สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน วันนี้พี่น้องมีอะไรสนุกๆ มาให้ทดลองกันอีกแล้ว
น้องๆ ชาวเด็กดีคนไหนคิดเหมือนพี่น้องบ้างไหมคะ ว่าทำไมโลกนี้ถึงไม่สงบสุขสักทีนะ ถ้าทุกคนถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันเราจะมีความสุขมากกว่านี้หรือเปล่า ทำไมประเทศนั้นถึงตีกับประเทศนี้ทั้งๆ ที่แชร์ทรัพยากรร่วมกันก็ได้
วันนี้พี่น้องจะมาพูดถึงทฤษฎีหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมโลกใบนี้ถึงมีแต่ความขัดแย้งค่ะ
น้องๆ ชาวเด็กดีคนไหนคิดเหมือนพี่น้องบ้างไหมคะ ว่าทำไมโลกนี้ถึงไม่สงบสุขสักทีนะ ถ้าทุกคนถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันเราจะมีความสุขมากกว่านี้หรือเปล่า ทำไมประเทศนั้นถึงตีกับประเทศนี้ทั้งๆ ที่แชร์ทรัพยากรร่วมกันก็ได้
วันนี้พี่น้องจะมาพูดถึงทฤษฎีหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมโลกใบนี้ถึงมีแต่ความขัดแย้งค่ะ
ลองตั้งคำถามตัวเอง
ก่อนอื่น ให้พวกเราลองจินตนาการตามที่พี่บอกดูก่อน สมมติว่าเรากับเพื่อนเป็นผู้ร้ายแล้วโดนจับเข้าคุก รอพิจารณาคดี ให้น้องๆ นึกไว้เลยนะคะว่าจะเอาเพื่อนคนไหนมาเป็นคู่หูเราดี
ทีนี้ระหว่างถูกคุมขัง เราก็ติดต่อเพื่อนของเราไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง แต่ตำรวจมาคุยกับเราค่ะ ตำรวจบอกว่าหลักฐานที่มีอยู่ในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะเอาผิดกับเราได้อย่างเต็มที่ ทำได้เพียงลงโทษสถานเบาเท่านั้น
แต่...ตำรวจยื่นข้อเสนอค่ะ ถ้าเราให้การโยนความผิดแก่เพื่อนเราไปซะ เราก็จะเป็นอิสระ ส่วนเพื่อนเราก็จะโดนโทษเต็มๆ
อ๊ะ แต่ตำรวจบอกว่าเพื่อนของเราก็ได้ข้อเสนอตามนี้เช่นกันค่ะ
ข้อเสนอของตำรวจ สรุปได้ว่า
ทีนี้ระหว่างถูกคุมขัง เราก็ติดต่อเพื่อนของเราไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง แต่ตำรวจมาคุยกับเราค่ะ ตำรวจบอกว่าหลักฐานที่มีอยู่ในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะเอาผิดกับเราได้อย่างเต็มที่ ทำได้เพียงลงโทษสถานเบาเท่านั้น
แต่...ตำรวจยื่นข้อเสนอค่ะ ถ้าเราให้การโยนความผิดแก่เพื่อนเราไปซะ เราก็จะเป็นอิสระ ส่วนเพื่อนเราก็จะโดนโทษเต็มๆ
อ๊ะ แต่ตำรวจบอกว่าเพื่อนของเราก็ได้ข้อเสนอตามนี้เช่นกันค่ะ
ข้อเสนอของตำรวจ สรุปได้ว่า
- ถ้าต่างคนต่างไม่ยอมรับผิด และไม่โยนความผิดให้กัน แต่ละคนจะได้รับโทษคนละ 1 ปี
- ถ้าต่างคนต่างโยนความผิด แต่ละคนจะได้รับโทษคนละ 2 ปี
- ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่โยนความผิดให้เพื่อน แต่อีกฝ่ายโยน คนที่โดนซัดทอดจะได้รับโทษไปคนเดียว 3 ปีเต็ม ส่วนคนที่โยนความผิดก็ลอยนวลออกจากคุกไปฟรีๆ
เอาล่ะค่ะ ได้เวลาเลือกแล้ว ขอให้นึกหน้าเพื่อนเราเข้าไว้นะคะ บอกก่อนว่าเราไม่มีสิทธิถามเพื่อนว่าเพื่อนเลือกอะไร เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเพื่อนจะซัดทอดเราหรือไม่ ต่อให้ได้มาเจอกัน คิดว่าเพื่อนจะแกล้งพูดให้เราตายใจไม่ซัดทอด เพื่อที่ตัวเองจะได้เป็นคนซัดทอดมาที่เราทั้งหมดหรือเปล่า
ถ้าได้คำตอบแล้ว ทีนี้ลองมาทำความรู้จักกับชื่อเรียกของแบบทดสอบนี้ ที่เรียกว่า Prisoner's Dilemma (พริซันเนอร์ซ ดิเลมม่า) กันค่ะ
ถ้าได้คำตอบแล้ว ทีนี้ลองมาทำความรู้จักกับชื่อเรียกของแบบทดสอบนี้ ที่เรียกว่า Prisoner's Dilemma (พริซันเนอร์ซ ดิเลมม่า) กันค่ะ
Prisoner's Dilemma รวมกันเราอยู่ แยกสู้เราตาย
Prisoner's Dilemma เป็นทฤษฎีที่นักคิดสองคนช่วยกันคิดขึ้นมา ชื่อ เมอร์ริล ฟลัด และ เมลวิน เดรชเชอร์ ในปี 1950 ภายหลัง อัลเบิร์ต ทักเกอร์ก็มาปรับทฤษฎีนี้ใหม่โดยใส่เรื่องราวการเป็นนักโทษเข้าไปและตั้งชื่อให้มันว่า Prisoner's Dilemma
ทฤษฎีนี้มีเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ที่ต้องอาศัยการร่วมมือกัน ว่าทำไมบางสถานการณ์คนถึงเลือกที่จะไม่ร่วมมือมากกว่า
น้องๆ หลายคนคงเห็นตรงกันว่า "ร่วมมือกัน" ก็ต้องดีกว่าสิ ได้รับโทษน้อยลงทั้ง 2 คนไง
และน้องๆ หลายคนก็คงเลือก "ไม่โยนความผิดให้เพื่อน" เพราะไว้ใจเพื่อนเรา คิดว่าเพื่อนเราต้องเลือกแบบเดียวกับเราแน่ เพื่อนคงไม่เอาตัวรอดโดยการทิ้งเราให้รับโทษคนเดียวตั้ง 3 ปีหรอก
แต่น้องๆ แน่ใจแล้วหรือคะ ว่าเพื่อนของเราจะทำเช่นนั้นจริง
ทฤษฎีนี้มีเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ที่ต้องอาศัยการร่วมมือกัน ว่าทำไมบางสถานการณ์คนถึงเลือกที่จะไม่ร่วมมือมากกว่า
น้องๆ หลายคนคงเห็นตรงกันว่า "ร่วมมือกัน" ก็ต้องดีกว่าสิ ได้รับโทษน้อยลงทั้ง 2 คนไง
และน้องๆ หลายคนก็คงเลือก "ไม่โยนความผิดให้เพื่อน" เพราะไว้ใจเพื่อนเรา คิดว่าเพื่อนเราต้องเลือกแบบเดียวกับเราแน่ เพื่อนคงไม่เอาตัวรอดโดยการทิ้งเราให้รับโทษคนเดียวตั้ง 3 ปีหรอก
แต่น้องๆ แน่ใจแล้วหรือคะ ว่าเพื่อนของเราจะทำเช่นนั้นจริง
บางคนคงเลือกเพื่อนสนิทมาเป็นคู่หูอยู่ในคุก แต่ถ้าลองเปลี่ยนเพื่อนสนิทให้กลายเป็นคนที่รู้จักกันแค่ผ่านๆ ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง ไม่รู้ว่าเป็นคนยังไงกันแน่
คำตอบเรายังเป็นแบบเดิมหรือเปล่า
เมื่อเราเกิดความไม่ไว้ใจอีกฝ่ายแล้ว วิธีที่ปลอดภัยที่สุดของเราคืออะไรคะ?
