตรสามัคคี) ครับ ที่ความรู้เหมือนกลับไปเป็น 0 เพราะเราก็ทุ่มเทให้กับงานตรงนี้ ทำให้เวลาเรียนน้อยลงไปมาก พอหลังจากจบเชียร์ก็เริ่มกลับมาตั้งใจใหม่
           - ช่วงประมาณเดือน พ.ย. ผมก็เริ่มกลับมาตั้งใจเรียนในห้องให้เต็มที่
           - ช่วงเดือน ม.ค. เราเริ่มรู้สึกว่าคณิตศาสตร์เราเริ่มไม่ไหวแล้ว ก็หาที่เรียนพิเศษจริงจัง แล้วก็เริ่มอ่านเก็บมาตั้งแต่ ม.4 ใหม่เลย โชคดีหน่อยตรงที่เรามีความรู้พื้นฐาน ม.4 ถึงจะทำโจทย์ยากๆ ไม่ได้ แต่การมีพื้นฐานที่ดี ก็จะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น และหลังจากช่วง ก.พ. ที่เป็นการสอบไฟนอลในโรงเรียนจบลง
            - ช่วง มี.ค. ผมก็ตั้งใจอ่านเลยครับ เพราะผมรู้ว่า ผมเก่งไม่สู้คนอื่น ผมไม่ได้ฉลาดมาก ก็อาศัยความขยันเข้าสู้ ยิ่งตอนเห็นคะแนนแต่ละวิชา คือรู้สึกว่าต้องทุ่มสุดตัวจริงๆ เพราะถ้าผมพลาดรับตรงก็จบเลย แอดมิชชั่นเราคะแนนไม่ถึงแน่

 

ทุ่มเทและอ่านหนังสือเต็มที่กับ GAT PAT
            ตั้งแต่เดือน มี.ค. เป็นต้นมา ช่วงปิดเทอม ม.5 ขึ้น ม.6 ก็ฟิตเต็มที่เลย เริ่มซื้อหนังสือมาอ่าน ลองทำโจทย์ รุ่นพี่ก็จะแนะนำมาว่า เล่มนี้ดี เล่มนี้ควรซื้อ เราก็ซื้อมาลองทำ ทำจบก็ไปเรียนพิเศษต่อ แบ่งเวลาเรียนฟิสิกส์สัปดาห์ละ 3 วัน คณิตสัปดาห์ละ 3 วัน อังกฤษสัปดาห์ละ 1 วัน เรียกได้ว่าปิดเทอมคือเรียนทุกวันเลย ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัดภาษาอังกฤษที่สุด ก็จะมาตั้งใจกับฟิสิกส์แล้วก็คณิตศาสตร์แทน เพราะเป็นวิชาหลักที่ต้องใช้ในรับตรงด้วย แล้วก็เป็นวิชาที่เราชอบ เหมือนรู้ตัวเองว่าถนัดวิชาอะไร ก็ทุ่มเทกับวิชาที่เราถนัดให้คะแนนสูงๆ ดีกว่า คิดว่าถ้าเราทุ่มเทกับภาษาอังกฤษก็อาจจะไม่ได้คะแนนมากเท่ากับที่เราทุ่มเทคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ ซึ่งจริงๆ มันก็อาจจะเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องนะครับ เพราะตอนนั้นก็ยังมีเวลาเยอะ มันอาจจะคุ้มที่เราจะทุ่มเทให้กับภาษาอังกฤษ คะแนนเราก็แย่มาก ถ้าทุ่มเทกว่านี้อาจจะได้คะแนนเพิ่มขึ้น
            เปิดเทอม ม.6 มา ผมก็เริ่มเต็มที่ พกหนังสือมาทำโจทย์ที่โรงเรียนด้วย ช่วงคาบว่าง พักกลางวัน หรือคาบที่เราไม่ได้เรียน ก็จะหยิบขึ้นมาทำ ช่วงนั้นเป็นเวลาที่เราไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย อาจจะมีเตะบอลบ้างบางครั้ง แต่ไปเที่ยวจริงจังกับเพื่อนคือไม่มีเลยตั้งแต่ตอนนั้น เพราะขอเลือกทุ่มเทตรงนี้ก่อน 
            ผมรู้ว่า สำหรับความฝันนี้ ความสามารถของผมยังสู้คนอื่นไม่ได้ เพื่อนผมบางคนที่เก่งๆ อ่านไม่กี่เดือนก็สอบติดแล้ว แต่ผมไม่ใช่ ผมรู้ว่าถ้าผมไม่พยายามคือไม่ติดแน่ๆ ซึ่งผมก็เข้าใจคนที่เขาเก่งนะ เขามีสมองที่ดีเป็นต้นทุน เราไม่มีในส่วนนั้น แต่ถ้าเราคิดว่าเราอยากจะได้ เราก็ต้องพยายามมากขึ้นเพื่อทดแทนในส่วนนี้


