Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

วัยรุ่นกับการแต่งตัว พี่เข้าใจน่ะว่าการแต่งตัวของวัยรุ่นดูแล้วจะเป็นอย่างไรกันได้บ้าง มาดูกันก่อนเลยครับ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
วัยรุ่นกับการแต่งตัว

            คุณพ่อคุณแม่มาปรึกษาเรื่องลูกชายสุดรักที่มีอยู่คนเดียว เรื่องหนักใจที่สุดเป็นเรื่องเสื้อผ้าที่คุณแม่บรรยายว่าเหมือนเด็กข้างถนน กางเกงยีนส์แสนเก่า เอวต่ำ เข็มขัดเส้นโตที่ต้องคาดรัดไว้ไม่เช่นนั้นกางเกงคงหลุดมากองอยู่ที่พื้น แถมด้วยทรงผมกระเซอะกระเซิง และท่าเดินคอตก หมดสง่าราศีลูกนักธุรกิจที่แต่งตัวเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว

            นอกจากลูกชายยังผองเพื่อนทั้งชายและหญิงที่พ่อและแม่เห็นแล้วอยากจะลมจับ พูดอย่างไรลูกชายเอาแต่เดินหนี เดินตามบ่นมากเข้าลูกชายปิดประตูห้อง เปิดเพลงดังลั่นอยู่ในห้องคนเดียว แม่เคยซื้อเสื้อผ้าราคาแพง ดูดี มียี่ห้อให้ลูกชาย เสื้อทุกตัวยังพับอยู่ในถุง ไม่มีแม้แต่ร่องรอยแกะออกมาดู คุณแม่บอกยอมแพ้แล้ว แต่ยังหวังว่าจะจับตัวลูกชายมาแต่งตัวใหม่ให้เหมือนออกมาจากแคทวอล์ค ส่วนคุณพ่อออกจะหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของทั้งแม่และลูก เสียเวลาทำงาน เรื่องลูกแค่นี้แม่ก็จัดการไม่ได้ ส่วนเจ้าลูกชายไม่รุ้ว่าแต่งเข้าไปได้อย่างไรไม่ได้เรื่อง ไม่เข้าท่า และอีกสารพัดคำที่คุณพูดถึงลูกชาย

            คุณพ่อคุณแม่หลายท่านกังวลใจกับวิธีการแต่งตัวของลูกที่เป็นวัยรุ่น หลายคนเริ่มรับไม่ได้ เช่น ลูกชายไปเจาะหูแล้วใส่ตุ้มหู หรือลูกสาวอาจจะใส่เสื้อผ้าตามสมัยนิยม ซึ่งดูค่อนข้างโป๊พอสมควรในสายตาของพ่อแม่ แต่ถ้าเราทำใจให้เป็นกลางแล้วมองออกไปกว้าง ๆ เราจะได้เห็นว่ามิใช่เพียงลูกคนเดียวในช่วงวัยรุ่นที่แต่งตัวแบบนี้ แต่ความจริงเป็นเรื่องของสมัยนิยมที่เด็กวัยรุ่นเกือบจะทั่วทั้งเมืองใส่เหมือนกัน เวลาที่เขาอยู่ในกลุ่มเพื่อนอาจจะดูหรือแยกไม่ออกด้วยซ้ำไปว่าใครเป็นใคร เพราะเขาจะแต่งตัวเหมือนกันมาก ซึ่งก็มาจากพื้นฐานลักษณะตามวัยของเด็กนั่นเอง ในช่วงของวัยรุ่นนั้นเด็กจะต้องการการเข้ากลุ่มเพื่อนค่อนข้างมาก ต้องการการยอมรับจากเพื่อน เพราะฉะนั้นการแต่งตัวก็เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่เขาจะสามารถอยู่ในสังคมของวัยของเขาได้นั่นเอง ที่สำคัญก็คือ ทำอย่างไรให้เขาค้นหาและค้นพบตัวของเขาเอง เขาจะเริ่มเรียนรู้และเข้าใจเองว่า สิ่งที่เขาต้องการคืออะไร การแต่งกายรูปแบบไหนที่เป็นรูปแบบที่เหมาะกับตัวของเขา แต่ถ้าพ่อแม่มีข้อขัดแย้งกับเขาเรื่องการแต่งกาย อาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการแต่งตัวของลูกได้

