Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

สถิติของเยาวชนไทย...ใครว่าไม่น่าห่วง

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
จากมติชน

เยาวชนไทย ใครว่าไม่น่าห่วง

คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ

โดย มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่



คงต้องยอมรับกันว่าข่าวที่เกี่ยวกับเยาวชนไทยบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้โดยเฉพาะข่าวเกมส์ที่ชวนเชิญให้เด็กเป็นฆาตกร เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมิใช่น้อย

ลองมาดูสถิติของโครงการไชลด์วอทช์ (Child Watch) สภาวการณ์เด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นข้อมูลจากการสำรวจ
กลุ่มตัวอย่างในจังหวัดที่มีสถาบันอุดมศึกษา หรือวิทยาเขตของสถาบันอุดมศึกษาจังหวัดละ 400 ตัวอย่าง รวมกลุ่มตัวอย่างประมาณ 25,000 คน ทำการสำรวจในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม พ.ศ.2549 ได้ข้อมูลดังนี้

(1) มิติการใช้ชีวิต

- 47% ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่

- 23% ทำงานหารายได้พิเศษ

- 62% เล่นกีฬา/ออกกำลังกายเป็นประจำเฉลี่ยวันละ 75 นาที

- 47% อยู่บ้าน/หอเพื่อนเป็นประจำ เฉลี่ยวันละ 113 นาที

- 49% กินเหล้า

- 23% สูบบุหรี่

- 31% เที่ยวกลางคืนวันเสาร์-อาทิตย์

- 17% เล่นพนันบอล

- 27% เล่นหวยบนดิน

- 30% ยอมรับว่าเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว

- 20% อยากทำศัลยกรรมปรับปรุงภาพลักษณ์

(2) มิติสื่อการเรียนรู้

- 91% มีโทรศัพท์มือถือ

- 23% ส่ง SMS ทุกวัน

- 16% โหลดภาพและเพลงทุกวัน

- 34% เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์/เกมส์ออนไลน์เป็นประจำ


- 56% เล่นอินเตอร์เน็ตทุกวันเฉลี่ยวันละ 105 นาที

- 39% ดูวีซีดีโป๊

- 27% ดูเว็บโป๊

- 30% ดูการ์ตูนโป๊

- 35% โดดเรียนอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์


- 9% เรียนพิเศษ เสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคอร์สละ 2,000 บาท

- พูดโทรศัพท์ 74 นาทีต่อวัน ดูทีวี 154 นาทีต่อวัน


- อ่านหนังสือ 81 นาทีต่อวัน ทำการบ้าน/รายงาน 86 นาทีต่อวัน

(3) มิติปัญหา/ ภาวะเสี่ยง

- 18% เคยพบเห็นการเสพติดในสถานศึกษาในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

- 6% เคยถูกขู่กรรโชกทรัพย์

- 9% เคยถูกทำร้ายร่างกายในสถานศึกษาในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

- 2% ออกเที่ยวกลางคืน

- 3% ย้ายสถานศึกษา


นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า

- เยาวชนอายุต่ำกว่า 25 ปี ก่อคดีอาชญากรรม 32,000 คดีต่อปี

- วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปี มาทำคลอดปีละ 70,000 คน

- เยาวชนอายุต่ำกว่า 25 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ปีละ 7,000 คน

- เยาวชนอายุ 19-25 ปี พยายามฆ่าตัวตายปีละ 4,000 คน


ใครมีลูกหลานที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นเห็นสถิติเหล่านี้ น่าจะหายใจไม่ทั่วท้อง
เพราะเยาวชนในวัยเรียนอ่านหนังสือแค่วันละ 81 นาที น้อยกว่าดูทีวี และเกือบๆ เท่ากับพูดโทรศัพท์ ดำรงชีวิตท่ามกลางความเสี่ยงด้านชีวิต ทรัพย์สิน และอบายมุข นี่ยังไม่นับความสัมฤทธิผลทางการศึกษาซึ่งนับวันจะสาละวันเตี้ยลงๆ

ปัญหาเยาวชนไทยที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นเพราะพ่อแม่มัวแต่ทำมาหากินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ลูกๆ ก็เติบโตแบบพ่อแม่ไม่ได้สั่งสอน แต่หวังจะให้โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยดูแลแทน มิหนำซ้ำยังเลี้ยงแบบลูกบังเกิดเกล้า

