ตำนาน พระยาพิชัยดาบหัก
.....เจ้าพระยาโกษาเหล็ก ท่านเป็นแม่ทัพชั้นเอกของสมเด็จ พระนารายณ์ สีหราชเดโช ผจญสงครามใหญ่โต ปราบมวล ศัตรูแพ้พ่าย เจ้าคุณพิชัยดาบหัก ท่านกล้าหาญยิ่งนัก สมดัง เป็น ต้นตระกูลไทย......
พระยาพิชัยดาบหัก เดิมชื่อจ้อย เป็นลูกชาวนาเกิด ในหมู่บ้านห้วยคา เมืองพิชัย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตเมือง อุตรดิตถ์ มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๓ คน แต่ตายเพราะ ไข้ทรพิษไปเสีย ๒ คน จึงเหลือแต่ เด็กชายจ้อยอยู่ ผู้เดียว ต้องมีหน้าที่เลี้ยงควาย และช่วยพ่อแม่ปลูกข้าว ในท้องนา เล่าไว้ในประวัติศาสตร์ว่า จ้อยนี้มีฝีมือ ชกมวย เก่ง มาแต่เด็ก ระหว่างที่เลี้ยงควายอยู่นี้ ก็ไม่เกียจ คร้านนอนพักผ่อน อยู่บนหลัง ควายเฉยๆ มักจะชักชวนเด็ก เลี้ยงควายอื่นๆ ต่อยมวยอยู่เสมอ และตนก็จะเป็น ผู้ชนะทุกครั้งไป
เมื่อจ้อยโตขึ้น บิดาจะให้ไปเรียนหนังสือในวัด ก็ขัดขืนไม่ยอมไป เพราะต้องการ เรียน วิชามวยมากกว่า จนบิดา ต้องอธิบายให้ฟังว่า มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้อง เรียน หนังสือ ให้อ่านออกเขียนได้ เพราะแม้แต่วิชามวยนั้น จะเรียนรู้ ได้ละเอียดก็ต้อง ฝึกอ่านจากตำรามวยต่างๆ เด็กชายจ้อยจึงยอมเข้าวัด เรียนหนังสืออยู่จนอายุ ถึง ๑๔ ปี จึงสามารถอ่านออก เขียนได้ ระหว่างที่เรียนหนังสือในวัดนั้น ก็พยายาม ฝึกหัดวิชามวยด้วยตนเอง โดย ตัดต้นกล้วยมาฝึกเตะแรงและเตะสูง จนสามารถ กระโดดข้ามต้นกล้วยที่สูงถึง ๔ ศอก ได้ นอกจากนั้นยังฝึกความเร็วของหมัด โดย เอามะนาว ๔-๕ ใบ มาผูกเชือกแขวนที่ต้นไม้ แล้วชกต่อยขึ้นศอก ถองลูกมะนาว พัลวันได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีมะนาวลูกใดลอยมาถูกใบหน้าเลยอยู่มาวัน หนึ่ง ลูกชาย เจ้าเมืองพิชัย ชื่อคุณเฉิดกับคนรับใช้มาเรียน หนังสืออยู่ที่วัดด้วย คุณเฉิด นั้นเป็นถึงลูกเจ้าเมือง มีอำนาจ วาสนา พวกเด็กในวัดจึงพากันคอยเอาอกเอาใจ ฝากตัวเป็นบริวาร มีแต่จ้อยเท่านั้นที่ไม่ยอมเข้าด้วย จึงไม่ถูก นิสัยกัน ถึงกับมี การชกต่อยกันขึ้น เด็กชายจ้อยนั้นฝีมือดีกว่า ต่อยคุณเฉิดเสียเจ็บตัวพ่ายแพ้ไป
ความกลัวว่า จะถูกลงโทษ ทำให้จ้อยผู้ชนะต้องหลบหนีออกจากวัด เดินทางไป ถึงหมู่บ้านท่าเสา ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ที่มีชื่อเสียงด้านการชกมวย สมัครเป็น ศิษย์ ของครูมวย ชื่อครูเที่ยง หลอกท่านว่า ตนเองนั้นชื่อทองดี มาจาก หมู่บ้านดินแดง ครูเที่ยงก็รับเอาไว้เลี้ยงเป็นเด็กรับใช้ในบ้าน ภายในเวลาปีเดียว จ้อยกลายเป็น นักมวยชั้นเอก ของครูเที่ยง เรียนรู้ฝึกหัด วิชามวยจากท่านผู้นี้จนหมดสิ้น นอกจากนั้นนายจ้อย หรือ ทองดีนี้ยังมีความ กตัญญูรับใช้ งานในบ้าน ตักน้ำ ตักข้าว ทำสวนให้แก่ครูเที่ยง นสยจ้อยเป็น นักมวยที่เอา ใจใส่สุขภาพ ของตน
เองไม่ยอมกินหมาก เหมือนคนอื่นๆในหมู่บ้านนั้น จนครู่เที่ยงตั้งชื่อว่า " ทองดีฟันขาว" จ้อยอยู่กับครูเที่ยง จนกระทั่งเกิดวิวาทกับศิษย์เก่าของท่าน คนหนึ่งซึ่งชกมวยสู้จ้อยไม่ได้ จึงไปเที่ยวโพนทะนาว่าครูเที่ยง อุปการะเลี้ยงคน เกเร จ้อยกลัวครูจะเสียชื่อเสียง จึงกราบลาอาจารย์และ เดินทางกับพระรูป หนึ่งไปถึงวัด บางเตาหม้อ มอบตัวเป็นศิษยฺในวัดนั้นอีก ระหว่างที่พำนัก อาศัย ในวัดนี้ จ้อยได้มีโอกาสเห็นคนจีน เล่นงิ้ว สังเกตตัวละคร งิ้วแสดงกำลังภายใน กระโดดโลดเต้นห้อยโหนได้ผิดมนุษย์ธรรมดาก็รู้สึกทึ่ง พยายามหัด ท่ากระโดด กระโจนข้ามหัวคนแบบมวยจีน แสดงความสามารถ รวมวิชาทั้งมวยไทย และ มวยจีนได้ จนเป็น ผู้มีชื่อเสียง ครูมวยอีกท่านหนึ่งเรียกกันว่าครูเมฆ อยู่บ้าน ท่าเสา จึงรับนายทองดีนี้มา เป็นลูกศิษย์ฝึกสอน วิชามวย อีกต่อไป วันหนึ่ง มีขโมยมาลักควายของครูเมฆไปสองตัว ระหว่างที่ขโมย จูงควายหลบหนีไปนั้น นาย จ้อยคว้าดาบวิ่งไล่ตามไปคนเดียว พอถึงตัวจึงเกิดการต่อสู้กันอย่างรุนแรง จ้อยใช้ดาบฟันคอขโมยขาด ตาย ดิ้นไปคนหนึ่ง และขโมยอีกคนหนึ่งถูกฟันข้อมือ ขาด ร้องขอชีวิตด้วยความกลัว จ้อยก็ส่งตัวมันให้กรม การเมือง จึงได้รับรางวัล ๕ ตำลึง พร้อมทั้งคำชมเชยอย่างมาก นี่เป็นโอกาสแรก ที่นายจ้อยซึ่งภายหลัง จะกลายเป็น พระยาพิชัยดาบหัก ได้แสดงฝีมือทางด้านการฝใช้ดาบ ในวัน นมัส การพระแท่นดงรัง มีการจัดงานวัดขึ้น แสดง มวยกลางลาน นายจ้อย นั้น ถูกจับ คู่ให้ชกกับนายถึกลูกศิษย์ครูนิล ในยกแรกพอไหว้ครูเสร็จ นายจ้อยก็ กระโดด ข้ามหัวคู่ต่อสู้และหันกลับมาถีบท้ายถอย นายทึกแบบเล่นงิ้ว พอนายทึกงวยงง ยืนหาคู่ต่อสู้อยู่ เป็นไก่ตาแตก ก็โดนเตะเข้าอีกทีหนึ่ง จนสลบนิ่งไม่ลุกขึ้น ยอม แพ้ไป นายนิล ครูมวยของนายถึกรู้สึกโมโหเป็น อย่างมาก ที่ลูกศิษย์โดนเตะ สลบเร็วเหลือเกิน จึงท้าครูเมฆชก แต่นายจ้อยรับอาสา ขอต่อสู้กับครูนิล แทน เมื่อไหว้ครูกันเสร็จแล้ว ในยกแรกนาจ้อยได้แต่ถอยและ เป็นฝ่ายรับข้างเดียว ดูท่าทีของครูนิลว่า เก่งแค่ไหน แต่พอถึงยกที่สองนายจ้อย กระโดดเตะต้น แขนซ้ายขวา ของครูนิลด้วยความแรง จนครูนิลเจ็บ กล้ามเนื้อ ยกแขนไม่ขึ้น ทั้งสองข้าง ได้แต่ใช้เท้าเตะอย่างเดียว จึงถูกนายจ้อยจับขากระชากขึ้นเข่า ที่ท้องและชกที่คาง พร้อมกัน ครูนิลหงายหลังฟันหักสี่ซี่สลบไปอีกคนหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงของนายจ้อยหรือทองดีนี้ก็แผ่กระจาย