5 สุดยอดพิธีศพ ที่น่าขนลุก สยองขวัญมากที่สุด จากรอบโลก
ตั้งกระทู้ใหม่
คุณเบื่องานศพแบบๆ บ้านหรือเปล่า อย่างเห็นพิธีศพแบบตื่นเต้น เลือดสาด เสียงโหยหวน ผู้คนตะลึง คุณมาถูกที่แล้วครับ วันนี้กระผมจะนำคุณไปดูพิธีศพต่างประเทศบ้าง นับลองคุณว่ามันทั้งโหด มัน ฮ่า จนคุณลืมไม่ลง........
(ขอบคุณคุณปอที่แปลให้ผมครับท่าน)
http://www.cracked.com/article_16502_5-creepiest-death-rituals-from-around-world.html
PS. อ้วนนรก ณ ทุ่งสังหาร
52 ความคิดเห็น
อันดับ 5 สุตที เผาตัวตายบูชายัญ (Sutee Self-Immolation)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
การเผาตัวตายบูชายัญ (หรือสุที) คือพิธีกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจทำใจสามีตนเองไม่ได้มานอนนั่งลงข้างๆสามีของเธอในกองฟืนที่ใช้ฌาปนกิจศพชองเขา และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี.......(เผาขณะเป็นๆนี้แหละ)
สุตที ถูกสืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดียต่อเนื่องมาอีกหลายศตวรรษ จนกระทั่งพิธีนี้ถูกจัดให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ในช่วงการยึดอาณานิคมของอังกฤษในปี 1829 (แต่ทุกวันนี้พิธีนี้ยังทำอยู่ ทำให้มีสั่งห้ามอีกครั้งในปี 1956 และอีกครั้งในปี 1981 แต่น้อยคนจะสนตูจะทำสักอย่าง)
ก็อย่างที่คุณๆจินตนาการกันแหละ เมื่อไฟมันเริ่มลาม จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาหญิงม่ายคิดว่าสงสัยเราตัดสินใจผิดทำพิธีบ้าๆ แบบนี้ว่าแล้วพยายามที่จะวิ่งหนีสุดชีวิต ซึ่งการทำแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่อัปยศเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนที่ยืนมุงอยู่รอบๆ ต้องช่วยกันแทงหญิงม่ายด้วยท่อนไม้ไผ่ แล้วมัดเธอเอาไว้เพื่อให้เธอถูกเผา
มีกรณีหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 เมื่อแม่ม่ายหนีพ้นพวกคนที่คอยแทงและดับไฟได้ที่แม่น้ำใกล้ๆ พวกอินเดียมุงจึงจับเธอยกใหญ่แล้วจับหักขาและแขนของเธอก่อนที่จะโยนเข้ากองไฟใหม่
...ทำไมถึงทำแบบนี้ละ?
เมื่อก่อน หญิงม่ายในอินเดียเคยถูกจัดอยู่ในฐานะที่ต่ำ แสนต่ำในชนชั้นทางสังคม ทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงม่ายจะถูกตัดสินว่าไม่บริสุทธิ์ ทั้งการสัมผัส เสียง และการเข้าร่วมในทุกสิ่งทุกจนเรียกได้ว่าน่ารังเกียจ ดังนั้งจึงมีคำถามเกี่ยวกับหญิงม่ายว่า พวกหล่อนควรทำอย่างไรเพื่อกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา และก็มีใครบางคนตอบว่า ทำไมเธอไม่เผาตัวเธอเองในกองไฟซะล่ะ? ว่ายังไง? นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่ออีกว่าสามีและภรรยาจะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากตายไปแล้วอีก ทำให้เกิดพิธีดังกล่าวในที่สุด
PS. อ้วนนรก ณ ทุ่งสังหาร
อันดับ 4 การทำตนเองให้เป็นมัมมี่ของศาสนาพุทธ (Buddhist Self Mummification)
มันคืออะไรกันละเนี่ย?