เพื่อนอาจารย์ของผู้เขียนเคยเล่าให้ฟังว่า
พ่อแม่บางคนถึงกับฝากอาจารย์ที่ปรึกษาในมหาวิทยาลัยให้ใช้โทรศัพท์มือถือโทร.ปลุกลูกทุกเช้าเพราะอยู่บ้านเคยทำอย่างนั้น แล้วอย่างนี้เด็กไทยโตไปจะกลายเป็นเด็กใจสู้ได้อย่างไร

เมื่อผู้เขียนไปประเทศจีน และเวียดนาม ผู้เขียนเห็นว่า
เยาวชนในประเทศเหล่านี้ดูจะไขว่คว้าหาช่องทางที่จะพัฒนาตนเองอย่างยิ่งยวด ที่ริมทะเลสาบคุนหมิงตอนเย็นๆ จะมีเด็กนักศึกษามหาวิทยาลัยมารีๆ รอๆ คอยนักท่องเที่ยวเพื่อหาโอกาสสนทนาภาษาอังกฤษ ตอนเช้ามืดจะมีเด็กตื่นแต่เช้ามาเดินแถวทะเลสาบ เพื่ออ่านออกเสียงภาษาอังกฤษดังๆ เพราะอยู่บ้านจะรบกวนคนอื่น

เด็กพวกนี้รู้ดีว่า การพัฒนาตัวเองเท่านั้นที่จะพาไปสู่ความสำเร็จได้

กลับมาพูดถึงเด็กไทยกันดีกว่า ประเด็นที่สำคัญเวลานี้ก็คือ เยาวชนมีช่องทางได้รับข้อมูลหลากหลายมาก

โรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ใช่ช่องทางที่เด็กรับข้อมูลและการศึกษาเพียงช่องทางเดียวอีกแล้ว

ในปัจจุบันอินเตอร์เน็ตถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เราสามารถเข้าไปค้นคว้าได้แทบจะทุกเรื่อง ยังสะดวกและรวดเร็วอีกด้วย

แต่ในขณะนี้ นักเรียนนักศึกษาของเราได้รับประโยชน์จากกูเกิ้ล (Google) น้อยมาก การเข้าอินเตอร์เน็ตก็เพื่อไปคุย (แช็ต) กันมากกว่า ปัญหาหลักอย่างหนึ่งสำหรับการเข้าไปค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตของเด็กไทยก็คือด้านภาษา หากว่าเด็กไทยใช้ภาษาอังกฤษได้ดีก็จะสามารถรับข้อมูลจากระบบของกูเกิ้ล หรือระบบข้อมูลต่างๆ ได้อีกมาก ที่ร้ายที่สุดคือนอกจากเกมส์นรกดังที่เป็นข่าวแล้ว ยังมีเว็บลามก ซึ่งเด็กๆ สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการชิงสุกก่อนห่ามได้ ซึ่งเว็บเหล่านี้น่ากลัวกว่าทีวีเนื่องจากไม่มีการเซ็นเซอร์แต่อย่างใด

สรุปว่า เยาวชนของไทยได้รับข้อมูลจากทีวีและอินเตอร์เน็ตมากกว่าจากสถาบันการศึกษาและจากการอ่านหนังสือเสียอีก ดังนั้น เราอาจจะต้องหันมาพิจารณาการจัดการการเรียนการสอนใหม่ หรือต้องเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนไปเลย

เมื่อทีวีเป็นช่องทางหลักที่เยาวชนได้รับข้อมูล แล้วเราจะร่วมกันผลักดันอย่างไรให้ทีวีเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้การศึกษาแก่เยาวชนไทยมากขึ้น เพราะทีวีไม่ใช่แค่เครื่องมือสื่อบันเทิง แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เยาวชนเติบโตอย่างมีคุณค่า

ประการต่อไป ทำอย่างไรทีวีไทยจะไม่ซ้ำเติมสถานการณ์ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นให้เลวร้ายไปกว่าเดิม หากจะเปรียบเยาวชนเป็นน้ำหวาน ทุกวันนี้สื่อทีวีไทยเสมือนกับจะเติมยาพิษลงไปในน้ำหวานวันละเล็กละน้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นจากผลการสำรวจของศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน ม.อัสสัมชัญ ที่พบว่า
เด็กเริ่มเห็นว่าการข่มขืนผู้อื่นเป็นเรื่องธรรมดาเพราะสังคมยอมรับได้ และอยากเป็นพระเอกเหมือนเคน ธีรเดช ที่ได้ปล้ำนางเอก (ซึ่งทั้งคู่เป็นทูตยูนิเซฟ !!!) เป็นต้น

