Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ไปษณีย์ไทย

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สมัยโบราณ
          การติดต่อส่งข่าวสารไปมาถึงกันของคนไทยในสมัยโบราณนั้น ถ้าเป็นเรื่องรีบร้อนสำคัญ ก็มักจะจัดให้คนถือไป หากเป็นเรื่องธรรมดาไม่เร่งร้อนก็มักจะฝากไปกับพ่อค้า หรือคนเดินทางที่จะเดินผ่านไปทางนั้นๆ ส่วนในทางราชการ หากเป็นราชการเร่งร้อนสำคัญ ก็มีการแต่งข้าหลวงเชิญหนังสือ หรือ"ท้องตรา" หรือ "ใบบอก" ออกไปส่งยังที่หมายซึ่งอาจจะต้องขี่ช้าง ขี่ม้า ลงเรือ ลงแพ ตามลักษณะของภูมิประเทศ และเป็นหน้าที่ของกรมการเมืองรายทางที่ผ่าน ที่จะต้องจัดยานพาหนะพาไปส่งถึงเขตชายแดน ถ้าเป็นราชการไม่เร่งร้อน คณะกรรมการเมืองก็จัดคนให้ส่งหนังสือต่อๆ กันไป
ส่วนการส่งพระราชสาสน์ หรือหนังสือติดต่อกับประเทศนั้น มีวิธีใหญ่ๆ อยู่ ๒ วิธีคือ
          ๑. แต่งตั้งคณะทูตอัญเชิญพระราชสาสน์ไปยังประเทศที่จะติดต่อโดยตรง เช่น พระวิสุทธสุนทร (ปาน) อัญเชิญพระราชสาสน์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส พระยามนตรีสุริยวงศ์ เป็นราชทูตอัญเชิญพระราชสาสน์ และเครื่องราชบรรณาการของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปถวายสมเด็จพระราชินีนาถ
วิกตอเรีย แห่งอังกฤษ เป็นต้น
          ๒. ทางราชสำนักฝากหนังสือผ่านคนกลางซึ่งโดยมากก็คือ พ่อค้า นายเรือ หรือเจ้าหน้าที่ของต่างประเทศเป็นสำคัญ
          เป็นที่น่าสังเกตว่าการติดต่อสื่อสารกันทางจดหมายในสมัยก่อนไม่ค่อยมีแพร่หลาย นอกจากจะมีสาเหตุจากความไม่สะดวกในการฝากส่ง และการเดินหนังสือไปมาถึงกันแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นคือ การศึกษาเล่าเรียนของประชาชนมีจำกัด ในสมัยก่อนไม่มีโรงเรียน การศึกษาเล่าเรียนของพระบรมวงศานุวงศ์ หรือข้าราชการขุนนางชั้นผู้ใหญ่จึงมีอาจารย์สอนให้เฉพาะในวัง

สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
         จนมาถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) มีกลุ่มมิชชันนารีหรือหมอสอนศาสนาชาวยุโรปเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาในประเทศไทย จึงเริ่มมีการเขียนจดหมายติดต่อกับญาติพี่น้อง มิตรสหายในประเทศของตนขึ้น โดยส่งจดหมายไปทางเรือ ดังตัวอย่างจดหมายของมิชชันนารีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นภรรยาของหมอบรัดเลย์ ผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกในประเทศไทย (โรงพิมพ์อักษรสยามนุกูลกิจ) จดหมายนี้ส่งจากกรุงเทพฯ ใน วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๗๙ ถึงเมืองโรเชสเตอร์ (Rochester) ในนิวยอร์ก วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๓๘๐ ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น ๕ เดือน อัตราค่าส่ง ๑๘ เซ็นต์ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีแสตมป์ใช้
          ข้อนี้จะเป็นหลักฐานอันดีที่แสดงให้คนรุ่นหลังเห็นว่า การจัดส่งหนังสือเมื่อ ๑๐๐ กว่าปีที่แล้วต้องใช้เวลามากเพียงใด หากเป็นปัจจุบันก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔)
         ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงเปลี่ยนแปลงนโยบายการต่างประเทศคือ ทรงต้อนรับชาวต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยุโรป เนื่องจากทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่าไทยยังด้อยทางวิทยาการสมัยใหม่กว่าประเทศทางยุโรปอยู่มาก จำต้องเรียนรู้วิทยาการต่างๆ เหล่านี้จากประเทศทางยุโรป จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทำสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศต่างๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศนั้นๆ เข้ามาตั้งสถานกงสุลของตนขึ้นในประเทศไทย เพื่อคอยควบคุมดูแลคนและกิจการค้าขายของตน เช่น ใน พ.ศ. ๒๓๙๘ เซอร์จอห์น บาวริง (Sir John Bowring) ผู้ว่าการเกาะฮ่องกงและผู้สำเร็จราชการของอังกฤษประจำประเทศจีนได้เดินทางเข้ามาทำสนธิสัญญาบาวริง กับไทย และใน พ.ศ. ๒๓๙๙ ได้มีการจัดตั้งสถานกงสุลอังกฤษขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นผลให้การค้ากับต่างประเทศตื่นตัว มีบริษัทของอังกฤษหลายบริษัทมาเปิดสาขาในกรุงเทพฯ  เช่น  บริษัทบอนนีวิลล์ (Bonneville) บริษัทมาร์ควาลด์ (Markwald) และ บริษัทบอร์เนียม (Borneo) เป็นต้น ในรัชสมัยเดียวกันนี้เอง ได้มีการจัดตั้งสถานกงสุลสหรัฐอเมริกาในกรุงเทพฯ ติดตาม
มา ผลจากการที่ชาวต่างประเทศเข้ามาพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ มากขึ้น ทำให้เกิดความต้องการในบริการไปรษณีย์ สถานกงสุลอังกฤษจึงเป็นธุระจัดการรวบรวมข่าวสารของชาวยุโรป ส่งลงเรือไปยังสิงคโปร์เพื่อส่งต่อไปยังปลายทางอีกทอดหนึ่งส่วนสถานกงสุลสหรัฐฯ ก็เป็นธุระจัดการรวบรวมข่าวสารให้แก่ชาวอเมริกัน นอกจากนั้น ในบางครั้งบริษัทต่างประเทศที่มีสาขาในกรุงเทพฯ ก็ส่งจดหมายเองโดยตีตราประทับของบริษัทตนและฝากส่งลงเรือไปยังสิงค์โปร์ แต่เนื่องจากขณะนั้นประเทศไทยเรายังไม่มีแสตมป์ของตนเอง จึงนำแสตมป์ของอีสต์อินเดีย และสเตรตส์เซตเทิลเมนตส์ (Straits Settlements) มาจำหน่ายเพื่อใช้ในการส่งจดหมายไปพลางก่อน นอกจากนั้น ยังได้นำแสตมป์ของฮ่องกงมาใช้ในบางช่วงอีกด้วย
          ต่อมาราว พ.ศ. ๒๔๑๐ สถานกงสุลอังกฤษได้ใช้แสตมป์ที่นำมาจากสเตรตส์เซตเทิลเมนตส์ พิมพ์อักษร "B" ทับลงไป ("B" ใช้แทน Bangkok) ใช้ผนึกจดหมายที่รับฝากส่ง ดังปรากฏหลักฐานการนำแสตมป์ดังกล่าวมาใช้
แสตมป์ประทับอักษร "B" นี้ ได้นำมาใช้ถึงวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๙  เท่านั้น เพราะเมื่อไทยเรามีกิจการไปรษณีย์ของเราเองมาได้ระยะหนึ่งการใช้สถานกงสุลเป็นที่ฝากส่งจดหมายก็ยกเลิกไป
          ในขณะที่เอกชนและบริษัทต่างๆ มีการส่งข่าว-สารติดต่อกับต่างประเทศ ทางด้านราชสำนักก็มีการส่งพระราชสาสน์ติดต่อเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศเช่นกัน แต่การจัดส่งทำโดยเจ้าหน้าที่พระราชวังไม่ได้มีการติดแสตมป์แต่อย่างใด โดยปกติจะอาศัยฝากส่งหรือเดินทางไปกับเรือสินค้าเป็นสำคัญดังตัวอย่างพระราชสาสน์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่นำมาแสดง ณ ที่นี้


สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕)