(ใครดูอินุยาฉะคงร้อง เอ๋อ) การทำตนเองให้เป็นมัมมี่นั้นเป็นพิธีเก่าแก่ที่สืบต่อกันมานานนมในประเทศญี่ปุ่น จนกระทั้งถึงช่วงปลายปี 1800 และกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายจนกระทั่งช่วงต้นปี 1900
มันง่ายไหมทำมัมมี่แบบญี่ปุ่นนี้ เออ....ไม่ง่ายนะจะบอกให้ไม่ใช้แบบว่าคุณพันๆ ตัวเองด้วยผ้าพันแผลแล้วรอมัจจุราชมารับ เป็นอันจบ ขอบอกเลยว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น
การทำนะตอนแรกคุณจะต้องใช้เวลากว่า 2000 วันเพื่อเตรียมพร้อมเป็นมัมมี่ โดยใช้ วิธีทำแบบพระนักบวชในศาสนาพุทธคือ อันดับแรกคุณจะต้องเอาไขมันทั้งหมดในตัวคุณออกไปให้หมด แล้ว ควบคุมอาหารให้กินเฉพาะพวกถั่วและเมล็ดธัญพืช และนักบวชคนนั้นจะไม่สามารถกินอย่างอื่นนอกจากนี้ไปอีก 1000 วัน
ต่อจากนั้น เราต้องรีดน้ำออกจากร่างกายของคุณออกไปให้มากที่สุด เพราะเมื่อร่างกายของคุณมีน้ำเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนมาก มันอาจทำให้คุณอึดอัดได้ นักบวชจะกินเพียงเปลือกไม้และรากไม้จากต้นสนนิดหน่อยเท่านั้น ต่อไปอีก 1000 วัน จากนั้นพวกเขาจะดื่มชาพิเศษ (พิเศษในที่นี้คือ ยาพิษที่รุนแรงสุดๆจนไม่น่าเชื่อ) ทำจากน้ำหล่อเลี้ยงของต้นอุรุชิแล้วถ้าชาที่กินทำให้เกิดอาการท้องร่วงจนท้องระเบิดหรืออาเจียน แสดงว่ามันได้ผล
แล้วคุณก็จะถูกขังในห้องหินเล็กๆ แค่ใหญ่พอที่คุณจะนั่งท่าดอกบัว เสร็จเรียบร้อยแล้ว! ตอนนี้นั่งรอความตายได้เลย ..
...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
เดา.....คงเกิดมาจากความเชื่อในศาสนาพุทธที่ต้องการตรัสรู้ โดยคุณจะต้องแยกตัวออกจากโลกแห่งวัตถุโดยสิ้นเชิง เมื่อคุณตายแล้ แทนที่จะต้องกลับมาเกิดใหม่ คุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเก็บตัวกว่า 1000 วันในห้องหิน เพราะผู้คนย่อมมาคอยส่องดูข้างในเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นมัมมี่ตลอดเวลา จะทำให้นักบวชวอกแวกได้
PS. อ้วนนรก ณ ทุ่งสังหาร
อันดับ 3 พิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวพุทธธิเบต (Tibetan Buddhist Sky Burial)
มันคืออะไร
เป็นพิธีศพแบบท้องฟ้าของชาวธิเบตโดยชำแหละศพที่ได้รับการสืบทอดกันจาก สิงหาสับ เออ..... ล้อเล่น ความจริงมันมาจากทิเบตต่างหากละ ศพจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ บนเทือกเขาสูงแล้วเหลือไว้ให้นกแร้ง ชาวทิเบตเรียกพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมานี้ว่า ย่าทอร์ ซึ่งหมายถึงให้ทานแก่นก และรวมทั้งขา, ชิ้นส่วนลำตัวและหัวด้วย ร่างของศพจะถูกห่อด้วยผ้าขาว แล้วนำไปที่จัดพิธีศพ ที่ซึ่งพระได้ล่อให้นกแร้งและนกกินซากสัตว์อื่นๆมารอแล้ว กลุ่มพระจะช่วยกันแกะห่อศพ ขั้นตอนนี้ไม่ค่อยน่าพิสมัยสักเท่าไรดูจากที่ศพถูกทิ้งไว้สามวันมาแล้ว (ตามธรรมเนียมชาวธิเบต)
พระหนึ่งรูปหรือมากกว่านั้นจะจัดเตรียมตัดศพด้วยขวาน เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว อาจารย์ก็เรียกบรรดาอีแร้งที่อยู่เหนือบริเวณฝังศพขึ้นไปบนยอดเขา ให้ลงมากิน เริ่มด้วเอามันสมอง และเลือดให้อีแร้งกินก่อนแล้วค่อยตามด้วย เนื้อที่สับไว้ เมื่ออีแร้งกินทุกอย่างหมด แล้วญาติพี่น้องก็จะช่วยเผาสิ่งสุดท้ายที่เหลือคือเสื่อผ้าชุดที่ผู้ตายใส่ กับหนังศีรษะติดผม แล้วทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นไม่ต้องมีการเก็บร่างกายของผู้ตายไว้เป็นที่ระลึกให้ต้องทำพิธีระลึกถึงกันทุกปีเพราะเขาเชื่อว่าในขณะที่เรากำลังร้องไห้เศร้าโศก อยู่หน้าหลุมฝังศพผู้ตายนั้น เขาได้ไปจุติในร่างใหม่เรียบร้อยแล้ว
...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติว่าเริ่มเมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศานาพุทธทิเบตที่สำคัญมากชาวทิเบต ซึ่งมองศพว่าเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหารแก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้ จะนำเอาวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไวได้หลายชีวิตด้วยนะเหอๆ
PS. อ้วนนรก ณ ทุ่งสังหาร
พระพุทธเจ้าเคยทรมานตนเองแล้ว แต่ลุล่วงในหนทางแห่งการตรัสรู้
แล้วนี่ยัง...เอ่อ...