แม้ทีวีสาธารณะจะเริ่มเข้ามามีบทบาทแล้ว แต่ก็ดูเหมือนยังขาดการจัดกลุ่มลูกค้า และการส่งมอบรายการที่เหมาะสมไปสู่ลูกค้าแต่ละกลุ่ม แต่ละเวลา และยังไม่ได้ใช้โอกาสในการบูรณาการเข้าไปกับการเรียนการสอน

อยากเชิญชวนให้มหาวิทยาลัย และบริษัทเอกชนร่วมกันจัดทำรายการทีวีที่มีสาระน่ารู้และสนุกสนาน รวมถึงอินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษาในเชิงรุกมากขึ้น

อยากให้พ่อแม่ให้เวลากับลูกตัวเองมากขึ้น เวลาน้อยไม่เป็นไร ถ้าเป็นเวลาที่มีคุณภาพ (Quality time) คือ เป็นเวลาของความรักความอบอุ่น สามารถปรึกษาหารือปัญหาต่างๆ ได้

อยากเห็นรัฐบาลนี้มีผลงานบ้าง เริ่มที่เยาวชนไทยเลยดีไหม?

แสดงความคิดเห็น

>

21 ความคิดเห็น

hakumen 25 ก.ย. 51 เวลา 17:07 น. 2

ผมว่านิสัยรักสบายของคนไทยก็มีส่วนนะ อยากสบายเลยไม่ขวนขวาย อยากใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวแต่ไม่รู้จักรับผิดชอบ

ประกอบกับสังคมแบบวัตถุนิยมทำให้เด็กฟุ้งเฟ้อเกินตัวจนเป็นปัญหาภายหลัง

ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ไม่เคยเห็นปัญหาจริงๆที่วัยรุ่นในปัจจุบันประสบอยู่

ทางออกคงต้องเน้นย้ำสถาบันครอบครัวและพยายามลดความเชื่อทางวัตถุนิยมลง(จะเป็นไปได้ไหมเนี่ย)

แต่ปัญหาใหญ่คือความรักสนุกรักสบายที่เกินพอของเด็กไทยนี่แหละที่จะกลับมาทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นภายหลัง

พูดเหมือนกับผมไม่ใช่คนไทยเลยเนอะ

ผมก็เคยเป็นเหมือนคุณๆนั่นแหละ เคยติดแชท ตอนนี้ยังติดเกมอยู่(ฮาเวสต์มูน) เคยคิดฆ่าตัวตาย(แต่ตาขาวไปหน่อย) ตอนนี้ต้องกินยาระงับประสาทอยู่

แต่จุดที่ต่างกันคือผมพยายามขวนขวายหาปัญหาของตัวแล้วพยายามดิ้นแก้ในทางที่ถูกต้อง

ก็อย่างว่า ถ้าเลือกได้ใครจะอยากมีชีวิตแหลกเหลวแบบนั้นกัน


PS.  . สุนัขขี้แพ้มักเห่าดัง แต่มีเพียงสุนัขที่ตายแล้วเท่านั้นที่ไม่เห่า .
0
เดิมคือผู้แสวงหา 25 ก.ย. 51 เวลา 17:19 น. 3

ผมตั้งใจอ่านกระทู้นี้เป็นพิเศษมากกว่าปกติ

ผมเคารพแบบสำรวของอาจารย์ท่านนี้ครับ ผมไม่รู้สึกห่วงพฤติกรรมเด็ก ๆ ตามแบบสำรวจบางด้านเท่าที่ควร คือเรื่องนี้ในความเป็นมนุษย์ของเด็กย่อมต้องมีด้านดีหลงเหลือและผมเชื่อต่อไปว่าความดีส่วนนั้นสังคมจะต้องได้รับการเจือจานอย่างแน่แท้--

บางเรื่องผมก็มีความเห็นว่ามันจะผิดตรงไหน คือท่านต้องเข้าใจไม่มีเด็กรุ่นไหนในประเทศไทยที่ไม่เคยเกเรยำเปเลย ผมไม่อยากจะไปมองว่าแบบสำรวจนี้ทำให้เด็กวัยรุ่นดูเลว แต่ถ้ามันถึงการก่ออาชญากรรม อันนี้มันก็ไม่ดี มันคือความเลวทรามที่ผมก็รับไม่ได้ในระดับหนึ่ง