1 เดือนก่อนสอบทำอะไรบ้าง
          ผมหวังรอบรับตรง ดังนั้น GAT PAT รอบแรก ก็จะมีความสำคัญมาก ต้องบอกก่อนว่า ตลอดระยะเวลาที่เริ่มอ่านมา ผมไม่ทำข้อสอบเก่าเลย ตั้งใจเก็บไว้มาทำช่วง 2 เดือนก่อนสอบ พอมาถึงช่วง 2 เดือนก่อนสอบ เดือนแรกผมเริ่มทำน้อยมาก ทำ PAT1 ไปประมาณ 3 ชุด ส่วน PAT3 ยังไม่ได้ทำ พอมาถึง 1 เดือนก่อนสอบ เราก็เอามาดู ว่าเหลืออีกกี่ชุด ซึ่ง PAT1 เราเน้นไปที่ข้อสอบรอบแรก คือรอบเดือนตุลาคมของทุกปี ส่วนเดือนมีนาคม เรารู้สึกว่ามันยากกว่า เห็นข้อสอบแล้วทำไม่ได้เลย ก็เลยไม่ค่อยได้ทำ แต่ PAT3 เราทำทุกชุด ทุกปี เราก็เอามารวมกันว่า PAT1 กับ PAT3 ที่ยังไม่ได้ทำ เหลืออีกกี่ชุด แล้วเราก็ทำตารางเลยว่าจะทำข้อสอบชุดไหน ในวันไหนบ้าง ซึ่งช่วง 1 เดือนก่อนสอบ จะเป็นช่วงที่เราทำตารางชีวิตจริงจังที่สุด
           * 08.00 - 09.00 น.  ตื่นนอน
           * 09.00 - 12.00 น.  ทำข้อสอบชุดแรก
           * 12.00 - 13.00 น.  พัก
           * 13.00 - 14.30 น.  ตรวจคำตอบ+ดูเฉลย+ทำความเข้าใจข้อที่ผิด
           * 14.30 - 15.00 น.  พัก
           * 15.00 - 18.00 น.  ทำข้อสอบชุดต่อมา
           * 18.00 - 20.00 น.  กินข้าว+พัก
           * 20.00 - 21.30 น.  ตรวจคำตอบ+ดูเฉลย+ทำความเข้าใจข้อที่ผิด
           * 21.30 - 23.00 น.  ทำข้อสอบอีกชุด แล้วก็เข้านอน​

          กิจวัตรประจำวันเราก็จะเป็นแบบนี้ทุกวัน ยกเว้นว่าวันไหนมีเรียนพิเศษ เราก็จะเอาช่วงเวลาเรียนพิเศษไปใส่ในตารางแทน เช่น ถ้าเรียน 14.00 - 16.00 น. ผมก็จะตัดช่วงเวลาตอนบ่ายทิ้งไป แต่ก็จะวางตารางล่วงหน้าแล้วว่า เราสามารถทำข้อสอบได้ครบทุกชุด โดยข้อสอบผมจะเริ่มทำจากปีเก่าๆ ไล่มาจนถึงปีล่าสุด
          ช่วงนั้นก็ไม่ได้ไปไหนเลย ที่บ้านออกไปกินข้าวนอกบ้าน เราก็ไม่ไป เพื่อนชวนไปไหน เราก็ไม่ไป เพราะอ่านหนังสือ วันๆ มีแค่นี้จริงๆ จนพี่สาวเราทุกคนเป็นห่วง ว่าทำแบบนี้เหมือนหุ่นยนต์เกินไปไหม ไม่ออกไปไหน ทำตามตารางทุกวัน แต่ตอนนั้นเราก็รู้ตัวเองนะ ว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ ไม่ติดแน่นอน 100% แบบไม่ต้องคิดเลย ถ้าไม่ได้เก่งมาก เราก็ต้องพยายามมากขึ้นแทน​

 

คะแนนเป็นยังไงบ้าง
          ผมก็อ่านทุกวันจนถึงวันสอบ พอสอบเสร็จปุ๊บ ก็แอบเฟลอยู่นะ เพราะเหมือนทำไม่ค่อยได้ แต่ก็คิดว่ารอคะแนนออกก่อนละกัน พอคะแนนออก เห็นคะแนนครั้งแรกก็ช็อกอยู่เหมือนกัน เพราะได้คะแนนน้อยกว่าที่คิดเยอะมาก
          - มีแค่ PAT1 ที่ได้ตามที่ต้องการ เพราะเราหวังไว้ประมาณ 120 คะแนน ก็ได้มา 124 คะแนน
          - ส่วน GAT หวังไว้ 220 ได้มา 209.5 คะแนน เพราะ GAT ไทยพลาดไป 3 คะแนน เราโยงเกินมา 1 อัน ส่วน GAT Eng เราไม่ถนัดอยู่แล้ว ก็อาศัยความรู้เท่าที่มี เสี่ยงดวงไป
          - PAT3 ก็ช็อกอยู่เหมือนกัน เพราะเราหวังไว้ 220 คะแนน แต่ในใจลึกๆ ก็คิดว่าคงไม่น่าต่ำกว่า 200 คะแนน แต่พอผลออกมาได้ 190 คะแนน

          ตอนแรกเครียดมาก เห็นคะแนนแล้วแบบไม่ติดแน่ๆ แต่พอ 3-4 วันต่อมา ช่วงคะแนนเริ่มออกมา เราก็คาดการณ์จากช่วงคะแนนว่า มีคนอยู่ในช่วงคะแนนเดียวกันและมากกว่าเราอยู่ประมาณ 900 คน ก็เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะวิศวกรรมฯ รับตรง (ปกติฯ) จุฬาฯ รับ 610 คน เราก็คิดว่าใน 900 คนนี้ อาจจะไม่ได้เอาวิศวกรรมฯ ทุกคนก็ได้ อาจจะมีทั้งคนที่สอบ กสพท.และ PAT3 แล้วเลือก กสพท. หรือคนที่ติดรับตรงไปแล้ว หรือแม้กระทั่งคนที่มาสอบเล่นๆ คือตอนนั้นเราเครียดมาก ก็คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน55555 ก็ลองคำนวณคะแนนรับตรงออกมา เราก็ได้ 18,070 คะแนน 
    
