Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

พิชัยสงครามไม่ใช่ ของซุนวู เฉพาะชายหนุ่มเท่านั้น(หญิงห้ามเข้า)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

 

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด


ผมจะพยามรวมรวมพิไชยสงครามของไทย(สะกดเเบบโบราณ)จากเเหล่งต่างๆมาให้ได้มากที่สุด...
เพื่อเป็นเเหล่งคนคว้าข้อมูลเเลศึกษายุทธศาตร์ของบรรพบุรุษไทยเรา
ท่านใดที่มีข้อมูลตําราพิไชยสงครามของไทยก็ช่วยกันรวบรวมไว้ด้วยนะครับ




ตำราพิชัยสงครามของไทยประเทศไทยมีตำราพิชัยสงครามใช้มาตั้งแต่ในสมัยโบราณเช่นกัน
ซึ่งนอกจากมีเนื้อหาเกี่ยวกับยุทธวิธีการรบด้วย ยังมีความเชื่อทางด้านฤกษ์ยามและโหราศาสตร์รวมอยู่ด้วย เช่น สมุดตำราพิชัยสงครามในสมัยอยุธยาวัสดุที่ใช้ทำสมุด ทำจากเยื่อของต้นสาหรือเรียกว่า กระดาษสา
ตัวอักษรที่ปรากฏในสมุดเล่มดังกล่าว เป็นลักษณะตัวอักษรไทยโบราณ และตัวอักษรขอมตัวอักษรไทยโบราณใช้เขียนบรรยายความทั่ว ๆ ไป ส่วนตัวอักษรขอมนั้นใช้เขียนในส่วนที่เป็นบทเวทย์มนต์ หรือยันต์
ตำราพิชัยสงคราม เล่มนี้มีอายุประมาณ 100 กว่าปี คาดว่าเขียนใน สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เนื้อหาสาระในสมุดไทยเล่มนี้ได้ว่าถึงความเชื่อ และการประกอบพิธีเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการต่อสู้กับศัตรู
สมุดไทยเล่มดังกล่าว ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับมาจากชาวบ้านในจังหวัด พระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันสมุดไทยเล่มนี้เก็บรักษาอยู่ที่ศูนย์วัฒนธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โดยวิธีใส่ในห่อผ้าและนำเม็ดพริกไทยใส่ไว้ด้วย ตัวอักษรยังชัดเจนอยู่ แต่ตัวสมุดไทยเล่มนี้ฉีกขาดไปข้อความบางตอนจึงขาดหายไป สมุดไทยเล่มนี้มีเนื้อหาไม่มากนัก มีเนื้อหาเพียงจำนวน 22 หน้าสมุดไทยเท่านั้นเอง........เราเองจึงควรช่วยกันรวบรวมไว้ไม่ให้สูญหายเเล





เริ่มจาก......
พิชัยสงครามของพระมหากษัตริย์
ผู้ปกครองแผ่นดินจะต้องศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ เพื่อความสงบร่มเย็นแก่ไพร่ฟ้าทั้งปวง ให้รอบรู้หลักการปกครองบ้านเมือง เช่น ให้มีจิตวิทยาในการครองใจเสนาอำมาทย์ผู้สนองราชกิจต่างๆ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นหลักชัยแห่งความสามัคคี และความจงรักภัคดีของอาณาประชาราษฎ์ 



ลักษณะให้บังเกิดศึก
หมายถึง การศึกสงครามจะเกิดขึ้นได้เพราะเหตุต่างๆ กล่าวคือ การจะเกิดศึกสงครามแต่ละคราวต้องมีต้นเหตุ ในตำราพิชัยสงครามระบุว่าสาเหตุที่จะบังเกิดศึกมี 13 ประการ คือ ด้วยเหตุแย่งชิงดินแดน แย่งทรัพย์สมบัติ พาหนะ มีผู้ยุยงให้แตกแยก เหตุจากสตรี เสียสัจจะ อุปทูต ราชทูตเจรจาขาดทางไมตรี ฆ่าฟัน ฝักใฝ่กษัตริย์ข้างใดข้างหนึ่ง ข่มเหงลูกค้าวานิช รับศัตรูไว้ในบ้านเมือง ราษฎรและบ้านเมืองทรสถานได้ความทุกข์ยากลำบาก 