อือฮึ
PS. ความพยายามอยู่ที่ไหน...โผล่หัวออกมาสิวะ ความสำเร็จรอนานแล้ว
ถือว่าเป็นการทำทาน
ยังไงซะร่างกายคือสังขารที่ไม่มันคง ตายแล้วก็น่าจะทำให้ก่อประโปรชน์แก่ผู้อื่นให้มากที่สุด
ขนาดเจ้าแม่กวนอิม ยังยอมให้สัตว์แทะกินร่างทั้งเป็นเพื่อเป็นการให้ทานเลย
PS. ที่นี่ที่ไหน...? เหมือนว่ามันเปลี่ยนไป คนที่เคยรู้จักหายไปไหน อะไรที่เปลี่ยนไป ที่นี่เปลี่ยน รึว่าตัวเราเปลี่ยน?...
ตากศพให้แห้งแบบอบอริจิน (Aboriginal Body Exposure)
มันคืออะไร
เป็นพิธีศพของชาวเผ่าออสเตรเลีย ชนเผ่าอะบอริจิน แต่หลายฝ่ายบอกว่าไม่จริงๆๆๆๆ ไม่มีพิธีแบบนี้นะ ไม่มีหลักฐานนี้หว่า
อย่างไรก็ตามดูๆ ไปจะเหมือนพิธีศาสนาธรรมดามากกว่า ในทิศเหนือโดยเฉพาะ โดยมีสองขั้นคือพิธีก็ทำศพให้แห้งตังหาก เอาใบไม้กับพุ่มไม้มาทับ ให้ศพแห้งแบบแต้ดแต๋ แล้วก็เอากระะดูกออกจากศพแห้งแล้ว มาทาสีแดง แล้วก็เอาศพมาแห่จากนั้นก็เอาไปใส่ไว้ในถ้ำ จนกลายเป็นฝุ่นไปเองไม่ก็เอาไปใส่หลุม นอกจากนี้มีรายงานว่ามีการกินศพด้วย.................กินศพญาติพี่น้องครับท่าน กินเนื้อ กินน้ำหนองของศพที่ตายแล้ว โอยท่าจะอร่อย
...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
เป็นความเชื่อของคนถิ่นเดิมและวัฒนธรรมที่ของเขา
PS. อ้วนนรก ณ ทุ่งสังหาร
เห็นอันดับ 4 แล้วอ๋อทันที เพราะว่าดูอินุยาฉะ สภาพศพแต่ละอันดับช่างน่ากลัว~
PS. /ของฟรีไม่มีในโลก
ส่งศพท่องอวกาศ (Space Burial)
มันคืออะไร
กวนจริงๆ สำหรับพิธีศพอันดับหนึ่งมันสยองตรงไหนนี้ กับพิธีฝังศพที่สมัยใหม่ที่สมัยใหม่อย่างตรงไปตรงอย่างยิ่ง คือการส่งอัฐิไปลอยเหนือบรรยากาศโลก หรือ Space Funeral ซึ่งพิธีนี้เป็นความคิดของบริษัทจัดการศพ บาเตสวิลล์ คาสเก็ต ซึ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา ออกไอเดียที่จะให้คนรวยแต่ไม่มีบุญที่อยากไปอวกาศ ไหนๆ ก็ไปตอนมีชิวิตไม่ได้ก็ขอไปตอนตายก็ได้ฟ่ะ
ใช่!! คุณสามารถทำพิธีฝังศพด้วยตัวเองของคุณ เว็บนี้เลยครับ http:// www.memorialspaceflights.com ราคาก็ขึ้นอยู่กับต้องวิธีการส่งและระยะทางที่จะไปไกลขนาดไหน โดยราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 695$ เท่านั้นเอง(ล่าสุดมีลูกค้าใช้เงินกว่า 60,000 $ เพื่อไปดวงจันทร์!!
