Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อารยธรรมอียิปต์โบราณ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
อารยธรรมอียิปต์โบราณ(Civilization of Ancient Egypt)
 
Karnak temple complex
Steps down from Mt Sinai
อียิปต์เป็นดินแดนที่น่าพิศวงมากประเทศหนึ่งคนทั่วไปมองว่าอารยธรรมอียิปต์มีความเชื่อที่เล้นลับแฝงอยู่มากมายแต่ในขณะเดียวกันก็ซ่อนความเจริญด้านต่างๆ ไว้อย่างมากมายด้วยเช่นกันเมื่อย้อนมาพิจารณาดูว่าอะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อียิปต์มีความรุ่งเรืองและถึงกับเป็นดินแดนที่น่าพิศวงตลอดจนมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญมากมาย เช่น ปิรามิค วิหารขนาดใหญ่ เป็นต้น
สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และแม่น้ำไนล์

อียิปต์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกาในสมัยโบราณบริเวณที่ีมีผู้คนอาศัยอยู่ได้แก่ ดินแดนที่อยู่บนสองฟากฝั่งแม่น้ำไนล์ทิศเหนือคือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกคือทะเลแดงทิศใต้คือประเทศนูเบียหรือซูดานในปัจจุบัน ส่วนทิศตะวันตกคือทะเลทรายซะฮาราอียิปต์โบราณประกอบด้วยบริเวณสองแห่งคืออียิปต์บน (Upper Egypt) และอียิปต์ล่าง (Lower Egypt) อียิปต์บนได้แก่ บริเวณที่มีแม่น้ำไนล์ไหลผ่านหุบเขา มีความยาวประมาณ 500 ไมล์ ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำไนล์ตอนนี้เป็นหน้าผาลาดกว้างไปจนสุดสายตา เต็มไปด้วยเนินเขาที่แห้งแล้ง มีเนินทรายสีแดงและสีเหลืองเป็นตอนๆ อียิปต์ล่างได้แก่บริเวณที่แม่น้ำไนล์แตกสาขาออกเป็นรูปพัดไหลลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนบริเวณนี้ชาวกรีกโบราณเรียกว่า เดลต้า เป็นบริเวณปลายสุดของลำน้ำมีความยาวประมาณ 200 ไมล์ และกว้างระหว่าง 6-22 ไมล์ อารยธรรมโบราณของอียิปต์ได้เจริญขึ้นในบริเวณแถบเดลต้านี้

อียิปต์เป็นดินแดนกันดารฝนแต่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากแม่น้ำไนล์ซึ่งได้รับน้ำอันเกิดจากหิมะละลายและฝนในฤดูร้อนจากภูเขาในอบิสสิเนีย น้ำจะไหลบ่าลงมาตามแม่น้ำตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมจนถึงตุลาคมทำให้สองฝั่งแม่น้ำไนล์จมอยู่ใต้น้ำเป็นบริเวณกว้างเมื่อน้ำลดโคลนตมที่น้ำพัดพามาจะตกตะกอนเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก
ความอุดมสมบูรณ์ลุ่มแม่น้ำไนล์ได้มาจากตะกอนโคลนตมอันอุดมด้วยปุ๋ยซึ่งน้ำที่ท่วมประจำปีนำมาทิ้งไว้เช่นเดียวกับบริเวณสองฟากฝั่งแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีสของเมโสโปเตเมียพัฒนาการของอารยธรรมก็ค่อนข้างจะเป็นไปตามแบบแผนเดียวกันกล่าวคือมีการร่วมแรงกันสร้างระบบชลประทานเพื่อป้องกันน้ำท่วม สร้างทำนบกั้นน้ำขุดคูน้ำไปยังดินแดนที่ห่างไกลออกไปแต่ทว่าพัฒนาการทางการเมืองของอียิปต์แตกต่างจากเมโสโปเตเมียกล่าวคืออียิปต์ได้แบ่งแยกเป็นนครรัฐอิสระอย่างในเมโสโปเตเมียหากแต่ร่วมกันเป็นอาณาจักรที่อยู่ใต้อำนาจทางการเมืองของบุคคลเดียวคือกษัตริย์ซึ่งอียิปต์เรียกว่าฟาโรห์ (Pharaoh)

สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้กษัตริย์อียิปต์สามารถรวบรวมและปกครองดินแดนทั้งหมดไว้ได้อย่างมั่นคงตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ปัจจัยดังกล่าวได้แก่

(1)
ทะเลทรายช่วยป้องกันการแทรกซึมของพวกลิเบียจากทะเลทรายทางทิศตะวันตกหรือพวกเอเซียทางทิศตะวันออกและพวกนูเบียจากทิศใต้การป้องกันตนเองจึงไม่ใช่ปัญหาน่าหนักใจสำหรับผู้ปกครองอียิปต์

(2)
แม่น้ำไนล์เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังและระบบประสาทในการรวมดินแดนเป็นรัฐที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำที่เรือแพล่องไปมาได้สะดวกโดยอาศัยการควบคุมการเดินเรือในแม่น้ำไนล์ผู้ปกครองก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของประชาชนและการถ่ายเทของสินค้าได้โดยอัตโนมัติ และอาศัยแม่น้ำไนล์เป็นเส้นทางคมนาคมสำหรับการเดินเรือไปเก็บภาษีอากรจากประชาชนตลอดจนเป็นเส้นทางเดินทัพนอกจากนี้การที่เขตอุดมสมบูรณ์จำกัดอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์เป็นแนวยาวตามสองฟากฝั่งทำให้ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่เฉพาะในบริเวณนี้ก็ยังเอื้อให้การปกครองประชาชนเป็นไปโดยง่าย
ความอุดมสมบูรณ์อย่างสม่ำเสมอที่อียิปต์ได้รับจากแม่น้ำไนล์ด้วยเหตุนี้นักภูมิศาสตร์ จึงเรียกอียิปต์ว่า ดอกผลแห่งแม่น้ำไนล์ (Gift of the Nile) ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นปราการป้องกันศัตรูจากภายนอกทำให้ชาวอียิปต์โบราณมีความรู้สึกที่มั่นคงปลอดภัยมองไม่เห็นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงชีวิตดำเนินไปเหมือนกันหมดพลังผักดันจากภายนอกที่จะให้มีความปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงมีอยู่น้อยมากด้วยเหตุนี้อารยธรรมอียิปต์จึงเจริญติดต่อกันมาอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงระยะเวลาอันยาวนาน
 
อารยธรรมอิยิปต์โบราณ
อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของโลกโบราณในระยะต้นนั้นส่วนใหญ่ก็คืออารยธรรมที่ราบลุ่มแม่น้ำทั้งนี้เพราะการสร้างอารยธรรมในยุคแรกนั้นมีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่น้ำใหญ่เนื่องจากประชากรในยุคนั้นต้องอาศัยน้ำทั้งในการดำรงชีวิตและเพื่องานเกษตรกรรมการคมนาคมส่วนใหญ่ก็ต้องอาศัยแม่น้ำด้วยเหตุนี้แหล่งอารยธรรมโบราณของโลกจึงอยู่ที่บริเวณแม่น้ำใหญ่ 4 แห่ง คือบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีส ยูเฟรตีสบริเวณแม่น้ำสินธุ และบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำเหลืองอารยธรรมในบริเวณนี้เป็นอารยธรรมเกษตรกรรมเนื่องจากต้องอาศัยการดำรงชีวิตอยู่ใกล้บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำทั้งสิ้น