ในตำราพิชัยสงครามจะมีเรื่องเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์แทรกอยู่และดูเหมือนจะมิอิธิพลอย่างยิ่งในการพิชัยสงคราม ดังนั้นจึงต้องมีโหราจารย์ประจำกองทัพเปรียบประดุจดวงตาของกองทัพโดยกำหนดว่า ผู้ที่ทำหน้าที่ต้องมีดวงชะตาให้คุณแก่พระมหากษัตริย์หรือประมุขของประเทศ นอกจากนั้นการคัดเลือกทหารเข้าประจำในกองทัพต้องนำชื่อของคนเหล่านั้นมาคำนวนทางมหาทักษาพยากรณ์ซึ่งเป็นวิชาโหราศาสตร์แขนงหนึ่งเพื่อหาตัวเลขมาใช้เป็นชื่อ เช่น เลข 1 ชื่อครุฑนาม เลข 2 ชื่อพยัคนาม เป็นต้น แล้วจึงให้ผู้มีนามต่างๆ เหล่านั้นเข้าประจำตำแหน่งของกระบวนทัพ 

Attached Image

ถ้าฝ่ายข้าศึกเป็นมุสินาม ให้ใช้ขุนพลที่มีชื่พยัคนามออกสู้รบ ถ้านามฝ่ายข้าศึกเป็นสุนัขนามให้ใช้ขุนพลสีนามออกต่อสู้ ถ้า่ข้าศึกเป็นอชนามให้ใช้คชนามออกต่อสู้ เมื่อจัดการดังนี้แล้วก็จะได้ชัยชนะ และเมื่อจะเคลื่อนทัพไปหนใดก็ต้องกำหนดเวลาทีี่่เชื่อว่้าดีที่สุดเป็นชัยมงคลแก่กองทัพ หรือที่เรียกว่า ฤกษ์พิชัยสงคราม ซึ่งโหราจารย์ประจำกองทัพจะเป็นผู้หาฤกษ์ให้ โดยเชื่อกันว่าฤกษ์เคลื่อนทัพมีอิทธิพลที่จะช่วยส่งเสริมให้มีชัยชนะหรือปราชัยแก่ข้าศึก และยังมีพระราชพิธีตัดไม้ข่มนามประกอบฤกษ์ด้วย

การจัดการกองทัพและการเคลื่อนทัพในตำราพิชัยสงครามระบุได้ชัดเจนว่า กระบวนพยุหยาตราทัพต้องประกอบด้วย ริ้วขบวน ขนาบ ขนาน ของเหล่าทหารตามลำดับ เพรียบพร้อมด้วยระเบียบวินัยอันดียิ่ง มีแสนยานุภาพเข้าทำศึก มียุทธานุภาพอันเกรียงไกร มีเสบียงอาหารส่งกำลังบำรุงเสริมพลังรบอย่างพร้อมเพรียง ดั่งคำประพันธ์ที่ปรากำอยู่ในหนังสือสมุดไทยเรื่องตำราพิชัยสงครามเขียนไว้ว่า

" จัดแจงแต่งพยู่ห์โยธา พลช้างพลม้า อีกพลรบครบครันจัดทหารชาญเข้มแขงขยัน เร่งรัดเลือกสัน ผู้ไวผู่แว่นแก่นการ
เกนไว้ให้เสรจ์โดยวาร สำเนียงเสียงสาร ให้รู้การศึกทุกอัน ปืนใหญ่หน้าไม้เกาทัน ใหญ่น้อยจงสัน ให้เลือกแต่ล้วนหย่างดี แหลน
หลาวทวนง้าวตาวจรี กันถัศหัดถี ทังไล่แลหนีวชาญฯ..." 



