Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

พระพุทธเจ้าท่านสอนเพื่อชำระกิเลส

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่




หมอในเมืองกับหมอบ้านนอกนี่ต่างกันอยู่มากนะ พวกหมอบ้านนอกส่วนมากช่วยคนไข้จริงๆ คนไข้วิ่งเข้าไปหานี่ จะทำไง ก็ต้องช่วยรักษาเขาเต็มไม้เต็มมือ เวลารักษาแล้วเขาไม่มีเงินให้ก็ต้องปล่อยไปๆ แต่หมอในเมืองไม่เป็นอย่างนั้นนะ

หมอประเภทนี้กินไปเรื่อยเสียก่อนนะ กินไปเรื่อย พอเสร็จแล้วหยูกยานี้เท่าไรเป็นเงินสักเท่าไร รีดเอาๆ แหลกๆ นี่ละหมอในเมืองกับหมอบ้านนอกต่างกันอย่างนี้ นี้เป็นหลักความจริงเราไม่หาเรื่องอุตริ เรื่องของมันเป็นอย่างนี้เลย หมอทุกวันนี้กลายเป็นปอบเป็นผีไป พอเห็นคนไข้เข้ามาโรงพยาบาลแล้ว ว่าวันนี้อาหารว่างเกิดแล้ว เป็นลักษณะนั้นนะ ไม่ได้มีความเมตตาอะไรทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นใครจึงอยากจะเป็นหมอๆ เพราะมันเป็นหมาได้ง่าย รีดขูดกินตลอดเวลาไม่มีสนใจในเรื่องอรรถเรื่องธรรมเลย

เวลานี้จิตใจของหมอนี้เหือดแห้งมากที่สุด เราพูดจริงๆ ตรงไปตรงมานี้ เราเคยพูดกับหมออย่างนี้เหมือนกัน ถ้าเราจะพูดแล้วไม่มีสะทกสะท้าน เราจะต้องพูดไปตามเหตุตามผลหลักเกณฑ์เท่านั้น อรรถธรรมเป็นอย่างนั้น ธรรมไม่ได้พูดอ้อมแอ้มๆ ต้มตุ๋นหลอกลวงเก่งๆ นั้นเรื่องกิเลสสกปรกหาความสะอาดไม่ได้ ประดับประดาหน้าร้านให้สวยงาม ข้างในมีแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง แต่สำหรับธรรมแล้วตรงไปตรงมา เป็นภาษาที่สะอาด ภาษาตรงไปตรงมาคือภาษาธรรม ภาษากิเลสนี้สกปรกมากที่สุด

เวลานี้โลกเต็มไปด้วยกิเลส เพราะฉะนั้นมันถึงสกปรก ไปที่ไหนมีแต่ความเดือดร้อนเต็มบ้านเต็มเมือง หาความสุขไม่ได้ ใครอยู่ที่ไหนๆ ใครอย่าว่ามีความสุขนะ หาความสุขไม่ได้ มันประดับประดาร้านเฉยๆ ทางจิตใจมันเป็นฟืนเป็นไฟ เผาไหม้กันด้วยความโลภ ราคะตัณหา ความโกรธ เต็มไปอยู่ในหัวใจ บีบบังคับอยู่นั้น เอาความสุขมาจากไหนคนเรา

สิ่งภายนอกนี้ไม่ได้มีความสุขความทุกข์อะไร มันเป็นอยู่กับหัวใจของคนต่างหากนี่นะ คนพาให้ร้อนก็ร้อน คนพาให้เย็นก็เย็น ถ้ามีธรรมะแล้วเย็น ถ้าไม่มีธรรมะแล้วไปไหนก็ไปเถอะ ใครจะว่าเป็นมหาเศรษฐีก็ตาม นั่นคือมหันตทุกข์พวกนั้นแหละ ตรงที่ว่ามหาเศรษฐี ความโลภก็มาก ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ในนั้นหมด เรื่องราวเต็มอยู่ในนั้นหมด เมื่อเรื่องราวเต็มอยู่นั้นความทุกข์จะไม่อยู่นั้นได้ยังไง กองทุกข์ต้องเต็มอยู่ในนั้นหมดนั่นแหละ นี่ละหลักความจริงของศาสนา