แต่อย่างเด็ก ๆ ที่มันเดินเฉิดฉายไปมาอยุ่สยามบ้างอยู่เอ็มบีเคบ้าง นั่นไม่ใช่เด็กที่มันเกเรหรือมีความเสี่ยงทางอัตตวิสัย เด็กพวกนี้มันจะโกนหัว มันจะเป็นพั้งค์ เป็นฮิพฮอพ มันอยากจะจับนมผู้หญิงบ้าง อยากจะกอดกันดูดปากกันบ้าง มันก็เป็นเรื่องส่วนตัว ผู้ใหญ่จะไปยุ่งทำไม--

ตามแบบสำรวจก็บอกว่าวัยรุ่นชอบเที่ยวเตร่ ผมตั้งคำถามกลับไปว่าแล้วมันคือความผิดของใคร? โดยพื้นฐานแล้วพ่อแม่คือสิ่งแวดล้อมของลูกที่ดีที่สุด ลูกควรจะต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ต้องมีความเคารพยำเกรงต่อผู้ใหญ่ ต้องให้เกียรติท่านในระดับสุงสุด เมื่อมีปัญหาเราก็มานั่งคุยกันมานั่งแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดกัน 

แต่มันจะต้องเริ่มจากพ่อแม่ ท่านต้องไม่ทำตัวเป็นศรัตรูหรือมีอคติในปัญหานั้น ท่านจะต้องคอยเกื้อกูลลูกในระดับหนึ่ง แต่ในสังคมบ้านเราเรื่องนี้ทำไม่ค่อยได้ พ่อแม่มันเป็นอย่างไร ลูกมันก็เป็นอย่างนั้น Like Parent Like Son ถ้าเราครอบครัวสร้างสถาวะเช่นนี้แล้วลูกมันก็ยังเกเร ท่านจงยอมรับเถอะครับว่าท่านเลว เลี้ยงลูกไม่ดี ไม่เป็น

เรื่องของครูก็เช่นเดียวกัน มันก็ไม่ได้ตีความหมายแค่คำว่าครู แค่ผู้รับจ้าง ไม่ใช่ Teacher ไม่ได้สอนด้วยวิญญาณของครู แต่มันต้องเป็นความหมายเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้วสมัยโสกราตีส ที่คอยประสิทธิ์ประสาทวิชา มีความรักเด็กและเมตตาสงสาร และที่สำคัญต้องไม่เอาเศษวิชามาค้าขายกำไรอย่างเกินควร--

ผมเข้าใจแบบสำรวจและอารมณ์นึกคิดของอาจารย์ แต่ผมไม่เห็นด้วยทั้งหมด ผมทราบครับว่าเป็นพฤติกรรมและบุกคลิกภาพที่ไม่พึงปราถนาเท่าที่ควรไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในยุคสมัยใด แต่ผมอยากจะให้เห็นว่าลักษณะทั้งหมดมิใช่ลักษณะของเด็กเพียงอย่างเดียว แต่ก็เป็นลักษณะอันโดดเด่นของผู้ใหญ่อีกหลายคน เพียงแต่ว่ายังไม่มีอาจารย์ท่านไหนไปศึกษามันอย่างจริงจัง--

วันนี้คำถามในใจผมดังขึ้นอย่างเป็นระลอกว่า ทำไมสภาพเช่นนี้จึงผุดโผล่ขึ้นในสังคมของเรา ท่ามกลางความพยายามที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญและทันสมัย?

0
Swen13 25 ก.ย. 51 เวลา 17:51 น. 4

ที่จริงผมว่า อยู่ที่เด็กเลือกมากกว่านะ  เพราะถ้าจะโทษทีวี  ช่อง MCOT เองก็มีสาระมากมายที่เหมาะกับเด็กอยู่  แต่เด็กเลือกที่จะดูช่อง 3 กับช่อง 7 มากกว่าเพราะมีละครตบจูบให้ดู

ส่วนอินเตอร์เน็ตตอนนี้เด็กเห็นเป็นแหล่งบันเทิงชั้นเยี่ยมไปแล้วล่ะครับ (บางทีผมก็มองมันเป็นอย่างนั้นนะ)

