Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ซึ้งมากๆ นิทานธรรมะเก่าแก่ เรื่อง "ไม้เท้ายอดกตัญญู" อ่านดู แล้วย้อนไปดูตัวเอง

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

เรื่องนี้ซึ้งมาก ขอบอก ใครไม่เชื่อ อ่านเลย       


          ชายชราคนหนึ่ง ใบหน้าซูบซีดมีแววหม่นหมองอมความเศร้าไว้อย่างน่าสงสาร แขนขามีแต่หนังหุ้มกระดูก นุ่งผ้าที่เก่ายิ่งกว่าเก่า ขาดกระรุ่งกระริ่ง ผมสีขาวนั้นยาวและหยาบ แสดงอาการที่ไม้ได้เอาใจใส่ดูแลจากเจ้าของ หรือจากใครๆเลย แกตาบอด เบ้าตาที่บอดนั้นกลวงลึกจนเห็นสันกระดูกเบ้าตาชัด แกถือไม้เท้าที่หงิกงอเดินคลำทางเปะปะไปข้างถนน สะพายซอเก่าๆอันหนึ่งไว้ที่บ่าขวา มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายถือกะลาสำหรับขอทาน

         ชายชราคนนี้ เดิมนั้นแกเป็นคนร่ำรวย มีลูกทั้งหญิงชายนับได้ 7 คน แกเลี้ยงดูส่งเสียลูกให้มีการศึกษาดี ได้แต่งงานมีครอบครัวหมดทุกคน ทั้งได้แบ่งทรัพย์มรดกให้ลูกทุกๆคนเรียบร้อยแล้ว แต่ลูกของแกต่างคนต่างเกี่ยงกัน ไม่มีใครรับเลี้ยงพ่อแม่ คนโน้นก็บอกว่า คนนั้นน่ารับไปเลี้ยง คนนั้นก็ว่าคนนี้ต่างหากที่ต้องรับไปเลี้ยง ต่างคนต่างกลัวเสียเวลา เสียทรัพย์ กลัวเป็นภาระที่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ พวกลูกๆต่างก็ไปอยู่ที่เมืองอื่นไกลออกไป จึงทำให้ชายชราต้องอยู่กันเพียงสองคนผัวเมีย

         พวกลูกๆ นั้น นานหลายปีแล้วไม่เคยมีใครมาเยี่ยมดพ่อแม่เลย ต่างคนต่างมุ่งคร่ำเคร่งอยู่กับการทำมาหากิน ยุ่งอยู่กับลูก เมีย ผัว และใช้เวลาว่างไปในงานสังคมดื่มๆ กินๆ หรูหราไป ไม่มีใครห่วงใยพ่อแม่ คนน้องก็คิดว่าพี่ๆคงไปดูแล้ว ส่วนพี่ๆ ก็คิดว่าน้องๆคงดูแลแล้ว นี่แหละโบราณที่ว่า "ลูกสิบคนพ่อแม่เลี้ยงได้ พ่อแม่มีเพียงสองคน แต่ลูกสิบคนเลี้ยงท่านไม่ได้"

         พ่อแม่ผู้อาภัพทั้งสอง อยู่กินกันไปอย่างว้าเหว่ เพราะคิดถึงลูกๆ เหลือเกิน ได้แต่บ่นคิดถึงเขา ประกอบกับสมัยนั้น ไม่มีการไปรษณีย์ ไม่มีการประชาสงเคราะห์อย่างทุกวันนี้ คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยพุทธกาลสองพันห้าร้อบกว่าปีมาแล้ว

        สมัยนั้นพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ สองผัวเมียชราผู้นี้เป็นพราหมณ์ ต่อมาบ้านของแกถูกไฟไหม้ ทุกอย่างวอดวายไปในกองเพลิง เมียของแกก็ตายในกองเพลิงนั้นด้วย

         ชายชราผู้นี้จึงเสียใจมาก ธรรมดาแกเพื่อนบ้านนั้นเขาให้ก็แต่ชั่วครั้งชั่วคราว จะให้กินตลอดไปนั้นก็ไม่มี แกก็เกรงใจเขา จึงเที่ยวเร่ร่อนขอทาน โดยสีซอขับบรรเลงเพลงไปตามสี่แยกข้างถนน ข้างตลาด จนกระทั่งวันหนึ่งได้ไปพบพระพุทธเจ้า พระผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์จึงคิดอุบายให้ โดยแต่งเพลงให้บทหนึ่ง ให้แกท่องแล้วไปขับร้องตามชุมชนต่างๆ (ในพระไตรปิฎก เป็นภาษาบาลี)...

           โอ้ อนิจจา ตัวเรา ยามเฒ่าแล้ว

พวกลูกแก้ว ทอดทิ้ง ไม่เหลียวหา
หูก็หนวก ตาบอดซมซานมา
ถือกะลา สีซอ ขอเขากิน

      มีไม้เท้าอันเดียว เที่ยวเร่ร่อน
ง่วงก็นอนข้างถนน บนกรวดหิน
เมื่อเป็นทุกข์ โอดครางกลางแผ่นดิน
ยามจะกิน อาหารเศษ ทุเรศทรวง

        ยามซวนเซ จะพลาด ล้มฟาดพื้น
มีไม้เท้า ยันยืน ได้ยึดหน่วง
ฉันซูบผอม ตรอมใจ ตาลึกกลวง
ไม่มีลูก คอยห่วง เอื้ออารี

      โอ้มีลูก ลูกนั้น มันเนรคุณ
ไม่เกื้อหนุน ทอดทิ้งให้หมองศรี
ยามฉันถูก ท่านไก่ไล่จิกตี
ไม้เท้านี้ ป้องภัย ไล่สัตว์พาล

    ถูกวัวดุ ฟู่ฟู่ ขู่จะขวิด
มีไม้เท้าเป็นมิตร คอยสงสาร
ใช้กวัดแกว่ง คอยรักษาเป็นปราการ
ยามข้ามธาร ไม้เท้านำฉันไป

        เมื่อเดินทาง ไม้เท้าบอกวิถี
ไม้เท้านี้ ดีกว่าลูกเป็นไหนไหน
คนเศษคน อกตัญญู ไร้น้ำใจ
มันทำได้ ใจหินสิ้นเมตตา

        เสียงซอเศร้าๆ ที่ชายชรานั่งร้องขับคลอ ตามสี่แยก ทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ฟังเกิดความสงสารอย่างจับใจ หยิบเงินและอาหารมาบริจาคช่วยเหลือแก และนำไปวิจารณ์สาปแช่งลูกเนรคุณเหล่านั้น

          จนกระทั่งข่าวนี้แพร่ไปถึงลูกๆ ของแก ทำให้ลูกนั้นได้สำนึก พากันมารับพ่อไปเลี้ยงดู ทั้งนี้เพราะคนอินเดียสมัยนั้น เขาถือมากในเรื่องการปรนนิบัติบิดามารดา เขาบูชาบิดามารดาเป็นเสมือนเทพเจ้า เขาเชื่อฟังบิดามารดา ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าดื้อรั้นในสิ่งที่พ่อแม่ห้ามปราม เมื่อถูกสังคมรุมประณามเช่นนั้น พวกลูกๆ ก็คิดได้ สำนักผิด พากันมารับเอาพ่อไปเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่....


แล้วคุณล่ะ วันนี้ดูแลพ่อแม่แล้วรึยัง


PS.  * . . แ อ บ ร้ า ก เ ต่ า แ ต่ ม ะ ก ล้ า บ อ ก [ โ ย่ ร้ า ก เ ต่ า น้ า ] . . *

แสดงความคิดเห็น

>

56 ความคิดเห็น

+KANGASTORY+ 15 พ.ค. 50 เวลา 15:34 น. 1

ใครคิดว่าดี ช่วยโหวตกันหน่อยนะ จะได้ไปติดกระทู้ท็อปโหวต แล้วนำไปให้คนอื่นๆได้อ่านกัน - / \-


PS.  * . . แ อ บ ร้ า ก เ ต่ า แ ต่ ม ะ ก ล้ า บ อ ก [ โ ย่ ร้ า ก เ ต่ า น้ า ] . . *
0
KaN++ 16 พ.ค. 50 เวลา 11:38 น. 5


T^T

ซึ้งอ่านะ สุดๆเลย

ย้อนมามองตัวเอง แล้วเหมือนกะเรามันเลวเลยอ่า

บางที

เราอาจเหมือนลูกๆของพวกเขาก็ได้มั้ง

ที่อาจขึ้นชื่อว่า  เนรคุณ อ่ะ

T^T
0
Yolpevol 18 พ.ค. 50 เวลา 20:52 น. 9

น่าสงสาร T T


PS.  เน้นแต่ตั้งกระทู้มีสาระ ภาพแปลกหรือภาพตลกๆและเรื่องดาราฉาวๆจ้า ^^ แวะเข้าไปอ่านกระทู้ย้อนหลังได้นะคะ ^ ^
0
รักแม่ และทุกวันยังคงคิดถึงพ่อ 19 พ.ค. 50 เวลา 12:34 น. 17

โหวดให้แร้วน๊า

แต่ก่อนเราเคยเกเรนะ

ไม่เคยฟังพ่อแม่ ดื้อดึงใส่ท่านตลอด

เวลาท่านสอนก้ชักสีหน้าท่าทางใส่

จนวันนึงพ่อเราจากไป

เหลือแม่&nbsp พี่ชาย&nbsp และก้เรา

เวลาและประสบการณ์มันจะสอนเราเอง

ตอนนี้เรารักแม่เรามาก

เค้าส่งเรามาเรียนที่&nbsp กทม

ซึ่งตั้งแต่ไหนแต่ไรเราไม่เคยโทหา

จะโทรก็ต่อเมื่อเงินหมด

แต่เด๋วนี้เราโทหาเค้าทุกวัน

เราคิดว่าการที่แม่อยู่คนเดียว&nbsp "ท่านคงเหงา"

อย่างน้อยๆการได้ยินเสียงลูกก็คงช่วยบั่นทอนลงได้

0
hermie 19 พ.ค. 50 เวลา 13:28 น. 18

น่าสงสารจังเลย


PS.  จบแล้วที่เคยรักกัน มันไม่มีตอนต่อไประหว่างใจเรา
0
ขอโทษค่ะ 19 พ.ค. 50 เวลา 15:41 น. 19

มันทำให้เราสำนึกขึ้นเยอะเลย วันนี้เราแอบโกรธแม่เล็กๆน้อยๆ แต่แม่ก็ถามว่าเราเป็นอะไร เราก็ไม่ตอบ คือวันนี้วันมอบตัวอะ เราโกรธแม่ที่แม่ถามครูเรื่องเรียนพิเศษของเราว่าเรียนตอนไหน&nbsp แล้วครูเค้าก็ตอบมั่วๆ แล้วแม่เราก็ถามครูไม่หยุดจนเราอารมณ์เสีย แล้วเราก็อายด้วยที่เรานั่งนาน แล้วเพื่อนๆก็ยืนล้อมเต็มเลย แต่พอกลับบ้านมา เราก็เข้าห้องไปคิดอีกที มันก็ยังโกรธแม่อยู่ แต่พอมาอ่านกระทู้นี้แล้วเราก็พอคิดได้ว่า เราไม่เห็นต้องอายเลย ที่แม่ถามก็เพื่อตัวเราต่างหาก

0