วินาทีที่รู้ว่าติดรับตรง จุฬาฯ
        จำได้ว่าตอนนั้นผลจะประกาศประมาณ 10.00 น. เราวางตารางไว้ว่าจะไปเล่นฟิตเนส เราก็ไปเล่นฟิตเนสก่อนตอน 05.00 น. แล้วก็กลับบ้านตอนประมาณ 07.00 น. มาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนอนต่อ ซึ่งก่อนนอนเราก็ลองเข้าเว็บไซต์แล้ว แต่ยังเปิดเข้าไปไม่ได้ ก็โอเค เดี๋ยวนอนรอเวลา จะนอนเราก็เปิดโหมด Do Not Disturb ไว้ สักประมาณ 08.00 น. เพื่อนก็โทรมากันหลายคนมาก เพราะก่อนหน้านี้เราทั้งบ่นทั้งเครียดกับเพื่อนมาตลอด เพื่อนก็จะรู้ว่าเราหวังไว้มาก เพื่อนก็ลุ้นไปกับเราด้วย แต่ตอนเพื่อนโทรมาไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนก็ไลน์กันมาเยอะมาก แบบติดแล้ว,ยินดีด้วย ฯลฯ แล้วก็แคปชื่อส่งมาให้เราดู ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้เรื่องต่อไป 55555
          จนตอนที่เรารู้คือเพื่อนโทรมาซ้ำอีกหลายสาย เราถึงได้ตื่นมารับ เพื่อนก็บอกว่าเราติด ซึ่งตอนนั้นเรายังคิดว่าเพื่อนแกล้งอยู่เลย ก็บอกว่าไม่ขำนะ แต่เพื่อนก็ย้ำจนเราแบบโอเค เดี๋ยวไปเช็กเอง ก่อนเข้าไปเช็กในเว็บไซต์ ก็เปิดไลน์ดูนะ เห็นที่เพื่อนส่งมาเยอะมาก เห็นที่เพื่อนแคปชื่อเรามา ก็เริ่มเชื่อแล้ว แต่ก็ยังไม่เชื่อ 100% ถ้าไม่ได้เห็นจากเว็บไซต์ ก็เลยเข้าไปเช็กเป็นรายบุคคล ใช้รหัสตรวจสอบ พอเห็นว่าติดก็ดีใจครับ ยิ้ม ^______^ ตอนนั้นก็ตื่นเลย รีบบอกที่บ้านแล้วก็ทุกคนที่ลุ้นกับเรามาตลอด
          ทุกคนก็ดีใจกับเรา เพราะรู้ว่าเราอ่านหนังสือเยอะมากจริงๆ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยอ่านเยอะขนาดนี้เลย แล้วไม่อ่านก็ไม่ได้นะ เพราะจิตใต้สำนึกผมจะขึ้นมาตลอดเลยว่า ถ้าไม่อ่านก็ไม่ติดนะ ต้องอ่าน ต้องทำ ซึ่งเราก็รู้ว่าหลังจากนี้ในมหาวิทยาลัยก็คงจะหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะก็เห็นพี่สาวอ่านหนังสือหนักมาก แต่ช่วงนี้เราก็ขอพักก่อน
           เคยคุยกับป๊าม้าไว้แล้วว่า ถ้าอ่านหนังสือจบแล้ว ขอไปเที่ยวกับเพื่อนนะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราให้เวลากับหนังสือไปหมด ป๊ากับม้าก็โอเค พวกท่านก็รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเราทุ่มเทมาตลอด และที่ผ่านมาก็เหมือนพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างให้ป๊าม้าเห็นด้วยว่าตลอดเวลาเราตั้งใจจริงๆ ไม่ได้แค่พูดว่าจะเอาวิศวกรรมศาสตร์ แล้วนั่งเฉยๆ พวกท่านก็เห็นว่าเราทำจริง ก่อนหน้านี้คือถ้าไม่อยู่บ้าน ผมก็ออกไปเรียน ถ้าผมอยู่บ้าน ผมก็อ่านหนังสือ มีแค่นี้จริงๆ ซึ่งผมก็คิดว่าหลังจากนี้พวกท่านก็คงวางใจในตัวเรามากขึ้นครับ

 