ไปทั้งเมืองพิชัย หลังจากนั้นประมาณ ๓ เดือน นายจ้อยได้มีโอกาสรู้จักกับพระภิกษุจาก นครสวรรคโลก จึงเดินทางไปที่เมืองนั้นกับพระรูปนี้ และสมัครตนเป็นลูกศิษย์ ของครูดาบ ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะนายจ้อย รู้สึก ว่าตนเองได้เรียนวิชามวย ทั้ง แบบจีนและไทยมาจนหมด สิ้นแล้ว เมื่อหาครูมวยเพิ่มเติมวิชาความรู้ให้ไม่ได้
ก็ สมควรที่จะฝึกวิชาดาบต่อไป ฝึกอยู่เพียง ๓ เดือน ก็มีชื่อเสียงดังไปทั่ว เมืองสวรรคโลก ว่าเป็นนักดาบเก่งกาจ จนลูกชายเจ้าเมืองถึง กับชวนไปประลอง ฝีมือกัน ความจริงในการต่อสู้ครั้งนี้นายจ้อยฉลาดขึ้น เพราะถึงแม้ ตนเองจะ มี ฝีมือดาบเหนือกว่า ก็พยายามฟันแบบมิให้มีใครแพ้ชนะ คงจะได้บทเรียนมา ตั้งแต่สมัยเป็น ลูกศิษย์ในวัดวิวาทกับ ลูกชายเจ้าเมืองพิชัย หลังจากนั้นก็ออก จากเมืองสวรรคโลกเดิน ทางไปอยู่กรุงสุโขทัย พักที่วัดธานี พบกับครูจีนอีก ผู้หนึ่ง ซึ่งมีวิชาความรู้ฝีมือด้านมวยจีนเก่งกาจสามารถมาก สามารถจับคน หักไหปลาร้า ได้ นายจ้องสมัครตัวเป็น ลูกศิษย์เรียนเพิ่มท่ามวยจีนต่าง ๆ อีกมากมาย จนใน ที่สุดชื่อเสียงทาง ด้านฟันดาบ มวยไทย และ มวยจีนแพร่ไปทั่ว กรุงสุโขทัย กลายเป็นครูกับเขาบ้าง มีลูกศิษย์ติดตาม หลายคน คนหนึ่งที่รักมากชื่อนายบุญเกิด ขณะอายุเพียง ๑๓ ปี กล่าวกันวานายจ้อยกับลูกศิษย์อายุ ๑๓ ปีนี้ รักใคร่ ใกล้ชิด กันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ครั้นวันหนึ่ง มีคนจีนจากเมืองตาก มาค้าง อยู่ที่กรุงสุโขทัย ได้ยิน ชื่อเสียงว่านายจ้อยชกมวยและ ฟันดาบได้คล่องแคล่วว่องไว จึงมาบอกว่า เจ้าเมืองตากนั้น เป็นคนเชื้อจีน และ ชอบวิชามวย เป็นอย่างมาก อยากชักชวนให้นายจ้อยและบุญเกิดเดินทางไปที่เมืองตาก เพื่อฝึกสอนวิชามวย ให้แก่ชายฉกรรจ์ที่นั่น จ้อยกับบุญเกิดก็ตกลง เดินทางจากนครสุโขทัย ต้องบุกป่า ฝ่าดง เป็นเวลาหลายวัน ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น เอนกายลงใต้ต้นไม้ จุดไฟกันเสือ ผลัดกันนั่งยาม คืนหนึ่งเด็กชายบุญเกิดมีหน้าที่ นั่งยาม ทนความง่วงไม่ได้หลับไป เมื่อไฟมอด็ย่องเข้า มางับลากตัว นายบุญเกิดไป ครูจ้อยได้ยินเสียง ลูกศิษย์ ร้อง เอะอะโวยวายด้วยความตกใจ ก็ชักมีดสุยออกจากเอว กระโดดเข้ากอด คอ เสือโดยไม่มีตวามกลัว ปักมีดลง ที่คอ หลายครั้งจนเสือนั้น ต้องปล่อย นายบุญเกิด และวิ่งหนีเข้าป่าไป เพราะความเจ็บปวด นายจ้อยกับ คนจีน ช่วยกัตน ปฐมพยาบาล นายบุญเกิดเป็นเวลานานจึงหายขาด เจ้าเมืองตากนั่น เราทราบดีในประวัติศาสตร์ ว่า