สถิติของเยาวชนไทย...ใครว่าไม่น่าห่วง
ตั้งกระทู้ใหม่
เยาวชนไทย ใครว่าไม่น่าห่วง
คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ
โดย มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คงต้องยอมรับกันว่าข่าวที่เกี่ยวกับเยาวชนไทยบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้โดยเฉพาะข่าวเกมส์ที่ชวนเชิญให้เด็กเป็นฆาตกร เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมิใช่น้อย
ลองมาดูสถิติของโครงการไชลด์วอทช์ (Child Watch) สภาวการณ์เด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นข้อมูลจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างในจังหวัดที่มีสถาบันอุดมศึกษา หรือวิทยาเขตของสถาบันอุดมศึกษาจังหวัดละ 400 ตัวอย่าง รวมกลุ่มตัวอย่างประมาณ 25,000 คน ทำการสำรวจในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม พ.ศ.2549 ได้ข้อมูลดังนี้
(1) มิติการใช้ชีวิต
- 47% ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่
- 23% ทำงานหารายได้พิเศษ
- 62% เล่นกีฬา/ออกกำลังกายเป็นประจำเฉลี่ยวันละ 75 นาที
- 47% อยู่บ้าน/หอเพื่อนเป็นประจำ เฉลี่ยวันละ 113 นาที
- 49% กินเหล้า
- 23% สูบบุหรี่
- 31% เที่ยวกลางคืนวันเสาร์-อาทิตย์
- 17% เล่นพนันบอล
- 27% เล่นหวยบนดิน
- 30% ยอมรับว่าเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว
- 20% อยากทำศัลยกรรมปรับปรุงภาพลักษณ์
(2) มิติสื่อการเรียนรู้
- 91% มีโทรศัพท์มือถือ
- 23% ส่ง SMS ทุกวัน
- 16% โหลดภาพและเพลงทุกวัน
- 34% เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์/เกมส์ออนไลน์เป็นประจำ
- 56% เล่นอินเตอร์เน็ตทุกวันเฉลี่ยวันละ 105 นาที
- 39% ดูวีซีดีโป๊
- 27% ดูเว็บโป๊
- 30% ดูการ์ตูนโป๊
- 35% โดดเรียนอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์
- 9% เรียนพิเศษ เสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคอร์สละ 2,000 บาท
- พูดโทรศัพท์ 74 นาทีต่อวัน ดูทีวี 154 นาทีต่อวัน
- อ่านหนังสือ 81 นาทีต่อวัน ทำการบ้าน/รายงาน 86 นาทีต่อวัน
(3) มิติปัญหา/ ภาวะเสี่ยง
- 18% เคยพบเห็นการเสพติดในสถานศึกษาในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
- 6% เคยถูกขู่กรรโชกทรัพย์
- 9% เคยถูกทำร้ายร่างกายในสถานศึกษาในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
- 2% ออกเที่ยวกลางคืน
- 3% ย้ายสถานศึกษา
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า
- เยาวชนอายุต่ำกว่า 25 ปี ก่อคดีอาชญากรรม 32,000 คดีต่อปี
- วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปี มาทำคลอดปีละ 70,000 คน
- เยาวชนอายุต่ำกว่า 25 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ปีละ 7,000 คน
- เยาวชนอายุ 19-25 ปี พยายามฆ่าตัวตายปีละ 4,000 คน
