Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ให้สารอาหารกับผิวหน้าและร่างกาย เพื่อคืนความอ่อนเยาว์

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ให้สารอาหารกับผิวหน้าและร่างกาย เพื่อคืนความอ่อนเยาว์

ริ้วรอยบนผิวหนังของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ รวมถึงลักษณะทางพันธุกรรมด้วย การผลิต stem cell ที่ไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมและทดแทนของเนื้อเยื่อ การถูกทำลายด้วยปฎิกิริยาทางเคมีและการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี แต่การรับประทานอาหารที่เป็นผลไม้มากๆ ผัก และสารอาหารอื่นๆ ที่มีคุณค่าทางอาหาร และรับประทานอาหารเสริม จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นการบำรุงผิวเราไปด้วยในตัว ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปผิวก็ยังคงเนียนเรียบและไม่มีริ้วรอย

ในขณะที่อายุมากขึ้น สารต่างๆ ในร่างกาย เช่น DHEA และ Alpha Lipoic Acid ก็จะลดลงอย่างต่อเนื่องและเห็นได้ชัด ผลที่ได้ก็คือ ความสมดุลที่ช่วยให้ร่างกายอ่อนเยาว์ก็จะลดลง และเร่งให้แก่เร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงอาหารการกินและการรับประทานอาหารเสริมนั้นก็เพื่อคงความสมดุลให้กับร่างกายที่เคยสร้างความอ่อนเยาว์ และความมีสุขภาพดีให้คงอยู่ต่อไป กินอะไรก็ได้อย่างนั้น และรวมถึงผิวพรรณของเราด้วย

การรับประทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม และเพิ่มคุณค่าทางอาหารด้วยอาหารเสริมนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราในหลายด้าน ซึ่งรวมถึงการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อป้องกันและคงสถานะต่างๆ ทางชีวเคมีอันจะค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น อาหารเสริมที่มีคุณภาพนั้นยังช่วยทำให้ผิวหนังและเส้นผมดีขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น Methylsulfonylmethane (MSM) นั้นได้มีการใช้กันมานานแล้วในการเร่งการเจริญเติบโตของขนม้า และวิตามินซีก็จำเป็นต่อการหดตัวของคอลลาเจนและการทำให้ผิวกระชับ

50,000 ปีของการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับอาหารการกิน

ถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสารอาหาร แต่ก็ยังคงมีการโต้แย้งกันมากมาย ว่าอาหารใดที่เป็นอาหารที่เหมาะสมกับร่างกายมากที่สุด
กายวิภาคของร่างกายมนุษย์นั้นทำให้ทราบว่า พวกเราถูกออกแบบแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น - - สัตว์ประเภทกินพืช เช่นวัวควาย และม้านั้นจะมีลำไส้ที่ใหญ่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อการดึงพลังงานที่ได้จากต้นหญ้าและใบไม้มาใช้ ในขณะที่สัตว์กินเนื้อ เช่นสิงโต หรือหมาป่า จะมีลำไส้ที่สั้น เพื่อดึงสารอาหารที่ได้จากเนื้อสัตว์ที่ย่อยแล้วมาใช้ แต่มนุษย์นั้นมีลำไส้ที่ยาว และเล็กกว่าพวกสัตว์กินพืช จึงสามารถย่อยได้ทั้งพืชผักและเนื้อสัตว์