หลวงตามหาบัว และ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ



ท่านทั้งหลายอยากฟังศาสนาให้ฟังเสีย นี่ละภาษาศาสนา ภาษาธรรมะ ท่านพูดอย่างตรงไปตรงมา นี่ละสอนโลก เหมือนกับภาษาศาสนาเป็นน้ำที่สะอาด ชะล้างสิ่งที่สกปรก กิเลสมันสกปรกมาก มันไม่พูดตามความจริงนะ สิ่งใดที่จะหลอกลวงต้มตุ๋น เป็นเรื่องของกิเลสออก ถ้าสิ่งใดที่ตรงไปตรงมาเป็นเรื่องของธรรม แต่ธรรมไม่ค่อยออกนะ มีแต่กิเลสตีตลาดเต็มบ้านเต็มเมือง คนจึงทุกข์ร้อนกันมาก

ใครอยู่ในเมืองไหนๆ อย่ามาพูดอวด ว่าเมืองนั้นเจริญเมืองนี้เจริญ มันเจริญแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทราย หัวใจมันเป็นฟืนเป็นไฟด้วยกันหมด เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องชุบเลี้ยง แต่นี้ยังดีนะเมืองไทยเรา มีพุทธศาสนา ยังมีน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจอยู่บ้าง ถึงจะเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย ว่าไม่เจริญก็ตาม ไม่เจริญตามสายตาของกิเลสต่างหาก แต่เจริญในสายตาของธรรม เมืองไทยเรา จึงต่างกันอย่างนี้นะ ที่ว่าเจริญ ๆ นั้นมีแต่ฟืนแต่ไฟเสีย เอาตัวรอดเป็นยอดคนๆ เอาตัวรอดเป็นยอดทุกข์ไม่ได้ว่านี่นะ

ดูโลกแล้วจนจะดูไม่ได้เวลานี้ ศาสนาก็หมดไปๆจากหัวใจของคน มีแต่กิเลสตีตลาดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เวลานี้ มีแต่เสกสรรปั้นยอเรื่องกิเลสทั้งนั้น เรื่องจะเสกสรรปั้นยอธรรมะนี้ไม่ค่อยมี ไม่ว่าที่ไหน ๆ แม้ที่สุดในวัดก็ไม่มี หาจะไม่เจอ บวชเข้ามาเพื่อชำระสะสางกิเลส กลับบวชเข้ามาเพื่อสั่งสมกิเลส ไม่ว่าเขาว่าเราเหมือนกันหมด เรื่องเป็นอย่างนั้นทุกวันนี้ ไม่ได้ว่าคนนั้นคนนี้ เรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

พระพุทธเจ้าท่านสอน สอนเพื่อชำระกิเลส บวชเข้ามาเพื่อชำระกิเลส ปฏิบัติเพื่อชำระกิเลส ไม่ได้บวชเข้ามาเพื่อสั่งสมกิเลส ปฏิบัติเพื่อสั่งสมกิเลสอย่างสมัยปัจจุบันนี้ กิเลสเข้าไปตีตลาดในวัดในวา ในพระในเณรเต็มบ้านเต็มเมือง เรายังไม่เห็นกันเหรอ ถ้าไม่เห็นก็เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาส่องบ้างซิ ถ้าส่องแล้วจะเห็นหมด เพราะความจริงมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองทุกแห่งทุกหนไม่ปิดบัง นอกจากให้กิเลสพาหลับตาดูหลับตาพูด หลับตาแสดงกิริยามารยาทต่อกันเท่านั้น ถ้าธรรมแสดงแล้วโลกนี้จะเย็น นี้โลกไม่เย็นก็เพราะกิเลสตีตลาดล่ะซิ