          ในตอนต้นสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) คือใน พ.ศ. ๒๔๑๘ สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงออกหนังสือพิมพ์รายวันขึ้น ชื่อ "ข่าวราชการ" หรือ "Court" หนังสือพิมพ์รายวันฉบับแรกของไทย ทรงให้มีบุรุษเดินหนังสือข่าวราชการส่งแก่สมาชิกเรียกว่า "โปสต์แมน" (postman) มีการจัดพิมพ์ตั๋วแสตมป์เป็นค่าบริการ ตั๋วแสตมป์นี้เป็นพระรูปเหมือนของสมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์มีอยู่ ๒ รุ่น รุ่นแรกด้านล่างมีภาษาอังกฤษว่า "RISING P" ซึ่งมีความหมาย ตรงกับภาษาไทยว่าภาณุรังษี รุ่นที่ ๒ มีอักษรที่มุมทั้งสี่ว่า ป ม ภ สย่อมา จาก โปสต์มาสเตอร์ ภาณุรังษีสว่างวงศ์ และมีคำด้านล่างว่า "ค่าหนังสือฝาก" ถ้าส่งหนังสือถึงผู้รับที่อยู่ในคูพระนครชั้นในให้ปิดแสตมป์ ๑ ดวง ราคา ๑ อัฐ ถ้าผู้รับอยู่นอกคูพระนครชั้นในให้ปิดแสตมป์ ๒ ดวง รวมเป็นราคา ๒ อัฐ
          ต่อมาโปรดให้สั่งพิมพ์แสตมป์มาจากประเทศอังกฤษ มีกรอบลวดลาย และภายในกรอบมีภาพพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ ๕ และภาพพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง บนดวงแสตมป์ไม่มีตัวอักษรหรือตัวเลขบอกราคาไว้เลย แต่สันนิษฐานว่าแต่ละดวงมีราคาเท่ากัน คือดวงละ ๑ อัฐ เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ได้ทรงเลิกการออกหนังสือราชการเนื่องจากแต่ละพระองค์ทรงมีภาระในหน้าที่ราชการก็มิได้ทรงคิดจะจัดการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทยแต่อย่างใด จนเวลาล่วงเลยมาถึงกลาง พ.ศ. ๒๔๒๓ มีหลักฐานปรากฏในจดหมายเหตุหอหลวงว่า เจ้าหมื่นเสมอใจราช ได้มีหนังสือกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขอให้ทรงจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทย โดยในหนังสือนั้นได้กราบบังคมทูลถึงความจำเป็นว่า การพาณิชย์ค้าขาย และบ้านเมืองเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อน สมควรที่จะได้จัดการไปรษณีย์ขึ้น เจ้าหมื่นเสมอใจราชได้ทูลถึงหลักการทั่วไปในการดำเนินงานไปรษณีย์ที่สำคัญคือ จะต้องจัดทำบัญชีเลขที่บ้านก่อน ทั้งยังประมาณการค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งรายได้ที่คาดว่าจะได้รับ ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนเป็นอย่างดี ได้มีการจัดทำเลขบ้าน และขณะเดียวกันก็สั่งพิมพ์ตราไปรษณียากรจากบริษัทวอเทอร์โลว์แอนด์ ซันส์ จำกัด (Waterlow and Sons Limited) ประเทศอังกฤษ มาใช้งาน ๖ ชนิด ๖ ราคา คือ โสฬศ อัฐ เสี้ยว ซีก เฟื้อง และสลึง (สำหรับชนิดราคา ๑ เฟื้องนั้น เมื่อเปิดการไปรษณีย์ขึ้นแล้วบริษัทผู้พิมพ์ส่งมาไม่ทัน และเนื่องจากทางการได้ยกเลิกหน่วยเงินเฟื้องไปก่อนจึงไม่ได้นำออกใช้) เริ่มนำออกใช้ในวันประกาศเปิดการไปรษณีย์ขึ้นในกรุงเทพฯ ในวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ เป็นต้นมา นับเป็นแสตมป์ชุดแรกในรัชกาลนี้
          ต่อมาในวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพสากลไปรษณีย์แต่เนื่องจากแสตมป์ชุดแรกของไทยไม่มีอักษรภาษาอังกฤษบ่งบอกชื่อประเทศ และไม่มีตัวเลขอาระบิคบ่งบอกราคาแสตมป์ จึงต้องสั่งแสตมป์ชุดใหม่มาใช้ให้มีชื่อประเทศว่า "SIAM" มีตัวเลขอาระบิคบอกราคาและมีหน่วยเงินเป็นอัฐ "ATT"
          ในระหว่างที่รอแสตมป์ชุดที่สองอยู่นั้น ได้นำเอาแสตมป์ชุดแรกราคาโสฬศมาประทับ "1 TICAL" ใช้แทนไปพลางก่อน ในการส่งจดหมายไปต่างประเทศ (1 TICAL = ๖๔ อัฐ) โดยประทับแก้เป็น ๕ แบบ
          ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๐ เริ่มนำแสตมป์ชุดที่สองออกใช้ แสตมป์ชุดนี้มี ๒, ๓, ๔, ๘, ๑๒, ๒๔ และ ๖๔ อัฐ ส่วนราคา ๑ อัฐนั้น สั่งเพิ่มเติมมาภายหลัง

          หลังจากที่แสตมป์ชุดที่สองถูกนำออกใช้แล้วปรากฏว่ามีแสตมป์หลายราคาที่สั่งมาไม่เพียงพอแก่ความต้องการ จึงมีการประทับแก้ราคาบนดวงแสตมป์หลายราคาด้วยกัน เช่น  ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๓๓ ได้มีการประทับแก้ราคา ๑ อัฐ ลงบนแสตมป์เดิมราคา ๓ อัฐ เพราะอัตราค่าส่งในประเทศขณะนั้นเท่ากับ ๑ อัฐ
          ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ได้มีการประทับแก้ราคา ๔ อัฐ ลงบนแสตมป์เดิมราคา ๒๔ อัฐ โดยใช้มือประทับด้วยแม่พิมพ์ไม้ และแม่พิมพ์โลหะปลาย  พ.ศ. ๒๔๓๗ มีการประทับแก้ราคา   ๒ อัฐ ลงบนแสตมป์เดิมราคา ๖๔ อัฐ และจากการประทับแก้หรือพิมพ์แก้ราคาในชุดต่างๆ นี้เอง ทำให้เกิดการผิดพลาดซึ่งเรียกว่า ตัวตลก ได้แก่ ตัวแก้พิมพ์ซ้ำ ตัวแก้หัวกลับพิมพ์แก้ด้านหลัง และบางชุดที่ประทับแก้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษก็อาจจะตกตัวแก้ภาษาใดภาษาหนึ่ง เป็นต้น แก้ชนิดนี้ นิยมเรียกกันในหมู่นักสะสมแสตมป์ว่า "สิบใหญ่" นอกจากที่ได้นำมาแสดงในที่นี้ ก็ยังมี    แสตมป์แก้อีกหลายราคาด้วยกันที่ได้จัดทำขึ้นออกใช้เป็นการชั่วคราว ก่อนที่แสตมป์ชุดใหม่ที่สั่งจากต่างประเทศจะมาถึง หลังจากที่ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพสากลไปรษณีย์แล้ว ก็ได้มีการขยายกิจการไปรษณีย์ออกไปยังจังหวัดต่างๆ ในทั่วทุกภาคของประเทศโดยเริ่มเปิดแห่งแรกที่สมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ และแห่งที่สองที่นครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ส่วนจังหวัดอื่นๆ ก็ได้เปิดที่ทำการไปรษณีย์ขึ้นในระยะต่อมาตามลำดับจนครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ และต่อมาก็ได้มีบริการใหม่ๆ เปิดบริการแก่ประชาชนตลอดมา
         ใน  พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้มีการออกแสตมป์ชุดราชกุมาร ขึ้น โดยพระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษของสมเด็จเจ้าฟ้าวชิรุณหิศ เพื่อประกอบการศึกษาในราชสำนัก มีอยู่ ๓ ราคาด้วยกัน ได้แก่ ราคา ๑ อัฐ ๑ เสี้ยว และ ๑ ซีก ปลาย  พ.ศ. ๒๔๓๖ จังหวัดจันทบุรีถูกยึดครอง โดยประเทศฝรั่งเศส และมีการลงนามสนธิสัญญาว่าด้วยการยึดครองในวันที่ ๓ ตุลาคม ปีเดียวกันนั้นจดหมายที่ส่งออกจากจันทบุรีในระยะนั้น จะมีตราพิเศษของประเทศฝรั่งเศสที่แสดงการยึดครอง จดหมายเหล่านี้จะส่งไปยังศูนย์ที่เมืองไซ่ง่อน ในประเทศเวียดนาม ก่อนส่งไปยังปลายทางต่อไป
         ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้มีการนำแสตมป์ชุดที่สาม ซึ่งสั่งพิมพ์จากประเทศเยอรมันออกใช้ และมีการพิมพ์บางราคาเพิ่มขึ้นอีกในภายหลังรวมที่สั่งมาทั้งสิ้น ๑๒ ราคาด้วยกัน
         ในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ มีการนำเอาแสตมป์ชุดพระพักตร์เพี้ยนออกใช้ แสตมป์ชุดนี้ ทางการได้รับจากประเทศเยอรมันตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๐ แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงพอพระทัยในลักษณะพระพักตร์ในดวงแสตมป์ จึง    มีพระบรมราชโองการให้เก็บแสตมป์ชุดนี้เสีย ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการบริหารการไปรษณีย์ โดยให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติควบคุมการจ่ายแสตมป์ไปยังที่ทำการไปรษณีย์ ใน พ.ศ. ๒๔๔๒ เกิดมีการผิดพลาดนำแสตมป์ชุดนี้บางส่วนออกใช้ในเมือง ๓ เมือง คือ ภูเก็ต โคราช และพระตะบอง และมีการส่งต่อไปยังที่ทำการไปรษณีย์ย่อยๆ ในบริเวณใกล้เคียง เช่น ระนอง ศรีโสภณ และเคดาห์ - ไทรบุรีเมื่อทางการตรวจพบจึงได้เรียกแสตมป์ส่วนที่เหลืออยู่กลับ แล้วเผาทิ้งพร้อมกับส่วนที่เหลือในคลังทั้งหมด
          ถึงแม้ว่าแสตมป์ชุดนี้จะมีการนำออกใช้ แต่ก็เป็นระยะเวลาที่สั้นมาก แสตมป์ชุดนี้ที่ใช้แล้วจริงจึงหาได้ยากมากและราคา ๔ อัฐ และ ๑๐ อัฐ ที่ใช้จริงนั้น ยังไม่เคยปรากฏเลย ที่พบก็เป็นแสตมป์ที่ทางการนำไปให้พนักงานไปรษณีย์ประทับตราขีดฆ่าที่โคราช ระหว่างวันที่ ๓ - ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ เท่านั้น
          แสตมป์ชุดชั่วคราวพระตะบอง ออกใช้ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๔๕ เนื่องจากในเดือนกันยายนปีดังกล่าว ข้าหลวงใหญ่ประจำพระตะบองได้โทรเลขไปยังกรุงเทพ ขอเบิกแสตมป์หลายราคาเพื่อนำออกใช้ แต่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติส่งให่ล่าช้าไม่ทันการ ประกอบกับแสตมป์ราคา ๒ และ ๑๐ อัฐที่พระตะบองหมดลง ข้าหลวงใหญ่จึงได้ออกคำสั่งให้นายไปรษณีย์แก้ไขราคาแสตมป์ชุดที่สามจาก ๓ อัฐแก้เป็น ๒ อัฐ และจาก ๑๒ อัฐ แก้เป็น ๑๐ อัฐ ด้วยเครื่องพิมพ์หมึกสีม่วงและนำออกใช้ทันทีเมื่อทางการทราบข่าวจึงสั่งระงับการแก้ไข และให้งดใช้ทำให้แสตมป์ชุดนี้หายากมากเพราะมีจำนวนการพิมพ์น้อย และระยะการใช้สั้น
          นอกจากแสตมป์แก้ชุดพระตะบองแล้ว ก็ยังมีแสตมป์แก้ชุดอื่น ที่นำออกใช้แทนแสตมป์บางราคาที่ขาดไป ได้แก่ ชุดชั่วคราว ๑ อัฐแก้ทับบนราคา ๑ ๒ อัฐ และ ๒ อัฐแก้ทับบนราคา ๒๘ อัฐ เป็นที่น่าสังเกตว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีที่ทำการไปรษณีย์ของไทยหลายแห่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศลาว เขมร และมาเลเซีย จะสังเกตได้จากตราประทับของที่ทำการไปรษณีย์ต่างๆ ซึ่งขณะนี้ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว ตราประทับที่ทำการไปรษณีย์ในลาวได้แก่ ไชยบุรี หลวงพระบาง จำปาศักดิ์ ปากลาย โขง
          ตราประทับที่ทำการไปรษณีย์ในเขมรได้แก่พระตะบอง ไพลิน  เสียมราษฎร์ ศรีโสภณ และจันทคิรีเขตร์
ตราประทับที่ทำการไปรษณีย์ ในมาเลเซียได้แก่ เคดาห์ - ไทรบุรี โกตาบาห์รู กวาลามุดา กุลิมลังกาวี ปะลิส บาตูเมงกีบัง (กลันตัน)
          ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ และ ๑ เมษายนพ.ศ. ๒๔๕๑ ได้มีการนำแสตมป์ชุดวัดแจ้งออกใช้โดยพิมพ์ ๒ รุ่น รุ่นหลังมีบางราคาเพิ่มขึ้น เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าส่งในประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับราคาของสหภาพสากลไปรษณีย์

         ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๕๐ มีการนำแสตมป์ราคาสูงชุดฤชากร ออกใช้ เนื่องด้วยกรมไปรษณีย์ฯ ได้เปิดไปรษณีย์ที่ ๘ ขึ้นที่เยาวราช เพื่อรับฝากไปรษณียภัณฑ์ไปประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ เปิดตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๕๐ ปรากฏว่า ชาวจีนนำส่งไปรษณียภัณฑ์เป็นจำนวนมาก บางห่อมีจดหมายมากถึง ๗๕๐ ฉบับ จึงต้องปิดแสตมป์ราคาสูง แต่ขณะนั้นแสตมป์ราคาสูงที่สุดมีเพียง 1 TICAL (๑ บาท) และแสตมป์ราคาสูงยังไม่ได้พิมพ์มาใช้ กระทรวงโยธาธิการ  จึงกราบบังคมทูลฯ ขอพระบรมราชา-นุญาตนำแสตมป์ฤชากรซึ่งใช้เป็นค่าธรรมเนียมศาลและที่ดิน ชนิดราคา ๑๐,๒๐, และ ๔๐ บาท มาพิมพ์ทับเป็น SIAMPOSTAGE 10, 20 และ 40 TICALS ใช้เป็นแสตมป์ไปพลางก่อนจนกว่าแสตมป์ราคาสูงที่สั่งพิมพ์จะมาถึง
          ในระหว่างวันที่ ๙ - ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ มีการใช้ของชั่วคราว เนื่องจากในเดือนธันวาคมพ.ศ. ๒๔๕๐ เกิดขาดแคลนแสตมป์ราคา ๑  อัฐ กรมไปรษณีย์ฯ จึงอนุมัติให้นายไปรษณีย์ ๔ คนจากที่ทำการไปรษณีย์ ๓  แห่ง เขียนข้อความด้วยลายมือหรือพิมพ์ดีดหรือใช้ตรายางประทับ เป็น ภาษาไทยหรืออังกฤษลงบนซอง มีใจความว่า "ไม่ได้ติดแสตมป์เพราะแสตมป์หนึ่งอัฐไม่มี" หรือ "one att stamps run short-postage paid" แล้วให้ประทับตราขีดฆ่า พร้อมกับเซ็นชื่อกำกับแทนการใช้แสตมป์ทุกซองไป จนเมื่อใดที่ทำวิธีดังกล่าวได้ครบเงิน ๖๔ อัฐ ก็ให้ซื้อแสตมป์ราคา ๖๔ อัฐ มาประทับตราประจำวันต่อไป
นายไปรษณีย์ ๔ คน จากที่ทำการไปรษณีย์ ๓ แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ ป.ณ.ที่ ๑ (วัดเลียบในปัจจุบัน) ได้แก่ หลวงวิวิธธนการ (นายฟ้อน, Fawn) กับพระรัยการบัญชา (รัยการ, Rayakarn) กรุงเทพฯ ป.ณ.ที่ ๒ (ไปรษณีย์กลาง) ได้แก่พระสาณะเศรษฐสุนทร (Fack) กรุงเทพฯ ป.ณ.ที่ ๕ (หัวลำโพงในปัจจุบัน)ได้แก่ ขุนสนธิสารนันท์  (Manit) วิธีนี้ใช้อยู่เพียงวันที่ ๙ - ๑๖ ธันวาคม เพราะแสตมป์แก้รุ่นต่อไปได้ถูกนำออกมาใช้แทน
          ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ แสตมป์ชุดรัชมังคลาภิเษกก็ออกใช้ เป็นภาพพระบรมรูปทรงม้าซึ่งประชาชนได้ร่วมใจกันบริจาคเงินน้อมเกล้าฯ ถวายให้จัดสร้างขึ้นเป็นพระราชานุสาวรีย์เพื่อเฉลิมวันครบรอบ ๔๐ ปีแห่งการเสวยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
          ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ แสตมป์ชุดครุฑรัชกาลที่ ๕ ได้ออกใช้  นับเป็นแสตมป์ชุดถาวรชุดสุดท้ายในรัชสมัยนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนแสตมป์ชุดนี้ก็มีแสตมป์ชุดชั่วคราวอีกหลายชุดที่ไม่ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้

สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) แสตมป์ชุดแรกที่นำออกใช้ในวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ คือชุดเวียนนา (พิมพ์ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย) มีทั้งราคาสตางค์และราคาบาท โดยเป็นชุดแรกที่พิมพ์หน่วยเงินภาษาอังกฤษว่า "BATH" แทน "TICAL"