แหล่งที่มาของสารอาหารสำหรับมนุษย์นั้นแปรผันไปตามระยะเวลา มนุษย์นั้นสืบเชื้อสายมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งกินพืชเป็นอาหาร โดยใช้ชีวิตด้วยการรับประทานอาหารที่มีพืชเป็นแหล่งที่มา (97%), โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้, ผัก, ถั่ว และรากไม้ จากนั้นประมาณเมื่อ 50,000 ปีที่ผ่านมานี้ ก็เริ่มมีการพัฒนาความสามารถในการล่าสัตว์ และตกปลา ทันใดนั้นเองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอาหารการกินของมนุษย์เป็นต้นมา ซึ่งเป็นอาหารที่มีโปรตีนและไขมันสูง การเปลี่ยนแปลงลำดับต่อมานั้นเกิดเมื่อประมาณ 10,000 ปีมานี้ เมื่อชาวนาผู้เป็นนักล่าได้เริ่มปลูกเมล็ดข้าวขึ้น จึงได้อาหารชนิดใหม่ที่เกิดจากเมล็ดข้าว รวมถึงเนื้อสัตว์ที่มีแคลอรี่สูงด้วย แต่เลิกกินอาหารที่ได้จากพืชซึ่งเป็นอาหารหลักก่อนหน้านั้น

การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อราว 400 ปีที่ผ่านมา เมื่อการบริโภคน้ำตาลนั้นมากขึ้น จากประมาณ 2 ปอนด์ต่อปีในช่วงยุคหิน เป็นประมาณ 130 ปอนด์ต่อปี (ข้อมูลจากสหรัฐอเมริกา) นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์เพิ่มเข้ามาด้วย การบริโภคเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ก็เพิ่มขึ้นเป็น 10-20 เท่า

อาหารที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้หลายอย่างถูกปรับเปลี่ยนไปจากรูปแบบเดิมซึ่งเป็นอาหารที่ได้จากธรรมชาติ อาหารชนิดหนึ่งที่มักถูกกระบวนการทำอาหารทำลายก็คือ ไขมันแปรรูป ซึ่งเป็นไขมันที่ถูกทำให้แข็งตัวด้วยเคมีไฮโดรเจน ที่ทำให้น้ำมันเหลวจากพืชกลายเป็นไขมันแข็ง เช่น มาการีน - - ที่พบได้บ่อยได้คือ มันฝรั่งทอด, โดนัท, คุกกี้, ขนมอบ, แคร็กเกอร์ และอาหารอีกหลายชนิด ไขมันแปรรูปนั้นทำให้อัตราการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจ, เบาหวาน, โรคอ้วน, ต้อกระจก, ภาวะข้อต่ออักเสบ และโรคมะเร็ง
ปริมาณและประเภทของไขมันที่มนุษย์รับประทานเข้าไปได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในกลุ่มของกรดไขมันที่มีประโยชน์ (EFAs) หรือกรดไขมันที่จำเป็นต่อความต้องการตามปกติในการเจริญเติบโตของมนุษย์ และพัฒนาการของมนุษย์ที่จะได้จากอาหารนั้น มีอยู่สองกลุ่มที่จะช่วยเป็นวัตถุดิบในการผลิตฮอร์โมนหลายๆตัวในร่างกาย และโมเลกุลอื่นๆ ที่ใช้ในการควบคุมความสมดุลของร่างกาย คือ โอเมก้า-3 (มีอยู่ในน้ำมันปลา) และโอเมก้า-6 (พบในน้ำมันพืช) มนุษย์ในยุคก่อนนี้บริโภคอาหารที่ได้ไขมันทั้งสองกลุ่มนี้ในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน ปัจจุบันชาวอเมริการับประทานอาหารที่มีโอเมก้า-6 มากกว่าโอเมก้า-3 ถึง 14 เท่า ความไม่สมดุลนี้ให้ผลในทางลบ อันจะส่งผลกระทบต่อการผลิตโมเลกุลต่างๆ และทำให้มีแนวโน้มเกิดการอักเสบ โรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจ

อาหารที่อยู่ในยุคสมัยนี้ก่อให้เกิดผลข้างเคียงในทางลบขึ้น ฟันผุกร่อนในยุคก่อนหน้านี้นั้นมีน้อยมาก ก่อนที่น้ำตาลจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ และนักประวัติศาสตร์การแพทย์ยืนกรานว่า โรคหัวใจนั้นเพิ่งเริ่มมีเมื่อช่วงหลังจากปี 1850 โดยประมาณ การแพทย์สมัยเก่าได้บันทึกไว้จากประเทศจีน, ยุโรป และตะวันออกกลาง ย้อนกลับไปเมื่อ 2,500 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการบอกเล่าถึงลักษณะอาการของโรคหัวใจ ทั้งๆที่มีการเขียนเล่าถึงโรคอื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