เคล็ดลับ 3 ข้อของความสำเร็จ
          1. มีความรับผิดชอบ ให้ตระหนักอยู่เสมอว่า เราต้องอ่านนะ ควรรู้ตัวเองว่าตอนนี้ต้องทำอะไร จริงๆ มันอยู่ที่ความอยากเข้าของเราด้วยนะ ว่าอยากเข้ามากแค่ไหน ผมคิดว่าถ้าอยากเข้ามากพอ เราจะมีความมุ่งมั่นที่อยากจะรับผิดชอบความฝันของเราเอง

          2. ประเมินตัวเอง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่เราควรจะต้องมาประเมินตัวเอง เลิกโทษอย่างอื่น กลับมามองตัวเอง ว่าเรามีความสามารถแค่ไหน อย่างผมก็รู้ตัวเองว่า ถ้าผมไม่อ่าน ผมก็ไม่ติด สู้ใครไม่ได้ แต่ถ้าคนที่ไม่ยอมประเมินตัวเอง เขาอาจจะคิดว่าอ่านแค่นี้พอแล้ว แค่นี้ก็ติดแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่รู้ศักยภาพตัวเองว่ามันพอรึเปล่า ผมคิดว่าตัวเองพยายามมาหนักแล้วนะ ยังเสี่ยงเลย แล้วถ้าผมไม่ทำล่ะ มันจะไม่เสี่ยงกว่านี้หรอ เราต้องรู้ตัวเองว่าตอนนี้เราอ่านหนังสือถึงไหนแล้ว ตอนนี้เราควรวางแผนยังไง ตอนนี้เราจะต้องเดินยังไงต่อ

          3. กำลังใจ การที่เราทำอะไรเหนื่อยๆ เราต้องมีการเสริมพลังใจตลอดเวลา เพราะถ้าเราเอาพลังไปใช้ในการอ่านหนังสือมากๆ มันก็หมดได้ ซึ่งถ้ามันหมด เราก็ไม่มีพลังในการอ่านหนังสือต่อ ดังนั้น เราก็ควรที่จะมีกำลังใจจากคนที่เข้าใจเรา
           ลองมองหาคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่ ถ้าบางคนพ่อแม่ไม่เข้าใจ กดดันเรา ก็อาจจะหากำลังใจจากเพื่อน ยิ่งถ้าเพื่อนที่อยู่สถานการณ์เดียวกัน ยิ่งเข้าใจกันแน่นอน แต่ถ้าเพื่อนยังไม่เข้าใจเราอีก ก็ลองพูดคุยกับญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก ใครก็ได้ที่จะให้กำลังใจเรา แล้วทำให้เราก้าวเดินต่อไปได้ อย่างผมก็มีช่วงท้อนะ ท้อมากแบบอยากจะโยนหนังสือทิ้งเลย แต่ป๊าม้าก็จะมาให้กำลังใจตลอด บอกว่าอ่านมาขนาดนี้แล้ว ทำไมจะถอดใจง่ายๆ ทำไมไม่สู้ต่อ อีกนิดเดียวเอง อีกสามเดือนก็จบแล้ว นอกจากป๊าม้าและครอบครัวแล้ว ผมก็ยังมีคนรอบตัวที่ดีเยอะมาก มีทั้งเพื่อนที่ดี คุณครูที่ดี แฟนที่ดี ทุกคนที่คอยสนับสนุนเรา เป็นส่วนสำคัญเลยที่ทำให้เราผ่านมาได้
          หรือถ้าไม่มีคนรอบตัวจริงๆ เราก็ให้กำลังใจตัวเองก็ได้ เสริมแรงให้ตัวเอง ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง เช่น ถ้าวันนี้ทำข้อสอบได้ 100 ข้อ พรุ่งนี้ไปเที่ยวได้ หรือถ้าทำข้อสอบ 100 ข้อได้ภายในเวลาที่กำหนด พรุ่งนี้พักผ่อนได้ แบบนี้ครับ เพราะผมมองว่า กำลังใจเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราไม่มีกำลังใจ เราก้าวต่อไปไม่ไหวหรอก ผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะมีควบคู่กับความสำเร็จนะ