ใครมีลูกหลานที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นเห็นสถิติเหล่านี้ น่าจะหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะเยาวชนในวัยเรียนอ่านหนังสือแค่วันละ 81 นาที น้อยกว่าดูทีวี และเกือบๆ เท่ากับพูดโทรศัพท์ ดำรงชีวิตท่ามกลางความเสี่ยงด้านชีวิต ทรัพย์สิน และอบายมุข นี่ยังไม่นับความสัมฤทธิผลทางการศึกษาซึ่งนับวันจะสาละวันเตี้ยลงๆ
ปัญหาเยาวชนไทยที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นเพราะพ่อแม่มัวแต่ทำมาหากินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ลูกๆ ก็เติบโตแบบพ่อแม่ไม่ได้สั่งสอน แต่หวังจะให้โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยดูแลแทน มิหนำซ้ำยังเลี้ยงแบบลูกบังเกิดเกล้า
เพื่อนอาจารย์ของผู้เขียนเคยเล่าให้ฟังว่า พ่อแม่บางคนถึงกับฝากอาจารย์ที่ปรึกษาในมหาวิทยาลัยให้ใช้โทรศัพท์มือถือโทร.ปลุกลูกทุกเช้าเพราะอยู่บ้านเคยทำอย่างนั้น แล้วอย่างนี้เด็กไทยโตไปจะกลายเป็นเด็กใจสู้ได้อย่างไร
เมื่อผู้เขียนไปประเทศจีน และเวียดนาม ผู้เขียนเห็นว่าเยาวชนในประเทศเหล่านี้ดูจะไขว่คว้าหาช่องทางที่จะพัฒนาตนเองอย่างยิ่งยวด ที่ริมทะเลสาบคุนหมิงตอนเย็นๆ จะมีเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยมารีๆ รอๆ คอยนักท่องเที่ยวเพื่อหาโอกาสสนทนาภาษาอังกฤษ ตอนเช้ามืดจะมีเด็กตื่นแต่เช้ามาเดินแถวทะเลสาบ เพื่ออ่านออกเสียงภาษาอังกฤษดังๆ เพราะอยู่บ้านจะรบกวนคนอื่น
เด็กพวกนี้รู้ดีว่า การพัฒนาตัวเองเท่านั้นที่จะพาไปสู่ความสำเร็จได้
กลับมาพูดถึงเด็กไทยกันดีกว่า ประเด็นที่สำคัญเวลานี้ก็คือ เยาวชนมีช่องทางได้รับข้อมูลหลากหลายมาก
โรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ใช่ช่องทางที่เด็กรับข้อมูลและการศึกษาเพียงช่องทางเดียวอีกแล้ว
ในปัจจุบันอินเตอร์เน็ตถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เราสามารถเข้าไปค้นคว้าได้แทบจะทุกเรื่อง ยังสะดวกและรวดเร็วอีกด้วย
แต่ในขณะนี้ นักเรียนนักศึกษาของเราได้รับประโยชน์จากกูเกิ้ล (Google) น้อยมาก การเข้าอินเตอร์เน็ตก็เพื่อไปคุย (แช็ต) กันมากกว่า ปัญหาหลักอย่างหนึ่งสำหรับการเข้าไปค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตของเด็กไทยก็คือด้านภาษา หากว่าเด็กไทยใช้ภาษาอังกฤษได้ดีก็จะสามารถรับข้อมูลจากระบบของกูเกิ้ล หรือระบบข้อมูลต่างๆ ได้อีกมาก ที่ร้ายที่สุดคือนอกจากเกมส์นรกดังที่เป็นข่าวแล้ว ยังมีเว็บลามก ซึ่งเด็กๆ สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการชิงสุกก่อนห่ามได้ ซึ่งเว็บเหล่านี้น่ากลัวกว่าทีวีเนื่องจากไม่มีการเซ็นเซอร์แต่อย่างใด
สรุปว่า เยาวชนของไทยได้รับข้อมูลจากทีวีและอินเตอร์เน็ตมากกว่าจากสถาบันการศึกษาและจากการอ่านหนังสือเสียอีก ดังนั้น เราอาจจะต้องหันมาพิจารณาการจัดการการเรียนการสอนใหม่ หรือต้องเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนไปเลย
เมื่อทีวีเป็นช่องทางหลักที่เยาวชนได้รับข้อมูล แล้วเราจะร่วมกันผลักดันอย่างไรให้ทีวีเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้การศึกษาแก่เยาวชนไทยมากขึ้น เพราะทีวีไม่ใช่แค่เครื่องมือสื่อบันเทิง แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เยาวชนเติบโตอย่างมีคุณค่า
ประการต่อไป ทำอย่างไรทีวีไทยจะไม่ซ้ำเติมสถานการณ์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นให้เลวร้ายไปกว่าเดิม หากจะเปรียบเยาวชนเป็นน้ำหวาน ทุกวันนี้สื่อทีวีไทยเสมือนกับจะเติมยาพิษลงไปในน้ำหวานวันละเล็กละน้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นจากผลการสำรวจของศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน ม.อัสสัมชัญ ที่พบว่า เด็กเริ่มเห็นว่าการข่มขืนผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมดาเพราะสังคมยอมรับได้ และอยากเป็นพระเอกเหมือนเคน ธีรเดช ที่ได้ปล้ำนางเอก (ซึ่งทั้งคู่เป็นทูตยูนิเซฟ !!!) เป็นต้น
แม้ทีวีสาธารณะจะเริ่มเข้ามามีบทบาทแล้ว แต่ก็ดูเหมือนยังขาดการจัดกลุ่มลูกค้า และการส่งมอบรายการที่เหมาะสมไปสู่ลูกค้าแต่ละกลุ่ม แต่ละเวลา และยังไม่ได้ใช้โอกาสในการบูรณาการเข้าไปกับการเรียนการสอน
อยากเชิญชวนให้มหาวิทยาลัย และบริษัทเอกชนร่วมกันจัดทำรายการทีวีที่มีสาระน่ารู้และสนุกสนาน รวมถึงอินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษาในเชิงรุกมากขึ้น
อยากให้พ่อแม่ให้เวลากับลูกตัวเองมากขึ้น เวลาน้อยไม่เป็นไร ถ้าเป็นเวลาที่มีคุณภาพ (Quality time) คือ เป็นเวลาของความรักความอบอุ่น สามารถปรึกษาหารือปัญหาต่างๆ ได้
อยากเห็นรัฐบาลนี้มีผลงานบ้าง เริ่มที่เยาวชนไทยเลยดีไหม?
21 ความคิดเห็น
ผมว่านิสัยรักสบายของคนไทยก็มีส่วนนะ อยากสบายเลยไม่ขวนขวาย อยากใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวแต่ไม่รู้จักรับผิดชอบ
ประกอบกับสังคมแบบวัตถุนิยมทำให้เด็กฟุ้งเฟ้อเกินตัวจนเป็นปัญหาภายหลัง
ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ไม่เคยเห็นปัญหาจริงๆที่วัยรุ่นในปัจจุบันประสบอยู่
ทางออกคงต้องเน้นย้ำสถาบันครอบครัวและพยายามลดความเชื่อทางวัตถุนิยมลง(จะเป็นไปได้ไหมเนี่ย)
แต่ปัญหาใหญ่คือความรักสนุกรักสบายที่เกินพอของเด็กไทยนี่แหละที่จะกลับมาทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นภายหลัง
พูดเหมือนกับผมไม่ใช่คนไทยเลยเนอะ
ผมก็เคยเป็นเหมือนคุณๆนั่นแหละ เคยติดแชท ตอนนี้ยังติดเกมอยู่(ฮาเวสต์มูน) เคยคิดฆ่าตัวตาย(แต่ตาขาวไปหน่อย) ตอนนี้ต้องกินยาระงับประสาทอยู่
แต่จุดที่ต่างกันคือผมพยายามขวนขวายหาปัญหาของตัวแล้วพยายามดิ้นแก้ในทางที่ถูกต้อง
ก็อย่างว่า ถ้าเลือกได้ใครจะอยากมีชีวิตแหลกเหลวแบบนั้นกัน
PS. . สุนัขขี้แพ้มักเห่าดัง แต่มีเพียงสุนัขที่ตายแล้วเท่านั้นที่ไม่เห่า .