ผมว่า ช่วงเด็กเล็กไปจนถึงเด็กวัยรุ่นตอนปลายควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ  พ่อแม่ควรสอนลูกมากกว่าดุด่าลูกในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ผมว่าพ่อแม่หลายคนสอนลูกโดยทำให้ลูกกลัว  อันนี้ผมว่าผมว่าก็ไม่ควรอย่างยิ่งจริงจริง

เยาวชนไทยน่าห่วง เพราะเขาไม่ห่วงตัวเอง 


PS.  Knowledge + Conscience = Nonesuch
0
.ชมพู. 25 ก.ย. 51 เวลา 18:12 น. 5

อนาคตประเทศไทย...


PS.  มะเฟือง มะไฟ มะม่วง มะรุม มะละกอ มะดัน มะเดื่อ มะยม มะขาม มะนาว และ มะพร้าว
0
ploy CH. 25 ก.ย. 51 เวลา 18:27 น. 6

อ้าว พี่เคนธีรเดช งานเข้า 555+

อยากได้สถิติใหม่ เอาของปีนี้เลยมั้ย อยากรู้ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง

พลอยเองก็โดนไปหลายข้อเหมือนกัน แต่ไม่บอกหรอกข้อไหน 55555+


PS.  I'm just a stairway to the star... but no more, I'll become the shiny star by myself.
0
Earende| G!|m!rath 25 ก.ย. 51 เวลา 18:32 น. 7

สังคมเลวร้ายจนแวร์ว่าจะไม่มีลูก

เพราะคงทนไม่ได้ถ้าจะต้องเห็นลูกตัวเอง...เป็นแบบนี้
PS.  ฉันฝังร่างเธอไว้ใต้ต้นซากุระ ที่ซึ่งเราสองจะเป็นนิรันดร....[Mail:OldFasioned_Ladiiz@hotmail.com]
0
SาชาShadow 25 ก.ย. 51 เวลา 18:33 น. 8

น่าห่วงจริงๆแหละ

เพื่อนข้าน้อย
โทรคุยกับใครไม่ทราบ(กิ๊ก? แฟน? เพื่อน?)
ทั้งวัน ทุกวัน ขณะเรียนยังคุย ไม่มีเกรงใจอ.อ่ะ

ผมเห็นก็สงสารอ.

อนาคตโลกเราน่าเป็นห่วงจริงๆ


PS.  ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความตายเกิดขึ้นกับทุกคน ขอฝากนิยายหน่อยนะ http://my.dek-d.com/Am-Shadow/story/view.php?id=426056 นิยายที่รวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน ไม่เชื่อก็อ่านสิ
0
Enjoy Eating 25 ก.ย. 51 เวลา 21:36 น. 9

หึหึ ผิดพลาดคือบทเรียน
แต่ทางที่ดีอย่าผิดดีกว่า - -


PS.   ผมมันหนูน้อย ร้าย~เดียงสา
0
เดี๋ยวนะ... ขอนึกก่อน 25 ก.ย. 51 เวลา 22:06 น. 10

เฮ้อ มันก็ต้องทำใจล่ะนะ...
แม่พิมพ์ดี แบบที่ได้มันก็ดี...


PS.  ความทุกข์จึงเป็นกลางคืนอันยาวนาน... แล้วมันจะผ่านไป... (คืนอันเป้นนิรันดร์ - August Thanx)
0
bob overlord 25 ก.ย. 51 เวลา 22:18 น. 11

ไม่ซิงแค่ 30% เองรึ น้อยกว่าที่คิด....


PS.  -: วิทยาศาสตร์ คือมนตร์ดำที่ชั่วร้า่ยและน่ากลัวที่สุด :-
0
[Pe]dela 26 ก.ย. 51 เวลา 00:34 น. 12

ครอบครัวคือรากฐานที่สำคัญที่สุด อย่างที่อริสโตเติ้ลท่านว่าไว้...