ในการจัดกองทัพนั้นต้องมีกำลังศึก ๘ ประการได้แก่
หัวศึกคือแม่ทัพ ,มือศึกคือกองหัวป่า ,ตีนศึกคือช้างม้า ,ตาศึกคือโหราจารย์ ,หูศึกคือกองสอดแนม ,ปากศึกคือทูต ,เขี้ยวศึกคือทหาร ,กำลังศึกคือไพร่พล

การดำเนินศึก
ผู้เป็นแม่ทัพต้องรอบรู้กลศึก หรือวิธีเคลื่อนทัพเพื่อลวงข้าศึกในรูปแบบต่างๆ เช่น เมื่อมีความประสงค์จะเข้าโจมตี ก็แสดงให้เห็นเหมือนไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น หรือยั่วอารมณืให้ข้าศึกรู้สึกโกรธบ้าง เมื่อเห็นว่าข้าศึกมีกำลังเข้มแข็งก็หลีดเลี่ยงเปลี่ยนเป็นลอบเข้าโจมตีให้เกิดการระส่ำระส่ายก่อน และเข้าโจมตีเมื่อข้าศึกมีกำลังอ่อนลง หรือถ้าข้าศึกพักรบก็คอยรังควานให้รำคาญใจ ดำเนินให้กองทัพแตกความสามัคคี เพื่อกำลังทัพจะได้ไม่เข้มแข็ง เป็นต้น 



กลศึก
เหล่านี้ในตำราพิชัยสงครามกำหนดไว้ ๒๑ ประการคือ กลฤทธิ กลสีหจักร กลหลักซ่อนเงื่อน กลเถื่อนจำบัง กลพังภูเขา กลม้ากินสวน กลพวนเรือโยง กลโพงน้ำบ่อ กลพ่อช้างป่า กลฟ้างำดิน กลอินทพิมาน กลผลานศตรู กลชูพิสแสลง กลแข็งให้อ่อน กลย้อนภูเขาหรือพังภูเขา กลเย้าให้ยอม กลจอมปราสาท กลราชปัญญา กลฟ้าสนั่นเสียง กลเรียงหลักยืน และกลปืนพระราม...

ในระหว่างเคลื่อนทัพ ชัยภูมิที่ตั้งกองทัพต้องพิจารณาให้รอบคอบ ตัวอย่างเช่น ภูมิประเทศเป็นแม่นำ้ ลำธาร ห้วย หนอง การจะตั้งกองทัพให้ไว้ช้างอยู่ข้างในไว้ม้าและพลเดินเท้าชั้นนอก แล้วให้ขุดคูทำเป็นกำแพงรอบให้มีหอรบบนกำแพง เป็นต้น ส่วนแบบแผนกระบวนทัพ ต้องจัดแต่พหุยาตราทัพเป็นรูปต่างๆ เช่น แต่งเป็นรูปปราสาทพยูห์ คือเคลื่อนทัพเป็นกระบวนริ้วปราสาท แต่งเป็นรูปจังโกทะกะพยูห์ คือเคลื่อนทัพเป็นริ้วขบวนรูปกระถางดอกไม้ เป็นต้น

การดำเนินศึกตามหลักวิชากลยุทธิ์โบราณในตำราพิชัยสงครามกล่าวไว้หลายประการ ตัวอย่างเช่น ดำเนินดุจหงส์บิน ให้กองทัพหลวงและพลช้างเดินทัพไปก่อน แล้วให้ จตุรงค์พลทั้งสี่ แยกออกเป็นสองส่่วน ยกตามไไปเป็นซ้าย ขวาแล้วให้ทัพหลวงเฉวียนฉวัด หกคืนตามมาอยู่หลัง เป็นต้น 