ผมตั้งใจอ่านกระทู้นี้เป็นพิเศษมากกว่าปกติ
ผมเคารพแบบสำรวของอาจารย์ท่านนี้ครับ ผมไม่รู้สึกห่วงพฤติกรรมเด็ก ๆ ตามแบบสำรวจบางด้านเท่าที่ควร คือเรื่องนี้ในความเป็นมนุษย์ของเด็กย่อมต้องมีด้านดีหลงเหลือและผมเชื่อต่อไปว่าความดีส่วนนั้นสังคมจะต้องได้รับการเจือจานอย่างแน่แท้--
บางเรื่องผมก็มีความเห็นว่ามันจะผิดตรงไหน คือท่านต้องเข้าใจไม่มีเด็กรุ่นไหนในประเทศไทยที่ไม่เคยเกเรยำเปเลย ผมไม่อยากจะไปมองว่าแบบสำรวจนี้ทำให้เด็กวัยรุ่นดูเลว แต่ถ้ามันถึงการก่ออาชญากรรม อันนี้มันก็ไม่ดี มันคือความเลวทรามที่ผมก็รับไม่ได้ในระดับหนึ่ง
แต่อย่างเด็ก ๆ ที่มันเดินเฉิดฉายไปมาอยุ่สยามบ้างอยู่เอ็มบีเคบ้าง นั่นไม่ใช่เด็กที่มันเกเรหรือมีความเสี่ยงทางอัตตวิสัย เด็กพวกนี้มันจะโกนหัว มันจะเป็นพั้งค์ เป็นฮิพฮอพ มันอยากจะจับนมผู้หญิงบ้าง อยากจะกอดกันดูดปากกันบ้าง มันก็เป็นเรื่องส่วนตัว ผู้ใหญ่จะไปยุ่งทำไม--
ตามแบบสำรวจก็บอกว่าวัยรุ่นชอบเที่ยวเตร่ ผมตั้งคำถามกลับไปว่าแล้วมันคือความผิดของใคร? โดยพื้นฐานแล้วพ่อแม่คือสิ่งแวดล้อมของลูกที่ดีที่สุด ลูกควรจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ต้องมีความเคารพยำเกรงต่อผู้ใหญ่ ต้องให้เกียรติท่านในระดับสุงสุด เมื่อมีปัญหาเราก็มานั่งคุยกันมานั่งแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดกัน
แต่มันจะต้องเริ่มจากพ่อแม่ ท่านต้องไม่ทำตัวเป็นศรัตรูหรือมีอคติในปัญหานั้น ท่านจะต้องคอยเกื้อกูลลูกในระดับหนึ่ง แต่ในสังคมบ้านเราเรื่องนี้ทำไม่ค่อยได้ พ่อแม่มันเป็นอย่างไร ลูกมันก็เป็นอย่างนั้น Like Parent Like Son ถ้าเราครอบครัวสร้างสถาวะเช่นนี้แล้วลูกมันก็ยังเกเร ท่านจงยอมรับเถอะครับว่าท่านเลว เลี้ยงลูกไม่ดี ไม่เป็น
เรื่องของครูก็เช่นเดียวกัน มันก็ไม่ได้ตีความหมายแค่คำว่าครู แค่ผู้รับจ้าง ไม่ใช่ Teacher ไม่ได้สอนด้วยวิญญาณของครู แต่มันต้องเป็นความหมายเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้วสมัยโสกราตีส ที่คอยประสิทธิ์ประสาทวิชา มีความรักเด็กและเมตตาสงสาร และที่สำคัญต้องไม่เอาเศษวิชามาค้าขายกำไรอย่างเกินควร--
ผมเข้าใจแบบสำรวจและอารมณ์นึกคิดของอาจารย์ แต่ผมไม่เห็นด้วยทั้งหมด ผมทราบครับว่าเป็นพฤติกรรมและบุกคลิกภาพที่ไม่พึงปราถนาเท่าที่ควรไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในยุคสมัยใด แต่ผมอยากจะให้เห็นว่าลักษณะทั้งหมดมิใช่ลักษณะของเด็กเพียงอย่างเดียว แต่ก็เป็นลักษณะอันโดดเด่นของผู้ใหญ่อีกหลายคน เพียงแต่ว่ายังไม่มีอาจารย์ท่านไหนไปศึกษามันอย่างจริงจัง--
วันนี้คำถามในใจผมดังขึ้นอย่างเป็นระลอกว่า ทำไมสภาพเช่นนี้จึงผุดโผล่ขึ้นในสังคมของเรา ท่ามกลางความพยายามที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญและทันสมัย?
ที่จริงผมว่า อยู่ที่เด็กเลือกมากกว่านะ เพราะถ้าจะโทษทีวี ช่อง MCOT เองก็มีสาระมากมายที่เหมาะกับเด็กอยู่ แต่เด็กเลือกที่จะดูช่อง 3 กับช่อง 7 มากกว่าเพราะมีละครตบจูบให้ดู
ส่วนอินเตอร์เน็ตตอนนี้เด็กเห็นเป็นแหล่งบันเทิงชั้นเยี่ยมไปแล้วล่ะครับ (บางทีผมก็มองมันเป็นอย่างนั้นนะ)
ผมว่า ช่วงเด็กเล็กไปจนถึงเด็กวัยรุ่นตอนปลายควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ พ่อแม่ควรสอนลูกมากกว่าดุด่าลูกในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมว่าพ่อแม่หลายคนสอนลูกโดยทำให้ลูกกลัว อันนี้ผมว่าผมว่าก็ไม่ควรอย่างยิ่งจริงจริง
เยาวชนไทยน่าห่วง เพราะเขาไม่ห่วงตัวเอง
PS. Knowledge + Conscience = Nonesuch
อนาคตประเทศไทย...
PS. มะเฟือง มะไฟ มะม่วง มะรุม มะละกอ มะดัน มะเดื่อ มะยม มะขาม มะนาว และ มะพร้าว
อ้าว พี่เคนธีรเดช งานเข้า 555+
อยากได้สถิติใหม่ เอาของปีนี้เลยมั้ย อยากรู้ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
พลอยเองก็โดนไปหลายข้อเหมือนกัน แต่ไม่บอกหรอกข้อไหน 55555+
PS. I'm just a stairway to the star... but no more, I'll become the shiny star by myself.
สังคมเลวร้ายจนแวร์ว่าจะไม่มีลูก
เพราะคงทนไม่ได้ถ้าจะต้องเห็นลูกตัวเอง...เป็นแบบนี้
PS. ฉันฝังร่างเธอไว้ใต้ต้นซากุระ ที่ซึ่งเราสองจะเป็นนิรันดร....[Mail:OldFasioned_Ladiiz@hotmail.com]
น่าห่วงจริงๆแหละ
เพื่อนข้าน้อย
โทรคุยกับใครไม่ทราบ(กิ๊ก? แฟน? เพื่อน?)
ทั้งวัน ทุกวัน ขณะเรียนยังคุย ไม่มีเกรงใจอ.อ่ะ
ผมเห็นก็สงสารอ.
อนาคตโลกเราน่าเป็นห่วงจริงๆ
PS. ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความตายเกิดขึ้นกับทุกคน ขอฝากนิยายหน่อยนะ http://my.dek-d.com/Am-Shadow/story/view.php?id=426056 นิยายที่รวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน ไม่เชื่อก็อ่านสิ
หึหึ ผิดพลาดคือบทเรียน
แต่ทางที่ดีอย่าผิดดีกว่า - -
PS. ผมมันหนูน้อย ร้าย~เดียงสา
เฮ้อ มันก็ต้องทำใจล่ะนะ...
แม่พิมพ์ดี แบบที่ได้มันก็ดี...
PS. ความทุกข์จึงเป็นกลางคืนอันยาวนาน... แล้วมันจะผ่านไป... (คืนอันเป้นนิรันดร์ - August Thanx)
ไม่ซิงแค่ 30% เองรึ น้อยกว่าที่คิด....
PS. -: วิทยาศาสตร์ คือมนตร์ดำที่ชั่วร้า่ยและน่ากลัวที่สุด :-
ครอบครัวคือรากฐานที่สำคัญที่สุด อย่างที่อริสโตเติ้ลท่านว่าไว้...
แต่ธาตุในร่างกายของแต่ละคนก็มีส่วนกำหนดพฤติกรรมเช่นกัน
ประกอบกับสื่อทั้งหลายและการกระทำที่ 'นิยม'
ก็สามารถหล่อหลอมคนๆหนึ่งให้เป็นไปตามส่วนที่รับสิ่งเหล่านั้น
บางทีการที่คนเรามีความแตกต่างกันไปนั่นแหละคือธรรมชาติ
นานาจิตตัง
PS. สายลม แสงแดด และ ช็อกโกแลตแสนอร่อย ขอเสกตัวข้าเองให้..........ขยันเรียนหน่อยสิโว๊ยย!!!
ถูกต้องครับท่าน เดี๋ยวนี้สังคมมันพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นตัวอย่างที่พบเห็นเป็นประจำ
พื้นฐานจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ กับสังคมรอบข้างด้วยครับ
ผมก็เคยโดนขู่กรรโชกทรัพย์มาหลายครั้งเมื่อก่อนน่ะ แต่บางส่วนก็อยู่ที่เด็ก ๆ ว่าจะเลือกอะไรให้กับตัวเอง จะมองอย่างไรให้ตัวเองนะครับ...
PS. YOU CAN NOT BREAK MY SOUL!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เดี๋ยวนี่รี่ต้องยอมรับว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี่น่ากลัวจริง ผู้ชายด้วย.. Y_Y
PS. ตกหลุมรัก ขึ้นไม่ไหว เธอใช่ไหมเป็นคนพลักฉัน อย่ามาทำหน้าอย่างนั้นนึกว่าฉันกลัวรึไง บอกตรงๆ เธอน่ะเธอ เห็นทุกทีแล้วมันกวนใจ เกิดอาการหัวใจหล่นหาย เก็บไปซะแล้วห้ามบอกใครว่า "ฉันชอบเธอ"
มันต้องให้ลำบากแบบประเทศอื่นๆก่อนสิน่ะ มันถึงจะยอมขวนขวาย
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 27 กันยายน 2551 / 06:55
PS. ตาหนูคอมเม้นจริงไม่มีตัดแปะ เพราะไม่มีอะไรต้องปกปิด แต่อยากให้เข้าใจว่ามันเป็นความลับ
ครอบครัวเป็นฐานหลักที่ดีที่สุด
PS. เด็กไทย งดใช้ภาษาไทยวิบัติ
อืม...- -
สิ่งแวดล้อมหล่อหลอมเด็ก
PS. "ถ้ามือคุณเจ็บ ผมจะเป็นมือให้คุณ ถ้าเท้าคุณเจ็บ ผมจะเป็นเท้าให้คุณ ผมสัญญา" ...!!! ทิ้งความกลัวซะ มองไปข้างหน้า รุดหน้าไป อย่าหยุดเด็ดขาด "หากถอยก็จะชราลง หากกลัวก็จะสิ้นชีพ" .
น่าห่วงจริงๆแหละ แต่ตัวผมเองก็โดนไปหลายข้ออยู่เหมือนกันแฮะ
งั้นห่วงตัวเองก่อนแล้วกัน 555
ดูไอ่โพลล์แบบนี้
มันยังดูน้อยไปเนอะ
ไม่รู้เอามาสำรวจกี่คน
แต่เคยได้ยินมาว่า
ปี2547 เด็กที่มีพัฒนาการทางการเรียนรู้ต่ำ (ไม่รวมความรู้รอบตัวนะ)
มีอยู่ประมาณ60กว่าๆเปอร์เซนต์
แต่ในปี2550 มีเด็กที่มีพัฒนาการทางการเรียนรู้ต่ำ (ไม่รวมความรู้รอบตัวนะ)
อยู่ประมาณ70กว่าๆเปอร์เซนต์
นี่ไม่ได้มั่วๆนะ
แต่มันเป็นความจริง
(น่าสงสารเด็กไทย ที่จะเป็นอนาคตของชาติยังไงไม่รู้แหละ)
หดหู่มากๆเลย
น่าจะมีอะไรๆให้เด็กทำมากกว่าอยู่ในคอมฯ
ที่มีอะไรก็ไม่รู้มาหลอกเด็ก
แต่ก็คงทำไม่ได้ (เหมือนๆเราเลย)
เฮ้อ!!!!!!! น่าสงสาร8
เห็นด้วย เด็กพวกนี้ต้องทำให้พ่อแม่เสียใจ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?