เงินกู้นอกระบบ
เงินกู้นอกระบบ เงินด่วนบนเส้นทางที่เจ็บปวด
ในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ การไม่เป็นหนี้ ถือได้ว่า กลายเป็นลาภอันประเสิฐไปเสียแล้ว สำหรับคนพ.ศ.นี้ หากเทียบกับคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องหาเช้ากินค่ำ คำว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้ จึงไม่สามารถหนีห่างจากกันไปได้ แต่ด้วยหนี้ในระบบที่มีกฏเกณท์มากมาย ทำให้เงินกู้นอกระบบ ที่มีดอกเบี้ยสูงติดเพดาน จึงเข้ามาแทนที่และได้รับความนิยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และด้วยเหตุนี้ ธุรกิจเงินนอกระบบจึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ท้าทายทั้งเหล่าผู้ที่ต้องการเงินด่วนทันใจ และท้าทายอำนาจของรัฐ ที่สำคัญไปกว่านั้น ยังไม่มีหนทางใด ที่จะออกมาดูแลและควบคุมเงินนอกระบบเหล่านี้อย่างจริงจัง จึงสร้างโอกาสให้กับผู้มีอิทธิพลขยายสาขาและหยั่งรากลึกเข้าสู่สังคมไทยไปอย่างรวดร็ว
หนี้พุ่ง คนมุ่งหาเงิน(ด่วน)
กลายเป็นภาพที่ชินตาไปแทบทุกที่ สำหรับใบปิดที่จะมีความหมายคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็น เงินกู้ 100% ,เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ,เพียงคุณมีบัตรผ่อนสินค้า ก็สามารถกู้ได้เต็มจำนวน และอนุมัติเร็ว ภายใน 3 ช.ม. ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างโฆษณาที่แสนยั่วใจให้กับผู้ที่มีปัญหาทางการเงินในทุกรูปแบบ และด้วยการไร้ข้อจำกัดทางด้านกฏเกณฑ์ จึงทำให้มีคนจำนวนไม่น้อย ตกอยู่ในวงเวียนของการเป็นหนี้ ซึ่งผลสำรวจสภาพหนี้ภาคครัวเรือนทั่วประเทศ โดยเป็นการสำรวจครัวเรือน 1,202 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 18-23 กุมภาพันธ์ 2552 พบว่า 58.4% ระบุว่ามีหนี้ ซึ่งแหล่งเงินกู้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 83.8% นายทุน 75.4% และธนาคารประชาชน 70.7% และภาพรวมหนี้สินเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา พบว่า 72.01% หนี้เพิ่มขึ้นจากบัตรเครดิต 69.26% เพิ่มขึ้นจากธนาคารพาณิชย์ และ 68.62% เพิ่มขึ้นจากการยืมเพื่อนและคนรู้จัก
ซึ่งผลสำรวจยังชี้ให้เห็นอีกว่า ภาระหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 143,476.32 บาท แบ่งเป็นหนี้ในระบบ 57.40% หนี้นอกระบบ 42.60% ในขณะที่ยอดผ่อนชำระต่อเดือนอยู่ที่ 9,416.50 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ถูกทดแทนด้วยการนำไปผ่อนชำระหนี้เสียเป็นส่วนใหญ่ โดยกลุ่มผู้มีรายได้ 5,000-10,000 บาท จะมีปัญหาชำระหนี้มากสุดถึง 82.2% รองลงมารายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท มีปัญหาชำระ 71.4%
เงินกู้นอกระบบ เร็วและร้ายพร้อมๆกัน
หลายคนอาจสงสัยที่มาที่ไปของกระดาษแผ่นขาวๆ ซึ่งเป็นที่มาของเงินกู้จำนวนมากมายในยามที่เศรษฐกิจตกสะเก็ดเช่นนี้ ว่าเป็นของใคร และทำไมถึงกล้าที่จะยอมเสี่ยงกับผู้กู้ที่ไม่เคยรู้จักสถานะทางการเงิน ซึ่งแท้จริงแล้ว เงินกู้นอกระบบคือ การกูเงินจากบุคคลอื่น ที่ไมใชสถาบันการเงินหรือสถาบันที่ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงคในการใหเงินกูในวงเงินครั้งละไมเกิน 30,000 บาท ซึ่งคนทั่วไปแล้ว มีความลำบากใจทุกครั้งที่ต้องขอกู้จากธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เพราะขาดหลักเกณฑ์หรือของกำหนดที่จะสามารถกู้เงินได้ ซึ่งระบบการกู้เงินต่างๆที่ไม่เอื้ออำนวย จึงทำให้ต้องหันหน้าเข้าไปพึ่งแหลงเงินกูต่างๆจากการกูเงินจากนอกระบบ ซึ่งหาได้ง่ายจากบริเวณป้ายรถประจำทาง ตู้โทรศัพท์สาธารณะ หรือแม้แต่บนรถบริการสาธารณะ ที่สามารถพบเห็นได้ตลอดเวลา