อาหารการกินที่เปลี่ยนแปลงจากยุคหิน

อาหารที่มีการเปลี่ยนแปลง

 

ยุคหิน

ชาวอเมริกา ณ ปัจจุบัน

ผลของการเปลี่ยนแปลง

น้ำตาล

2 ปอนด์ / ปี

130 ปอนด์ / ปี

โรคเบาหวาน, ฟันผุ

กรดไขมันที่เป็นประโยชน์

โอเมก้า-6 เทียบเท่ากับ โอเมก้า-3

โอเมก้า-6 มากกว่า โอเมก้า-3 ถึง 14 เท่า

มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง, เลือดจับตัวเป็นลิ่ม, โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ความเครียดหรือหดหู่

ไขมันแปรรูป

ปริมาณน้อยมาก

รับประทานอาหารที่ผ่านกรรมวิธีมากไป

เยื่อหุ้มเซลล์ถูกทำลาย, โรคเกี่ยวกับมะเร็งและโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน

แร่ธาตุ

มีปริมาณสูงในเขตภูเขา ทำให้ชีวิตยืนยาว

มีปริมาณต่ำ จากอาหารผ่านกรรมวิธี

โรคเกี่ยวกับหัวใจ, มะเร็ง และข้อต่ออักเสบ

เนื้อสัตว์

สัตว์ที่ถูกล่าจะมีไขมันต่ำ: ไขมัน 3%

สัตว์เลี้ยงในฟาร์มจะมีระดับไขมันสูง

โรคหัวใจ, โรคเบาหวาน, โรคอ้วน

ไฟเบอร์ที่ย่อยได้ง่าย

อาหารที่มีไฟเบอร์จากพืชผักสูง

อาหารมีไฟเบอร์ต่ำ

มีปัญหาเกี่ยวกับระบบลำไส้

ยาธรรมชาติ : ผักและผลไม้

ร่างกายของมนุษย์เราต้องการสารอาหารที่จำเป็นประมาณ 40 ชนิด และเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ แต่จะได้รับสารอาหารดังกล่าวจากพืช อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูปที่มีส่วนประกอบของผลไม้และผักมากๆนั้น จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพื่อการเจริญเติบโต และเพื่อให้ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์ อาหารสำหรับมนุษย์ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมานั้น การรับประทานอาหารประเภทพืชซึ่งเป็นอาหารที่ให้แคลอรี่ต่ำได้มีการลดปริมาณลงอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเรานั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้เป็นหลัก เช่น กะหล่ำปลี, แอ๊ปเปิ้ล, เบอร์รี่ เป็นต้น

ผลไม้และผักที่มีขายทั่วไปในละแวกที่อยู่อาศัยนั้น ให้ประโยชน์มากมายกว่าการใช้ยาในแง่ของการป้องกันเสียอีก ผักและผลไม้ที่ไม่ผ่านการแปรรูปนั้น มีปริมาณของสารอาหารต่างๆ มากกว่า 600 ชนิด ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์สำหรับสุขภาพ รวมถึงสาร  terpenes, organosulfides, isothiocyanates, indoles, dithiolthiones, polyphenols, flavones, tannins

ผักและผลไม้ยังมีส่วนประกอบของ Carotenoids ซึ่งเป็นแหล่งของวิตามินเอ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ Carotenoids lutein (มีปริมาณมากในผักโขม และผักใบเขียว) และ Lycopene (พบในมะเขือเทศ) ซึ่งทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหล่านี้ถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเมื่อเราอายุมากขึ้น ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเราก็จะลดน้อยลง และควรจะต้องได้รับเพิ่ม เพื่อลดการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ - - อนุมูลอิสระนั้นเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ เช่น โรคภาวะข้อต่ออักเสบ, โรคหัวใจ, โรคมะเร็ง และความชรา ตัวอย่างดังภาพประกอบ...