แต่ธาตุในร่างกายของแต่ละคนก็มีส่วนกำหนดพฤติกรรมเช่นกัน

ประกอบกับสื่อทั้งหลายและการกระทำที่ 'นิยม' 

ก็สามารถหล่อหลอมคนๆหนึ่งให้เป็นไปตามส่วนที่รับสิ่งเหล่านั้น

บางทีการที่คนเรามีความแตกต่างกันไปนั่นแหละคือธรรมชาติ

นานาจิตตัง


PS.  สายลม แสงแดด และ ช็อกโกแลตแสนอร่อย ขอเสกตัวข้าเองให้..........ขยันเรียนหน่อยสิโว๊ยย!!!
0
Derenth 26 ก.ย. 51 เวลา 12:16 น. 13

ถูกต้องครับท่าน เดี๋ยวนี้สังคมมันพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นตัวอย่างที่พบเห็นเป็นประจำ 

พื้นฐานจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ กับสังคมรอบข้างด้วยครับ


ผมก็เคยโดนขู่กรรโชกทรัพย์มาหลายครั้งเมื่อก่อนน่ะ แต่บางส่วนก็อยู่ที่เด็ก ๆ ว่าจะเลือกอะไรให้กับตัวเอง จะมองอย่างไรให้ตัวเองนะครับ...


PS.  YOU CAN NOT BREAK MY SOUL!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
0
แมร์รี่เจน 26 ก.ย. 51 เวลา 19:46 น. 14

เดี๋ยวนี่รี่ต้องยอมรับว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี่น่ากลัวจริง ผู้ชายด้วย.. Y_Y
PS.  ตกหลุมรัก ขึ้นไม่ไหว เธอใช่ไหมเป็นคนพลักฉัน อย่ามาทำหน้าอย่างนั้นนึกว่าฉันกลัวรึไง บอกตรงๆ เธอน่ะเธอ เห็นทุกทีแล้วมันกวนใจ เกิดอาการหัวใจหล่นหาย เก็บไปซะแล้วห้ามบอกใครว่า "ฉันชอบเธอ"
0
Tanu~Naja 27 ก.ย. 51 เวลา 06:48 น. 15

มันต้องให้ลำบากแบบประเทศอื่นๆก่อนสิน่ะ มันถึงจะยอมขวนขวาย

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 27 กันยายน 2551 / 06:55


PS.  ตาหนูคอมเม้นจริงไม่มีตัดแปะ เพราะไม่มีอะไรต้องปกปิด แต่อยากให้เข้าใจว่ามันเป็นความลับ
0
พอสศรีมณีเด้งดึ๋ง 27 ก.ย. 51 เวลา 20:05 น. 17

อืม...- -

สิ่งแวดล้อมหล่อหลอมเด็ก


PS.  "ถ้ามือคุณเจ็บ ผมจะเป็นมือให้คุณ ถ้าเท้าคุณเจ็บ ผมจะเป็นเท้าให้คุณ ผมสัญญา" ...!!! ทิ้งความกลัวซะ มองไปข้างหน้า รุดหน้าไป อย่าหยุดเด็ดขาด "หากถอยก็จะชราลง หากกลัวก็จะสิ้นชีพ" .
0
raisaravagu 27 ก.ย. 51 เวลา 23:59 น. 18

น่าห่วงจริงๆแหละ  แต่ตัวผมเองก็โดนไปหลายข้ออยู่เหมือนกันแฮะ

งั้นห่วงตัวเองก่อนแล้วกัน  555

0
โนเนม 23 มี.ค. 52 เวลา 19:17 น. 19

ดูไอ่โพลล์แบบนี้

มันยังดูน้อยไปเนอะ

ไม่รู้เอามาสำรวจกี่คน


แต่เคยได้ยินมาว่า
ปี2547 เด็กที่มีพัฒนาการทางการเรียนรู้ต่ำ (ไม่รวมความรู้รอบตัวนะ)

มีอยู่ประมาณ60กว่าๆเปอร์เซนต์


แต่ในปี2550 มีเด็กที่มีพัฒนาการทางการเรียนรู้ต่ำ (ไม่รวมความรู้รอบตัวนะ)


อยู่ประมาณ70กว่าๆเปอร์เซนต์



นี่ไม่ได้มั่วๆนะ



แต่มันเป็นความจริง



(น่าสงสารเด็กไทย ที่จะเป็นอนาคตของชาติยังไงไม่รู้แหละ)


หดหู่มากๆเลย


น่าจะมีอะไรๆให้เด็กทำมากกว่าอยู่ในคอมฯ


ที่มีอะไรก็ไม่รู้มาหลอกเด็ก


แต่ก็คงทำไม่ได้ (เหมือนๆเราเลย)


เฮ้อ!!!!!!! น่าสงสาร8

0