ก.ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ นักประวัติศาสตร์กรีกท่านหนึ่งคือ เฮโรโดตัส (Herodotus:484-425 B.C.) กล่าวถึงอียิปต์ว่าเป็น a gift of the Nile เพราะถือว่าแม่น้ำไนล์นั้นคือหัวใจสำคัญที่หล่อเลี้ยงประเทศอียิปต์เพราะตามปกติอียิปต์จะเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งเพราะล้อมรอบด้วยทะเลทราย มีฝนตกเพียงเล็กน้อยในฤดูหนาวและตกเฉพาะบริเวณเดลต้าอียิปต์จึงได้อาศัยความชุ่มชื้นจากแม่น้ำไนล์ในราวเดือนกรกฎาคมของทุกปีน้ำจากแม่น้ำจะไหลล้นฝั่งทั้งสองและเริ่มลดลงในเดือนตุลาคมเมื่อน้ำลดลงก็จะทิ้งโคลนตมไว้บริเวณสองฟากฝั่งแม่น้ำโคลนตมเหล่านี้จเป็นปุ๋ยช่วยให้พืชเจริญงอกงาม ฉะนั้นถ้าขาดแม่น้ำไนล์เสียอียิปต์ก็จะกลายเป็นทะเลทรายที่ร้อนระอุด้วยเหตุที่แม่น้ำไนล์ให้ความอุดมสมบูรณ์นี้อารยธรรมของอียิปต์จึงเป็นอารยธรรมที่เกิดจากการเกษตรกรรม
อิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลงนี้เชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิพลของของฟาโรห์พระองค์เท่านั้นที่รู้จักและเข้า Ma'at ซึ่งหมายความว่า harmony นั่นคือเป็นผู้เดียวที่เข้าใจถึงความสอดคล้องต้องกันของจักรวาลเพราะฉะนั้นการปกครองของอียิปต์ในระยะแรกจึงมาในรูปของกษัตริย์เทวาธิปไตยในระหว่างที่ฟาโรห์ยังทรงพระชนม์อยู่ก็จะดำรงตำแหน่งโฮรัส (Horus) พระบุตรของโอสิริส (Osiris) เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วก็จะกลับไปเป็นเทพโอสิริสกล่าวคือเป็นเทพโอสิริสอีกองค์หนึ่งเพราะฉะนั้นกษัตริย์อียิปต์ทุกพระองค์เมื่อได้มีการทำพิธีฝังพระศพแล้วก็จะถูกเรียกว่าเทพโอสิริสทุกพระองค์และเมื่อนั้นก็จะมีการช่วยเหลือข้าราชบริพารของพระองค์ที่ยังดำรงชีวิตอยู่ได้อีกด้วย
ข.ประวัติศาสตร์การเมืองของอียิปต์นักปราชญ์ผู้ทำการศึกษาเรื่องราวของอียิปต์โดยเฉพาะคือ จอห์น เอ วิลสัน (John A. Wilson) บันทึกไว้ว่า:-

"
การเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการต่างๆ นั้นน้ำจะเกิดขึ้นภายในดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์เอง กล่าวคือฝูงสัตว์จากบริเวณที่สูงรวมทั้งคนด้วย คงจะล่องมาตามบริเวณริมฝั่งแม่น้ำหาแหล่งที่มีพืชผลอุดมสมบูรณ์ตามกันลงมาจนทั้งสองฝ่ายรู้จักกันดีขึ้นคนรู้ว่าสัตว์บางชนิดควรเลี้ยงไว้ใ่กล้สัตว์เพื่อเก็บไว้เป็นอาหารในวันหน้าพืชบางชนิดก็อาจขยายพันธุ์ให้ได้จำนวนมากขึ้นเพื่อเลี้ยงทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คนเลี้ยงไว้ด้วย"
จะเห็นได้ว่าการเรียนเรื่องอียิปต์นั้นก็คือการเรียนเรื่องการรวมประเทศให้อยู่ภายใต้รัฐบาลเดียวตั้งแต่ประมาณ 3000 B.C. ถึง 2000 B.C. จนถึงสมัยที่ถูกเปอร์เซียรุกรานเมื่อปี 525 B.C. นับเป็นวงจรอารยธรรมแท้ๆ ซึ่งแต่ละสมัยจะมีทั้งความเจริญและความเสื่อมในระหว่างสมัยเชื่อมแต่ก็จะมีการแทรกแซงด้วยเหตุการณ์ เช่น การรุกรานจากภายนอกเป็นต้นนักมานุษย์วิทยาได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่องราวของอียิปต์ถอยหลังไปถึงสมัยเริ่มต้นของพวกอัฟริกันจนถึงสมัยการรุกรานของพวกเซมิติคแยกออกเป็นชาติกุลแบ่งแยกกันปกครองในสมัยต้นนี้ได้มีงานฝีมือแล้ว ส่วนใหญ่ทำด้วยดินโคลนและหินรวมทั้งการสร้างปฏิทินมี 365 วัน ซึ่งในสมัยจูเลียส ซีซาร์ ถูกนำมาดัดแปลงใช้หลังจากนั้นถึง 3000 ปีและยังสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันนี้ด้วย
อียิปต์โบราณ หรือบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์นี้เองเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก กล่าวคือเมื่อประมาณ 6000 ปีมาแล้วประชาชนบริเวณนี้ได้เริ่มเรียนรู้วิธีที่จะเอาชนะธรรมชาติและนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์มีรัฐบาลที่เป็นระเบียบมีความมั่นคงอุดมสมบูรณ์ตลอดจนมีศิลปและวรรณคดีชั้นสูงอารยธรรมนี้ก็เจริญและยั่งยืนอยู่เป็นเวลานานสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อารยธรรมเจริญอยู่เป็นเวลานานก็เพราะสภาพภูมิประเทศ
1. การที่อิยิปต์ล้อมรอบด้วยทะเลทรายทั้งทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกตลอดจนการที่แม่น้ำไนล์มี แก่งโจน(Catarats) ตั้งแต่ปากน้ำจนสุดสายแม่น้ำซึ่งยาวประมาณ 700 ไมล์ทำให้เป็นการยากแก่ศัตรูภายนอกที่จะเข้ารุกรานมีทางเดียวเท่านั้นที่ศัตรูจะเข้ามารุกรานอียิปต์ได้คือเดลต้าที่เชื่อมทวีปอัฟริกากับเอเซียคือตรงบริเวณทะเลแดงแต่ก็ป้องกันได้ง่าย
2. การที่แม่น้ำไนล์ท่วมฝั่งทุกปีทำให้ประชาชนที่เข้าอยู่บริเวณนี้ต้องพยายามหาทางที่จะเอาชนะธรรมชาติจึงเกิดความร่วมมือกันทำงานเช่น มีการชลประทาน มีการขุดคูส่งน้ำเมื่อมีคนมาอยู่มากก็ต้องมีรัฐบาลปกครองเพื่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขนอกจากนี้ความอุดมสมบูรณ์ที่ได้รับจากแม่น้ำไนล์ก็ยังมีส่วนทำให้ชาวอียิปต์มีจิตใจที่จะคิดค้นและสร้างสมศิลปวัฒนธรรมและวรรรณคดีต่างๆ
อียิปต์และแม่น้ำไนล์
เรื่องราวของอียิปต์ก็คือเรื่องราวของแม่น้ำไนล์เป็นคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ ด้วยเหตุว่าดินแดนอันเป็นประจำทุกปีนั้นแม่น้ำไนล์จะนำเอาปุ๋ยอันโอชะขึ้นไปลาดไว้บนทั้งสองฝั่งน้ำทำให้ดินทั้งสองฝั่งแม่น้ำเป็นดินอุดม มีพืชพันธ์ธัญญาหารเกิดขึ้นได้งอกงามและตามลุ่มน้ำอันมีอาณาเขตแคบๆ ซึ่งบางแห่งกว้างประมาณสิบไมล์เท่านั้นเองนี้แหละที่อารยธรรมของอียิปต์ได้เจริญงอกงามขึ้นและเกิดนครใหญ่ๆขึ้นเป็นจำนวนหลายต่อหลายนคร นอกจากจะอำนวยปุ๋ยอันโอชะให้ดังกล่าวแล้วแม่น้ำสายนี้ยังเป็นเส้นทางคมนาคมของประเทศและนำออกสู่ทะเลใหญ่อีกด้วย
ความก้าวหน้าในอารยธรรมของอียิปต์ขั้นแรกที่เราทราบก็คือ อารยธรรมที่เกี่ยวกับวิธีการทำนาของเขาโดยเหตุที่ในอียิปต์นั้นฝนแทบจะไม่ตกเลยชาวนาจึงจำเป็นที่จะต้องหาวิธีทำให้นาของตนมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ ในอียิปต์ภาคสูงคือในตอนต้นน้ำไนล์มีฝนตกชุกในฤดูสปิงเมื่อฝนไหลท่วมท้นมาและล้นสองฟากฝั่งแม่น้ำนั้นชาวอียิปต์ก็หาวิธีที่จะขังน้ำนี้ไว้ใช้ในฤดูน้ำลดและถ่ายเทไปตามคูเล็กๆ ซึ่งตัดผ่านไปตามท้องไร่ท้องนานี้เป็นเครื่องมืออันแรกอันหนึ่ง ที่มนุษย์คิดขึ้นสู้กับธรรมชาติ
ประวัติของอียิปต์โบราณ
ความเป็นมาแต่แรกของอียิปต์โบราณนั้นไม่รู้จักกระจ่างนักรู้แต่เพียงว่าดินแดนอียิปต์
โบราณถูกยึดครองโดยชาวลิบยานทางตะวันตกเฉียงเหนือเซมิติคทางตะวันออกเฉียงเหนือ และนิโกรทางใต้ ประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ
1.
สมัยก่อนราชวงศ์ (The Predynastic Period)
2.
สมัยราชวงศ์ (The Dynastic Period)
3.
สมัยภายใต้การปกครองของผู้รุกราน (The Period of Invasion)