สารต้านอนุมูลอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง

การใช้อาหารเสริมที่ได้จากสารสกัดจากผลไม้แห้ง และผัก ในปริมาณ 1.5 กรัมนั้นจะลดอัตราผิวถูกทำลายจากผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระจากไขมันในเลือดประมาณ 75% ภายในหนึ่งสัปดาห์ ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระจากไขมันนั้นถือเป็นตัววัดค่าที่ดีเยี่ยมในการวัดอัตราของผิวที่ถูกทำลายในร่างกาย ในทางตรงข้าม, สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิว เช่น alpha-tocopherol และ lycopene นั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อาหารเสริมผลไม้และผักมีส่วนประกอบของผลไม้แห้ง และผงผัก ที่ได้จากแอ๊ปเปิ้ล, ส้ม, สัปปะรด, มะละกอ, แครนเบอร์รี่, พีช, แครอท, พลาสลี่, บีทรูท, บล็อกโคลี่, กะหล่ำเขียว, กะหล่ำปลี, ผักโขม และมะเขือเทศ

น้ำผลไม้สด กับน้ำผลไม้ผ่านการแปรรูป

หลายๆ คนได้รับประทานผักและผลไม้ด้วยการดื่มน้ำผักและผลไม้ ผู้วชาญด้านอาหารกล่าวว่า การรับประทานน้ำผลไม้สดที่จัดเตรียมเองนั้นดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำผลไม้ที่ผ่านก่รแปรรูป น้ำผักและผลไม้สดนั้นมีส่วนประกอบของ Hydrogen peroxide ในระดับที่สูง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้โดยธรรมชาติ นมจากหญิงที่เป็นแม่คนนั้นก็มีส่นประกอบของ Hydrogen peroxide ในระดับสูง แต่โชคไม่ดีเลย เนื่องจากปริมาณ Hydrogen peroxide ในน้ำผลไม้จะลดลงอย่างรวดเร็วระหว่างการจัดเก็บ จึงควรดื่มทันทีหลังจากจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว

น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต

การบริโภคน้ำตาลนั้นควรจำกัดปริมาณอย่างเข้มงวด และควรระวังเกี่ยวกับข้อบังคับของ FDA ที่พิจารณาให้ซูโครสเป็นน้ำตาลชนิดเดียว อาหารที่ไม่มีน้ำตาลนั้นอาจประกอบไปด้วยฟรุคโต๊ส, กลูโคส, น้ำเชื่อมข้าวโพดแบบฟรุคโต๊สสูง และกากน้ำตาล ดังที่กล่าวมานี้ถือเป็นน้ำตาลทั้งสิ้น ผลไม้ทั้งลูก, ผัก และเมล็ดข้าวที่ไม่ผ่านการแปรรูปนั้นให้คุณค่าด้านความหวานจากคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โดยปราศจากผลที่จะทำให้เกิดระดับน้ำตาลในเลือดสูง แต่คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการแปรรูปเช่นขนมปังขัดขาว, เค้ก, มันฝรั่งและพาสต้า นั้นจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