โดยรูปแบบที่ทำเป็นประจำของกลุ่มปล่อยเงินกู้ มักจะไม่มีการทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือ แต่ผู้ให้กู้ยึดโฉนด สิ่งของมีค่าหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นประกัน พร้อมกับให้ผู้กู้เซ็นใบมอบฉันทะไว้ ผู้ให้กู้จะเรียกเก็บดอกเบี้ยทุกเดือน หากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ ผู้ให้กู้จะนำใบมอบฉันทะดังกล่าวไปดำเนินการต่อเพื่อนำมาเป็นของผู้ให้กู้ หรือในกรณีที่ผู้กู้เป็นผู้มีการงานทำมั่นคง และมีเงินเดือนประจำ โดยมีทั้งการให้กู้ยืมเงินแบบทั้งมีสัญญากู้ยืมและไม่มีสัญญากู้ยืม ผู้ให้กู้จะยึดบัตรเอทีเอ็ม ของผู้กู้ไว้ และจะนำมาเบิกเงินสดเพื่อผ่อนชำระหนี้เงินกู้ผ่านธนาคาร และผู้ให้กู้จะเสียดอกเบี้ยในอัตราสูง ตั้งแต่ร้อยละ 5-30 ต่อเดือน ซึ่งมีทั้งเงินกู้รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน
การปล่อยเงินกู้นอกระบบนี้ โดยส่วนมากจะเป็นนายทุนผู้มีอิทธิพลในท้องที่เป็นผู้ให้กู้หรือเป็นผู้รับ จ้างในการเรียกเก็บหนี้จากผู้กู้ โดยจะมีการข่มขู่หรือ กรรโชก หรือแม้แต่กระทั่งทำร้ายร่างกายผู้กู้ เพื่อให้ผู้กู้ชำระหนี้ ซึ่งจะเ กิดปัญหาสังคมขึ้นตามมา เนื่องจากผู้กู้เกิดความหวาดกลัว จึงต้องไปกู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้อื่นๆที่เรียกดอกเบี้ยแพงกว่าเพื่อมาชำระ หนี้ให้กับผู้ให้กู้ ทำให้เกิดเป็นหนี้สินขึ้นไม่รู้จบ หรืออาจกระทั่งทำให้หมดเนื้อหมดตัวทำให้สิ่งของที่ได้ประกันไว้ตกอยู่ในมือผู้อื่นอย่างมิชอบ
ทวงหนี้โหด ได้ไม่คุ้มเสีย
“มาเฟียเงินกู้ดอกโหด ทวงหนี้รายวันพ่อค้าน้ำแข็ง 200 บาทไม่ได้ ยกพวกขึ้นรถกระบะบุกตลาดสด จ้วงสปาต้าฟันหน้าเละ กะโหลกแตกเลือดอาบร่าง ลูกชายเห็นเหตุการณ์กระโดดช่วยพ่อ เจอฟันหัวไหล่เจ็บไปอีกราย” หรือ “หนุ่มโร่ร้องขอความเป็นธรรม หลังมารดาถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ยกพวกรุมตื้บสลบคาบ้านยัวะเบี้ยวหนี้นอกระบบ เหยื่อยอมรับกู้หนี้มา 4,000 บาท ระยะหลังขายข้าวแกงไม่ดี ขาดส่ง 2-3 วันจึงขอผัดผ่อน จู่ๆ ถูกบุกบ้านซ้อมปางตาย เผยถูกเหยียบศีรษะ-ไม้เบสบอลตีหน้าแม้ยกมือไหว้ร้องขอชีวิตก็ยังไม่ยอม” ทั้งหมดนี้คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นในวงจรของเงินกู้นอกระบบ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว สำหรับผู้ที่เลือกเส้นทางเดินของการเป็นหนี้นอกระบบ
และที่น่าเป็นห่วงสำหรับลูกหนี้ของเงินกู้เถื่อนเหล่านี้ นั่นคือการเร่งรัดหนี้สิน หรือการตามเก็บเงินกู้ ที่มีสารพัดรูปแบบ เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินที่ติดค้าง ในรายที่สามารถประณีประนอมได้ ก็สามารถรอดพ้นอิทธิพลเถื่อนไปได้ แต่ในรายที่ไม่สามารถผัดผ่อน อาจมีการทำร้ายร่างกายจนถึงกับเลือดตกยางออก เพียงเพราะเงินจำนวนไม่มาก โดยที่ผ่านมาพบว่าการเก็บเงินหรือดอกเบี้ยของเจ้าหนี้เถื่อน มักจะมาในรูปแบบของการขู่กรรโชก โดยใช้ชายฉกรรค์ไม่ต่ำกว่า 2 คน เข้ามาทวงหนี้ ซึ่งเหยื่อของความรุนแรงดังกล่าว มีทั้งเด็กวัยรุ่นไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ ที่กลายเป็นผู้ถูกกระทำอย่างทารุณ
แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายคุ้มครองลูกหนี้ในกรณีที่เจ้าหนี้เก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด แต่ในเส้นทางของความเป็นจริง พบว่าเส้นทางของเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยในอัตราที่สูง ยังคงได้รับความนิยม ส่งผลให้ระบบการทวงหนี้โหดในรูปแบบต่างๆ หาได้เกรงกลัวตามระบบอาญากฎหมาย ทั้งยังสร้างให้ผู้มีอิทธิพลต่างๆ ซ่องสุมกำลังคนเพื่อกระทำความผิด ถือเป็นวงจรที่กำลังแผ่ขยายลงไปในระบบสังคมไทยในปัจจุบันที่ยากแก่การกวาดล้าง ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดคือการไม่เป็นหนี้ หรือเป็นหนี้ให้น้อยที่สุดเท่านั้น
ปรับชีวิต พิชิตหนี้
หลายคนอยากที่จะหลุดพ้นเงินกู้ดอกเบี้ยโหด แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงอยู่ในวังวนของการเป็นหนี้ เพราะแท้จริงแล้ว ต้นตอของการกู้เงิน มาจากระบบรายรับรายจ่ายที่ไม่ได้รับการควบคุม ซึ่งมาจากหลายๆปัจจัยที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน ทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ฟุ้งเฟ้อ การใช้จ่ายเกินตัว รวมไปถึงปัญหาต่างๆนานับประการ กลวิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอิสระจากหนี้ ขึ้นอยู่กับวินัยทางการเงินของทุกคนซึ่งสามารถทำได้ง่ายดังวิธีต่อไปนี้
กำหนดแผนใช้จ่ายพร้อมทั้งเดินตามแผนการใช้จ่ายอย่างเคร่งครัด หากรอใบเรียกเก็บเงินหรือให้ชำระหนี้ส่งมา แล้วค่อยดำเนินการตามแผนใช้จ่ายที่วางไว้อาจจะสายเกินไป เมื่อค่าใช้จ่ายบานปลายจนยากจะจัดการได้ ดังนั้นควรติดตามดูตัวเลขใช้จ่ายเสียแต่เนิ่นๆ และคอยเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละวันตามแผนที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้แน่ใจเสมอว่าตัวเองยังอยู่ในขอบเขตหรือข้อจำกัดที่ได้ตั้งไว้ เช่น
- ค่าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ค่าอาหาร ค่าพาหนะ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ค่าเสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน ดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น หากเห็นว่าเงินได้ของเรามีจำกัด ยังมีภาระอื่นๆ อีก ก็อาจจะตัดรายการบันเทิงหรือสิ่งฟุ่มเฟือย ที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง
- เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ควรแยกเก็บเงินส่วนนี้ไว้ในรูปแบบที่มีความเสี่ยงน้อยๆ และมีสภาพคล่องมากที่สุด เมื่อต้องการใช้เมื่อไหร่ สามารถที่จะเบิกได้ทันที เช่น ฝากธนาคารบัญชีออมทรัพย์ เป็นต้น
- เงินสำหรับการนำไปใช้ในอนาคต เช่น เพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ การศึกษาลูก และเงินเพื่อการเกษียณอายุ เป็นต้น เงินในส่วนนี้อาจจะต้องแบ่งระยะเวลาเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อนำเงินไปจัดสรรรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสม
-ทำบัญชีค่าใช้จ่ายประจำเดือน เพื่อกำหนดรายจ่ายแต่ละอย่างออกมาให้ชัดเจน แล้วนำรายจ่ายทั้งหมดมารวมกันทำให้ทราบว่ารายจ่ายก้อนโตที่ต้องจ่ายทุกเดือน เมื่อนำมาหักรายได้เงินในบัญชีหรือยังเหลือพอสำหรับการออมได้บ้าง
ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น สภาพเศรษฐกิจกำลังตกอยู่ในภาวะตกต่ำเช่นนี้ หลายคนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อให้มีเงินเหลือพอสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆที่มีความจำเป็นมากกว่าด้วยการพิจารณาบัญชีรายจ่ายประจำเดือนอีกครั้ง แล้วสำรวจว่าอะไรจำเป็นมากที่สุด และอะไรที่ไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายแล้วทุกคนในครอบครัวยังดำรงชีวิตประจำวันอยู่ได้ เช่น รายจ่ายที่จำเป็นสำหรับบางครอบครัวคือ ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าขนมเด็กๆ ค่าน้ำมันรถสำหรับคุณพ่อ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแต่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน ก็อาจมาพิจารณากันใหม่อีกครั้งว่าค่าขนมของเด็กๆ นั้นมากเกินความจำเป็นหรือไม่ ทำอย่างไรถึงจะขับรถอย่างประหยัดน้ำมัน หรือมีทางที่จะประหยัดพลังงานอื่นๆได้อย่างไร ทั้งหมดนี้แม้ว่าจะตัดไม่ได้แต่ก็สามารถควบคุมให้จ่ายน้อยลงได้