ท่านคือพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งขณะนั่นเรียกกันว่าเจ้าตาก จ้อย บุญเกิด และคนจีนเดินทางถึงเมืองตาก ขณะที่พระเจ้าตาก จัดพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ที่วัด และมีมวยฉลอง นายจ้อยถูกจัดให้ขึ้นชกกับ ครูมวยคน หนึ่งชื่อ นายห้าว เป็นการชก มวยต่อหน้าพระเจ้าตาก แต่ก่อนที่จะมีการชกนั้น พระภิกษุรูปหนึ่งเรียกนายจ้อย มาบอกว่า ครูห้าวนี้เป็นผุ้มีอิทธิพลมากนัก ถ้าต่อยมวยด้วย แล้วแพ้ก็ไม่มีปัญหา อะไร แต่ถ้านายจ้อย ฝีมือดี ต่อยชนะแล้วเห็นจะถูกแก้แค้นเอาชีวิตไม่รอดเป็นแน่ เมื่อฟังคำของพระ เช่นนั้นแล้ว นายจ้อยรู้สึกวิตกมาก ถึงเวลาเริ่มต้นมวย ก็แอบ อยู่บนกุฎิพระไม่ยอมลงมา จนพระเจ้าตากต้องให้คนไปตามตัว นายจ้อยจึง กราบ เรียน ต่อพระเจ้าตากว่าตนเองเป็นคนมาจากต่างเมือง ไม่มีอำนาจอิทธิพล จะต่อยกับครูห้าว กลัวว่าเมื่อ ชนะ แล้ว ชีวิตจะต้องตกอยู่ในอันตราย พระเจ้าตาก ได้ฟังเช่นนั้น ก็รับรองด้วยเกียรติของท่านเองว่า จะไม่ยอม ให้ ครูห้าว ทำอันตราย ต่อนายจ้อยได้ การชกมวยจึงเริ่มต้นขึ้น ในยกแรก ครูห้าวก็เข้า ทั้งเตะทั้งต่อย จนนายจ้อย แทบตั้งตัวไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายรับ และเมื่อใกล้ปลายยกก็แกล้งล้มลง เมื่อสิ้นยกแรก ครูห้าวรู้สึกฮึกเฮิมดีใจ เห็นว่านายจ้อยนี้ ถึงแม้จะมีชื่อเสียง แผ่กระจายไป หลายเมือง ก็มิได้มีความสามารถน่ากลัวเช่นใด พระเจ้า ตากสินเอง ถึงกับมาถามว่าจะสู้เขาต่อไปอึกหรือ นายจ้อยก็กราบเรียน ว่ายินดีจะพยายามต่อสู้ ครั้นถึงยกสอง การต่อสู้เผ็ดร้อนขึ้น พอขึ้นยกสอง นายจ้อย ก็ไม่รอช้า โดดเหยียบ ชายพก ชกลูกตาแล้วลงศอกที่หัวนายห้าว ๒ ทีซ้อน แล้วหกคะเมน ไปยืนอยู่ข้าง หลังครูห้าวถูกศอก งงไม่หายก็ถูกเท้าของนายจ้อย ฟาดปังเข้าให้ที่ ปาก ครึ่งจมูกครึ่ง ขากรรไกร ครูห้าวล้มลงสลบ เป็นอันว่านายห้าวแพ้ เจ้าตากจึงจัดให้นายหมึก ซึ่งเป็นคร ูมวยตัว ใหญ่กว่าขึ้นชกกับนายจ้อยอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็ถูกนายจ้อย เตะเล่น เหมือนเตะต้นกล้วยสลบคาเท้าไปอีกคนหนึ่ง" ฝีมือการชกต่อย ของนายจ้อยนี้ เป็น ที่ พอพระทัยของพระเจ้าตากสินเป็นอย่างมาก ถึงกับให้รางวัลและชวน เป็นพรรค พวกบริวาร เมื่อนายจ้อยอายุครบ ๒๑ ปี พระเจ้าตากก็จัดบวชให้เป็นพระอยู่ ๑ พรรษา และหลังจาก สึกออกมาแล้วจึงรับราชการต่อ ได้แต่งตั้งเป็นหลวงพิชัยอาสา รับใช้พระเจ้าตากสินอย่างใกล้ชิด หลวง พิชัยอาสา หลงรักสาวใช้ของพระชายา พระเจ้าตากสินคนหนึ่ง เป็นหญิงงามชื่อลำยง พระเจ้าตากจึงยกเธอ ให้เป็นภรรยา เมื่อพระเจ้าตากสิน ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิเชียรปราการครองเมือง กำแพงเพชร หลวง พิชัยอาสาก็ติดตามมารับราชการที่เดียวกัน ครั้นกองทัพพม่า ยกมาล้อมกรุงศรีอยุธสยาในแผ่นดิน ของสมเด็จ พระเจ้าเอกทัศ พระยาวิเชียร ปราการ ได้รับคำสั่งให้มาช่วยป้องกันกรุงศรีอยุธยา ท่านก็เอาหลวงพิชัยอาสา ติดมาด้วย เราทราบดีจากประวัติศาสตร์ว่า การป้องกันกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้น ทำกันแบบเหยาะแหยะเต็มที ถึงแม้จะมีคนดีอยู่บ้าง เช่นชาวบางระจัน คนส่วนมาก โดยเฉพาะพระบรมมหาราชวังไร้ความสามารถ ที่จะ ป้องกันประเทศชาติได้ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ในข้อความบันทึกจดหมาย
ถึง พ.ศ. ๒๓๑๖ โปสุพลาคุมกองทัพพม่ามาตีเมืองพิชัย ตั้งค่ายอยู่ที่วัดเอกาในคลองคอรุม พระยาพิชัยนำ ทหารต่อสู้ป้องกัน เมืองเป็น สามารถรบประชิดกันจนถึงต้องใช้อาวุธสั้น พระยาพิชัยนั้นถือดาบสองมือ ต่อสู้ พม่า อย่างตะลุมบอน จนดาบหักไป ข้างหนึ่ง ก็ยังสามารถเข่นฆ่าพม่า ได้รอบด้าน ความเก่งกาจในการรบครั้งนี้ หมื่นหาญณรงค์หรือนายบุญเกิดถูกพม่ายิงด้วย ปืน ถึงแก่ความตาย พระราชพงศาวดาร ฉบับ พระราช หัตถเลขา บันทึกเหตุการณ์ไว้ว่า "ครั้นถึง ณ เดือนอ้ายข้างขึ้น โปสุพลายกกองทัพมาตีเมืองพิชัยอีก พระยาพิชัย ก็ยกพลทหารออกไปต่อรบแต่กลางทาง ยังไม่มาถึงเมือง เจ้าพระยาสุรสีห์ก็ยก กองทัพเมืองพิษณุโลกขึ้นไปช่วย ได้รบกับพม่าเป็นสามารถและพระยาพิชัยถือดาบ สองมือคุมพลทหารออกไล่ฟันพม่าจนดาบหัก จึงลือชื่อ ปรากฎเรียกว่า พระยาพิชัย ดาบหัก แต่นั้นมา ครั้นถึง ณ วันอังคาร เดือนยี่ แรม ๗ ค่ำ กองทัพพม่า แตกพ่าย หนีไป" พระยาพิชัยดาบหักนี้ นับว่าเป็นทหารเอก คนหนึ่งของสมเด็จพระเจ้า กรุงธนบุรี ถึงแม้จะมิได้มีตำแหน่ง สำคัญและสูงเท่าเจ้า พระยากษัตริย์ศึก หรือ เจ้าพระยาสุรสีห์ แต่ก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ในราชการสงคราม อย่าง ดีเด่น เป็นผู้นำทัพ หน้า ไปตีเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ให้แก่พระเจ้าตากสิน จนถึงปลายรัชกาล ของ พระเจ้า กรุงธนบุรี มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น คือพระเจ้ากรุงธน ฯ เสียสติ ก่อความ โหดร้ายยากเข็ญให้แก่ไพร่ฟ้า ประชาชนทั่วแผ่นดิน เป็นเหตุ ให้สมเด็จเจ้าพระยา มหากษัตริย์ศึกต้องปลดออกจากพระ ราชบัลลังก์และ ประหารชีวิต เมื่อสมเด็จ พระยามหากษัตริย์ศึกเสด็จขึ้นครองราชย์ในแผ่นดินรัตนโกสินทร์ มีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดให้พระยาพิชัยดาบหัก ซึ่งขณะนั้นครองเมือง พิชัย อยู่มาเข้าเฝ้า ทรงไต่ถามความสมัครใจ ว่ายินดีจะรับ ราชการอยู่กับพระองค์ต่อไปหรือไม่ เพราะทรงทราบดีว่า พระยาพิชัยดาบหัก นี้เป็นยอดทหารเอกพระเจ้ากรุงธนบุรีและมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์องค์ก่อนยิ่งนัก พระยาพิชัยดาบหักจึงกราบทูลว่าขอให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ทรงพระกรุณา ชุบเลี้ยงบุตรของตน คนหนึ่งให้ได้รับราชการอยู่ในกรุงเทพ ฯ ส่วนตนเองนั้นจะต้องดำรงเกียรติยศ ของการ เป็นทหารเอกพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้ ขอ ให้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชประหารชีวิตท่านเสีย พระยาพิชัย ดาบหักจึงเลือกรับความตายอย่างชายชาติทหาร ด้วยอุดมคติของยอดนักรบ ที่ถวายความ จงรัก ภักดีให้แก่ พระมหากษัตริย์ได้เพียงองค์เดียว พระยาพิชัย ดาบหักมีอายุเพียง ๔๑ ปี เมื่อท่านเลือกเผชิญความตายด้วยจิตใจที่แน่วแน่ ยอมพรากจากลำยงภรรยาแสนรักของท่าน เพราะตัวท่าน เองนั้นมิได้มีความคิด เป็นศัตรูต่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ แต่อย่างใด ท่านจึงมอบบุตรชาย ของ ท่านให้เป็น ข้าของกษัตริย์องค์ใหม่ ทุกวันนี้มีลูกหลานในตระกูลพระยาพิชัยดาบหัก ใช้นามสกุลว่า "วิชัยขัทคะ" ซึ่งแปลว่า "ดาบวิเศษ" และมีอีกสกุลหนึ่งซึ่งสืบ สายมา จากพระยาพหิชัยดาบหักเช่นเดียวกัน คือตระกูล "ศรีศรากร" ซึ่งคนในสองตระกูลนี้สืบสายโดยตรงมาจากบรรพบุรุษ ยิ่งใหญ่ของชาติไทย ได้มีบทบาทสำคัญใน การกอบกู้ ประเทศชาติ หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก เป็นครั้งที่สอบยอดนักรบแท้ที่ ยอมสละชีวิต เพื่อความจงรักภักดี อันมีต่อ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
7 ความคิดเห็น
สนุกมากเลยครับ ไม่ได้อ่านประวัติบุคคลสำคัญ สนุกแบบนี้มานานแล้ว�
ผมว่าเด็กๆ ต้องชอบแน่นอนเลย เอามาขัดเอามาเดาหน่อย เป็นภาษาที่
เข้าใจง่าย กลายเป็นนิทานก่อนนอน หรือ แบบเรียนสร้างกำลังใจให้แก่เด็กไทยแน่นอน
สุดสุดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ปายเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
สนุกดี ค่ะ  มัน มากๆ
รู้เรื่องมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกเลย
ขอแสดงความชื่นชมครับเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติไทย และแฝงด้วยคำสอนถึงการใช้ชีวิตกว่าจะได้เป็นใหญ่เป็นโตต้องมุมานะพากเพียรขนาดไหน และที่จะติดตราตรึงอยู่ในใจของพวกเราคือตัวอย่างความจงรักภักดีของบรรพบุรุษ
ภรรยาของพระยาพิชัยดาบหักชื่ออะไรหรอคัย
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?