กากใยอาหาร

คุณประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของอาหารจำพวกพืชนั้นก็คือ จะมีกากใยอาหารสูง ส่วนใหญ่แล้วชาวอเมริกันนั้นไม่ค่อยได้รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไฟเบอร์ในปริมาณที่เพียงพอ ผู้วชาญด้านอาหารบางท่านแนะนำว่าเราควรได้รับกากใย 40-50 กรัมต่อวัน โดยประมาณ แต่เฉลี่ยแล้วชาวอเมริกันได้รับเพียง 12 กรัมต่อวัน - - กากใยอาหารนั้นมี 2 ประเภท คือประเภทที่ละลายได้ และละลายไม่ได้ แต่ละประเภทก็จะมีแหล่งที่มาที่ต่างกัน และคุณประโยชน์ก็ต่างกันด้วย กากใยที่ละลายไม่ได้นั้นจะช่วยให้การย่อยดีขึ้น และจะพบได้มากในเปลือกของพืช, ผิวของพืช และส่วนที่เหนียวของพืช กากใยที่ละลายได้ จะช่วยลดไขมันในเลือด (คอเลสเตอรอล) และลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจอุดตัน และพบได้ในสาร pectin (คาร์โบไฮเดรตที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูงพบในพืชและผลไม้สุก), ข้าวบาร์เลย์ และข้าวโอ๊ต เราสามารถเพิ่มอาหารเหล่านี้เข้าไปในมื้ออาหารของเราได้ (ทั้งประเภทกากใยที่ละลายได้และไม่ได้) โดยการรับประทานอาหารประเภทธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย และอาหารที่เป็นซีเรียล และผัก

ไม่ใช่แค่วิตามิน แต่เป็นกลุ่มวิตามิน

วิตามินนั้นเป็นสารธรรมชาติที่จำเป็น ในปริมาณเล็กน้อยเพื่อการเจริญเติบโต และบำรุงรักษาสภาพร่างกายของเราให้เป็นปกติ ในแต่ละวิตามินหลัก 6 ชนิด (A, B, C, D, E และ K) ก็จะมีกลุ่มของมัน ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มของวิตามินซี ก็จะประกอบด้วยวิตามินซี 7 รูปแบบเป็นอย่างต่ำ วิตามินอี ก็จะมี 4 รูปแบบ และยังมีญาติที่เป็น tocotrienol วิตามินเอ และเบต้า-แคโรทีน ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มในจำนวนกว่า 400 ตัว จากการวิจัยปัจจุบันนั้นพบว่า การรับวิตามินที่มีหลายๆ อย่างผสมกันอยู่นั้น อาจจะให้ผลดีกว่าการรับวิตามินเดี่ยวๆ

ค่า RDA นั้นเพียงพอแล้วหรือไม่

ค่า RDA ซึ่งเป็นค่าที่แจ้งไว้สำหรับอาหารที่ผ่านการแปรรูปและผลิตภัณฑ์วิตามินเสริมต่าง ๆ ที่จะบอกเปอร์เซ็นต์ของสารอาหารที่จำเป็น 19 ชนิดในการรับประทานต่อครั้ง อย่างไรก็ดี สิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปไม่ได้นึกถึงก็คือที่ RDA แจ้งไว้นั้นไม่ได้เป็นค่าที่เหมาะกับคน แต่เป็นค่าของสารอาหารที่น้อยที่สุดที่ต้องการต่อวันในหนูทดลองเพื่อให้บรรลุการผสมพันธุ์ ไม่ได้พิจารณาถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของคนที่มีอายุมากขึ้น และผู้ที่ต้องรักษาโรค เช่นโรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ

ควรจำไว้ว่าค่าที่ได้จาก RDA นั้นก็เป็นเพียงแนวทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น ตารางต่อไปนี้จะช่วยบอกระดับการรับประทานอาหารเสริมบางประเภท เพื่อให้ได้ผลที่สังเกตเห็นได้ในร่างกายของเรา คุณอาจต้องการใช้อาหารเสริมแค่เพียงบางชนิด ขึ้นอยู่กับสุขภาพส่วนตัวของคุณ ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจ ควรได้รับประโยชน์จากกรดไขมัน Omega-3 มากกว่าค่าเฉลี่ยในคนทั่วไป อย่างไรก็ดี ควรจำไว้ว่าอาหารเสริมนั้นไม่สามารถทดแทนอาหารที่มีคุณภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารมากมายหลายชนิด

อาหารเสริม และวิตามิน ที่แนะนำโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้วชาญด้านการต้านความชราหลายท่าน

ข้อมูลนี้เป็นเพียงตัวอย่างของอาหารเสริมที่สำคัญ เพื่อคงความสมดุลทางชีวเคมีในร่างกาย
คุณอาจต้องการอาหารเสริมเหล่านี้ (g.= กรัม, mg.= มิลลิกรัม)

 

 

วิตามิน และอาหารเสริม

ปริมาณต่อวันที่แนะนำ

บทบาทหน้าที่

ปกป้องสารต้านอนุมูลอิสระ

Alpha Lipoic Acid

30-200 mg

สารต้านอนุมูลอิสระหลัก

Vitamin C

0.5-1 กรัม

Coenzyme Q-10

30-200 mg

กลุ่ม Vitamin E

400 mg

กลุ่ม Tocotrienols

35-75 mg

Lutein

20 mg

Lycopene

5 mg

-สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
(Grape Seed Extract)

50 mg

สารสกัดจากผัก

1000-2000 mg

สารต้านอนุมูลอิสระแบบผสม

Melatonin

1-3 mg ก่อนนอน

ช่วยให้นอนหลับ, ปกป้องสมอง

น้ำมันที่จำเป็น

-Omega-3

1-5 กรัม

 

-Omega-6
-Gamma Linolenic Acid

1-3 กรัม

ต้านการอักเสบ และช่วยให้ผิวมีความสมบูรณ์, หล่อลื่นข้อต่อต่างๆ

สมองและประสาท

สมุนไพรแปะก๊วย

60 mg

 

N-acetyl-carnitine

0.5-1 กรัม

 

โคลีน / inositol

1-2 กรัม

 

แร่ธาตุต่าง ๆ

Calcium

1-2 กรัม

 

Magnesium

500 mg

 

Zinc

7-15 mg

 

copper

2-4 mg

 

เส้นผม

Saw Palmetto Oil

80-160 mg

ลดภาวะ DHT (อาการผมร่วง)

Soy Flavones

 

เพิ่มฮอร์โมน estrogen

จำนวนของคอลลาเจน และโปรตีนที่ทำหน้าที่ยึดจับเซลล์

MSM

0.5-1 กรัม

เพื่อข้อต่อและเส้นผม

Vitamin C

500-1000 mg

เพื่อสร้างคอลลาเจน

Glucosamine

0.5-1.5 กรัม

เพื่อการยึดจับเซลล์และข้อต่อ

Chondroitin Sulfate

0.4-1.2 กรัม

เพื่อการยึดจับเซลล์และข้อต่อ

ตัวปล่อย Nitrogen oxide

Arginine / Ornithine

1-2 กรัม

เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว

เพิ่มไฟเบอร์ที่ละลายได้

 

5-20 กรัม

 

ไวน์แดง

 

5-15oz.

คลายเครียด

กรดโฟลิค

 

400 mg

บรรเทาความเจ็บป่วย

DHEA

 

25-100 mg

เพิ่มประสิทธิภาพทางเพศ และเผาผลาญฮอร์โมน ขัดขวางการทำลาย cortisone

 

ไขมันไม่ได้เลวร้ายไปซะทุกชนิด

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า EFA นั้นเป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับการมีสุขภาพที่ดี ซึ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ Omega-3 และ Omega-6 ซึ่งแตกต่างกันแค่เพียงจำนวนของพันธะคู่ในห่วงโซ่คาร์บอนเท่านั้น นักวิจัยบางท่านแนะนำให้รับประทาน EFA อย่างน้อย 3% ของแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวัน เนื่องจากปัจจุบันนี้อาหารของชาวอเมริกันนั้นมีปริมาณ omega-6 มากกว่า omega-3 ดังนั้นการเพิ่มปริมาณ omega-3 จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