เดี๋ยวนี้ศาสนาจะไม่มีละนะ มีแต่ผ้าเหลือง ถ้าเป็นพระก็ดี ไม่ว่าท่านว่าเราพอๆกัน โกนผมโกนคิ้วใครก็โกนได้ ผ้าเหลืองใครก็ห่มคลุมได้ ในตลาดมีมาก แต่ความประพฤติปฏิบัติไม่ได้สนใจในอรรถในธรรม ยิ่งกว่าสนใจในกิเลสเท่านั้น เรื่องอะไรเป็นเรื่องกิเลสจะแสดงออกมาก่อนๆ ไม่ว่าชาวบ้านชาวเมือง ไม่ว่าชาววัดชาววาพระเณร มันจะแสดงด้วยอำนาจของกิเลสด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถ้าแสดงด้วยอำนาจของธรรมแล้วโลกนี้ต้องเย็น เพราะธรรมเป็นเครื่องทำโลกให้เย็นมานานแสนนานแล้ว

(จากซ้ายไปขวา) หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ, พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร,
พระอาจารย์กว่า สุมโน, หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, พระอาจารย์ชม (ไม่ทราบฉายา)
หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ, หลวงปู่อ่อนศรี สุเมโธ, หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้มาเพื่อโลกร่มเย็นทั้งนั้น และสอนโลกให้ร่มเย็น พอศาสนาค่อยหมดไป กิเลสเหยียบย่ำเข้ามา ๆ โลกก็ร้อนเข้า ๆ เมืองไทยเรานี่เฉพาะชาวพุทธเรานี่กำลังเริ่มร้อนนะเวลานี้ ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ เดือดร้อนกันไปหมด ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ายันค่ำๆ วิ่งหาตั้งแต่ความสุข ได้มามีแต่ความทุกข์เต็มหัวอกๆ อย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น การตบแต่งหน้าร้านตบแต่งได้ กิเลสพาตบแต่งทำไมจะตบแต่งไม่ได้ แต่ตบแต่งในหัวใจไม่มีใครตบแต่งล่ะซิ ให้มีความผาสุกร่มเย็นบ้าง

เวลานี้ฟืนไฟกำลังเผาไหม้อยู่ในหัวใจ ความโลภก็เผา ความโกรธก็เผา ราคะตัณหาก็เผา เผาตลอดเวลา สิ่งที่จะระงับดับสิ่งเหล่านี้ไม่มี แล้วจะให้ไฟดับได้ยังไง เอาเชื้อเสริมไฟเข้าไปเรื่อยๆ มันก็ร้อนล่ะซี ร้อนเต็มบ้านเต็มเมืองเวลานี้ เต็มไปหมดนั่นแหละ

มันสลดสังเวชนะ ใครจะว่าบ้าก็ตาม หลวงตานี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ตามภาษาธรรมะ เพราะบวชเข้ามาก็บวชเพื่ออรรถเพื่อธรรม ปฏิบัติๆอรรถธรรม ก็ปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มกำลังความสามารถขาดดิ้น หัวใจจะขาดขาดไป ขอให้ธรรมได้ครองใจก็พอ นี้ปฏิบัติมาอย่างนั้น เต็มกำลังความสามารถ จนกระทั่งว่าเต็มเหนี่ยวแล้ว

เอาเปิดหัวอกให้ท่านทั้งหลายฟังเสีย ว่าเอาเต็มเหนี่ยวแล้วว่าไง ตั้งแต่ออกจากการเรียนเท่านั้น ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส ในป่าในเขาในถ้ำ เงื้อมผา อยู่ในป่าช้าป่ารกชัฏเรื่อยมา ไม่ได้สนใจกับเป็นกับตาย สนใจแต่กิเลสกับเรา ใครจะตกเวที เอ้า ถ้ากิเลสเก่งให้กิเลสอยู่เวที เราตกเวที ถ้าเราเก่งให้กิเลสตกเวที เท่านั้นละฟัดกันเลย เอากันเต็มเหนี่ยว



ต้องขออภัย ๙ ปีเต็ม ๆ ไม่ได้มองเมฆมองหมอก ตามีหูมี สมมุติว่าจะดูผู้เหย้าผู้หญิงอย่างนี้ไม่ดู เข้าใจไหม ดูผู้เหย้าผู้หญิง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์นั่นน่ะ ไม่ดู นอกจากมองผ่านไปเห็นเสีย ถ้าตั้งหน้าจะดูนี้ไม่ดู ห้ามขนาดนั้นละ ห้ามหัวใจ ดัดสันดานกันขนาดนั้น หูก็ไม่ฟัง ถ้าเสียงไหนที่จะเกิดโทษกิเลสแล้ว ไม่ฟังๆ ตัดออกๆ อยู่อย่างนี้เป็นเวลา ๙ ปี เหมือนติดคุกติดตะรางทั้งเป็น

เขาติดคุกเขาเป็นนักโทษ เขายังรับประทานข้าวหรือกินข้าววันละ ๓ มื้อ ๔ มื้อ เรานี่กี่วันถึงกิน บิณฑบาตกี่วันถึงค่อยบิณฑบาตทีหนึ่ง จนกระทั่งเขาตีเกราะประชุมกัน พวกชาวป่าชาวเขา เขาตีเกราะประชุมกันไปดูเรา เขานึกว่าเราตายแล้ว เพราะกี่วันไม่บิณฑบาตไม่ฉัน ฟัดกับกิเลสอยู่ ไม่ถอย เขาตีเกราะประชุม เป็นยังไง พระองค์นี้มาอยู่กับพวกเรา มานี้ได้กี่เดือนแล้ว มาอยู่นี้นานหลายเดือนแล้วไม่เห็นมาบิณฑบาตเลย หายเงียบๆมาตลอด ตั้งแต่มาอยู่นี้ ท่านไม่ตายแล้วเหรอ พวกเรารับประทานวันหนึ่ง ๓ มื้อ ๔ มื้อ ยังทะเลาะกันได้ นี้กี่วันท่านถึงได้มาบิณฑบาต




เขาตีเกราะไปประชุมกันนะ ตีเกราะประชุมแล้วไปดูท่านนะ เป็นยังไงพระองค์นี้ แต่เวลาไปดูเขามีข้อแม้อันหนึ่งนะ เรายังไม่ลืมนะ เขามีข้อแม้ข้อหนึ่ง "แต่เวลาไปให้ระวังนะ พระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดานะ เป็นมหา เดี๋ยวไปท่านเขกเอาหลงทิศ" เขาพูดว่าอย่างนั้น ใครก็แห่กันมา "แล้วมาอะไร จะมาแห่พระเวสสันดรเข้าเมืองเหรอ เราไม่ใช่พระเวสนะ"  เขาก็เลยมาเล่าเรื่องให้ฟัง เขาว่าผู้ใหญ่บ้านตีเกราะประชุมกัน ให้ลูกบ้านมาดู ผู้ใหญ่บ้านไม่กล้ามา กลัว ว่างั้น บอกว่าผู้ใหญ่บ้านไม่กล้ามา กลัว

" แล้วมาอะไรว่าซิ " เขาก็เล่าให้ฟังอย่างนี้ละ อย่างที่เล่านี่ละ พอเสร็จแล้ว "แล้วเป็นยังไง " คือเขาว่าท่านตายแล้วยัง ให้มาดู "แล้วเป็นยังไงตายแล้วยัง" เอ๊ ก็ไม่เห็นท่านตาย ท่านดีๆอยู่นี่ "นี่ให้ทราบเรื่องการอดอาหารนี่ เราอดเพื่อความเพียรจะฆ่ากิเลสต่างหาก เราไม่ได้อดเพื่อจะฆ่าเรานะ " เราก็แก้ตรงนั้นเสีย " แล้วมีอะไรอีก " แล้วท่านยังโมโหโทโสอยู่เหรอ เวลาท่านอดอาหาร หิวอาหารมากๆ "แล้วเป็นยังไงโมโหโทโสอยู่ไหม"  เราก็ถามอย่างนั้นละ เอ๊ ก็เห็นท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านไม่เห็นโมโห "นั่นละให้รู้ ว่ากิเลส ความโมโหโทโสคือกิเลส เราจะฆ่ากิเลสตัวนั้น เราจะโมโหหาอะไร" พอว่าอย่างนั้น "มีเท่านั้นเหรอ" มีเท่านั้นละ "ไป " ไล่ ยังไม่ถึง ๑๐ นาที ไล่แตกฮือเลย

นี่ละเวลาเราประกอบความพากเพียร เอาถึงขนาดนั้นทีเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าสามารถมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง อย่างองอาจกล้าหาญชาญชัย ไม่สะทกสะท้านในสามแดนโลกธาตุนี้ เราเหยียบหัวมันไปหมดแล้ว เรื่องของกิเลสนี้ พูดให้มันตรงๆ ถึง ๙ ปี จึงได้ลงจากเวที เผาศพกิเลสเรียบร้อย ในหัวใจนี้ว่างหมดจากกิเลส ไม่มีอะไรเหลือแล้วยังไม่ลงจากเวที หมู่เพื่อนเกาะพรึบเลย ลูกศิษย์ลูกหาเกาะพรึบ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ ทำประโยชน์มาได้ ๔๙ ปี ทำประโยชน์เรื่อยมา ๆ

แล้วเวลามาสร้างวัดก็เป็นอันว่าสร้างประโยชน์พร้อมกันเลย ประชาชนอะไรเขามาติดต่อขอเรื่องโรงร่ำโรงเรียน เอ้า สร้างให้ โรงร่ำโรงเรียน สร้างไม่รู้กี่หลัง เงินมีเท่าไรทุ่มลงหมด ไม่เคยเก็บแม้สตางค์หนึ่ง วัดนี้ไม่เคยเก็บเงิน สร้างโรงร่ำโรงเรียน จากนั้นก็คนทุกข์คนจน สถานสงเคราะห์ สถานที่ราชการต่างๆ ที่มีความจำเป็นมาติดต่อขอเรา เราให้ๆ จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่โรงพยาบาล


"หากยังมีชีวิอยู่จะส่งเงินมาช่วยในกิจการสงเคราะห์เดือนละ 100,000บาท" หลวงตามหาบัวพูดไว้กับมูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ ปากเกร็ด : อ่านต่อได้ที่ http://www.home4animals.org/history.php



ก้าวเข้าโรงพยาบาลนี้ อันนี้พิสดารมาก เป็นร้อยโรงแล้วเวลานี้ แต่ละโรง ๆ นี้เป็นล้าน ๆ ไม่ใช่ธรรมดานะ โรงละ ๕๐ ล้านก็มี เช่นอย่างโรงพยาบาลอุดรฯ คิดดูซิน่ะ นี่ละโรงมากที่สุด คือเราช่วยเต็มเหนี่ยวเลย เพราะนี้เป็นโรงพยาบาลศูนย์ เป็นจุดศูนย์กลาง เราจึงให้เครื่องมือพร้อม ๆ เลย

นี่ละเรียกว่าตั้งแต่ ๙ ปีล่วงไปแล้ว เผาศพกิเลสเรียบร้อยแล้ว หัวใจนี้ว่างแล้วจากกิเลสทั้งหลาย ไม่มีกองทุกข์ที่จะมาเกี่ยวข้องกับหัวใจนี้อีกแล้ว มีตั้งแต่บรมสุขครองอยู่ที่หัวใจมานี้ ๔๙ ปีนี้แล้ว ปีนี้เราถึงได้เปิด แต่ก่อนเราไม่เคยเปิด เทศน์นี้เต็มอรรถเต็มธรรมเต็มหัวใจ หมดตับหมดปอด ไม่มีอะไรเหลือ เทศน์ให้โลกฟัง แต่เราไม่เคยได้เอาตัวของเราออกยันว่า เราได้พอแล้วในธรรมทั้งหลาย ซึ่งเราเสาะแสวงหาเป็นเวลาเท่าไรปี นี้ได้พอแล้วในหัวใจ

เวลานี้ถ้าเป็นน้ำก็เป็นน้ำเต็มแก้วแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาเพิ่มเข้าอีกแล้ว เราจึงหันหน้ามาสู่โลก มาเพื่อประโยชน์ของโลกเรื่อยมา จนกระทั่งมาปัจจุบันนี้ บัดนี้เห็นเมืองไทยของเราเป็นอย่างนี้ ดังที่เราเห็นทุก ๆ คนนี่ละ ไม่ต้องถามกันก็รู้ แล้วพิจารณาหาทางออก พิจารณาทางไหนมันก็ไม่ได้ ๆ มีแต่ทางตีบตันอั้นตู้ไปหมด เอ๊ะ ทำยังไง ก็หมุนเข้ามาหาหลวงตาบัว

หลวงตาบัวนี้เป็นที่แน่ใจ มั่นใจที่สุดกับตัวเอง ในเรื่องสุจริตยุติธรรม เราไม่มีอะไรสงสัยแล้ว เราพอทุกอย่างแล้ว เราไม่มีอะไรที่จะแบ่งสันปันส่วน เอาจากพี่น้องทั้งหลาย ที่นำสิ่งของมาบริจาคแล้วมาเป็นของตนนี้ เราไม่มีในหัวใจเราแล้ว นอกจากความเมตตาล้วนๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นเราถึงได้เปิดอกช่วยบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เป็นผู้นำในการบริจาคเพื่อช่วยชาติของเรา


โครงการผ้าป่าช่วยชาติของหลวงตามหาบัว เมื่อครั้งวิกฤติเศรษฐกิจประเทศไทย ปี 2540






มีเท่าไรเราจะหมุนเงินเหล่านี้เข้าคลังหลวงหมดๆ มีกี่ประเภท พวกทองคำ พวกดอลลาร์ พวกเงินสดเหล่านี้ เราจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว ไม่ให้มีอะไรเหลือเลย เรารับผิดชอบทั้งหมด การเงินการทองจะเป็นผู้ชี้ขาด การเก็บการรักษาการจับจ่ายอะไร ๆ นี้ เราจะเป็นคนสั่งชี้ขาดด้วยความไว้ใจของเรา ทีนี้เวลาได้มาแล้วนี้ควรจะเข้าจุดไหน ๆ ที่เป็นจุดที่ปลอดภัยเพื่อชาติบ้านเมืองของเราจริงๆแล้ว เราจะปล่อยเข้าจุดนั้นๆ เราถึงได้ทำ เวลานี้จึงได้ประกาศตนเป็นผู้นำ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เริ่มมาตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษาฯ จนกระทั่งบัดนี้



เราเอาจริงเอาจัง เราไม่ได้ทำเล่น ๆ นะ เราปฏิบัติตัวของเราก็ทำอย่างนี้ ฆ่ากิเลสก็บอกว่ากิเลสไม่ตาย เราต้องตายเท่านั้น ที่จะให้เป็นคู่แข่งกันอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ในชาตินี้เป็นชาติที่เราจะฟัดกับกิเลสให้เต็มเหนี่ยว เอาจนกระทั่งถึงประกาศตนออกได้เลยว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้วต่อไปนี้ เป็นชาติสุดท้าย ยุติกันแล้ว เรื่องการเกิดการตาย หาบหามความทุกข์มาตลอดเวลาตั้งกัปตั้งกัลป์ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราในการหาบความทุกข์ทั้งหลายเพราะกิเลสขนมาทุ่มสู่หัวใจเรา


เราสลัดกิเลสออกแล้วก็สลัดความทุกข์ออกด้วยกัน ทีนี้บรมสุขครองหัวใจแล้ว เราจึงสอนโลกเต็มเหนี่ยวด้วยความเมตตาของเรา เราจึงไม่มีอะไรเกี่ยวกับโลก เรามั่นใจตรงนี้นะ จึงนำตนออกประกาศเพื่อเป็นผู้นำของชาติบ้านเมืองของเรา เอ้า ใครจะเชื่อก็เชื่อ บ้านเมืองของเราเป็นยังไงเวลานี้ บรรดาประชาชนทั้งหลายพี่น้องชาวไทยทุกคน มอบหัวใจด้วยความไว้วางใจมาให้เราคนเดียวเป็นผู้รับ เรารับผิดชอบในหัวใจของพี่น้องทั้งหลาย ด้วยความไว้วางใจนั้นแต่ผู้เดียว เราจึงต้องทำให้เต็มความสามารถของเรา เอาหัวใจขาดดิ้นทีเดียว

เพราะฉะนั้นจึงได้ปลุกใจพี่น้องชาวไทยให้ตื่นนะเวลานี้ คราวนี้เป็นคราวสำคัญมาก เป็นคราวหัวเลี้ยวหัวต่อของชาติไทยเรา หากว่าคราวนี้เราผ่านพ้นไปไม่ได้ หรืออย่างน้อยตั้งตัวไม่ได้แล้ว เอาตัวรอดไม่ได้แล้ว จะไม่มีคราวไหนนะที่จะได้ทำใหญ่โตขนาดนี้ อันนี้เราทุ่มด้วยกำลังความสามารถของเราเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเราไม่ได้คาดได้ฝันเลยว่าเราจะช่วยโลกแบบนี้ แต่เราก็ได้ช่วยเสียแล้ว จึงต้องได้ประกาศตนออกมา ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด ต่อหัวใจพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง จึงได้ทำอย่างนี้ละ เรื่องราวก็มีเท่านี้ละ



วันนี้พี่น้องทั้งหลายมาเยี่ยมหลวงตาบัว ได้เห็นลวดลายของหลวงตาบัวเป็นอย่างไรบ้าง สมควรจะเป็นผู้นำได้ไหม ไปพิจารณาซิ พี่น้องชาวไทยของเราสมควรที่จะยอมรับเป็นผู้นำได้ไหม ให้ไปพิจารณาก็แล้วกัน เราเปิดอกให้ฟังหมดแล้ววันนี้ ก่อนที่เราจะประกาศตนเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย เราเปิดหัวอกให้ฟังเสียวันนี้ให้เต็มเหนี่ยว


นี่เป็นเวลาขึ้นเวที นักมวยเขาต่อยกันบนเวทีเขาต้องต่อยแบบนั้น หมุนติ้ว ๆ เลย พอลงจากเวทีแล้วก็เป็นคนธรรมดา ทีนี้เราพูดอะไรกันก็พูดกันได้แล้ว ไม่มีอะไรละ ถึงเวลาขึ้นเวทีต้องเป็นอย่างนั้น เวลาลงจากเวทีแล้วต้องเป็นอย่างนี้



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ทรงเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์
นมัสการพระราชญาณวิสุทธิโสภณ(หลวงตามหาบัว) ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑล
ทรงสดับพระธรรมเทศนา
และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์
เพื่อสมทบในโครงการช่วยชาติ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ.2541



คัดลอกบางส่วนจาก
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php­ID=1409&CatID=2










แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 7 กรกฎาคม 2555 / 16:59
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 7 กรกฎาคม 2555 / 17:02
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 7 กรกฎาคม 2555 / 17:04

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น

hua hom 7 ก.ค. 55 เวลา 17:32 น. 1
โครงการผ้าป่าช่วยชาติเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2541 จนถึงวันที่ 9 มกราคม 2553 ยอดบริจาคทั้งสิ้นเป็น ทองคำ 13ตัน และ เงิน 10,214,600 ดอลลาร์สหรัฐ(ไม่รวมดอกเบี้ย) รวมทั้งสิ้นเป็นเงินโดยประมาณ 19,495,378,353 บาท



                                                                      ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ  -/\-
 



อ้างอิง :


http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5_(%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7_%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%BA%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%BA%E0%B9%82%E0%B8%99)

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 7 กรกฎาคม 2555 / 17:44
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 7 กรกฎาคม 2555 / 19:03
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 7 กรกฎาคม 2555 / 19:04
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 15 กรกฎาคม 2555 / 12:45
แก้ไขครั้งที่ 5 เมื่อ 15 กรกฎาคม 2555 / 12:46
0