         ต่อมาราวต้น พ.ศ. ๒๔๕๗ ทางการได้ตกลงกับสหภาพสากลไปรษณีย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงอัตราค่าส่งจดหมายไปต่างประเทศเป็น ๑๕ สตางค์ ต่อ น้ำหนัก ๒๐ กรัม และอีก ๑๐ สตางค์ ต่อทุกๆ  น้ำหนัก ๒๐ กรัมต่อไป และในขณะเดียวกันได้ลดอัตราค่าส่งในประเทศลง โดยอัตราค่าส่งภายในกรุงเทพฯ ลดจาก  ๖  สตางค์ เหลือ ๕ สตางค์ ส่วนอัตราค่าส่งไปต่างจังหวัดลดจาก ๑๒ สตางค์  เหลือ ๑๐ สตางค์ ต่อน้ำหนัก ๑๕ กรัม และค่าลงทะเบียนให้คิดราคาฉบับละ ๑๕ สตางค์
จึงเกิดความจำเป็นต้องใช้แสตมป์ ราคา ๕, ๑๐ และ ๑๕ สตางค์ ประกอบกับขณะนั้นขาดแคลนแสตมป์ราคา ๒ สตางค์ ทางการจึงได้สั่งแก้แสตมป์ทั้ง ๔ ราคา โดยนำชุดเวียนนา มาแก้ที่บริษัทเค โอยามา (K. Oyama) กรุงเทพฯ
          ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ได้มีการนำแสตมป์ชุดลอนดอนออกใช้ โดยสั่งพิมพ์จากประเทศอังกฤษเลียนแบบชุดเวียนนา จะเปลี่ยนแปลงก็เฉพาะราคาบางดวงเท่านั้น เพราะสงครามโลกครั้งที่ ๑ เริ่มขึ้นในยุโรป จึงทำให้ยากที่จะส่งแสตมป์จากเวียนนามากรุงเทพฯ
          ในระยะสงครามโลกครั้งที่ ๑ นี้เอง มีจดหมายของเชลยศึกที่ส่งจากค่ายกักกันที่กรุงเทพฯ และอยุธยาเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงคราม มีค่ายกักกันเชลยศึกในประเทศไทยทั้งในกรุงเทพฯ และอยุธยา
ในวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๑ มีการนำแสตมป์ชุดลอนดอนทั้งชุดมาประทับดวงตรากาชาดออกจำหน่ายในราคาสูงกว่าราคาในดวง เพื่อนำเงินรายได้ส่วนที่เกินราคาจริงนี้ไปบำรุงสภากาชาดไทย
         ในวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ได้มีการนำชุดวันชัยออกใช้ โดยพิมพ์คำว่า "วันชัย VICTORY"บนแสตมป์ชุดลอนดอน (ยกเว้นราคา ๑๐ และ ๒๐ บาท) เป็นการฉลองชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ ๑
         ในปี พ.ศ. ๒๔๖๑-๒๔๖๒ มีการนำแสตมป์ดุสิตธานี ออกมาใช้ในเมือง ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้จำลองขึ้น เพื่อเป็นเมืองสำหรับทดลองใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร มีการออกกฎหมายเองมีรัฐบาลของเมือง ซึ่งเลือกมาจากสภา รวมทั้งมีการออกหนังสือพิมพ์ที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์การเมืองได้เป็นครั้งแรก
แสตมป์ดุสิตธานีนี้สั่งพิมพ์จากต่างประเทศ มีขนาดเล็กกว่าแสตมป์ธรรมดาเพื่อให้มีลักษณะแตกต่างจากแสตมป์ที่ใช้อยู่ทั่วไป ในหนึ่งแผ่นมีแสตมป์จำนวน  ๒๘ ดวง
         ใน พ.ศ. ๒๔๖๓-๒๔๖๙  มีการนำเอาแสตมป์ชุดปีกครุฑออกมาใช้ ๓ ระยะด้วยกัน โดยสั่งพิมพ์เป็นราคาสตางค์ทั้งสิ้น และใน พ.ศ. ๒๔๖๒ - ๒๔๖๔ ได้มีการนำแสตมป์ชุดต่างๆ มาประทับเป็นแสตมป์บำรุงเสือป่า ๓ รุ่นด้วยกัน แล้วนำออกจำหน่ายในราคาสูงกว่าราคาในดวง โดยนำรายได้ส่วนที่เกินนี้ไปบำรุงกิจการเสือป่า
         ต่อมาได้มีการออกแสตมป์ชุดอากาศ ใน พ.ศ. ๒๔๖๗-๒๔๖๘ และในวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๘  ได้ออกแสตมป์
ชุดมนังคศิลาเป็นชุดสุดท้ายในรัชกาลนี้    แสตมป์ชุดมนังคศิลาพิมพ์ขึ้นเพื่อจะสมโภชการครองราชย์ครบ ๑๕ ปี ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. ๒๔๖๘ แต่พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อน จึงนำออกใช้เป็นชุดธรรมดา

สมัยรัชกาลที่ ๗
          ชุดรัชกาลที่ ๗ เป็นชุดแรกที่นำออกจำหน่ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ออกจำหน่ายในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๑ มีราคาตั้งแต่ ๒ สตางค์ไปจนถึง ๔๐ บาท ตัวตลกที่สำคัญของแสตมป์ชุดนี้ได้แก่ แสตมป์ที่ไม่มีรอยปรุในแนวนอน
          ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖, ๒๔๗๗, ๒๔๗๘, ๒๔๗๙ และ ๒๔๘๐ ได้มีการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญขึ้นในบริเวณพระราชวังสราญรมย์ จึงจัดทำตราประทับพิเศษฉลองรัฐธรรมนูญขึ้นใช้ร่วมกับตราประทับประจำวัน ณ ที่ทำการไปรษณีย์พระราชอุทยานสราญรมย์
          จากนั้นก็มีการนำแสตมป์ชุดชั่วคราวและชุดถาวรออกจำหน่ายอีกหลายชุด เช่น ชุดอากาศชุดที่ ๒ ชุด ๑๕๐ ปี แห่งราชวงศ์จักรี ชุดพระที่นั่งอนันตสมาคม และชุดพระที่นั่งจักรี เป็นต้น

สมัยรัชกาลที่ ๘
          เป็นที่น่าสังเกตว่า ชุดพระที่นั่งอนันตสมาคมที่นำออกจำหน่ายในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ นั้น เป็นแสตมป์ชุดแรกที่เริ่มใช้ภาพสถานที่สำคัญของไทย และหลังจากนั้นก็มีแสตมป์ภาพสถานที่ต่างๆ กัน ออกมาอีกเป็นจำนวนมาก
          ชุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและพระราชวังบางปะอิน เป็นชุดแรกที่นำออกจำหน่ายในรัชสมัยของพระองค์ นำออกจำหน่ายในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๘๔ ต่อจากนั้นก็มีแสตมป์ชุดอากาศ ชุดพระบรมฉายาลักษ์รัชกาลที่ ๘ ชุดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และชุดอนุสาวรีย์ปราบกบฏ ออกจำหน่าย
          ในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๖ ได้มีแสตมป์ชุดไทยยึดครองกลันตันออกจำหน่าย แสตมป์ชุดนี้ไม่มีกาวด้านหลัง ออกมาเป็นภาษามลายูและราคาเป็นหน่วยเงินมลายู เพื่อใช้ในรัฐกลันตัน
           ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๘๗ ได้นำแสตมป์ชุดที่รัฐในมลายูออกจำหน่าย แสตมป์ชุดนี้พิมพ์ขึ้นเพื่อใช้เฉพาะใน ๔ รัฐ คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานูและปะลิส ในขณะที่ไทยได้ ๔ รัฐ นี้คือมาจากอังกฤษในระยะต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ใน พ.ศ.๒๔๘๘ ก็กลับคืนไปเป็นของอังกฤษอีก
           รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีที่ทำการไปรษณีย์หลายแห่งที่อยู่ในการยึดครองของไทยแต่ขณะนี้ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแล้ว เช่น ที่ทำการไปรษณีย์ในลาว ได้แก่ จำปาศักดิ์พิบูลสงคราม และลานช้าง ที่ทำการไปรษณีย์ในเขมร ได้แก่ ศรีโสภณ  มงคลบุรี และพระตะบอง ส่วนที่ทำการไปรษณีย์ในมลายู นั้น ได้แก่ ที่ทำการไปรษณีย์ใน ๔ รัฐ  ซึ่งจะไม่กล่าวในที่นี้  เพราะมีการจัดทำแสตมป์พิเศษใช้ในรัฐเหล่านี้อยู่แล้ว

สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน
          ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน แสตมป์ชุดแรกออกจำหน่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ และมีแสตมป์ชุดต่างๆ ออกจำหน่ายในโอกาสและวาระสำคัญอีกเป็นจำนวนมากมีทั้งที่เป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ภาพที่แสดงถึงศิลปะ วัฒนธรรม และจิตรกรรมของไทย ภาพการส่งเสริมการกีฬาและกิจกรรมต่างๆ ของสังคม รวมถึงภาพสัตว์ ผลไม้ สถานที่ท่องเที่ยวของไทย และอื่นๆ เป็นต้น

แสดงความคิดเห็น

>