1. สมัยก่อนราชวงศ์เป็นช่วงระยะเวลาประมาณ 4,500-3,110 B.C. ในสมัยนี้ชาติอียิปต์โบราณยังไม่มีแต่ชาวอียิปต์โบราณได้เข้าตั้งมั่นบริเวณลุ่มน้ำไนล์แล้ว มีการรวมตัวเป็นกลุ่มมีหัวหน้าเป็นผู้นำด้านการปกครองและสังคม ขณะเดียวกันมักแย่งชิงดินแดนซึ่งกันและกันในที่สุดดินแดนทั้งสองฝั่งของลุ่มแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
1.
อียิปต์บนหรืออียิปต์ตอนใต้ (The Uppe Egypt or The Southern Egypt or The Narrow Valley) หมายถึงดินแดนอียิปต์ตอนในบริเวณดังกล่าวเป็นป่าทึบและเกาะแก่งน้ำตก พื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกผู้้คนอยู่บางเบา
2.
อียิปต์ล่างหรืออียิปต์ทางตอนเหนือ (The Lower Egypt of the Northen Egypt or The Nite Deits) หมายถึงดินแดนอียิปต์ตอนนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณดินแดนตอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์นั้นพื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูกผู้คนอยู่หนาแน่นความเจริญเท่าที่ปรากฎในช่วงนี้คือความเจริญทุกอย่างของมนุษย์ที่สามารถทำได้ในยุคหิน รวมถึงรู้จักการเพาะปลูกการเลี้ยงสัตว์และการชลประทาน
2. สมัยราชวงศ์เป็นช่วงระยะเวลาประมาณ 3100-940 B.C. ในสมัยนี้ชาติอียิปต์โบราณได้ก่อตั้งขึ้นและผู้นำชาวอียิปต์โบราณเป็นผู้ดำเนินการปกครองดินแดนอียิปต์เองเป็นส่วนใหญ่สมัยราชวงศ์แบ่งออกเป็นสมัยย่อยได้ ดังนี้
1.
สมัยต้นราชวงศ์ (The Protodynastic Period)
2.
สมัยอาณาจักรเก่า (The Old Kingdom)
3.
สมัยอาณาจักรกลาง (The Middle Kingdom)
4.
สมัยอาณาจักรใหม่ หรือสมัยจักรวรรดิ (The New Kingdom or the Empire Age)
1.
สมัยต้นราชวงศ์ (3110-2,665 B.C.) อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 1-2 เริ่มจากการแบ่งแยกดินแดนอียิปต์โบราณสิ้นสุดลงโดยความสามารถของผู้นำอียิปต์บนคือเมเนส (Menes) รวมดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกันสำเร็จในปี 3110 B.C. และยกตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 1 กำหนดให้เมมฟิสในอียิปต์ล่างเป็นเมืองหลวงแม้จะรวมดินแดนเข้าเป็นผืนเดียวกันก่อตั้งเป็นชาติขึ้นแต่ชาวอียิปต์โบราณก็ยังนิยมเรียกชาติตนครั้งนั้นว่า Land of Two Lands หลักฐานประวัติศาสตร์ในสมัยนี้มีน้อยมาก
2. สมัยอาณาจักรเก่า (2225-2180 B.C.) อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 3-6 สมัยนี้บางครั้งถูกเรียกว่า สมัยปิรามิด (The Pyramid Age) เพราะเกิดการสร้างปิรามิดขึ้นเป็นครั้งแรก และมีปิรามิดเกิดขึ้นมากกว่า 20 แห่ง ปิรามิดแห่งแรกสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์โจเซอร์ ในราชวงศ์ที่ 3 ที่เมืองสควาราและเพราะมีวิทยาการใหม่ ศิลปกรรม และสถาปัตยธรรมเจริญมากในราชวงศ์ที่ 4 ประจวบกับกษัตริย์มีอำนาจในการปกครองเป็นผลให้เกิดปิรามิดใหญ่ที่สุดขึ้นปิรามิดอันนี้เป็นของกษัตริย์คูฟุ (Khufu) อยู่ที่เมือง กีซา (Giza) สมัยอาณาจักรเก่าสิ้นสุดลง ในราชวงศ์ที่ 6 เพราะกษัตริย์ไร้ความสามารถในการปกครองและการรบความทะเยอทะยานแย่งชิงอำนาจของขุนนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขุนนางที่เรียกว่าโนมาร์ซ (Nomarch) เป็นผลให้เป็นเวลาร่วมสองศตวรรษที่อียิปต์โบราณต้องวุ่นวายเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นบ่อยครั้งและต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกขุนนางช่วงดังกล่าวนี้เรียกว่าช่วงขุนนางปกครองครั้งที่หนึ่ง