ยุทธวิธีดำเนินศึกอีกประการหนึ่งคือการจัดกระบวนทัพเพื่อการตั้งรับและเข้าตีขณะประจัญหน้ากันกอปรด้วยแสนยานุภาพอันมีเปรียบเสียเปรียบเช่น จัดรูปทัพรูปสีหนามพยูห์ เป็นการตั้งรับรูปสิงห์ในอิริยาบถก้าวเดิน ใช้สำหรับการตั้งทัพในพื้นที่อันมีชัยภูมิประกอบด้วยป่าชายเขาดงใหญ่ โดยกำหนดให้ทัพหน้าอยู่ที่คอสิงห์ ทัพหลวงอยู่ที่ท้องสิงห์ ทัพหลังอยู่ที่หางสิงห์ และมีกองแซงล้อมรอบอยู่ ๔ ทิศ จัดทัพรูปปทุมพยูห์ เป็นการตั้งทัพรูปดอกบัว ใช้ได้ทั้งตั้งทัพและเดินทัพ ในพื้นที่อันมีชัยภูมิอันเป็นที่ราบกลางทุ่งโล่ง และถ้าจัดทัพตั้งรับรูปปมธุกพยูห์มีรูปดั่งรวงผึ้งย้อย ให้จัดพลรบเข้าตีด้วย ธนุกะพยูห์ มีรูปดั่งคันธนูเป็นต้น

ตำราพิชัยสงครามที่มีฉบับในปัจจุบันถึงแม้จะไม่ให้รายละเอียดเชิงปฎิบัติอย่างชัดเจนแต่ก็จัดว่าเป็นเอกสารโบราณที่มีคุณค่ายิ่งในประวัติศาสตร์ของชาติ ไทยเพื่อชนพื้นหลังได้ศึกษาเป็นพื้ฐานทางการรบ

อีกประการหนึ่งชื่อของแม่ทัพนายกองผู้ทำหน้าที่คุมกองทัพนั้นต้องมีชื่อที่ข่มฝ่ายข้าศึกด้วย เช่น ชื่อของนายทัพหรือขุนพลของกองทัพฝ่ายข้าศึกเป็นนาคนาม ให้ใช้ขุนพลที่มีชื่อเป็นครุฑนามออกต่อสู้ จะได้ชัยชนะ



ตำราพิชัยสงครามแบบยุทธอาภรณ์
เป็นตำราพิชัยสงคราม แบบยุทธอาภรณ์ ตามตำนานเล่าสืบกันมาว่า ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าปเสนทิโกศล ทำสงครามกับพระเจ้าอชาติศัตรู อำมาตย์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ฟังการสนทนาของพระติสสภิกษุ กับบรรดาพระเถระทั้งหลาย ในเรื่องนี้ จึงได้นำความไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์จึงได้ตั้งเป็นตำราตั้งแต่นั้นมา ว่าดังนี้

สิทธิการิยะ ถ้าจะยาตราพยุหโยค ท่านให้พิจารณาดูวันดังนี้
ถ้าวัน ๑ ได้ครุฑนาม ให้ประดับอาภรณ์สีแดง มือถือธนู แล้วเอาน้ำใส่ศีรษะ คอยฟังเสียงปี่และเสียงไก่ขัน เป็นฤกษ์สกุณสังหาร แล้วให้เร่งเบิกพล โห่ร้องเอาชัย? ถ้ายาตราวัน

๒ ได้พยัคฆนาม ให้ประดับอาภรณ์ด้วยสีขาว ถือดาบและเขนเป็นอาวุธ แล้วนอนเสียหน่อยหนึ่ง เอานิมิตรเสียงดุริยดนตรี เป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพล โห่ร้องเอาชัย แล?ถ้ายาตราวัน
๓ ได้สีหนาม ประดับเครื่องอาภรณ์สีชมพู ถือดาบเป็นอาวุธ แล้วกินน้ำอ้อยเสียก่อน เอานิมิตรเสียงสุนัขเห่าหอน เป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพลยาตราทัพ โห่ร้องเอาชัย แล? ถ้ายาตราวัน

๔ ได้สุนัขนาม กินอาหารเสียก่อนแล้วประดับอาภรณ์สีเขียวใบตองอ่อน มือถือดาบ คอยนิมิตรเสียงแตรสังข์ เป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพล โห่ร้องเอาชัย และ?ถ้ายาตราวัน

๕ ได้มุสิกนาม ให้กลั้นใจเอานิ้วกลางกับนิ้วหัวแม่มือ หยิบเอาเถ้ากลางเตาไฟเจิมหน้าเสียก่อน แล้วประดับอาภรณ์สีเมฆสีหมอก มือถือหอกอันคมกล้า เมื่อได้เห็นคิชฌปักษี และนกหมู่ใหญ่บินมา ให้ถือเป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพลโห่ร้องเอาชัย แล?ถ้ายาตราวัน

๖ ได้อัชชนาม ให้ทาเครื่องหอมเสียก่อน แล้วประดับอาภรณ์เลื่อมประภัสสร ถือธนูเป็นอาวุธ คอยนิมิตรเสียงดนตรีขับร้องเป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพลโห่ร้องเอาชัย แล?ถ้ายาตราวัน

๗ ได้นาคนาม ประดับอาภรณ์สีดำ ถืออาวุธต่าง ๆ แล้วให้ทำอาการขึ้งโกรธ คอยดูกา และนกดุเหว่า เป็นสกุณสังหาร เร่งเบิกพลให้โห่ร้องเอาชัย?วัน ๑ ยามจันทร์ กาละไท ตกทิศอุดร ให้ยกเข้าตีข้าศึก ได้เมื่อมโหสถชนะท้าวจุลนี แล?วัน ๑ ยาม ๗ กาละไทตกทิศอาคเณย์ ให้เขาเป็นฝ่ายรุก เราเป็นฝ่ายรับได้เมื่อมโหสถชนะแก่อาจารย์เถวัฏ แล?วัน ๑ ยาม ๓ กาละไท ตกทิศอิสาน ยามนี้เร่งให้ยกเข้าต่อตีข้าศึก ได้เมื่อพระยาโปริสาท จับพระยาสุดโสมได้ ดีนักแล? วัน ๒ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศหรดี ให้ข้าศึกยกมาตีเราก่อนจึงจะตีมีชัย ได้เมื่อพญาราชสีห์จับคชสาร แล?วัน ๒ ยาม ๖ กาละไท ตกทิศอิสาน ให้เร่งรุกรบจะมีชัย ได้เมื่อนางนกไส้ เข้าพญาคชสารได้ ดีนัก แล?วัน ๒ ยาม ๔ กาละไท ตกทิศทักษิณ ให้เร่งยกพลเข้าต่อตีข้าศึก จะมีชัย ได้เมื่อนายพรานโสอุดร ยิงพญาฉัตทันต์ แล?วัน ๓ ยาม ๑ กาละไท ตกทิศทักษิณ ได้เมื่อพระโมคคัลลาน์ ทรมานพญานาคราช ให้เร่งระดมยกเข้าตีเถิด จะมีชัยชนะ แล?วัน ๓ ยาม ๒ กาละไท ตกทิศหรดี ยามนี้ให้ตั้งมั่นไว้ก่อน อย่าได้ออกรบเลย ถ้าขืนยกออกรบ จะแพ้แก่ข้าศึก ได้เมื่อพญามารยามาแย่งรัตนบัลลังก์ แล? วัน ๓ ยาม ๖ กาละไท ตกทิศอุดร ให้เร่งรบเถิด จะมีชัยชนะแล ได้เมื่อพระพุทธเจ้า ชนะพญามาร แล?วัน ๔ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศประจิม ให้เร่งรบ จะมีชัยชนะ ได้เมื่อนกหัสดินทร จับคชสารไปกิน แล?วัน ๔ ยาม ๕ กาละไท ตกทิศอิสาน ให้เร่งออกรบ จะมีชัยชนะ ได้เมื่อพญาทรพีฆ่าพ่อ?วัน ