Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ศิลปะแบบโกรธิค มาบอกกันกันหรือเปล่าศิลปะเหล่านี้ได้มาอย่างไร

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

ในตอนที่แล้วเราได้รู้จักกับคำว่าโกธกันไปแล้ว คราวนี้เราจะมาดูเรื่องราวที่จะนำไปสู่วัฒนธรรมทางดนตรีและการแต่งกาย รวมถึงปรัชญาของพวกเราชาวโกธ

   คำว่าโกธิค นั้นคือ ชื่อเรียกลักษณะของศิลปะสถาปัตยกรรมในยุคกลางราวช่วงกลางของคริสต์ศตวรรษที่ 12 พร้อมๆกับยุคศิลปะสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ [Romanesque] กินเวลาประมาณ 200 ปี ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นในฝรั่งเศสโดยเริ่มต้นที่รูปแบบสถาปัตยกรรมของโบสถ์ และ มหาวิหารต่างๆนั่นเองซึ่งเราจะยังไม่พูดถึงในตอนนี้ ที่เราจะพูดถึงกันก็คือศิลปะก่อนเป็นอันดับแรกนั่นเอง
  แต่ว่าได้มีผู้ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับที่มาของคำว่าโกธิคไว้ว่า มาจากภาษากรีกคำว่า Goetic ซึ่งแปลว่าเวทมนต์ และผู้คนที่ได้พบได้เห็นต่างลงความเห็นกันว่ามันงดงามมากเพราะไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงสัณฐาน ความสูงอย่างเหลือเชื่อ ความมีชีวิตชีวา และ อื่นๆอีกมากมาย ราวกับว่ามันถูกเนรมิตขึ้นมา 

(มหาวิหารแห่งมิลาน หรือ Duomo di Milano เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่อลังการงานสร้างสุดๆ)

(สถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ จะเห็นได้ชัดเลยว่า มีความเรียบง่ายผิดแผกไปจากแบบโกธิคมาก เพราะสถาปัตยกรรมแบบนี้เป็นแบบที่ยึดถือแบบโรมันดั้งเดิม)

วิวัฒนาการของศิลปะแบบโกธิคนี้ได้เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 โดยเน้นความสมจริง ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาเหมือนที่เป็นๆมา และ ยังมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าเดิมอีกด้วย โดยศิลปะแบบโกธิคที่เด่นๆนั้นประกอบไปด้วยรูปสลักรูปปั้น ภาพเขียน หน้าต่างกระจกสี ภาพปูนเปียก (เฟรสโก Fresco) และต้นฉบับแบบลายมือ (ลายมือแบบศิลป์ๆที่พวกเราชาวโกธสุดแสนจะรัก) และศิลปะแบบโกธิคนี้เองที่เป็นรากฐานให้กับศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการหรือแบบเรเนสซองส์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการนั่นเอง

>>>ลักษณะโดยทั่วไปของศิลปะแบบโกธิค

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ศาสนาหรือก็เรื่องทางโลกนั่นแหละกับทั้งเรื่องทางศาสนาซึ่งศิลปะแบบโกธิคนั้นมักจะเล่าเรื่องราวผ่านรูปภาพเป็นส่วนใหญ่ โดยในยุคแรกๆนั้นภาพส่วนใหญ่จะอยู่ในโบสถ์และวิหารมักจะเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลภาคพันธสัญญาเดิม [The Old Testament] และ ภาคพันธสัญญาใหม่ [The New Testament] อยู่เคียงข้างกันเสมอ และตามมาด้วยภาพวาดของนักบุญ ส่วนภาพของพระแม่มารีนั้นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดสำหรับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่าศิลปะแบบไบแซนไทน์ที่แพร่หลายในตอนนั้นก็คือ มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ลักษณะความเมตตาและความรักต่อพระบุตรปรากฏเด่นชัดกว่าเดิม และที่สำคัญก็คือมีการถ่ายทอดลักษณะความเป็นพระมารดาแห่งพระเยซูและพระมารดาแห่งสวรรค์ออกมาได้สมกับพระฐานันดรของพระนาง


   (ภาพวาดพระแม่มารีย์แบบไบแซนไทน์)

(นี่เป็นแบบโกธิค จะเห็นได้ชัดเลยว่าต่างกันมากๆ)