เมื่อวันเสาร์ (28 เม.ย.) ได้ปล่อยจรวดที่เต็มไปด้วยอัฐิมนุษย์กว่า 200 คนขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงอัฐิของ เจมส์ ดูแฮน ดาราระดับตำนานที่รับบทเป็น มอนโกเมอรี สก็อตต์ หรือ สก็อตตี้ หัวหน้าวิศวกรแห่งยานเอ็นเตอร์ไพรส์ในซีรีย์หนังอวกาศสุดอมตะเรื่อง สตาร์ เทร็ค และนายกอร์ดอน คูเปอร์ อดีตนักบินอวกาศของยานเมอร์คิวรี ซึ่งเป็นยานอวกาศบรรทุกมนุษย์รุ่นบุกเบิกขององค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐ (นาซา)
รายงานระบุ ครอบครัวและเพื่อนฝูง รวมถึงสาวกของซีรีย์เรื่องสตาร์ เทร็คกว่า 500 คน ได้ไปรวมตัวกันที่ทะเลทรายอันห่างไกลในรัฐนิวเม็กซิโกที่ใช้เป็นสถานที่ปล่อยจรวด ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยน้ำตา และรอยยิ้มของแฟนๆ ที่ทั้งอาลัย และยินดีได้ส่งอัฐิของดาราผู้เป็นที่รักขึ้นอวกาศเสียที หลังจากที่ต้องเลื่อนมาหลายครั้งนับแต่เสียชีวิตเมื่อปี 2548 โดยผู้ที่ต้องการส่งอัฐิขึ้นไปโคจรในอวกาศจะต้องเสียค่าใช้จ่ายคนละ 495 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,000 บาท)ไม่แพงใช่ไหมละ
...ทำไมถึงมีพิธีแบบนี้ละ?
ง่ายๆ มันเป็นเรื่องของธุรกิจ ความฝัน และเป็นเรื่องของคนรวยแบบคิดว่าไปสูงยิ่งขึ้นสวรรค์.................
PS. อ้วนนรก ณ ทุ่งสังหาร
อับดับ4นี่เพิ่งรู้อย่างแจ่มแจ้งก็วันนี้เองนะเนี่ย - -*
PS. จะกินไอติมอ่ะ! ก็หนูจะกินไอติมอ่ะ! ให้หนูฟรีๆไม่ได้เหรอคะ~
แจ่มมากค่ะพี่
PS. *หากไม่ควักนัยตา แก้วตาจะบันทึกเรื่องราวต่างๆ และจะทำให้จนมุมได้!!
น่าขนลุกมากเลยท่านแคมมี่
PS. cuty_ploy @ IRC (อย่าถามอีกนะว่าใคร - -") Yaoi~ ลัลล้า~~
อันดับ 1. พิธีสตี (ทำให้เกิดคำว่า "สตรี") เป็นความเชื่อจากตำนานของพราหมณ์ฮินดูระหว่างพระศิวะกับพระนางสตี
(ไม่เล่าตำนานนะหาอ่านเองได้) พิธีนี้ทำให้เกิดความเชื่อในสังคมที่ว่า "ผู้หญิงที่ดี ภรรยาที่ดี" ตอนสามีตายจะต้อง
เผาตัวเองตามไปด้วย หากกระทำหญิงผู้นั้นจะถูกยกย่อง แต่หากไม่ยินยอมญาติทางสามีจะมัดเผาตาม
เยี่ยมไปเลยฮะ
แต่ส่งขึ้นอวกาศเพื่อให้ใกล้สวรรค์เนี่ย.. -*-
PS. Love..like fine sand. Grasp it and it will quickly slip through your fingers. Cup it gently and it will fill the voids of your soul - - as sand seeks to fill the spaces in your hands.
O_O!!
อึ้งมากมาย
PS. นอนตลอดศก .. = =zZZ ง่วงได้ใจจริงๆ =[ ]=!!
ตายแบบต้องทรมาณนี่น่ากลัวจัง
PS. อยากเป็นคนตลกแต่ทำไม่ได้ ขอเป็นคนเรื่อยๆแบบเดิม จะรับได้มั้ย
- -* ผมขอตายแบบธรรมดาๆได้ไหมเนี่ย ?
เห็นแล้ว สยิว ><
PS. /me คว่ำโต๊ะแล้วเดินจากไป •๏water๏•~sageal >>> http://www.whenifallinlove.net/diary/diary.php?sarinubia
สนใจไปอวกาศกันไหม...
PS. คนเรามีช่วงชีวิตที่ยืนยาว แต่ในช่วงชีวิตนั้นทุกคนกลับลอกคราบอย่างเชื่องช้า เพื่อที่ว่าจะได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สมบูรณ์อีกครั้ง โดยไม่สนว่าจะต้องลอกคราบสักกี่ครั้ง...
3,400,000 บาทต่อจรวดหนึ่งลำ (ยังว่าทำไมถึงถูก)
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 10 ตุลาคม 2551 / 01:47
PS. .......... จุดจุดจุดจุดจุดจุดจุดจุดจุดจุด
อืม เรื่องแรกโหดสุดๆ
เดี๋ยวตอนโดดจะดึงแม่สามีเข้ามาด้วย  รับผิดชอบร่วมกันเถอะนะแม่
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?