โยนความผิดไปซะ อย่างดีสุดก็คือเราพ้นโทษ เดินตัวปลิวออกจากคุก อย่างแย่สุดก็ใช้กรรมในคุกไป 2 ปี ลดไปตั้งปีดีจะตาย
เพราะถ้าเราวัดดวงเลือก "ไว้ใจ" อีกฝ่าย แล้วอีกฝ่ายดันหักหลังเราขึ้นมาคือจบเลยนะ นอนเกาพุงอยู่ในคุกไปอีก 3 ปี แค้นจนหายแค้นไปแล้วมั้งกว่าจะได้ออกจากคุก
ทฤษฎีนี้ทำให้เราเข้าใจว่า ในบางสถานการณ์ การเลือกของเราไม่สำคัญเท่าการเลือกของคนอื่น สิ่งที่จะกำหนดชะตาว่ามันจะออกหัวออกก้อยอยู่ที่ว่าอีกฝ่ายจะยอมร่วมมือกับเราด้วยหรือไม่ต่างหาก
คำตอบเรายังเป็นแบบเดิมหรือเปล่า
เมื่อเราเกิดความไม่ไว้ใจอีกฝ่ายแล้ว วิธีที่ปลอดภัยที่สุดของเราคืออะไรคะ?
โยนความผิดไปซะ อย่างดีสุดก็คือเราพ้นโทษ เดินตัวปลิวออกจากคุก อย่างแย่สุดก็ใช้กรรมในคุกไป 2 ปี ลดไปตั้งปีดีจะตาย
เพราะถ้าเราวัดดวงเลือก "ไว้ใจ" อีกฝ่าย แล้วอีกฝ่ายดันหักหลังเราขึ้นมาคือจบเลยนะ นอนเกาพุงอยู่ในคุกไปอีก 3 ปี แค้นจนหายแค้นไปแล้วมั้งกว่าจะได้ออกจากคุก
ทฤษฎีนี้ทำให้เราเข้าใจว่า ในบางสถานการณ์ การเลือกของเราไม่สำคัญเท่าการเลือกของคนอื่น สิ่งที่จะกำหนดชะตาว่ามันจะออกหัวออกก้อยอยู่ที่ว่าอีกฝ่ายจะยอมร่วมมือกับเราด้วยหรือไม่ต่างหาก
เพราะงั้นหลายประเทศจึงไม่กล้าสงบศึก
ประเทศแถบตะวันออกกลางหลายประเทศที่รบกันจนประชาชนหายไปครึ่งประเทศแล้ว หรือแม้แต่อเมริกากับรัสเซียที่คุมเชิง ดูท่าทีกันคนละซีกโลก ที่พวกเขาไม่ยอมร่วมมือกันทั้งๆ ที่รู้ว่าการร่วมมือกันย่อมให้ผลลัพธ์ดีกว่านั่นก็เพราะพวกเขาไม่ไว้ใจกันและกันนั่นเองค่ะ
ปาเลสไตน์กับอิสราเอลรบกันแทบตาย สงบศึกได้แป๊บเดียวก็ตีกันอีกแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าแค่หันหน้าเข้าหากัน จับมือกันทุกอย่างก็จบ แต่ฝั่งหนึ่งก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสหักหลังเราเมื่อไร อีกฝั่งก็คงกลัวไม่แพ้กัน
สุดท้าย ทุกคนคิดเหมือนกันค่ะ คือ ถ้าจะให้ฉันยอมจับมือกับอีกฝ่ายแล้วต้องมาคอยระแวงว่ามันจะหักหลังฉันเมื่อไร สู้เดินเครื่องเปิดศึกต่อไปดีกว่า อย่างน้อยถ้าจะตายก็ขอให้ตายด้วยน้ำมือตัวเองแล้วกัน
ปาเลสไตน์กับอิสราเอลรบกันแทบตาย สงบศึกได้แป๊บเดียวก็ตีกันอีกแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าแค่หันหน้าเข้าหากัน จับมือกันทุกอย่างก็จบ แต่ฝั่งหนึ่งก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสหักหลังเราเมื่อไร อีกฝั่งก็คงกลัวไม่แพ้กัน
สุดท้าย ทุกคนคิดเหมือนกันค่ะ คือ ถ้าจะให้ฉันยอมจับมือกับอีกฝ่ายแล้วต้องมาคอยระแวงว่ามันจะหักหลังฉันเมื่อไร สู้เดินเครื่องเปิดศึกต่อไปดีกว่า อย่างน้อยถ้าจะตายก็ขอให้ตายด้วยน้ำมือตัวเองแล้วกัน
ถ้าทุกคนร่วมมือกันก็คงดีสินะ
ก็ไม่เสมอไปค่ะ เรามักเข้าใจว่า "การร่วมมือ" เป็นสิ่งดี แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่อย่าร่วมมือกันจะดีกว่า สถานการณ์ที่ว่าก็คือการร่วมมือกันทำเรื่องไม่ดีนี่แหละค่ะ
มีนักวิจัยเอาทฤษฎี Prisoner's Dilemma นี้ไปเก็บสถิติจากในคุกจริงมาเลยค่ะ โดยเอาเงื่อนไขนี้ไปยื่นข้อเสนอให้นักโทษพิจารณา สถิติออกมาน่าสนใจมาก เขาพบว่า เพื่อเทียบกับคนทั่วไป นักโทษมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกันมากกว่า
ที่เป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะจากประสบการณ์ของคนไม่ดีเหล่านี้พบว่า การร่วมมือกันอาจช่วยให้ประกอบอาชญากรรมได้ผลลัพธ์ดีกว่าการฉายเดี่ยวเป็นไหนๆ
มีนักวิจัยเอาทฤษฎี Prisoner's Dilemma นี้ไปเก็บสถิติจากในคุกจริงมาเลยค่ะ โดยเอาเงื่อนไขนี้ไปยื่นข้อเสนอให้นักโทษพิจารณา สถิติออกมาน่าสนใจมาก เขาพบว่า เพื่อเทียบกับคนทั่วไป นักโทษมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกันมากกว่า
ที่เป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะจากประสบการณ์ของคนไม่ดีเหล่านี้พบว่า การร่วมมือกันอาจช่วยให้ประกอบอาชญากรรมได้ผลลัพธ์ดีกว่าการฉายเดี่ยวเป็นไหนๆ
ถ้าน้องๆ เด็กดีอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ลองทบทวนดูนะคะว่าตอนเราเลือกตอบครั้งแรก ทำไมเราจึงเลือกเช่นนั้น และถ้ามีการเปลี่ยนแปลงฝ่ายตรงข้ามจากคนสนิท เป็นคนที่ไม่รู้จัก หรือคนที่ไม่รู้จักเป็นคนสนิท จะทำให้เรามองทางเลือกของตัวเองต่างไปหรือเปล่า?
หวังว่าบทความนี้จะช่วยตอบคำถามคาใจของน้องๆ ได้นะคะ
หวังว่าบทความนี้จะช่วยตอบคำถามคาใจของน้องๆ ได้นะคะ
12 ความคิดเห็น
แล้วแต่ว่าเพื่อนอีกคนของเราเป็นใครค่ะ แต่ถ้าเราผิดด้วย ก็ไม่มีทางที่จะโยนความผิดให้เขาฝ่ายเดียวอยู่แล้ว ผิดแล้วก็ต้องยอมรับผิด ถึงแม้ว่าเขาจะให้คำตอบว่ายังไงก็ตามค่ะ ตอบจริงนะ ไม่ได้ตอบแบบเป็นนางเอกอะไร
เหมือนกรณีของทฤษฎีเกมส์ ในสาขาเศรษฐศาสตร์เลย
ไม่ต้องคิดมาก ถามว่าท่าติดคุกพร้อมเพื่อนท่าโยนความผิดให้เพื่อนแล้วตัวเองรอดทำไหม สำหรับผมไม่ทำ ท่าไม่ผิดผมจะยอมรับแต่ผมไม่ผิดผมจะไม่เอาความผิดผมโยนให้ใคร ท่าจะสู้ต้องอยู่อย่างเสือท่าใจหมา -ห็ต้องเป็นหมา
เราเลือกไม่โยนนะ แต่เราคิดว่าไม่เป็นไรก็ติดคุกแค่ 3 ปีเอง ช่างมัน
โยนสิครับผมอยากรอด พ่อผมเป็นตำรวจ
เราเลือก1ปีอะ เพื่อนสนิทเราก็เลือก1ปี มันรู้ว่าถ้าโยนความผิดให้เรา อีก3ปีออกคุก เรา ยังไงเราก็หามันเจอ มันไม่รอดหรอก มันเลยไม่กล้า55555555//ขำๆ
เลือกไม่โยนความผิดให้ แต่ถ้าเพื่อนโยนมา เราจะแหกคุกแล้วออกไป ฆ่า มัน //คิดเฉยๆ