   ส่วนศิลปะแบบทางโลกนะคะ เริ่มขึ้นในช่วงที่ การค้าและการปกครองนอกศาสน-จักรนั้นเฟื่องฟูขึ้นกว่าเดิม การค้าขายทำให้มีชนชั้นกลางขึ้นไปจนถึงระดับเศรษฐีเพิ่มขึ้นมากมายจนทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถจะสนับสนุนและอุปถัมภ์งานศิลปะของเหล่าศิลปินได้ งานศิลปะแบบโกธิคและการเขียนหนังสือซึ่งสมัยก่อนนั้นส่วนใหญ่ผู้เขียนมักจะเป็นพระที่อยู่ในวัดมากกว่า ดังนั้นในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็เลยแพร่หลายมากขึ้นจนทำให้ผู้คนนั้นอ่านออกเขียนได้ มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเองและการนี้เองเป็นจุดที่จะเริ่มต้นการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการเก่าๆให้กลับขึ้นมาค่ะ ที่สำคัญก็คือทำให้ศิลปะแบบโกธิคที่เข้าใจกันว่าต้องเป็นทางศาสนาเท่านั้น มีความเป็นทางโลกมากขึ้นโดยบรรดาศิลปินนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณคดี มีความคิดความอ่านที่สร้างสรรค์ไม่ยึดติดกับศาสนามากขึ้น และ ทำให้ผู้คนนั้นเข้าใจถึงแก่นแท้ของงานศิลปะมากกว่าเดิม

แล้วช่วงนี้เองค่ะที่สมาคมของศิลปินได้ถูกจัดตั้งขึ้นมากมาย โดยได้แนวคิดมาจากสมาคมการค้าที่มีผลประโยชน์มากมาย อาทิเช่น สามารถเก็บสินค้าไว้กับสมาคมได้โดยปลอดภัยและไม่สูญหาย จากจุดนี้เองศิลปินส่วนใหญ่เลยตกลงใจที่จะรวมตัวกันเป็นสมาคมเพื่อเก็บรักษางานศิลปะของตนเองไม่ให้สูญหายไปและชื่อของพวกเขาที่เซ็นไว้ใต้ชิ้นงานหรือหลังชิ้นงานก็จะไม่ลบเลือนไปด้วย จึงทำให้ทราบว่าเป็นผลงานของใคร

ดูในส่วนของงานศิลปะทั่วๆไปกันไปแล้วและต่อไปเราก็จะมาดูงานประติมากรรมกันบ้าง

[Chartres Cathedral] และมหาวิหารแห่งนี้ไม่เป็นเพียงแค่มหาวิหารแบบโกธิคแห่งแรกของโลกเท่านั้นนะคะหากแต่เป็นต้นแบบของประติมากรรมแบบโกธิคอีกด้วย ทว่าไม่ใช่เป็นแห่งแรกเหมือนกับตัวมหาวิหารค่ะ อันที่จริงแล้วงานประติมากรรมแบบโกธิคนี้ได้ถูกนำมาจากแคว้นเบอร์กันดีในปี 1145 (แคว้นทางตอนกลางของฝรั่งเศส มีชื่อเสียงในการทำเหล้าองุ่น) ซึ่งต่อมาเมื่อรูปแบบนี้ถูกนำมาใช้ในมหาวิหารชาร์เตอรส์ฯ มันก็เลยกลายเป็นรูปแบบมาตรฐานของประติมากรรมแบบโกธิคไปเลย

>>>งานประติมากรรมแบบโกธิค

งานประติมากรรมแบบโกธิคนั้นมีจุดกำเนิดมาจากบนผนัง เริ่มขึ้นในช่วงกลางของคริสต์ศตวรรษที่ 12 ที่เขตอีเลอ เด ฟรองซ์ [?le-de-France – อ่านถูกหรือเปล่า ไม่ได้เรียนศิลป์ฝรั่งเศสเลยไม่รู้ว่าตัวหน้าอ่านยังไง] ซึ่งก็คือเขตการปกครองหรือมณฑลในฝรั่งเศสมีปารีสเป็นเมืองหลัก โดยผลงานที่ได้รับยกย่องว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมแบบโกธิคชิ้นแรกของโลกนั้นคือวิหารเซนต์เดนิส [St. Denis Abbey] หรือ แซงต์เดอนิส



(ภายในอลังการมากมาย)

วิหารนี้สร้างเสร็จในปี 1140 ซึ่งภายหลังกลายเป็นระดับมหาวิหารชื่อว่ามหาวิหารชาร์เตรอส์ คาเตอดรอล

ต่อมาแนวความคิดประติมากรรมแบบโกธิคได้แพร่กระจายออกจากฝรั่งเศสไปเกือบทั่วยุโรป ยกตัวอย่างเช่นในเยอรมนี เริ่มแพร่กระจายจากเมืองแบมเบิร์ก [Bamberg] ในปี 1225 เราจะเห็นอิทธิพลของประติมากรรมแบบโกธิคได้ตามโบสถ์ และ มหาวิหารแถบนี้เยอะแยะไปหมดเลย

ตามมาด้วยตัวอย่างในอังกฤษ มันแปลกมากๆ! เพราะประติมากรรมแบบโกธิคนี่จะถูกจำกัดให้ใช้กับแค่สุสาน แล้วก็จะไม่ค่อยมีรายละเอียดมากมายซะด้วยสิ (ประมาณว่าเรียบสุดๆ = =) แต่ก็ต้องมาร้องอ้อกับความแปลกนี้ เพราะว่าในสมัยนั้นอังกฤษนับถือศาสนาคริสต์ในนิกายซิสเตอร์เซียน ซึ่งเป็นนิกายที่แยกย่อยออกมาจากโรมันคาทอลิกอีกทีหนึ่ง เป็นนิกายที่สมถะและเรียบง่าย ดังนั้นถ้าหากจะนำศิลปะประติมากรรมแบบโกธิคซึ่งมีความสวยงามหรูหราอยู่ในตัวมาใช้ก็จะเป็นการทำลายภาพพจน์นั่นเอง
แล้วก็คราวนี้หลังจากที่ได้ดูจุดกำเนิด การแพร่กระจาย และ ตัวอย่างแปลกๆเล็กๆไปแล้ว

เรามาดูลักษณะของประติมากรรมแบบโกธิคกันดีกว่าค่ะ อันประติมากรรมแบบโกธิคนี้วิวัฒนาการมาจากงานในยุคแรกๆ ที่ไร้ชีวิตชีวาแข็งทื่อสมกับเป็นรูปปั้นจริงๆ

หรือพูดง่ายๆก็คือแบบโรมาเนสก์ กลายเป็นประติมากรรมที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น โดยมีการรื้อฟืนอิทธิพลแบบกรีก-โรมันโบราณเข้ามาใช้ด้วยคือมีการแกะสลักรอยผ้าให้ดูพลิ้วไหว รวมไปถึงสีหน้าท่าทางการแสดงออกที่ดูสมจริงสมจังขึ้นกว่าเดิม



(เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแบบโกธิคกับโรมาเนสก์ ข้างบนเป็นแบบโกธิค)

แต่ว่า....ประติมากรรมแบบโกธิคก็เหมือนๆกับโรมาเนสก์คือมีจุดเริ่มต้น-รุ่งเรืองแล้วก็พัฒนาการ เพราะว่าในราวๆคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นการเริ่มต้นของยุคเรเนสซองส์ ทำให้ประติมากรรมแบบโกธิคนั้นพัฒนาไปเป็นประติมากรรมแบบเรเนสซองส์เช่นที่เราเห็นกันทั่วไปในกรุงโรมนั่นเอง

>>>จิตรกรรมแบบโกธิค

แล้วก็มาถึงหัวข้อสุดท้ายในตอนนี้ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องที่หนักและถือเป็นหัวใจในตอนต่อไปก็คือเรื่องจิตรกรรมแบบโกธิค  จิตรกรรมในแบบที่สามารถเรียกว่า จิตรกรรมแบบโกธิคได้เต็มปากเต็มคำ นั้นปรากฏออกมาหลังจากการเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมและประติมากรรมแบบโกธิคตั้ง 50กว่าปีหรือง่ายๆก็คือราวๆในปี ค.ศ.1200

หากแต่การส่งผ่านลักษณะจากจิตรกรรมแบบโรมาเนสก์สู่โกธิคนั้นมีความคลุมเครือไม่ชัดเจนอย่างมาก เพราะมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่เราสามารถเห็นได้ถึงจุดเริ่มต้นของสไตล์ที่เรียกได้ว่าเป็นโกธิคของแท้คือ ดูโศกเศร้า มืดมน และ ดูมีความรู้สึกมากกว่าจิตรกรรมในยุคที่ผ่านๆมามากมายนัก แล้วถ้าหากจะให้วิเคราะห์ถึงที่มาของอารมณ์ที่ดู ดีเพรส โศกเศร้า มืดมน ของโกธิคอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันนี้ก็คงจะได้อิทธิพลมาจากทางนี้อยู่โขเหมือนกันลองสังเกตดูจากภาพข้างล่าง

(แม้ว่าภาพนี้จะถูกวาดในยุคที่อยู่ในยุคหลังจากยุคโกธิคตั้งหลายปีดีดัก ไม่สิต้องหลายศตวรรษเลยด้วยซ้ำ เพราะภาพนี้ถูกวาดขึ้นในปี 1930 อารมณ์ของภาพนี่ประมาณว่าเศร้าและมืดมนมาเลยทันทีที่ได้ดูภาพ หรือใครจะคิดเป็นอารมณ์อื่นก็ได้แต่เราคิดว่ามันให้ความรู้สึกแบบนั้นน่ะ) 

มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า งานจิตรกรรมแบบโกธิคนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของความวชาญพื้นฐานในด้านงานช่างศิลป์ 4 ประการในการทำงานศิลป์แบบโกธิค ได้แก่ ภาพปูนเปียก [Frescos] ภาพบนกระดานไม้ [Panel Paintings] ภาพวาดประกอบเรื่องราวหรือที่เรียกกันว่าอิลลัสสเตรชัน [Manuscript Illumination-แต่ส่วนใหญ่ในยุคนั้นมักจะเป็นภาพประกอบเรื่องราวในพระคัมภีร์มากกว่า] และ งานกระจกสี [Stain Glassed]

อันงานภาพปูนเปียกนี้ถูกใช้มาอย่างต่อเนื่องในโบสถ์ตั้งแต่แบบดั้งเดิมยุคแรกๆแล้วในยุโรปทางตอนใต้โดยเป็นการเล่าเรื่องราวหลักๆผ่านภาพเขียน แต่ว่าในทางตอนเหนือของยุโรปงานกระจกสีกลับได้รับความนิยมมากกว่าจนแพร่กระจายไปทั่วยุโรป หากแต่สิ่งเหล่านี้ก็ถูกแทนที่ด้วยภาพบนกระดานไม้ที่มีจุดเริ่มต้นในประเทศอิตาลีราวๆศตวรรษที่ 13 และก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วถึงขั้นออกไปนอกยุโรปด้วย ซึ่งต่อมางานจิตรกรรมชนิดนี้ก็ค่อยๆเข้าไปแทนที่งานกระจกสีทีละน้อยๆในที่สุด
และนี่ก็คือตัวอย่างของงานจิตรกรรมประเภทต่างๆ

[Panel Painting]

[Fresco]

[Manuscript Illumination]

[Stain Glassed]


PS.  มันไม่จบๆง่ายสำหรับเรา เกิดขึ้นอยู่ในครอบครองไม่มีวันใดจะมีทางสิ้นสุดลงของการจบปีการศึกษานี้อย่างแน่ชัดไม่มีใครยอมเอาจริงๆ ให้ง่ายๆไป

แสดงความคิดเห็น

>

8 ความคิดเห็น

18 มี.ค. 52 เวลา 11:20 น. 1

อลังการงานสร้างสุดๆครับท่านน OoO!!

สร้างได้ไงเนี่ย...
 
เก่งชะมัด!!


PS.  Red in the land!!!!
0
aphordite 30 ก.ย. 54 เวลา 15:08 น. 4

ขอบคุนค่า สวยมากๆ เลย อลังการสุดๆ ภาพใหญ่เห็นชัดดี ่ะ

อยากไปดูจัง แต่นอกจากมิลานแล้วก็ อยากไปเวนิสด้วย ่ะ

อิตาลีนี่มีแต่อะไรดีๆ ทั้งนั้นเลย

0