ส่วนค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ตัดออกไปแล้ว จะทำให้สภาพเศรษฐกิจดีขึ้นก็ควรทำอย่างเร่งด่วน เช่น หากพบว่าบัญชีรายจ่ายประจำเดือน มีค่าเครื่องสำอางคุณแม่ที่มากไป หรือถ้าคุณพ่อเลิกสูบบุหรี่และงดดื่มได้จะช่วยให้มีเงินเหลือเก็บเพิ่มมากขึ้น สำหรับการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนคือ ทุกคนในบ้านไม่ควรทำตัวทันสมัยจนเกินความจำเป็นเพราะบางสิ่งบางอย่างที่ล้าสมัยหรือตกรุ่น แต่ทำให้ครอบครัวประหยัดก็ควรเลือกในสิ่งนั้นพฤติกรรมที่เห็นคนอื่นเขามีแล้วอยากมีความปรับเปลี่ยนได้แล้ว เพราะจะทำให้รายจ่ายในครอบครัวมากขึ้นโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ เมื่อว่างเว้นจากการทำงานไม่จำเป็นต้องออกไปเที่ยวนอกบ้านเสมอไป บางครั้งแค่ได้พักผ่อนอยู่ที่บ้านอาจทำให้มีความสุขมากกว่าการไปข้างนอก และยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค พฤติกรรมการบริโภคมีความสำคัญต่อค่าใช้จ่ายไม่น้อยเช่นกัน แม้ว่าในแต่ละเดือนครอบครัวอาจจัดปาร์ตี้ได้บ้างแต่ถ้ามีขึ้นบ่อยๆ แล้วทำให้คุณมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากินอยู่แบบปกติก็จะช่วยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
นอกจากนี้พฤติกรรมการจับจ่ายของแม่บ้านก็สำคัญ เช่น หากเคยชินกับความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ถ้าต้องประหยัดเพื่อช่วยเหลือครอบครัว การเปลี่ยนมาซื้อผักสดจากตลาดใกล้บ้าน ก็จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงบ้างโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจในครัวเรือนสั่นคลอนหากรายการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านในแต่ละเดือนนั้นมีความถี่มากเกินไป ควรลดหรือตัดออกบ้าง อย่าลืมว่าในแต่ละมื้อของอาหารนอกบ้านนั้นต้องจ่ายไม่น้อยเลยทีเดียว ที่สำคัญกิจกรรมดังกล่าวน่าจะทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุขกับการช่วยกันทำอาหาร
เพิ่มรายได้ให้ครอบครัว เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ เพราะหลังจากที่สำรวจดูแล้วอะไรๆ ก็สำคัญต่อชีวิตไปหมด มีทางเดียวที่ช่วยได้ก็คือ ต้องหารายได้เพิ่มเพื่อให้สอดคล้องกับรายจ่ายจริงที่เกิดขึ้นแต่ละเดือน กรณีนี้คุณพ่อคุณแม่จะต้องมาปรึกษากันว่าใครควรจะทำงานให้หนักขึ้นกว่าเดิม
แต่ควรคิดกันอย่างรอบคอบว่า การทำงานเพิ่มขึ้นนั้นคุ้มหรือไม่ หากต้องมาเบียดเบียนเวลาของครอบครัวปกติวันหยุดทุกคนมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่ถ้าคนใดคนหนึ่งหายไป ความสุขของครอบครัวยังมีเหมือนเดิมหรือไม่
ท้ายที่สุดแล้ว การเป็นหนี้นอกระบบยังไม่ใช่ทางออกสุดท้ายของการแก้ปัญหา หนทางสู่การก้าวต่อไป คือการตั้งมั่น ขยัน และซื่อสัตย์ต่อการดำรงตน รวมไปถึงการนำแนวพระราชดำริในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพียงเท่านี้ หนี้ที่สร้างความปวดใจให้กับใครต่อใคร ก็มิอาจจะย่างกลายเข้ามา
16 ความคิดเห็น
เป็นความเห็นที่ดี แต่คนในครอบครัวยังไม่ฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?