กรดไขมัน omega-3 นั้นมีหลายประเภท ซึ่งความต้องการในแต่ละประเภทก็แตกต่างกันไป ผู้วชาญบางท่านแนะนำให้รับประทานวันละ 300-400 มิลลิกรัม การรับประทานอาหารเสริม omega-3 นั้นจะช่วยให้เราได้รับสารอาหารครบตามความต้องการในแต่ละวัน ในขณะเดียวกันก็เป็นการเลี่ยงปัญหาสารตะกั่วตกค้างในปลาทะเลบางตัวได้ด้วย omega-3 ประเภทต่างๆ เหล่านี้พบได้ในน้ำมันของปลาที่อาศัยอยู่ในเขตหนาว เช่น ปลาทูน่า, แซลมอน และแมคเคอเรล น้ำมันปลาเป็นแหล่งที่มาของกรดไขมัน omega-3 ที่ดีที่สุด, อยู่ในแคปซูลชนิดเคลือบที่ผ่านลำไส้ได้ง่ายที่สุด และไม่มีรสชาติหรือกลิ่นของปลา และแคปซูลจะแตกออกเมื่อไปถึงลำไส้แล้ว น้ำมันจากพืชเช่น flaxseed และ canola oil ก็มีส่วนประกอบของกรดไขมัน omega-3 แต่จะมีปริมาณที่ความเข้มข้นต่ำ

กรดไขมันที่จำเป็นอีกหนึ่งชนิดคือ gamma linolenic acid ซึ่งร่างกายจะสร้างขึ้นได้เอง แต่จะลดปริมาณลงอย่างชัดเจนเมื่ออายุมากขึ้น กรดไขมัน omega-6 นี้มีหน้าที่ในการต้านการอักเสบ เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับผิวหนัง และช่วยหล่อลื่นข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย การรับประทาน Borage oil วันละ 1-3 กรัม นั้นเป็นแหล่งกรดไขมันที่ดีที่สุดของกรดไขมันประเภทนี้

เลือกรับประทานไขมันที่ถูกต้องเหมาะสม : อาหารหัวใจของชาวลียง

เท่าที่สังคมทางการแพทย์ทราบกันอยู่ ว่าน้ำมันมะกอกนั้นเป็นน้ำมันที่ดีที่สุดในการใช้ทำอาหาร อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมันมะกอกในปริมาณมากนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง และมะเร็งเต้านมได้ จากการวิจัยพบว่าทุกๆ 1% ที่เพิ่มขึ้นจากการรับประทานไขมันอิ่มตัวชนิด monounsaturated fat (น้ำมันมะกอกจัดอยู่ในประเภทนี้), จะช่วยลดอัตราการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลงไปได้ 11%

คุณประโยชน์ของน้ำมันมะกอกนั้น ปัจจุบันได้แสดงให้เห็นในการศึกษาอาหารหัวใจของชาวลียง อันเป็นการทดลองเพื่อที่จะดูว่าวิธีการรับประทานอาหารของชาวลียงนั้น ให้ผลดีกว่าอาหารประเภทไขมันต่ำและคอเลสเตอรอลต่ำหรือไม่ อาหารของชาวลียงนั้นจะมีไขมันสูง ซึ่งแหล่งไขมันจะได้จากน้ำมันมะกอกและอาหารทะเล การทดลองคือนำผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจกว่า 600 คน นำมาสุ่มเพื่อแยกเป็นกลุ่ม กลุ่มแรกให้รับประทานอาหารเดิมที่เคยทานต่อไป กลุ่มที่สองเริ่มรับประทานอาหารแบบชาวลียง ซึ่งในกลุ่มหลังนี้ได้รับประทานอาหารประเภทปลา, ผัก และผลไม้ในประมาณที่มากขึ้น แล้วทดแทนการรับประทานขนมปังที่ผ่านกระบวนขัดสี ด้วยขนมปังธรรมชาติ (เช่นขนมปังฝรั่งเศส) รับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง และเนื้อสัตว์ที่เคยรับประทานก็เปลี่ยนเป็นเนื้อไก่ และใช้น้ำมันมะกอกกับน้ำมันคาโนลาในการทำอาหาร