ช่วงขุนนางปกครองครั้งที่1 (The First Federal 2180-2052 B.C.)เป็นช่วงระหว่างปลายสมัยอาณาจักรกลางในช่วงนี้ขุนนางมีอำนาจตั้งราชวงศ์ที่ 7-11 ปกครองอียิปต์โบราณกล่าวคือที่เมืองธีปส์ (Thebes) ในอียิปต์บนได้เป็นศูนย์กลางการปกครองของราชวงศ์ที่ 7 และที่ 8 ต่อมาขุนนางที่เมืองเฮราเคบโอโปลิส (Herclepopolis) ในอียิปต์ล่างได้ตั้งราชวงศ์ที่ 9-10 ขึ้น ขณะที่อยู่ในราชวงศ์ที่ 10 (2100-2052 B.C.) ปรากฎว่าได้มีการจัดตั้งราชวงศ์ที่ 11 (2134-1999 B.C.) ขึ้นที่เมืองธีปส์ควบคู่กันขึ้นมาเป็นผลทำให้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจและดินแดนกัน
3. สมัยอาณาจักรกลาง (2052-1786 B.C.) อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 11 ตอนปลายกับราชวงศ์ที่ 12 เริ่มด้วยกษัตริย์เมนตูโฮเต็ปที่ 2 (Mentuhotep 2) กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ที่ 11 แห่งธีปส์ปราบปรามขุนนางได้และรวบรวมดินแดนอียิปต์โบราณเข้าด้วยกันทรงฟื้นฟูการค้าและสภาพแวดล้อมเวลาส่วนใหญ่ของสมัยอาณาจักรกลางอยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 12 กษัตริย์ที่สามารถคืออเมเนมฮัสที่ 1 (Amenemhat) ทรงเก่งในการรบและทรงฟื้นฟูการค้ากับฟินิเซียน
4. สมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิ (1554-1090 B.C.) อยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 18-20 มีธีปส์เป็นเมืองหลวงจักรวรรดิ์อียิปต์โบราณเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเพราะกษัตริย์เก่งในการรบ การปกครองอียิปต์โบราณต้องทำสงครามยาวนานกับฮิตไตท์ พระให้การสนับสนุนกษัตริย์อำนาจของขุนนางหมดไปในสมัยนี้อียิปต์โบราณมีนโยบายรุกรานชุมชนใกล้เคียงมุ่งขยายอำนาจและการป้องกันการรุกรานของศัตรูภายนอกดินแดนอียิปต์ขยายกว้างใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในสมัยนี้มีมากและแน่นอนกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมากษัตริย์ที่ควรกล่าวคือ

1.
อาเมส (Ahmose 1 or Amosis) เป็นผู้ขับไล่ฮิคโซสออกจากอียิปต์ได้สำเร็จพร้อมทั้งสามารถกำจัดอำนาจขุนนางและเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ที่ 18 ก่อตั้งสมัยอาณาจักรใหม่ขึ้น

2.
อเมนโฮเตปที่ 1 และทัสโมสที่ 1 (Amenhopet 1 Thutmose 1) ทั้งสองพระองค์นี้เก่งในการรบขยายจักรวรรดิออกไป

3.
พระนางฮัทเซฟซุท (Hatshepsut) มเหสีของทัสโมสที่ 2 ทรงเป็นกษัตริย์หญิงองค์แรกของอียิปต์และเป็นนักปกครองหญิงที่สามารถคนแรกของโลก (The First Capable Woman Rule in the Cirillzed World) ภายหลังพระสวามีสิ้นพระชนม์ลง ทรงปกครองอียิปต์นานถึง 40 ปี ทรงฟื้นฟูการค้าศิลปกรรมและสถาปัตยธรรม
4. ทัสโมที่ 3 (Thutmose 3) ขึ้นปกครองจริงในปี 1469 B.C.ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระนางฮัทเซฟซุท ทรงเก่งในการรบ ทำสงครามประมาณ 17 ครั้งเพื่อปราบศัตรูในดินแดนทางตะวันออกทรงได้รับการยกย่องจากนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังว่าเป็นนโปเลียนแห่งอียิปต์ขณะเดียวกันได้ให้การศึกษาเลี้ยงดูเด็กเป็นอย่างดีโดยหวังว่าเมื่อเด็กเหล่านั้นได้กลับดินแดนตนและขึ้นเป็นใหญ่จะจงรักภักดีต่ออียิปต์ทรงสั่งให้ลงชื่อของนางฮัทเซฟซุทออกจากการจารึกเพราะทรงไม่พอใจที่พระนางขึ้นปกครองอียิปต์แทนในช่วงต้นสมัยของพระองค์
5. อเมนโฮเต็ปที่ 4 (Amenhotep 4) เป็นกษัตริย์นักปฏิรูปศาสนาของอียิปต์โบราณเพราะทรงกำหนดให้ชาวอียิปต์โบราณเคารพบูชาเฉพาะสุริยเทพหรืออะตัน (Aton) อันถือได้ว่าการริเริ่มความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว (Monotheism)
6. ตูแตงคามอน (Tutankhamon) ปกครองอียิปต์ต่อจากอเมนโฮเต็ปที่ 4 ทรงประกาศยกเลิกศาสนาของอเมนโฮเต็ปที่4 และกำหนดให้ชาวอียิปต์โบราณหันมาศรัทธาในเทพเจ้าอะมอนเร และเทพเจ้าอื่นๆ ดังเดิมตลอดจนย้ายเมืองหลวงกลับธีปส์
7. รามซีสที่ 2 (Ramses 2) ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่องค์สุดท้ายทรงเก่งในการรบทรงนำดินแดนที่สูญเสียไปในสมัยอเมนโฮเต็ปที่ 4 กลับคืนมาเป็นของอียิปต์ดังเดิมและทรงยุติสงครามกับฮิตไตท์ในการรบที่คาเดช (Kadesh) โดยอียิปต์ได้ปาเลสไตน์ ฮิตไตท์ได้ซีเรีย ทรงปลดปล่อยฮิบรูให้พ้นจากการเป็นทาสทรงเป็นนักรักเพราะทรงมีโอรส 100 คน มีธิดา 50 คน สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ 90 ปีครองราชย์ 67 ปีภายหลังการสิ้นพระชนม์ปรากฎว่าจักรวรรดิ์โบราณก็เริ่มเสื่อมลงเป็นลำดับเพราะกษัตริย์ไร้ความสามารถในการปกครองและการรบขุนนางก่อความวุ่นวายแย่งชิงอำนาจกันพระขึ้นปกครองอียิปต์ครั้งราชวงศ์ที่ 21 ขึ้นที่เมืองทานิส (Tanis) และอียิปต์ถูกรุกรานจากศัตรูภายนอก
3. สมัยภายใต้การปกครองของผู้รุกราน 940 B.C. เรื่อยมาสมัยนี้ชนภายนอกปกครอง
อียิปต์โบราณเป็นระยะเวลายาวนานกล่าวคือ
1.
ลิบยาน (Libyans) ปกครองระหว่าง 940-710 B.C. ตั้งราชวงศ์ที่ 22-24

2.
เอธิโอเปียน (Ethiopians) ปกครองระหว่าง 736-657 B.C. ตั้งราชวงศ์ที่ 25

3.
อัสซีเรียน (Assyrians) ปกครองระหว่าง 664-525 B.C.

4.
เปอร์เซียน (Perians) ปกครองระหว่าง 525-404 B.C.

5.
เปอร์เซียนปกครองอียิปต์ครั้งที่สองระหว่าง 341-332 B.C.

6.
กรีก (Greeks) ปกครองระหว่าง 332-30 B.C.

The Spynx at Giza
Ramses II


ลักษณะอารยธรรมอียิปต์โบราณ
1. สภาพสังคมสังคมอียิปต์โบราณเปรียบได้กับรูปสามเหลี่ยมจัดแบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ
1.
กษัตริย์และราชวงศ์ถูกกำหนดให้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดกษัตริย์สามารถมีมเหสีและสนมได้มากมายตลอดจนสนมอาจเป็นพี่สาวหรือน้องสาวร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกับมนุษย์
2.
พระและขุนนาง มีบทบาททางด้านศาสนาและการปกครองชนทั้งสองกลุ่มนี้จัดเป็นชนชั้นสูงรองจากกษัตริย์
3.
ชนชั้นกลาง ได้แก่ พ่อค้าช่างฝีมือและศิลปิน
4.
ชนชั้นต่ำ ได้แก่ชาวนาซึ่งจัดเป็นชนชั้นส่วนใหญ่ของดินแดนสภาพของชาวนาอยู่ในรูปข้าติดที่ดินชาวนาเป็นกำลังสำคัญในกองทัพและเป็นแรงงานหลักในการสาธารณะประโยชน์
5.
ทาสเป็นชนชั้นต่ำสุดถูกกวาดต้อนมาภายหลังพ่ายแพ้สงคราม
2.
การประกอบอาชีพแบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือ
1. การเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์จัดเป็นอาชีพหลักเริ่มมีขึ้นเมื่อประมาณ 4000 B.C. อาชีพดังกล่าวนิยมทำแถบลุ่มน้ำไนล์พืชที่นิยมปลูกคือข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ ต้นแฟล็กซ์ตลอดจนผลไม้ต่างๆเป็นต้น
2. การค้า เริ่มปรากฎเมื่อประมาณ 4000 B.C. โดยนิยมทำการค้ากับคนในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมโสโปเตเมีย และอาระเบียเป็นต้น
3. การทำเหมืองแร่ทองแดงเป็นแร่ธาตุที่ชาวอียิปต์เริ่มขุดมาเมื่อประมาณ 4000 B.C. โดยทำกันในแถบไซนายพลอยและทองคำขุดบริเวณเทือกเขาตะวันออก
4. งานฝีมือ ได้แก่งาน ปั้น งานหล่อ งานทอผ้า เป็นต้น
3. การปกครอง ลักษณะการปกครองเป็นแบบเทวธิปไตย (Theocracy) กล่าวคือผู้ปกครองอ้างดำเนินการปกครองในนามหรืออาศัยอำนาจของเทพเจ้าเพื่อใช้ในการปกครองกลุ่มบุคคลที่ดำเนินการปกครองได้แก่

1.
กษัตริย์หรือฟาโรห์ (Pharaoh) ฟาโรห์เป็นผู้ที่ชาวอียิปต์โบราณยอมรับว่าเป็นเทพเจ้าและเป็นกษัตริย์ในเวลาเดียวกันหน้าที่ของฟาโรห์คือเป็นผู้นำทางการปกครองและศาสนา กฎ ระเบียบข้อบังคับในการปกครองเกิดจากการกำหนดขึ้นของกษัตริย์ผู้เป็นเจ้าของชีวิตของชาว
อียิปต์โบราณ

2.
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือวิเชียร (Vizier) เป็นตำแหน่งใช้เรียกผู้บริหารที่สำคัญรองจากกษัตริย์ตำแหน่งนี้ในสมัยราชวงศ์ต้นสงวนเฉพาะสำหรับราชโอรสแต่ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงตกทอดแก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่และมีการสืบทอดแก่คนในตระกูลเดียวกัน
3. ขุนนาง (Noble) ทำหน้าที่รับผิดชอบหน่วยงานที่สำคัญเช่น ในการเก็บภาษีและการชลประทาน เป็นต้น
4. ขุนนางมณฑลหรือผู้ว่าการมณฑลหรือโนมาร์ซ (Nomarch) เป็นตำแหน่งข้าหลวงประจำตามมณฑลหรือเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวงมณฑลหรือเขตนั้นเรียกว่านอม (Nome)ขุนนางประเภทนี้มักก่อกบฎว่าวุ่นวายและเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อาณาจักรสมัยต่างๆในอดีตต้องเสื่อมลง
4. ศาสนาเรื่องของศาสนาอียิปต์โบราณนั้นควรกล่าวในลักษณะ 3 ประเด็น

1.
ชาวอียิปต์โบราณเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์เพราะความหวาดกลัวเชื่อและบูชาในปรากฎการณ์ธรรมชาติทำให้ชาวอียิปต์โบราณกำหนดเทพเจ้าขึ้นมากมายลักษณะเทพเจ้าในช่วงแรกนั้นมีรูปร่างเป็นสัตว์มากกว่ามนุษย์ต่อมาได้มีการพัฒนารูปร่างเทพเจ้าให้ดีขึ้นแต่เพราะชาติอียิปต์โบราณเกิดจาการรวมตัวของหลายชุมชน ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เทพเจ้าของอียิปต์โบราณมีมากมายหลายองค์เทพเจ้าที่สำคัญคือ
เทพเจ้าอะมอน-เร (Amon-Re) เป็นเทพเจ้าที่สูงสุดในมวลเทพเจ้าทั้งหลาย ของอียิปต์โบราณเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างและชีวิตชื่อเทพเจ้าองค์นี้เกิดจากการนำเทพเจ้าอะมอนซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งอากาศและความอุดมสมบูรณ์ของเมืองธีปส์มารวมกับเทพเจ้าเรซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ของเมืองเฮลิโอโปลิสได้เป็นเทพเจ้าอะมอน-เร ผู้ทรงพลังและอิทธิฤทธิ์

เทพเจ้าโอซิริส (Osiris) เป็นเทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำไนล์ เทพเจ้าแห่งความตายและเทพเจ้าแห่งการตัดสินภายการตายเพื่อการเข้าสู่ภายหน้า
เทพเจ้าไอริส (Isis) คือเทพีผู้เป็นมเหสีของเทพเจ้าโอซิริส เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์
เทพเจ้าโฮรัส (Horus) เป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์ของชาวอียิปต์โบราณแถบดินแดนสามเหลี่ยม
ชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อว่าเทพเจ้าแต่ละองค์ควรมีสัตว์ไว้คอยรับใช้ดังนั้นจึงมีการสมมติสัตว์รับใช้ดังกล่าวให้เทพเจ้าเช่น แกะตัวผู้เป็นสัตว์รับใช้ของเทพเจ้าอะมอน-เร เป็นต้นสำหรับเรื่องการบวงสรวงนั้นพระเป็นผู้ประกอบพิธี และได้รับค่าจ้างตอบแทน
2. ชาวอียิปต์โบราณเชื่อในความเป็นอมตะของวิญญาณคำตัดสินครั้งสุดท้ายและโลกหน้าชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าภายหลังความตายที่ทำความดีจะฟื้นขึ้นมาและเข้าพำนักในโลกหน้าซึ่งน่าอยู่และอุดมสมบูรณ์เช่นอียิปต์จากความเชื่อนี้ทำให้เกิดการเก็บรักษาไว้เรียกว่า มัมมี่ (Mummy) มัมมี่นิยมทำเฉพาะกับกษัตริย์ คนธรรมดาจะฝังเท่านั้นมัมมี่จะถูกนำไปวางลงในบศพพร้อมม้วนกระดาษรู้จักในนามคัมภีร์ผู้ตาย (Book of the Dead)(1) คัมภีร์ผู้ตายที่ถูกต้องนั้นต้องเขียนโดยพระข้อความในคัมภีร์นั้นล้วนชี้แจงว่าผู้ตายกระทำดีเป็นหลักในโลกมนุษย์ทำชั่วบ้างเล็กน้อยเทพเจ้าโอซิริสเป็นผู้พิจารณาและดำเนินการตัดสินครั้งสุดท้ายถึงการให้วิญญาณดังกล่าวเข้าสู่โลกหน้าที่สมบูรณ์ได้หรือไม่บศพและสมบัติของผู้ตายจะถูกนำวางไว้สุสานหินเรียก ปิรามิด (Pyramid) สฟิงค์ (Sphinx) เป็นสัตว์ประหลาดที่แกะสลักจากหินนำวางไว้หน้าปิรามิดเพื่อทำหน้าที่เฝ้าศพและสมบัติของผู้ตายที่บรรจุไว้ในปิรามิด
3 ศาสนาของกษัตริย์อเมนโฮเต็ปที่ 4 จุดประสงค์ในการปฏิรูปศาสนาของอะเมนโฮเต็ปที่ 4 คือการมุ่งนำชาวอียิปต์โบราณให้พ้นจากความเชื่อในศาสนาอียิปต์โบราณที่บูชาในเทพเจ้าหลายองค์ (Polytheism) และมุ่งนำชาวอียิปต์โบราณให้พ้นจากอำนาจของพระศาสนาใหม่ของอะเมนโฮเต็ปกำหนดให้บูชาเฉพาะเทพเจ้าอะตัน (Aton) เพียงองค์เดียวทรงสอนว่าเทพเจ้าอะตันเป็นเทพเจ้าสูงสุด ไม่มีตัวตนเป็นบิดาของมนุษย์การเข้าถึงเทพเจ้าอะตันทำได้โดยสักการะด้วยดอกไม้ของหอมมิใช่ทำสงครามหรือทำพิธีบวงสรวงด้วยชีวิตสัตว์ทรงสั่งปิดวิหารของเทพเจ้าทั้งหลายทรงปฎิเสธความเชื่อเรื่องการฟื้นจากความตายและโลกหน้าทรงปฏิเสธการทำสงครามกับศัตรูเพราะทรงเชื่อว่าเทพเจ้าอะตันคือบิดาของมวลมนุษย์และการทำสงครามจะทำให้เทพเจ้าอะตันไม่พอใจเพื่อแสดงความศรัทธาในเทพเจ้าอะตันทรงเปลี่ยนพระนามพระองค์เป็น อัคนาตัน (Akhanaton) ทรงย้ายเมืองหลวงจากธีปส์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองและศาสนาของเทพเจ้าอะมอน-เรมาอยู่ที่เมืองอัคตาตัน (Akhatatton or Amarna) ห่างจากธีปส์ขึ้นไปทางเหนือประมาณร้อยไมล์การปฏิรูปศาสนาของพระองค์ทำให้เกิดผลเสียทั้งภายในจักรวรรดิ์และภายนอกจักรวรรดิ์กล่าวคือพระในเทพเจ้าอะมอน-เรโดยเฉพาะที่เมืองธีปส์ตั้งตนเป็นศัตรูเพราะพระพวกนี้ขาดรายได้และสถานภาพของพระที่เคยได้รับจากสังคมอียิปต์โบราณต้องลดน้อยลงและอียิปต์เองต้องเสียดินแดนซีเรียกับปาเลสไตน์ให้แก่ฮิตไตท์

5.
ศิลปการเขียน ศิลปการเขียนของอียิปต์โบราณเริ่มเมื่อประมาณ 300 B.C. การบันทึกทำเป็นอักษรภาพ รู้จักในนามอักษรภาพเฮียโรกลิฟิค (Hieroglyphic) ต่อมาเพื่อให้การเขียนง่ายขึ้นไม่สลับซับซ้อนได้พัฒนาการเขียนให้มีตัวอักษรภาพน้อยลงเรียกอักษรเฮราติค (Hieratic) ภารเขียนทั้งสองแบบนี้เขียนได้ในหมู่พระเท่านั้น ในประมาณศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาลได้มีการพัฒนาการเขียนให้ดีขึ้นกว่าเดิมมุ่งให้เขียนง่ายขึ้นตัวอักษรภาพลดจำนวนน้อยลงและจำนวนผู้ที่สามารถเขียนได้มากขึ้นจากเหตุผลดังกล่าวทำให้อักษรภาพลดเหลือเพียง 24 ตัว เรียกตัวอักษรเดโมติค (Demotic) นอกเหนือจากการจารึกบนแผ่นหินแล้วชาวอียิปต์โบราณเป็นพวกที่คิดทำกระดาษขึ้นโดยทำจากเยื่อต้นอ้อ (Papyrus) โดยนำต้นอ้อที่มีขึ้นแถบลุ่มแม่น้ำไนล์มาลอกเอาเยื่อออกวางซ้อนกันตากให้แห้งกลายเป็นกระดาษก้านอ้อแข็งคืออุปกรณ์ที่ใช้เขียน ยางไม้ผสมสีใช้เป็นหมึกจากชัยชนะในการเขียนและการค้า ทำให้ศิลปการเขียนของอียิปต์แพร่หลายออกไป
6. ด้านวิทยาศาสตร์ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ของอียิปต์โบราณที่ควรกล่าวถึงคือ

1.
การทำปฏิทิน อียิปต์โบราณรู้จักการทำปฏิทินโดยยึดหลักสุริยคติกล่าวคือ 1 ปีมี 12 เดือน 30 วัน อีก 5 วันสุดท้ายถูกกำหนดเพ่ือการเฉลิมฉลองการกำหนดฤดูถือตามหลักความเป็นไปของธรรมชาติและการเพาะปลูก 1 ปีมี 3ฤดูๆละ 4 เดือน เริ่มจากฤดูน้ำท่วมหรือน้ำหลาก (The Flood of River Nite) ฤดูที่สองคือ ฤดูเพาะปลูกหรือไถหว่าน (The Period of Cultivation) ฤดูที่สามคือฤดูเก็บเกี่ยวพืชผล (The Period of Havesting) การที่ชาวอียิปต์โบราณรู้จักการทำปฏิทินนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ชี้ชัดความเจริญและความสามารถโดยแท้จริง

2.
การแพทย์มัมมี่มีส่วนชี้ให้เห็นถึงความสวยงามทางการแพทย์ของอียิปต์โบราณซึ่งแอ็ดวินสมิธเป็นผู้พบข้อความทั้งหมดถูกบันทึกไว้เมื่อประมาณปี 1600 ระบุแสดงความสามารถของแพทย์อียิปต์โบราณด้านการผ่าตัดกระโหลกผ่าตัดกระดูกสันหลัง การวิจัยและรักษาโรคต่างๆ
3 คณิตศาสตร์ โดยเฉพาะด้านเลขาคณิตอียิปต์โบราณเจริญมากกล่าวคือ สามารถคำนวณหาพื้นที่ของสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมูและวงกลมได้ตลอดจนชำนาญในการวัดที่ดินความสามารถในด้านคณิตศาสตร์มีส่วนช่วยอย่างมากในงานสถาปัตยกรรม
7. ด้านสถาปัตยกรรมชาวอียิปต์โบราณเป็นหนึ่งในกลุ่มนักสร้างถาวรวัตถุผู้ยิ่งใหญ่ของโลกโบราณผลงานเกิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์แขนงเรขาคณิตและคณิตศาสตร์บวกกับความสามารถและความชำนาญความสามารถและความเด็ดขาดของผู้นำผลงานเด่นทางสถาปัตยกรรมที่ควรแก่การกล่าวถึงเช่น