          ผมคิดว่าการอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย มันเป็นจุดเล็กๆ ของชีวิตนะ มันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต สอบติดไม่ได้แปลว่าเราจะมีงานทำ สอบติดไม่ได้แปลว่าเราจะประสบความสำเร็จ แต่การสอบติดมันก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ก้าวต่อๆไป เหมือนมองเห็นจุดเริ่มต้น แล้วสามารถคาดการณ์ต่อไปได้ว่าเส้นทางของเราจะเป็นแบบไหน เราต้องเจออะไรมากกว่า 
ดังนั้นผมมองว่า ตอนนี้ก็ทุ่มเทให้เต็มที่ก็พอครับ
 

ลองเล่าชีวิตมัธยมปลายให้ฟังหน่อย
          มีครบทุกรสชาติเลยครับ ตั้งแต่ตั้งใจเรียนสุดๆ ไปจนถึงไม่ตั้งใจเรียนเลย ขอเกริ่นตั้งแต่ตอน ม.ต้นเลย ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราใช้ชีวิตพลาดมาก เรียนอย่างเดียว กิจกรรมก็ทำบ้าง แค่ในห้อง ไม่ได้ลองทำกิจกรรมอื่นจริงจัง เตะบอลกับเพื่อนก็ไม่ค่อยไป พอขึ้น ม.ปลาย ก็รู้สึกว่า ม.ต้น เราเรียนเบามาก ถ้าเทียบกับตอน ม.ปลาย ซึ่งผมก็รู้ว่ามหาวิทยาลัยก็คงจะหนักกว่านี้ แต่ตอนนี้เราอยู่ในจุดนี้ ก็ขอมองย้อนกลับไปในช่วง ม.ต้นก่อน ก็มาคิดว่าตอนนั้นเราเรียนเบามาก แต่เราไม่ลองทำกิจกรรมอะไรเลย เวลาเราเยอะมาก ทำไมเราไม่ยอมใช้ชีวิตให้คุ้ม ทำกิจกรรมให้มากกว่านี้ ใช้เวลากับเพื่อนให้มากกว่านี้ เพราะพอมาถึง ม.4 เราต้องกลับมาโฟกัสเรื่องเรียนจริงจังอีกครั้ง ซึ่งก็ยังไม่ได้จริงจังมาก ตั้งใจเรียนในห้อง แล้วก็ทำกิจกรรมบ้างเล็กน้อย
          พอมาถึง ม.5 ตอนนั้น ม.5 รุ่นผมเป็นรุ่นที่ทำจตุฯ (งานจตุรมิตรสามัคคี) ม.5 ต้องเป็นเฮด และปีนั้น (2557) โรงเรียนผมก็เป็นเจ้าภาพด้วย เพื่อนก็ชวนมาทำ ตอนแรกเราก็เริ่มจากการเป็นสวัสดิการ แล้วเพื่อนก็ชวนมาเป็น staff ตอนนั้นก็คิดอยู่นาน เพราะเรารู้ว่า staff งานหนักกว่าสวัสดิการมาก แต่ตอนนั้นทั้งเพื่อนทั้งรุ่นพี่ ก็มาคุยกับเรา มาชวนเราด้วยกัน เราก็ลองปรึกษากับที่บ้าน ซึ่งที่บ้านก็ไม่ค่อยอยากให้ทำเท่าไหร่ เพราะเป็นห่วงที่เราต้องกลับบ้านดึก แต่ก็ให้เราตัดสินใจด้วยตัวเอง พอเราตัดสินใจมาทำ ก็รู้เลยว่าไม่ใช่แค่กลับบ้านดึก แต่ไม่ได้กลับเลย55555 ช่วงแรกก็ยังไม่ค่อยหนักมาก ก็มีตั้งแต่อยู่ถึง 22.00 น.-01.00 น. เป็นแบบนี้ทุกวัน เรียกได้ว่าตอนนั้นเจอหน้าเพื่อนบ่อยกว่าเจอหน้าพ่อแม่อีกครับ จนมาถึงช่วงใกล้ๆ งาน ก็จะยิ่งหนักกว่าเดิม บางทีเราก็คุยงานกันข้ามคืน ผลัดกันนอน แล้วก็ผลัดกันมาอัพเดทงานกัน
          ชีวิตผมช่วงนั้นจะอยู่แค่โรงเรียน บ้านเพื่อน คอนโดเพื่อน อยู่บ้านน้อยมาก คือทุกคนจะรู้ว่า staff งานหนักมาก ทำให้ช่วงนั้นเราไม่ค่อยได้โฟกัสเรื่องเรียนเลย ซึ่งเราก็โชคดีที่มีเพื่อนที่ดี เพื่อนก็จะช่วยเราทุกอย่าง คอยตามงานให้ เก็บชีทไว้ให้ เวลามีงานกลุ่มก็จะใส่เราเข้ากลุ่มด้วย ซึ่งส่วนมากเพื่อนก็จะทำเกือบทั้งหมด เราก็จะเป็นคนออกไป present มากกว่า เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนจบเชียร์ เราค่อยกลับมาตั้งใจเรียนยาวๆ จนสอบเลย


อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ที่อ่านบทความของเราบ้าง
          อย่าเพิ่งท้อครับ ถ้ามีเป้าหมายแล้ว ก็พยายามไปให้ถึง อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ คือผมเข้าใจเลยนะ เวลาที่ประเมินตัวเองแล้วคิดว่าเราจะทำไม่ได้ กำแพงมันสูงมาก ปีนยังไงก็ปีนไม่ไหว เพราะผมก็เคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อน แต่ผมเชื่อว่าถ้าเรามีเวลามากพอ ทำได้แน่นอน สิ่งสำคัญคือเราต้องรีบรู้เป้าหมายของตัวเองก่อนว่า เราอยากเป็นอะไร อย่างผมรู้ตัวเองว่าอยากเข้าวิศวกรรมฯ ผมก็รู้ว่าต้องอ่านวิชาอะไร ต้องเน้นวิชาไหน
          อยากให้น้องๆ รีบพยายามหาตัวเองให้เจอ แล้วก็มุ่งไปที่เป้าหมายนั้นเลย อย่าวอกแวก ตัดสินใจให้ดีว่าเราอยากเข้าคณะไหน มหาวิทยาลัยอะไร ยิ่งเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนเท่าไหร่ เราก็ยิ่งหาทางไปสู่เป้าหมายได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
          อยากให้เต็มที่กับอะไรที่เราชอบที่สุดก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยไปอันดับ 2 หรือ 3 ที่ตั้งใจไว้ เพราะถ้าเรารู้ตัวว่าไม่ไหวแล้วฝืน มันก็ไม่ดีเหมือนกัน เราควรรู้ตัวเองว่าเราไหวได้แค่ไหน อย่างผมก็รู้ตัวเองว่า ถ้าให้ผมไปสอบหมอ ผมก็สอบไม่ได้เหมือนกัน แล้วก็อย่าเพิ่งท้อ เดินต่อไป ถ้าเหนื่อยเมื่อไหร่ ก็ให้พัก พักได้ เวลาที่เราเหนื่อยและล้า แต่อย่าพักเพราะเห็นคนอื่นสบายแล้วเราเลยพัก บางคนคิดว่าเพื่อนสบายแล้ว เราจะสบายเหมือนเพื่อนได้ เราต้องอย่าลืมว่าเป้าหมายแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าลืมว่าไม่มีความสำเร็จไหนที่ได้มาง่ายๆ ครับ

 