            สิ่งแรกคงต้องทำใจเป็นกลางอย่างที่ว่า ยุคสมัยในเรื่องของการแต่งตัวของวัยรุ่นนั้นมีมาตลอด สมัยยุคของคุณพ่อคุณแม่เองก็มีการแต่งตัวบางอย่างที่เป็นลักษณะของยุคสมัย วันข้างหน้าต่อไปความนิยมหรือแฟชั่นเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไป กลายเป็นรูปแบบใหม่ ๆ เข้าสู่กลุ่มของเด็กวัยรุ่นเสมอ แทนที่จะเพ่งเล็งเฉพาะเรื่องการแต่งตัว โดยเฉพาะพยายามจะให้ลูกแต่งตัวตามใจพ่อแม่อย่างที่เคยทำกับลูกเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก ควรสนใจความเป็นไปของลูก สร้างความสัมพันธ์ที่จะสามารถพูดคุย ทำความเข้าใจกับรูปแบบชีวิตตามวัยของลูก จะเป็นประโยชน์กับการอยู่กับลูกวัยรุ่นมากกว่า

            ประการที่สอง คงจะต้องดูพื้นฐานสัมพันธภาพของพ่อแม่กับลูกด้วยว่าก่อนที่ลูกจะเข้าสู่วัยรุ่นนั้น พ่อแม่กับลูกมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากน้อยเพียงไร ถ้ามีความใกล้ชิดและสนิทสนมกับลูกมากพอ เรื่องการทำตามแฟชั่นหรือการเห่อตามแฟชั่นอย่างนี้ ไม่ค่อยมีผลกระทบกันทางบุคลิกภาพโดยรวมของเด็กมากนัก เป็นการหวือหวาตามแฟชั่นไปตายวัยของเขาเท่านั้นเอง แต่เด็กก็ยังคงรักษาสัมพันธภาพหรือเข้าหาพ่อแม่ หรือพูดคุยหรือแก้ปัญหาร่วมกันได้เช่นเดิม และมักมีข้อตกลงร่วมที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันได้ ไม่สร้างความขัดแย้งรุนแรง แต่ในกรณีที่พ่อแม่กับลูกมีปัญหามาโดยตลอด หรือสัมพันธภาพในครอบครัวไม่ค่อยดีนัก บางทีการแต่งตัวประหลาดอาจจะเป็นทางออกอย่างหนึ่งของตัวเด็กเองที่อยากจะได้รับความสนใจที่มากขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขามีความเครียดหรือความกังวลใจ บางทีการเข้าไปในกลุ่มเพื่อนการหาเครื่องประดับ การแต่งตัว การพูดคุยในเรื่องเหล่านี้ อาจจะเป็นวิธีคลายเครียดอย่างหนึ่งสำหรับตัวเด็กเองด้วย หรือบางครั้งเด็กอาจจะรู้สึกด้อยคุณค่าเมื่ออยู่ในครอบครัว ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือว่าไม่ได้รับความสำคัญตามความรู้สึกของเขา ในสายตาของพ่อแม่เขาไม่เคยทำอะไรอย่างที่พ่อแม่พอใจ เขาก็เลยลุกขึ้นมาทำอะไรให้ดูแปลก ดุเด่น หรือดูเป็นที่น่าสนใจ แม้จะเป็นความสนใจในทางลบก็ตามที การแต่งตัวแปลก ๆ อันนี้ก็คงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่หันมาสนใจกับเขาได้มากขึ้น

            แทนที่จะตำหนิหรือพยายามจะจัดการแต่เรื่องการแต่งตัวของลูกอย่างเดียว แต่ไม่เคยให้เวลาหรือสร้างสัมพันธภาพด้านอื่น ๆ กับลูกเลย การแก้ปัญหาเรื่องการแต่งตัวของลูกคงไม่สำเร็จ เข้าวัยรุ่นแล้ว พ่อแม่ยิ่งตำหนิมากขึ้น ประชดประชันมากขึ้น หรือเปรียบเทียบว่าโตแล้วยังไม่รู้จักคิด อาจจะทำให้สัมพันธภาพยิ่งห่างออกไปมากยิ่งขึ้น เพราะโอกาสที่ความแตกต่างในระหว่างวัยที่จะเกิดช่องว่างระหว่างพ่อแม่กับวัยรุ่นนั้นมีโอกาสอยู่แล้ว

            วิธีที่พ่อแม่สามารถคุยกับลูกได้ เริ่มจากการเข้าไปพูดคุยกับลูกด้วยท่าที่ที่เป็นพวกเดียวกันและเป็นกันเองกับเขา คุยกันในเรื่องทั่ว ๆ ไป แล้วค่อย ๆ ถามความคิดเห็นของเขาว่าเขาคิดอย่างไร เขารู้สึกอย่างไร แทนที่พ่อแม่จะเป็นผู้กำหนดว่าต้องการอย่างไร เด็กชายรายนี้ออกอาการเบื่อสุด ๆ ที่เรื่องแต่งตัวเป็นเรื่องใหญ่ขนาดต้องมาหาหมอ ทำไมพ่อแม่ไม่เคยสนใจเรื่องอื่นของเขาเลยนอกจากเรื่องแต่งตัว แม่เอาแต่บ่นวุ่นวาย พ่อไม่เคยสนใจเขาตั้งแต่เขาเป็นเด็ก หลังจากนั้นเงียบไม่อยากพูดอะไรอีก และเริ่มหงุดหงิดที่มีคนมาวุ่นวาย

            การพูดคุยกับลูกเป็นการให้โอกาสเขาในการพูด เป็นการให้ทางเลือก มิใช่เป็นการสั่งหรือการบังคับในเรื่องของการแต่งตัว ให้เขามีทางเลือกด้วยตัวของเขาเองบ้าง คุยกันในเรื่องอื่น ๆ บ้าง แทนที่จะทะเลาะกันเรื่องการแต่งตัว พ่อแม่จะต้องเริ่มค่อย ๆ ให้เวลาให้โอกาสกับเด็ก  และเมื่อเริ่มต้นให้เวลาและให้โอกาสกับเขา คงต้องยอมรับว่าเขาอาจจะหลีกเลี่ยงหรือไม่อยากใช้เวลาหรือโอกาสที่พ่อมให้กับเขาด้วยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีกิจกรรมอะไรร่วมกันมาก่อน คุณแม่ต้องใจเย็น เลิกการบ่นว่าเหมือนลูกเป็นเด็กเล็ก ๆ คุยกันอย่างลูกที่โตแล้ว ระยะแรกมองข้ามเรื่องการแต่งตัวของลูกไปบ้าง ดูว่ามีอะไรที่แม่ลูกสามารถพูดคุยกันได้ ถ้าใช้ความใจเย็นและความอดทนที่มากพอในที่สุดเด็กก็จะรู้สึกว่าแม่สามารถยอมรับเขาได้ ตรงนี้คุณพ่อคุณแม่คงจะต้องเข้ามาช่วยกันอย่างสม่ำเสมอ

            เด็กเริ่มรู้สึกว่าเรื่องแต่งตัวไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่จับผิด ไม่ใช่ข้อบังคับเริ่มยืดหยุ่นบ้าง พ่อลดความเคร่งเครียดลง มีกิจกรรมร่วมกับลูกชายบ้าง ลดความขัดแย้งลง กลายเป็นว่าไม่ใช่ลูกที่รู้สึกว่าคุยกับพ่อได้นานขึ้น พ่อรู้สึกว่าตนเองลดความเครียดลง การได้คุยกับลูกเหมือนได้เปิดโลกอีกด้าน ด้านที่พ่อเองลืมไปนานว่านอกจากเรื่องการงานแล้ว ยังมีเรื่องชีวิตแบบพ่อลูกอีกด้วย กลายเป็นว่าพ่อแม่มองเรื่องการแต่งตัวลูกในมุมใหม่ ให้ความสำคัญกับเรื่องการคุยกันกับลูกมากกว่าอารมณ์เสียกับการแต่งตัว ลูกชายยังแต่งตัวสไตล์เดิม แต่เริ่มลดความกระเซอะกระเซิง และความประหลาดลง

            เมื่อเด็กค้นหาเอกลักษณ์ของตัวเองได้พบ รู้จักตัวของเขาเอง รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ เด็กก็จะเริ่มพัฒนาเรื่องการแต่งตัวไปสู่รูปแบบที่ตัวเองชอบหรือไปสู่รูปแบบที่ตัวเองรู้สึกว่าเหมาะกับวัย กับสิ่งที่เขาต้องการ ช่วงเวลาที่ผ่านไปจะทำให้เขาพัฒนาผ่านช่วงของวัยรุ่นและผ่านช่วงเวลาของแฟชั่นเรื่องการแต่งตัวตามวัยของเขาไปได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกชายจะเปลี่ยนสไตล์มาเป็นกางเกงแสล็คเสื้อเชิ้ตอย่างที่แม่อยากให้ใส่สิ่งสำคัญกว่าเป็นความรู้สึกของพ่อแม่ลูกที่สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้ หรือบางทีเวลาผ่านไปลูกชายอาจเลือกที่จะชอบทำงานธุรกิจแบบเดียวกับพ่อ เลือกที่จะแต่งตัวมีมาดเวลาทำงาน แต่ยังแอบแต่งตัวตามสบาย นอกเวลางานคล้ายกับเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นก็ได้ เหลือพื้นที่เรื่องการแต่งตัวไว้ให้วัยรุ่นได้มีสีสันเต็มที่ตามใจชอบบ้างเถอะ

PS.  นี่พี่เอริโอ้ มอลเดียล น่ะครับหายไปก็ยังจะเอาไปเขินกับความรักสาวๆ แน่นอนระวังดีๆ น่ะไม่งั้นจบเรื่องกันปกติน่ะครับ อิอิ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

jahzii 4 ก.พ. 53 เวลา 18:46 น. 1

ย๊าวว ... ยาววว (วิบัติเพื่อเสียงนะคะ)
ใครก็ได้สรุปใจความให้ฟังที

แต่ยังไงก็ขอบคุณ จขกท. นะคะ

0