แม้ว่าการรับประทานแบบชาวลียงนั้นจะไม่ได้ช่วยลดไขมันในเลือด แต่ก็ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และการอุดตันของเส้นเลือดที่เลี้ยงหัวใจได้ประมาณ 70% ภายในหนึ่งปี (และอัตราการลดลงนี้จะเพิ่มเป็น 76% หลังจากผ่านไปสองปี) เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีกรดไขมัน omega-3 เมื่อผ่านไป 4 ปี ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งก็จะลดลง 61% ซึ่งอาจเป็นผลมาจาก Oleic Acid ที่ทำหน้าที่ต้านมะเร็ง ตัวอย่างผลเลือดที่ได้จากผู้ป่วยพบว่าอาหารลักษณะนี้ช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด (วิตามินซี และอี) และไขมัน omega-3 ในขณะที่ลดปริมาณไขมัน omega-6 น่าประหลาดใจที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของความดันเลือด หรือคอเลสเตอรอลในกลุ่มผู้ป่วยที่รับประทานอาหารแบบชาวลียง เมื่อเทียบกับผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานอาหารปกติ จึงพอจะกล่าวได้ในตอนท้ายว่าการรับประทานอาหารสไตล์ชาวลียงนั้นเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่สุด อันเป็นอาหารลักษณะที่สามารถรับประทานได้เป็นปกติ

ไวน์แดง และสุขภาพ

มีการศึกษาหลาย ๆ ชิ้นที่ได้ทำการทดลองว่าการดื่มไวน์ หรือเบียร์วันละ 1-2 แก้วทุกวันนั้นจะให้ผลดีต่อสุขภาพ และในจำนวนนี้ไวน์แดงนั้นให้ผลดีที่สุด

การเพิ่มประสิทธิภาพให้ร่างกายด้วยการดื่มไวน์แดงนั้นเป็นสิ่งที่ใหม่และออกจะแปลกๆ, ในกรณีของ Luigi Cornaro เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็น, Luigi ขุนนางชาวเวนิสในศตวรรษที่ 16 ที่กำลังจะตายตอนที่อายุ 40 ปี ได้ค้นพบว่าการรับประทานขนมปัง, น้ำซุปและไข่ไก่ 12 ออนซ์ทุกวัน ร่วมกับการดื่มไวน์วันละ 14 ออนซ์ ทำให้เขามีอายุยาวนานถึง 102 ปี

การดื่มไวน์แต่เพียงพอเหมาะนั้นอาจช่วยในเรื่องของพัฒนาการทางด้านจิตใจได้ การศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งได้รวมกลุ่มของชาย 733 คน และหญิง 1,053 คน ในช่วงอายุ 55-88 ปี พบว่าชายที่ดื่มไวน์วันละ 4-6 แก้ว และหญิงที่ดื่มไวน์วันละ 2-4 แก้วนั้นมีลำดับความคิดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม

พึงระลึกว่าการดื่มมากกว่า 2-3 แก้วต่อวันนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาเช่น อุบัติเหตุ นอกเหนือจากนั้นการรับปริมาณแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปก็จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่จะทำลายสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากตับได้ และจะทำลายตับ การดื่มแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็วนั้นทำให้เกิดการแตกกระจายของหลอดเลือดฝอย และเซลล์เม็ดเลือดแดงจับติดกันทำให้การขนส่งเม็ดเลือดมีประสิทธิภาพลดลง และทำให้เซลล์เม็ดเลือดเกาะตัวซ้อนกัน ภาวะดังกล่าวนี้ทำให้ออกซิเจนและสารอาหารไม่สามารถลำเลียงไปยังเนื้อเยื่อส่วนที่มีปัญหาได้ และจะทำให้หลอดเลือดฝอยแตก
ข้อมูลจาก http://www.copperpeptide.net/chaptor15.html

แสดงความคิดเห็น

>