         เป็นยังไงกันบ้างคะกับความพยายามของพี่บอส อธิบายเรื่องการเตรียมตัวละเอียดยิบขนาดนี้แล้ว น้องๆ น่าจะเอาไปเป็นตัวอย่างในการเตรียมตัวสอบคณะที่ฝันได้เป็นอย่างดีเลย อย่าคิดว่าเราไม่เก่ง แล้วจะไม่มีสิทธิ์ในคณะที่ฝันนะคะ อย่ายอมแพ้ เพราะพี่บอสก็แสดงให้เราเห็นแล้วว่า ไม่มีอะไรยากเกินไปกว่าความตั้งใจของเรา และรางวัลของความพยายามก็คุ้มค่าเสมอค่ะ :D
 
พี่อีฟ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

9 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
someone 26 พ.ค. 59 19:28 น. 5
อยากให้เว็ปเด็กดีสัมภาษณ์คนที่ได้เกรด 2.5x แล้วติดรับตรงวิศวะจุฬาจังเลยครับ ผมว่าน่าสนใจมากเลย อยากรู้ว่าเค้าเตรียมตัวยังไงครับ ดูจากคะแนนในกระทู้นี้ http://www.dek-d.com/board/view/3626789/ เยี่ยม
0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
Pream_Parinuttha Member 26 พ.ค. 59 22:41 น. 7

พ่อแม่ไม่ได้บังคับ กดดัน แต่... "ไม่ใส่ใจ" ต่างหาก นี่ล่ะ เหนื่อยใจมาก...

กลัวไม่ติดนะ เพราะคาดหวังไว้เกินครึ่งเหมือนกัน ไม่ได้ยึดติดกับสถาบัน (ได้ที่ไหนก็เอา)

แต่ที่นี่เป็นความใฝ่ฝันของเราตั้งแต่เด็กแล้ว... (ยิ่งพอรู้จักพี่คนหนึ่งที่ชื่อ 'พี่บอส' ด้วยแล้วยิ่งอยากเข้า) อยากให้ติด อยากให้ได้ ตอนนี้พยายามแข่งขันทุกอย่าง สร้างผลงานไว้ก่อน พอโครงการเปิดรับเมื่อไหร่ ก็พร้อมจู่โจมทันที จะพยายามให้ได้เหมือนบอสนะ

#dek60 #CMU #Fighting

โกรธโกรธเยี่ยมเยี่ยมแน่นอนแน่นอน

0
กำลังโหลด
Strawberry Panic 28 พ.ค. 59 13:08 น. 8
อยากเข้าวิศวะ จุฬาเหมือนกันค่ะ ตอนม.ต้นนี่แอบคล้ายๆกันเลย คือเรียนอย่างเดียวเพื่อนหลายคนออกไปทำกิจกรรมกันหมด แต่ตัวเองคือทำได้แค่เรียนบ้างเล่นบ้าง ถถถถ ตอนนี้เพิ่งขึ้นม.ปลายค่ะเพิ่งมาจริงจังเปิดยูทูปเนื้อหาการเรียนแบบจริงจังครั้งแรก ก็เรียนฟิสิกส์ไปก่อนเอาเองจากวิดีโอของคลิปวิดวะไปพลางๆเรื่อยๆ ส่วนคณิตตอนนี้ก็เรื่อยๆเรียนจากห้องเรียนเอาอย่างเดียว ส่วนอิงก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ปล.เห็นเพื่อนบางคนที่อยากเข้าวิศวะเหมือนกันแลดูได้คณิตและเก่งคณิตกว่าสุดๆ+อิงด้วย(เพราะไปแข่งขันกันมาเยอะและรู้จักตัวตนก่อนเราด้วย แต่ตัวเองเพิ่งรู้ตัวตนเมื่อไม่นาน TT) ก็รู้สึกท้อมากๆเลยค่ะเลยตอนนี้ สงสัยต้องบวกคณิตและอิงเพิ่ม T^T #พอเห็นกระทู้นี้แล้วมีกำลังใจมากๆเลยค่ะ #ชิ่งไปทำการบ้านแปปค่าาหวาา
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด