Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เด็กไทยเรียนมากที่สุดในโลก!!!!!!!!!!!! แต่น้อยคนที่เข้าเส้นชัย!! คำถามยอดฮิต เป็นที่เด็กหรือคนสอน???

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

  
                   เด็กไทยใช้เวลาเรียนในห้องมากที่สุดในโลก


              
นักกวิจัยเปรียบ "ลู่วิ่งเดี่ยวปลายตีบ" แนะระบบการศึกษาไทยอาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนใหม่ 



            วันนี้ (2 ก.ค.) นายยุทธชัย เฉลิมชัย นักวิจัยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สนับสุนโดยสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เด็กไทยเป็นชาติที่เด็กถูกบังคับให้เรียนในห้องเรียน โดยใช้ชั่วโมงเรียนในแต่ละวันมากที่สุดในโลก เปรียบเทียบกับเด็กจีนที่มีความเครียดสูงด้วย ประชากรที่เยอะ การแข่งขันจึงมีสูง ก็ยังใช้เวลาเรียนในห้องเรียนในแต่ละวันน้อยกว่าเด็กไทย



             นายยุทธชัย กล่าวว่า ปัจจุบันมีเด็กนักเรียนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องออกจากสถานศึกษากลางคันราวประมาณ 9 แสนคนต่อปีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ด้วยสาเหตุที่ต่างกัน เช่น ครอบครัวยากจน ไร้สัญชาติ แต่มีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่อยากเรียนหนังสือเพราะเบื่อหน่าย ทนรับสภาพความกดดันจากระบบการเรียนการสอนที่เน้นการแข่งขันกันเป็นเลิศทางวิชาการไม่ไหว วันนี้เด็กนักเรียนในเมืองและชนบทมีความทุกข์จากระบบการศึกษาไม่ต่างกันคือใช้เวลาเรียนในห้องเรียนมาก แถมต้องเรียนกวดวิชาตั้งแต่ชั้นอนุบาล จนเกิดความเครียดและเบื่อหน่าย ซึ่งการเปลี่ยนระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย มาเป็นแบบแอดมิสชั่น ก็ส่งผลให้เด็กวิ่งเข้าหาโรงเรียนกวดวิชามากขึ้น





             "นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ เด็กต้องเก่งวิชามาตรฐาน ให้ครูต้องสอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ด้วยภาษาอังกฤษ โดยให้ขยายผลให้ได้ 2,500 โรงเรียนในปีการศึกษาหน้า ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าครูจะสอนกับผู้เรียน จะรับไหวหรือไม่ ยิ่งเป็นการเพิ่มความกดดันให้กับเด็กมากกว่าเดิม เด็กจำนวนไม่น้อยอยากลุกขึ้นตะโกนบอกว่า เขาอึดอัด ทุกข์จากความเครียดกับระบบการศึกษามากเพียงใด"นายยุทธชัย กล่าว







               นายยุทธชัย กล่าวว่า ระบบการศึกษาไทยอาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนใหม่ ลดจำนวนชั่วโมงเรียนในห้องเรียนลง เพิ่มการเรียนการสอนที่เน้นการใช้ทักษะ พัฒนาคุณภาพชีวิตมากขึ้น เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้เรียน ที่สำคัญต้องยกเลิกการเรียนการสอนด้วยวิธีบังคับควบคุม เพราะจะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ขาดความคิดสร้างสรรค์ และไม่กล้าแสดงออก ถึงเวลาที่การศึกษาไทยจำเป็นต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลง เพื่อหนีออกจากความล้มเหลวในปัจจุบัน การลดเวลาเรียนในห้องเรียนลง และปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนใหม่ จะช่วยลดความเครียดของเด็กลงได้






                 "คำพูดที่สรุปภาพของการศึกษาไทยได้อย่างเจ็บแสบว่าเป็นแบบ "ลู่วิ่งเดี่ยวปลายตีบ" เด็กทั้งประเทศเหมือนกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งที่แข่งขันด้านความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ยิ่งวิ่ง ปลายลู่ยิ่งตีบ เด็กส่วนใหญ่พ่ายแพ้ ต้องหล่นออกจากลู่ มีน้อยคนเท่านั้นที่วิ่งชนะ สภาพเช่นนี้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ทุกคน ถ้าวันนี้ถ้าระบบการศึกษาไทยยังไม่เปลี่ยน ก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้" นายยุทธชัย กล่าว.

 
 
 ที่มา : www.dailynews.co.th


ข้างบนเป็นข่าวเก่าแล้ว แต่พอดีไปดูคลิปโดนใจเลยหาข้อมูลมา

              คำถามยอดฮิต เป็นที่เด็กหรือใคร???

               หลายๆคนคงมีคำถามนี้อยู่ในใจซึ่งแต่ละคนอาจมีความเห็นแตกต่างกันไป(ความเห็นส่วนตัว+ข้อมูลข้อเท็จจริง)
   
               
                ทำไม!? เด็กไทยถึงไม่อยากเรียน ยิ่งเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันทำไมบางวิชาอยากบางวิชาไม่อยากเพราะ ไม่ชอบ หรือ ไม่อยาก



                 นักเรียนส่วนมากติดอยู่กับระบบการศึกษาเดิมที่ตายตัวตีกรอบชีวิตให้กับเด็กนักเรียนทั้งหมด บางคนมีสิ่งที่ชอบแต่กลับเรียนไม่ได้ โดยเฉพาะทักษะด้านที่นอกเหนือจากการเรียนในห้อง นักเรียนบางคนที่มีความสามารถจริงๆ อาจจะเก่งกว่าคนที่ทำงานในระดับอาชีพแล้วก็ได้ แต่ไม่สามารถทำงานได้เพราะติดที่วุฒิการศึกษากับค่านิยมด้านเกรด (ตัวเลข) ที่ไม่ได้วัดความสามารถและศักยภาพที่แท้จริงของเด็กนักเรียนเลยแม้แต่น้อย





                 อีกปัญหาใหญ่คือจำนวนนักเรียนในห้องที่มีมากเกินไป  ตามมาตรฐานการศึกษาจำนวนนักเรียนต่อห้องไม่ควรเกิน 30 คน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเรียนกับครูพิเศษถึงเรียนได้ดีกว่าและเข้าใจมากกว่า    


                 เมื่อเด็กเรียนในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมไม่มาก-น้อยจนเกินไปจะทำให้เด็กมีสมาธิตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะทั้งนี้เอง ครู สามารถกวาดสายและให้ความสนใจกับเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ได้เกือบทุกคน และนักเรียนเองสามารถตั้งคำถามกับครูได้ตลอดเวลา ต่างกับจำนวนนักเรียน 40-50 คนที่มีในปัจจุบัน  ครู1คนไม่สามารถทำให้นักเรียนสนใจได้ทั้งหมด ส่วนที่มักจะคุยจะเป็นหลังห้อง มุมห้อง ริมหน้าต่าง-ประตู  เป็นเพราะเสียงและความสนใจของครูเน้นไปแค่ที่บริเวณหน้าห้อง-กลางเท่านั้น ทำให้นักเรียนที่เหลือไม่สนใจเพราะรู้สึกว่าเรียนไปก็ไม่ได้รับอะไรกลับมา


                
                  ผลวิจัยหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ปฎิกิริยาการตอบสนองอย่างไร้เหตุผล (Non-reason react) ของมนุษย์โดยเฉพาะเมื่อได้ของตอบแทนจะเกิดความอยากรู้และสนใจมากขึ้น ทั้งนี้เองจึงมีการส่งเสริมการให้รางวัลหลังจากทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งมีการทดสอบทั้งในสัตว์อย่างสุนัข รวมถึงกลุ่มเด็กตัวอย่าง เทียบกับนักเรียนปกตินั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด นักเรียนที่รู้ว่าเมื่อตั้งใจเรียนแล้วจะได้รับสิ่งตอบแทน จะมีความสนใจอยากเรียกมากขึ้น ทั้งนี้เองถึงเจ้าตัวจะไม่รู้แต่การตอบสนองเช่นนี้เป็นไปอย่างอัตโนมัติตามกลไกพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์





                  ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ตั้งใจเรียนเพราะไม่ได้รับความสนใจจากครูและการกระตุ้นที่ไม่เพียงพอ นักเรียนจึงไม่อยากเรียนและหันไปทำในสิ่งที่คิดว่าได้ผลตอบแทนมากกว่า เช่นการคุยกับเพื่อนอีกคน โดยได้ผลคือแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือคุยตลกขำขันเพราะดูน่าสนใจกว่า นอกจากนี้พฤติกรรมเดิมๆยังคงเกิดขึ้นและไม่มีใครเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง สุดท้ายคือการโทษที่เด็กไม่ขวนขวายหาความรู้ (รู้ได้อย่างไร?) และโทษผู้ปกครองที่ไม่ดูแล (เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น) ยิ่งทำให้เด็กไม่อยากเรียนเข้าไปใหญ่ เพราะหลังจากถูกทำโทษต่างๆนาๆ ก็กลับมาเป็นระบบแบบเดิมอีก ซึ่งสังเกตุได้ชัดในห้องเรียนทั่วๆไป




                   ความสามารถของเด็กไม่ถูกส่งเสริม

                   ไม่ว่าจะจากครอบครัวหรือที่โรงเรียน นักเรียนสนใจกับการทำกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนตามตำรามากกว่าเพราะได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ  บางคนชอบการเล่นกีฬา บางคนใช้เวลาในการอ่านหนังสือที่อยากอ่านแต่ไม่สนใจการเรียนในห้องเรียนที่น่าเบื่อนอกจากนี้ในระดับมัธยมปลาย นักเรียนส่วนมากไม่รู้สิ่งที่ชอบ ซึ่งถึงบางคนมีสิ่งที่ชอบแล้วก็ไม่สามารถหาคณะที่เหมาะสมกับตัวเอง ปัญหานี้ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก เพราะหลังจากการเรียนตลอด 15ปี นั้นไม่ได้มีการสอดแทรกความรู้ด้านวิชาชีพหรือสิ่งที่นำไปใช้กับการทำงานได้อย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีผลการเรียนในระดับดี-ดีมากก็ตาม โดยส่วนหนึ่งเข้าเรียนเพราะต้องการงานทำ ซึ่งทำให้ละทิ้งความสามารถพิเศษที่ตัวเองมีจนกระทั่งไม่มีความสามารถในที่สุด ทั้งนี้รวมถึงความชอบอื่นๆอย่างวาดรูป เล่นกีฬา รองเพลง เล่นดนตรี ซึ่งในส่วนนี้เองเกิดจากการที่พ่อแม่หรือคนรอบข้างไม่ส่งเสริมความชอบของคนๆนั้น และต้องการให้ลูก-หลานเข้าในคณะที่มีงานทำหรือคณะที่ตนอยากให้เข้า เป็นการตีกรอบและเกิดกับหลายครอบครัวในประเทศไทย




                       นอกจากนี้อีกเรื่องที่สำคัญคือ แรงกดดันจากคนรอบข้าง ที่ทำให้เด็กเกิดความเครียดซึ่งถึงแม้เด็กไทยจะเครียดมากก็ตาม แต่ก็ยังไม่บรรลุผลสำเร็จของการศึกษา โดยการที่นักเรียนบางคนต้องใช้ชีวิตตามที่ถูกตีกรอบ ปราศจากอิสระจนสุดท้ายเกิดเป็นความเครียดสะสมและใช้เวลาในการเรียนอย่างเดียว บางคนถึงกับขาดทักษะด้านอื่นๆแทบทั้งหมดจนทำอะไรไม่เป็น ซึ่งทั้งนี้เองผู้ปกครองควรให้เวลาเด็กได้ผ่อนคลายจากการเรียนบาง และควรให้อิสระในการเลือก


                        ผลวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ที่กล่าวเกี่ยวกับเด็กที่เล่นเกมกับเด็กที่ไม่เล่นเกมโดยใช้กลุ่มตัวอย่างประมาณ2000 คน ที่อายุเฉลี่ยราวๆ 7-15 ปีโดยมีทั้งชายและหญิง พบว่าเกม ไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมรุนแรง (ผลการวิจัยพบเด็กที่มีอารมณ์ก้าวร้าว เพียง 0.97 % จากกลุ่มตัวอย่างโดย เด็กหญิงมีแนวโน้มก้าวร้าวมากกว่าเด็กชาย)และอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างที่เคยกล่าวกันมาเพราะ เกมส่วนมากทำให้เด็กเกิดการคิดหาทางแก้ขปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกมประเภทใดก็ตาม ทั้งนี้เด็กที่เล่นเกมยังมีแนวโน้มมีผลการเรียนที่ดีกว่าเด็กที่ไม่เล่นเกม และยังพบอีกว่า การเล่นเกมของเด็กเปรียบได้กับ งานอดิเรกทั่วๆไป ซึ่งมีไว้สำหรับผ่อนคลาย ดังนั้นใครที่คิดว่าเกมให้โทษก็ควรคิดใหม่อีกครั้ง  สังเกตุได้ง่ายๆว่า ที่บางคนเล่นเกมแล้วโกรธเป็นเพราะ โกรธจากเกม หรือโกรธเพราะถามคำถามที่เป็นคำถามเชิงลบ(-) ต่อความรู้สึกเด็กมากกว่า?




                        ซึ่งสังคมไทยเองก็มีปัญหา ด้านเด็กติดเกมมาก ทั้งนี้เป็นเพราะผู้ปกครองที่ให้ความสนใจดูแล (โทษตัวเด็กเองไม่ได้ อายุ10กว่าปี วิจารณญาน ไม่เพียงพอในการตัดสินใจที่มีเหตุผล)ในตัวเด็กจึงเกิดปัญหาและโทษกล่าวหาเกมอย่างรุนแรงซึ่งหลายๆคนที่เล่นเกมและสามารถจัดการกับเวลาได้ถูกต้องไม่เคยมีปัญหาเช่นนี้ 




                         สุดท้ายนี้การแก้ปัญหาของคนไทยยังไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุอยางแท้จริง ยกตัวอย่างเด็กติดเกม (แบนเกมแทน)  ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นแต่ไปแก้ที่ปลายคือตัวเด็กทั้งที่ควรอบรมผู้ปกครองให้มีความสนใจในการดูแลเอาใจใส่มากกว่านี้   , เรื่องความสนใจในการเรียนเช่นกัน ให้ความสนใจกับเด็กให้มากขึ้นดีกว่าตอกย้ำและสร้างระยะทางให้ห่างมากกว่าเดิม   
     


                           ซึ่งส่วนหนึ่งนี้ก็เป็นความเห็นของผมที่อิงมาจากข้อมูลจริง จึงอยากให้มีการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ใช่การทำเอาหน้า ที่พอทำเสร็จแล้วทิ้งปัญหาค้างไว้อย่างไม่สนใจใยดี ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ก็เกิดกับทั้งสองฝ่าย ดังนั้นควรเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาในตอนนี้ให้ดีขึ้นดีกว่าครับ


เพิ่มเติม  15/1/53

                           ปัญหาที่แก้ไม่ตกอีกอย่างหนึ่งคือการที่ไม่มีการส่งเสริมอย่างจริงจังหรือให้ความสนใจกับความสำเร็จของนักเรียนไม่ว่าจะเป็นระดับ อุดมศึกษาหรือ ในมหาวิทยาลัย โดยจะมีการออกสื่อต่างๆในช่วงระยะเวลาที่สั้นเพียงไม่กี่วันถ้าหากนำมาเทียบกับข่าวอย่างอื่นเช่นดารา บันเทิง เทคโนโลยี ทั้งนี้ทางสำนักงานข่าวบางช่องได้เคยกล่าวไว้ว่าที่การนำเสนอข่าวเน้นเรื่องบันเทิงมากกว่าเพราะ กระแสนิยมของสังคมไทยซึ่งในส่วนนี้เองได้คาบเกี่ยวกับในส่วนของละครต่างที่มีการผลิตอยู่ในประเทศไทย โดยยังบอกอย่างชัดเจนอีกว่า ถึงแม้ว่าผู้กำกับหนังหลายๆคนที่มีมุมมองใหม่ๆ แล้วต้องการทำละคร-หนังที่มีคุณภาพสู่ระดับโลก ซึ่งในหลายๆส่วนและหลายๆเรื่องที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศนั้นคนไทยเองก็มีส่วนเหมือนกัน แต่เนื่องจากสภาพความนิยมในสังคมในปัจจุบันทำให้ หลายๆคนไม่กล้าเสี่ยงเพราะเจอผลกระทบจากการไม่ได้รับความนิยมจนกระทั่งเป็นจุดจบของอาชีพในที่สุด ซึ่ง ในอีกแง่หนึ่งจึงหันมาทำหนังตลกปล่อยแก๊ก-หนังผีที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นและคนต่างจังหวัด ที่มีต้นทุนต่ำและได้รับความนิยมสูงนั่นเอง



                             โดยถ้าเปรียบกับความสำเร็จของนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่มีผู้สนใจส่วนหนึ่ง(ถึงแม้จะระดับโลกก็ตาม)ที่ต้องนำมาออกข่าวเทียบกับข่าวบันเทิงที่มีคนดูมากและทุกเพศทุกวัย ทำให้การส่งเสริมความสนใจด้านการเรียนไม่เกิดขึ้น (จากการออกสื่อต่างๆเกี่ยวกับ สิ่งประดิษฐ์ สินค้าใหม่ ผลวิจัย การแข่งขัน ของนักเรียน) จึงยังคงไม่เป็นที่สนใจจนถึงทุกวันนี้เพราะต่อให้กลุ่มนักเรียนทำประโยชน์มากเพียงใด แต่ความดีนั้นก็ไม่ได้ถูกเผยแพร่อย่างจริงจัง เช่น นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก , แข่งขันด้านวิชาการ เหล่านี้เองเมื่อมีการออกข่าวได้ให้ข่าวเกี่ยวกับรางวัลเท่านั้น โดยสรุปสั้นๆด้วย ประโยคเดิมๆเป็นเชิงว่า ยิ่งตั้งใจเรียนยิ่งประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ได้อธิบายข้อมูลหรือเนื้อหาสาระที่ดึงดูดความสนใจอย่าง  วิชานี้น่าเรียนยังไง คนชอบแบบไหน เรียกยากหรือไม่ ซึ่งแทนที่จะสละเวลามาทำการสัมภาษณ์สั้นๆ 4-5 นาที โดยการสละเวลาโฆษณา ซึ่งแม้จะเป็นเชิงธุระกิจก็ตาม แต่ถ้านำมาเทียบกับผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดให้แก่อนาคตของชาติแล้ว ตีราคาไม่ได้เลยทีเดียว






                                  ต่อมาเรื่องของการสอบ.........
                                   เป็นเรื่องน่าแปลก และ แปลกอย่างมากในสังคมการเรียนไทย โดยเทียบกับต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีสถาบันกวดวิชานับไม่ถ้วน และมากติดระดับโลก(ด้านวิชาสามัญ)ซึ่งส่วนนี้เองเป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนหลักสูตรและการเปลี่ยนการสอบเข้ามหาลัย โดยมีเหตุมาจากการต้องการปฎิรูปการศึกษาให้เท่าทันต่างประเทศ ซึ่งเมื่อก่อนประเทศใกล้เคียงอย่าง กำพูชา หรือ ลาว ที่เคยล้าหลังด้านการศึกษาของไทยถึง 30 ปี แต่ในปัจจุบันนี้กลับนำหน้าไทยเราถึง 10 ปี 
 


                                   หลังจากการปฎิรูปการศึกษาแบบทันทีโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าให้มีการเตรียมพร้อมใดๆ นักเรียนส่วนหนึ่งต้องเจอกับปัญหานี้ โดยที่รัฐบาลชุดก่อนๆจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก และปัญหานี้ก็ยังคงตกมาสู่รุ่นเราและรุ่นต่อๆไปในอนาคต


                                   หลายๆคนคงจะสงสัยว่าทำไมต้องเปลี่ยนข้อสอบบ่อยๆ หรือเปลี่ยนแนวเรื่อยๆ ทั้งนี้เป็นเพราะ ทางศูนย์สถาบันการทดสอบทางการศึกษาได้เคยกล่าวไว้ว่า เนื่องจากปีหลังๆมานี้ คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนได้เพิ่มขึ้นซึ่งคาดว่าอาจจะทำให้คะแนนเฟ้อได้ดังนั้นจึงต้องมีการเปลี่ยนแนวข้อสอบที่หลากหลาย รวมถึงการตอบคำตอบแบบ มัลติช้อยที่ป้องกันการมั่วข้อสอบ และอ้างว่า ขนาดลิงที่ไม่สามารถอ่านหนังสือได้ยังทำข้อสอบถูกถึง 1 ใน 4 ซึ่งถ้าเทียบกับของจริงแล้ว กากบาท ดิ่ง ลง ข้อเดียวทั้ง 100 ข้อก็สามารถทำได้เช่นกันและสามารถทำได้เพราะไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของการทำข้อสอบ แต่ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงผลจากการกระทำที่ไม่ได้มีต้นเหตุมาจาก คะแนนที่เพิม่ขึ้นของนักเรียน ทั้งนี้ที่คะแนนเพิม่ขึ้นเพราะมีการเปิดสถาบันสอนกวดวิชาเฉพาะอย่าง GAT หรือ PAT รวมถึงสอบตรงอื่นๆเป็นต้น เมื่อคะแนนสูงขึ้นเพราะนักเรียนเรียนมากลับโทษว่าข้อสอบง่าย คะแนนเฟ้อ แต่ไม่ได้มองว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนอยู่ในระดับที่ดีขึ้น

                                      
                                    

                                   เรื่องของการสอบอีกเรื่องคือระบบการสอบ O-net ที่มีในปัจจุบันและมีการใช้อยู่ได้มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างมากทั้งแก่กับนักเรียนและตัวผู้ปกครองที่ต้องมานั่งเครียดกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเท่าที่ควร แทนที่จะต้องเจอเครียดกับเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อย แต่กลับต้องเครียดกับการเปลี่ยนแนวข้อสอบทุกปี ทั้งเนื้อหาการสอบและ วิธีการทำข้อสอบที่ไม่ได้มีการบอกล่วงหน้าหรือให้มีการเตรียมตัวที่ทันเวลา รวมถึงการนำเนื้อหาหลักสูตรมาออกข้อสอบเช่น ปี 53 ที่ถามคำถามปลายเปิดจนทำให้นักเรียนจำนวนมากถึงกับต้องอึ้งกับคำถามและคำตอบที่บางข้อไม่ได้มีความสัมพันธ์เลยแม้แต่น้อย และถ้านำมาเทียบกับระบบเก่าที่ใช้เพียง A-net และ O-net  นำมาเทียบกับ GAT PAT  Onet แล้ว ความยุ่งยากต่างกันอย่างเห็นได้ชัดและถ้าเทียบปัญหากับระบบเก่าแล้ว แตกต่างกันมาก A-net และ O-net ในระบบเก่าจะมีปัญหาน้อยมากทั้งเรื่องการจ่ายเงิน การบันทึกคะแนนและการทำข้อสอบ(เคยมีช่วงหนึ่งเกิดปัญหากระดาษคำตอบเพราะมีข้อสอบ2ชุดทำให้คะแนนส่วนหนึ่งเกิดความผิดพลาด) หากนำมาเทียบกับ GAT PAT ที่ไม่เพียงแต่ทำให้นักเรียนต้องเครียดมากขึ้น(สถาบันกวดวิชามีการเพิ่มการเรียนพิเศษเกี่ยวกับ GAT PAT) เสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นทั้งเรียนและสมัครสอบ ค่าเดินทางต่างๆ และบางคนที่ไม่มีข้อมูลทำให้สมัครสอบไม่ทัน ซึ่งเหล่านี้เองเกิดขึ้นกับระบบ O,A-net น้อยมากเพราะสอบครั้งเดียวจบไปเลยจึงไม่จำเป็นต้องคอยติดตามข่าวสาร(แต่ตัวนักเรียนเองก็ควรติดตามเองด้วย)




                                   กลับมาที่ตัวนักเรียน อีกเรื่องที่พบคือไม่เข้าใจตัวเองซึ่งเป็นจำนวนเกือบครึ่งหรือมากกว่านั้นที่เจอกับเรื่องนี้ตอนเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย บางคนเข้าเพื่อมางาน(ตัวผมเองด้วย) บางคนเข้าเพราะพ่อแม่อยากให้เข้า และบางคนก็ได้เข้าในคณะที่ต้องการ ซึ่งในส่วนนี้หลายๆคนควรทำความเข้าใจกับกับตัวเองและคนรอบข้างเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม แต่ความชอบบางอย่างของตัวนักเรียนเองบางอย่างสามารถเรียนและพัฒนาตนเองได้และความสามารถนั้นสามารถหางานทำได้โดยไม่ต้องพึ่งปริญญาแต่ใช้ความสามารถโดยตรงอย่าง designer นักออกแบบ ทำสื่อโฆษณา ซึ่งเน้นที่ผลงานที่ออกมา แต่วุฒิในมหาวิทยาลัยก็จำเป็นมากเพราะทางสถานที่รับงานก็พิจารณาในส่วนนี้ไม่น้อยเหมือนกัน รวมถึงบางคณะที่ต้องใช้ความรู้ในระดับสูงอย่างแพทย์ วิศวะ นักบัญชี และนักวิเคราะห์ เป็นต้น ต้องใช้ทั้งความสามารถและสิ่งยืนยันที่เห็นได้ชัดเจนประกอบด้วย ดังนั้นการทำเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องดีที่ได้เรียนเพราะได้รับความรู้และมีโอกาสในงานทำมากขึ้น และบางคนคิดว่าเรียนเพื่อมีวุฒิในการศึกษาระดับที่สูงขึ้นและใช้ทำงานหาเงินได้มากขึ้น ส่วนบางคนเรียนเพราะมีความสนใจในสิ่งนั้นๆ ซึ่งที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องดีทั้งสิ้น เพราะทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับผู้เลือกเป็นคนเลือกเส้นทางเอง หน้าที่ที่ควรทำคือการให้การเสนอแนะต่างๆ แลการปรับความเข้าใจในครอบครัวและคนรอบข้าง เพราะปัญหาจริงๆที่พบในการเรียนคือการที่ไม่ถูกยอมรับเพราะไม่ได้เรียนในสิ่งที่คนอื่นต้องการ (ควรปรับความเข้าใจก่อนการตัดสินใจ ) และนอกเหนือจากนี้คือเรียนแล้วไม่ใช่ตัวเอง เรียนไม่ใหว ขาดความมั่นใจ ต้อง ไทร์ ออกจากมหาวิทยาลัยไม่ว่าที่ใดๆก็ตาม บางคนยังสมัครเรียนใหม่(ซิ่ว) แต่บางคนอาจช็อคและเสียความมั่นใจไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้   ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสองประการคือ การทำความเข้าใจกับตัวเอง และ การทำความเข้าใจกับคนอื่น

                       "การเรียนดีไม่ใช่ผลสำเร็จของอนาคตเสมอไป  แต่ความตั้งใจคือหนทางสู่อนาคตของเราเอง"

---------------มีต่อครับ---------------



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 14 มกราคม 2554 / 19:54
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 14 มกราคม 2554 / 19:58
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 14 มกราคม 2554 / 20:01
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 14 มกราคม 2554 / 20:03
แก้ไขครั้งที่ 5 เมื่อ 14 มกราคม 2554 / 20:05
แก้ไขครั้งที่ 6 เมื่อ 14 มกราคม 2554 / 22:55
แก้ไขครั้งที่ 7 เมื่อ 15 มกราคม 2554 / 23:08
แก้ไขครั้งที่ 8 เมื่อ 16 มกราคม 2554 / 22:26
แก้ไขครั้งที่ 9 เมื่อ 16 มกราคม 2554 / 22:29
แก้ไขครั้งที่ 10 เมื่อ 17 มกราคม 2554 / 22:09
แก้ไขครั้งที่ 11 เมื่อ 18 มกราคม 2554 / 18:03

PS. �Ps. http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=612533 นิยายออนไลน์เอาฮาครับ

แสดงความคิดเห็น

>

91 ความคิดเห็น

aimieez 14 ม.ค. 54 เวลา 20:39 น. 1

จริงๆนะ ห้องหนูมี 50 กว่าคนอะ เยอะมาก แล้วยังมี คณิต วิทย์เป็นภาษาอังกฤษอีก โอ๊ยย เครียด อยากจะบ้าตาย มีแต่วิชาการ ไม่ค่อยจะมีหรอกวิชาส่งเสริมในการทำอาชีพในภายหน้าอ่า
เรื่องครูอะ ครูก็เห็นค่าแต่เด็กเก่ง เด็กเรียนนั่นแหละ เราก็เก่งอะ ไม่ได้ชมตัวเองแต่อย่างใด แต่ครูไม่เห็นเราเลยอะ แต่หนูยังอยู่แค่ ป.5 ชีวิตต้องสู้!!

Ps.ใครว่าหนูเว่อร์หนูไม่ว่าหรอก เพราะมันเป็นยังงี้จริงๆๆ


PS.  ถ้าเราจะโง่เป็นควาย แต่เราก็จะขอเป็นควายที่จมปลักรักริทตลอดไป......
0
เกพ 14 ม.ค. 54 เวลา 21:16 น. 3

เห็นด้วยทุกประการ

เมื่อรู้ต้นเหตุแล้ว ก้แก้ได้ซักทีสินะครับ

หรือปล่อยเลยตามเลยเหมือนเดมิดีหละ

0
Great leonopteryx 14 ม.ค. 54 เวลา 21:47 น. 4

ถ้าให้เทียบประเทศไทยกับประเทศที่มีสงครามอยู่บ่อยๆ จะพบว่าเด็กในประเทศที่มีสงครามจะเครียดน้อยกว่าเด็กในประเทศที่กำลังพัฒนาที่มีการแข่งขันกันอย่างสูง

โดยส่วนตัวแล้วผมเรียนหมอปี 2 อยู่น่ะครับ  ผมก็เป็นเด็กที่เรียนหนักคนนึงเหมือนกัน แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่เด็กที่เรียนหนักทุกคนแล้วจะประสบความสำเร็จทางการศึกษาเหมือนกัน  เพราะประสิทธิสมองของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันครับ(ตรงนี้ผมเรียนมานะถึงพูดได้)  แต่ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองเราก็พยายามที่จะยัดเนื้อหาทุกๆอย่างเข้ามาในเด็กทุกๆคน  คนที่ถนัดทางวิทย์ก็โดนบังคับเรียนวิชาศิลป์  คนที่ถนัดทางศิลป์ก็โดนบังคับมาเรียนวิชาทางวิทย์ๆ..................

ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ผมว่ามีสงครามยังดีกว่าอีก  อย่างน้อยเด็กก็ไม่ต้องมาเครียดเรื่องการเรียน คนที่เรียนจบมาก็ไม่ต้องมาแข่งกันหางานทำให้เครียดกันอีก ไปเป็นทหารกันหมดดีกว่ามั้ยเนี่ย

........................จาก  นศ.แพทย์ นิรนาม

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 14 มกราคม 2554 / 21:50

0
NuBestJung 14 ม.ค. 54 เวลา 21:55 น. 6

โรงเรียนมีแต่อยากให้เด็กเรียนหนักๆๆๆๆๆๆๆ

แต่เด็กก็เหนื่อยเป็นอ่ะ แบบว่าอยู่ม.1 แต่เลิกช้ากว่า ม.อื่นๆ

แบบ มันท้ออ่ะ!!


PS.  BesT LOVe P'_ _ _ _
0
lamunlamild. 14 ม.ค. 54 เวลา 22:03 น. 8
จะเปลี่ยนนู้นเปลี่ยนนี่ตั้งแต่ยังจำความได้
แต่ดันเปลี่ยนให้แย่ลงเรื่อย ๆ

ตอนนี้จะจบ ม.6แล้วยังไม่เห็นอะไรดีขึ้นเลย =A=
กว่าระบบการศึกษาจะเสถียรก็รุ่นหลานพอดี

PS.  ` mamild. fofa ϟ บ้าวาด .
0
P3/K@HS 14 ม.ค. 54 เวลา 22:13 น. 10

ผมคิดครับว่าส่วนหนึ่งมาจากผู้ปกครอง และ อาจาย์ และ ผู้ใหญ่รอบข้างๆของเด็ก


PS.  ¯¨'*·~-.¸¸,.-~*'<GUILTY!> !~!!~~¯¨'*·~-.¸¸,.-~*...
0
J - neen 14 ม.ค. 54 เวลา 22:35 น. 11
 เห็นด้วยที่สุด!!!

    ผู้ใหญ่ทั้งหลาย เมื่อได้อ่านแล้ว กรุณาปรับปรุงด่วน! ต่อจากนี้เราจะได้แก้ปัญหาได้ถูกทางเสียที 
ถ้าความต้องการที่ต้องการให้คนมีการศึกษาเพื่อความเจริญและความสงบสุขของประเทศ ความรู้เชิงวิชาการ อันได้มาจากการเรียนนั่งฟังนิ่งๆของเด็กไม่เพียงพอหรอกนะคะ เปลี่ยนชม.จากคาบท้ายๆเป็นส่งเสริมกิจกรรมด้านอื่นๆ ที่รวมถึงด้านการใช้ชีวิตในสังคม ความเสียสละ ความรับผิดชอบ  และความสนใจในการเรียนรู้อย่างแท้จริง
    ร่วมสร้างบรรยากาศการเรียนให้เป้นการเรียนโดยธรรมชาติไม่ใช่จากการบังคับ และสร้างค่านิยมให้เด็กสมัยนี้มองว่า เด็กเรียนเป็นกลุ่มที่เทห์ ดูดี น่้าชื่นชมจะช่วยเพิ่มเปอร์เซนต์การอ่านหนังสือ
ลดปัญหาเด็กแว๊นและปัญหาด้านการมีเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรได้ด้วยอีกค่ะ
เพราะค่านิยมที่ปลูกฝังจะทำให้เด็กรู้สึกภูมิใจที่ได้เรียนและมีความสุขกับการเรียน การเรียนที่ว่าจึงจะถือได้ว่าประสบผลอย่างแท้จริง 

0
kilala_tee 14 ม.ค. 54 เวลา 23:20 น. 12
  ใช่เห็นด้วยที่สุด

เราละอยากให้แม่มาอ่านจริงๆ -o-
เราอยากเล่นกีฬาก็ให้เรียนอย่างเดียว  และ  เด็กติดเกมส์ก็ไม่ผิด ขนาดเพื่อนที่เรียนพิเศษด้วยกันติดเกมส์มากๆๆๆ มันยังเรียนเก่งสุดๆ 

อยากให้พ่อกับแม่มาอ่านจริงๆ จะได้เข้าใจเด็กอย่างเราซะที T^T 

รอกระทู้อย่างนี้มานานแล้ว 5555+



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 14 มกราคม 2554 / 23:22
0
DarkSideSystem 15 ม.ค. 54 เวลา 03:57 น. 13

 ทุกอย่างคือปัญหา
ปัญหาที่ดีที่สุด คือ การแก้ที่ตัวเราเองก่อน


PS.  การให้เป็นคุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ก่อให้เกิดความสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ
0
pp-yo 16 ม.ค. 54 เวลา 10:18 น. 16

 เราว่ามันเป็นที่ระบบนะ  ผู้สอนก็โดนระับบบังคับให้ต้องสอนแบบนี้ ทำแบบนี้  ผู้เรียนก็โดนระบบบังคับให้เรียน   แล้วคน2กลุ่มยังไม่รู้ว่าระบบมันดียังไง  มัันเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขที่ระบบครับ  ผู้ใหญ่รุ่นนี้อาจจะแก้ไม่ได้   ก็ต้องเป็นรุ่นพวกเราที่ต้องช่วยกันแก้ไข  ต่อไป  


PS.  http://www.ichat.in.th/Buscarunconsultor/
0
CoCoRn 16 ม.ค. 54 เวลา 12:26 น. 18

เป็นบทความที่ดี

ไม่ว่าสิ่งที่จขกทบอกมาจะถูกหรือไม่ แต่ก็สะท้อนสังคมไทยได้หลายแง่

ทำไม การศึกษาไทยไม่ก้าวหน้า

คำถามสั้นๆ แต่อธิบายได้ยากเย็น

ก็ได้จขกทนำมันมาแจกแจงให้ได้อ่าน

ผมก็ได้แต่หวัง หวังว่าจะมีใครที่มีความสามารถมาจัดการเรื่องนี้ให้เป็นตามแนวทางอย่างที่เราต้องการ

ปล. แต่ก็ได้แต่หวัง เฮ้อ... ขนาดผู้ใหญ่ยังไม่ดี จะหวังอะไรกับการพัฒนาบ้านเมืองให้ดีได้ล่ะ


PS.  ถ้าผิดพลาดก็ขออภัย วิบัติไปก็ขอโทษที
0
pasta2min 16 ม.ค. 54 เวลา 18:19 น. 19
 "เมื่อคะแนนสูงขึ้นเพราะนักเรียนเรียนมากลับโทษว่าข้อสอบง่าย คะแนนเฟ้อ แต่ไม่ได้มองว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนอยู่ในระดับที่ดีขึ้น"

อ่านแล้วสะใจว่ะ!!!!

PS.  Talk to my lips กระซิบรักนิรัดร [2มิน-อนคีย์] ฟิคเรื่องที่สองของไรเตอร์พาสต้าเอง เป็นฟิคพีเรียดด้วยล่ะ อย่าลืมติดตามกันนะคะ!!!~ จิ้มมมๆๆ >w< http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=
0
เด็กดอย 17 ม.ค. 54 เวลา 08:57 น. 20

กระทรวงศึกษาช่วยตรวจสอบโรงเรียนเอกชนบางที่มีนักเรียนห้องหนึ่งเกือบ 60 คนตัวก็โตโต๊ะก็เล็กห้องก็แคบคนสนใจก็เรียนคนไม่ตั้งใจเรียนก็เล่น ทำให้เด็กไปเรียนกวดวิชากันมาก ค่าเรียนพิเศษเดือนหนึ่งมากกว่าเงินเดิอนพ่อแม่ที่ได้รับอีก คนที่รวยคือโรงเรียนกวดวิชาที่เป็นสอนเป็นวีดีโอ.....ต้องมีกฏห้ามแล้วถ้าครูไม่สอนเองห้ามสอนเป็นวีดีโอ ราคาค่าเรียนวีดีโอก็แพงด้วย

0