1.
ปิรามิดยักษ์ที่เมืองกิซา เป็นปิรามิคของพระเจ้าคูฟู (Khufu or Cheops) สร้างเมื่อประมาณปี 2600 B.C. ใช้ก้อนหินประมาณ 2300,000 ก้อน แต่ละก้อนหนักกว่า 2 ตัน ใช้แรงงานคนสกัดหินทุกก้อนด้วยสิ่วและค้อนอย่างยากลำบาก ประณีตและชำนาญปิรามิดนี้สร้างบนเนื้อที่ประมาณ 12 เอเคอร์ ฐานกว้าง 755 ฟุต สูง 481 ฟุตจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของโลกโบราณ
2. วิหารคาร์นัคแห่งเมืองธีปส์วิหารนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นอาคารใหญ่สุดของอียิปต์โบราณยาว 338 ฟุต กว้าง 170 ฟุต ใช้เสาหินกลมสูง 79 ฟุต รองรับหลังคา
8. วรรณกรรม วรรณกรรมเด่นของอียิปต์โบราณแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. วรรณกรรมเกี่ยวเนื่องกับศาสนา ได้แก่คัมภีร์ผู้ตายคัมภีร์นี้มุ่งแสดงต่อเทพเจ้าโอซิริสเพื่อการเข้าสู่โลกหน้าที่อุดมสมบูรณ์และสุขสบายเช่นอียิปต์โบราณนอกจากนี้ยังมีบทสรรเสริญของพระเจ้าอเนโฮเต็ปที่ 4 ต่อเทพเจ้าอะตันเป็นต้น
2. วรรณกรรมไม่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาได้แก่งานสลักบันทึกเหตุการณ์ตามเสาหินหรือผนังปิรามิด เป็นต้น
9. ชลประทานอียิปต์โบราณต้องพึ่งแม่น้ำไนล์เพื่อใช้ในการเพาะปลูกประมาณเมื่อ 4200 B.C. อียิปต์โบราณค้นพบวิธีเก็บกักน้ำและส่งน้ำเข้าพื้นที่ตอนในด้วยการขุดคูคลองระบายน้ำต่างระดับและทำทำนบกั้นน้ำวิธีการดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นการริเริ่มการชลประทาน

10.
ศิลปกรรมศิลปกรรมแรกเริ่มมุ่งเพื่อรับใช้ศาสนาโดยการวาดหรือปั้นรูปเทพเจ้านอกจากนี้ศิลปกรรมเด่นอื่นๆ ที่ควรกล่าวถึงได้แก่
1.
ภาพแกะสลัก (Sculpture) ได้แก่สฟิงซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หน้าปิรามิคของกษัตริย์คูฟูลำตัวเป็นสิงโตหมอบมีความยาว 13 ฟุต กว้าง 8 ฟุต แกะสลักมาจากหิน
2. รูปปั้นหรือรูปหล่อ (Statue) นิยมปั้นหรือหล่อเฉพาะครึ่งตัวบนของจักรพรรดิ์ เช่นรูปปั้นหรือรูปหล่อครึ่งตัวบนของพระนางฮัทเซฟซุทกษัตริย์ทัสโมสที่ 2 กษัตริย์อเมนโฮเต็ปที่ 4 และมเหสี กษัตริย์รามซีสที่ 2 เป็นต้น

3.
ภาพแกะสลักฝาผนัง ภาพแกะสลักฝาผนังที่มีชื่อคือภาพการต่อสู้ของพระเจ้ารามซีสที่ 2 กับฮิตไตท์ที่วิหารคาร์นัค ภาพนี้ยาว 170 ฟุต
4. ภาพวาด ภาพวาดนี้นิยมวาดตามผนังและเพดานของวิหารพระราชวัง และปิรามิค ภาพวาดจัดเป็นศิลปกรรมประเภทหนึ่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เพราะทำให้ชนรุ่นหลังได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสภาพสังคม การปกครอง การค้าการแต่งกาย และประเภทของเครื่องใช้เป็นต้นจากการค้นพบสุสานของกษัตริย์ตูเตงกามอนในปี 1992 ได้สร้างความประทับใจอย่างมากให้กับนักประวัติศาสตร์เพราะได้พบของมีค่ามากมายล้วนมีคุณค่าแสดงออกซึ่งความเจริญของ
อียิปต์โบราณอันมีส่วนช่วยให้นักประวัติศาสตร์สามารถกำหนดขีดแห่งอารยธรรมและสภาพสังคมของอียิปต์โบราณในช่วงนั้น
สรุปได้ว่าชาวอียิปต์โบราณเป็นผู้กำเนิดอารยธรรมอียิปต์โบราณที่เก่าแก่ขึ้นแถบลุ่มแม่น้ำไนล์อารยธรรมอียิปต์โบราณที่เกิดขึ้นได้แก่ ด้านสังคม การประกอบอาชีพ การปกครองซึ่งประกอบเป็นชาติขึ้นศาสนาซึ่งย้ำเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ การพิพากษาระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า ศิลปการเขียนความเจริญดังกล่าวมิใช่เฉพาะทำให้ชีวิตของชาวอียิปต์โบราณสุขสบายเท่านั้นแต่ยังมีส่วนช่วยทำให้มนุษย์ในแหล่งต่างๆของโลกได้ร่วมก้าวหน้าติดตามไปด้วยเพราะสืบทอดรับความเจริญ ดังที่อัธยา โกมลกาญจนและคณะกล่าวสรุปความเจริญของอียิปต์ในราชวงศ์ต่างๆ ไว้ดังต่อไปนี้
สมัยราชวงศ์ (Dynastic Period) แบ่งออกเป็น

1.
สมัยราชอาณาจักรเก่า (The Old Kingdom) อยู่ในระยะประมาณ 3000-2400 B.C. นับว่าเป็นสมัยเริ่มต้นอียิปต์ให้มั่นคงและยืนยงต่อมาโดยถือว่าศูนย์กลางแห่งอำนาจทั้งมวลก็คือฟาโรห์สมัยนี้เริ่มต้นเมื่อเมนุสรวมอียิปต์บนและอิยิปต์ล่างเข้าด้วยกันซึ่งกินเวลาตลอดสมัยราชวงศ์ที่ 1 คือประมาณปี 2700 B.C. จึงเป็นสมัยเริิ่มต้นราชวงศ์อย่างแท้จริง
การปกครองสมัยนี้เป็นแบบเทวาธิปไตย (Theocracy)ฟาโรห์มีฐานะเป็นโอรสของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คือสุริยเทพ เร หรือราทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าพระเป็นการรวมศาสนจักรและอาณาจักรเข้าด้วยกันเป็นผู้บัญชาการกองทัพและบัญชาการทางด้านพลเรือนอีกด้วย
นโยบายในการปกครองประเทศของฟาโรห์สมัยอาณาจักรเก่านี้คือรักษาสันติภาพไม่รุกรานใครฟาโรห์ไม่มีกองทัพของพระองค์เองแต่จะอาศัยการเกณฑ์จากแต่ละจังหวัดเนื่องจากมีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งประชาชนจึงมีความเป็นอยู่อย่างมีระเบียบและพอใจในความเป็นอยู่ของตนเองอาชีพส่วนใหญ่คือการเกษตรกรรมชีวิตความเป็นอยู่นั้นมีอิทธิพลอย่างมากคือศิลปะของอียิปต์กล่าวคือศิลปะของอียิปต์จะแสดงออกในลักษณะที่มีความมั่นใจในตนเองศิลปะสำคัญในสมัยนี้คือการสร้างปิรามิด การสร้างปิรามิดในสมัยอาณาจักรเก่านี้สร้างเพื่อถวายฟาโรห์โดยมีจุดประสงค์ว่าเมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์แล้วจะได้ไปเกิดในสวรรค์เมื่อเกิดแล้วจะได้ร่วมมือกับเทพเจ้าเพื่อประทานพรให้กับชาวอียิปต์เหมือนในชาตินี้เพราะเชื่อว่าการที่แม่น้ำไนล์อุดมสมบูรณ์นั้นเป็นการกระทำของเทพเจ้าชาวอียิปต์มีความเชื่อในโลกหน้าว่าถ้าทำสงครามในชาตินี้ฟาโรห์ก็จะประทานความสุขมาให้เหมือนในชาตินี้จึงได้สร้างปิรามิดถวายฟาโรห์ตั้งแต่เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่และจะสำเร็จลงเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ปีรามิดนี้ตกแต่งด้วยเพชรพลอยและฐานของปิรามิดแต่ละมุมก็หันไปตามทิศทั้ง 4 ทิศ
 


PS.  ขอบคุณที่แสดงความคิดเห็นค่ะ

แสดงความคิดเห็น

>

10 ความคิดเห็น

i-soulazy 13 ก.ค. 52 เวลา 00:33 น. 2

คงจะน่าสนใจมากกว่านี้ถ้ามีรูป

อันนี้แบบว่าตัวอักษรเรียงเป็นพรืด แม่เจ้า...แค่เห็นก็ขี้เกียจอ่านแล้ว เหอๆ

0
Jasmine 13 ก.ค. 52 เวลา 08:39 น. 4

ขอโทษ นะค่ะ Hatshepsutไม่ใช่ king คนแรกของ อียิปต์ค่ะแต่ เป็นคนที่สี่
คนแรก Queen Djer , Dynasty 1
คนที่สอง Queen Seshestet, Dynasty 6
คนที่สาม Queen Sobekneferu Dynasty 12
คนที่ สี่ Queen&nbsp Hatshepsut Dynasty 18
คนที่ห้า Queen Tawosret Dynasty 19
2 สิ่ง ที่ทำให้ Queen ของ Egypt ได้เป็นKing
&nbsp - สามีสิ้นพระชนม์ค่ะ
&nbsp - Kingยังเด็กเกินไปที่จะปกครอง
ในกรณี ของ Hashepsut เนี่ย เมื่อสามีขอเธอสิ้นพระชนม์ Tutmose IVยังเด็กมากค่ะ
สงสัย รึปล่าวค่ะ ว่าทำไมQueen & Kingของ Egypt ส่วนใหญ่ต้องแต่งงานกับน้อง สาวน้องชายของ ตัวเองเพราะว่าEgyptเนี่ย
คนที่สืบเชื้อสายกระษัตยร์จริงๆ แล้วคือผู้หญิงค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าใครอยากเป็นKing ก็ต้องแต่งงานกับธิดาของKing
For example นะค่ะ,

Queen Ahmose(แม่ของ Hashepsut)&nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp +(พ่อ) Tutmose II +&nbsp &nbsp &nbsp  Iset (แม่ของ Tutmose III)

&nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp = Hashepsut&nbsp +&nbsp &nbsp = Tutmose III&nbsp + Tiaa (ไม่ใช่เมียหลวงนะค่ะ)
&nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp = Princess Neferure + Tutmose IV
เพราะ ฉะนั้นการที่ Tutmose IIIแต่งกับHashepsutเพราะ ว่า Hashepsut มีเชื้อสายกระษัตยร์แบบเต็ม TutmoseIII ซะอีกที่ต้องแต่งงานกับHashepsut ถึงจะได้เป็นKing ......ดังนั้น Hashepsut มีอำนาจในนการปกครองทุกอย่างเหมือนสามีค่ะ เนื่องจากเธอมีเชื้อสายกระษัตยร์....
ส่วนเรื่องที่ จขก. บแกว่าTutmose IV ทำลาย รูปและวัตถุของHashepsut เนื่องจากโกรธแค้นนะค่ะ มีคำเตือนนิดนึงค่ะว่า ปัจจุบันนี้ National Geographicไม่ได้น่าเชื่อถือเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะว่าบางฉบับ ก็ทำออกมาแบบไม่ได้อ้างอิงความจริง
ตัวเราเองได้มีโอกาสไปที่ Metropolisian of Arts , NYมาค่ะ ในห้องจัดแสดงเกี่ยวกับ รูปของHasheptsut ทั้งห้อง แต่Staff บอกกับเราว่า Tutmose IVแค้น Haseptsut จิงสั่งทำลายรูปทั้งหมด เราเลยถามว่า แล้วที่แสดงอยู่เนี่ยคืออะไร Staff ก็เงียบ
ไม่มีใครพิสูจน์ได้แต่ กลับเอามาเป็นเรื่องใหญ่โต ทั้งๆที่Tutmose IVสามารถทำได้มากกว่าทำลายด้วยซ้า
&nbsp&nbsp&nbsp จริงๆแล้ว Tutmose IV ออกจะเคารพ เธอด้วยซ้าไปค่ะ เนื่องจากว่าในระหว่างที่ เธอปกครอง เธอก็สอน TutmoseIVไปในตัวด้วย เพราะฉะนั้นรูปภาพทุกรูป Hashepsut จะอยู่ข้างหน้า และเป็นผู้นำเสมอ
........................................................................................
ส่วนเรื่องขอการทำปฏิทิน คนอียิปย์ เพิ่ม5วันเข้าไป ในช่วงสุดท้ายของปีเพื่อ การสรรเสิญขอบคุณเพราะเจ้าค่ะ
จริงๆกระทู้นี้มีข้อบกพร่องเยอะค่ะ อาจจะเป็นเพราะเจ้าของกระทู้ก๊อบมาจากเว็บเก่า ซึ่งก๊อปจากที่อื่นมาอีกที
กรุณาอัพเดตเรื่องใหม่ๆ บ่อยๆน่ะค่ะ เพราะประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงตลอดตามการค้นพบ
คุณเจ้าของกระทุ้หรือคน อื่นๆที่อยากรู้เรื่องอะไร อีเมล์มาได้นะค่ะ
ถ้าเราตอบได้เราจะตอบทุกคำถามค่ะ
jassie_princess@ymail.com
http://jassyprincess.hi5.com/ นี่hi5ที่เราอัพโหลด บางรูปเกี่ยวกับอียิปต์ และมัมมี่ค่ะ

0
สายขิม 13 ก.ค. 52 เวลา 16:15 น. 5

เราก็ชอบนะเรื่องประวัติศาสตร์อ่ะ
แต่ชอบฟังมากกว่าอ่าน


PS.  ––––•(-• (แค่พรุ่งนี้ยังมีเธอ) •-)•––––
0
Kumusta 13 ก.ค. 52 เวลา 20:59 น. 6

ขอโทษนะค่ะที่มีข้อมูลผิดจะพยายามอัพเดตนะค่ะ


PS.  ขอบคุณที่แสดงความคิดเห็นค่ะ
0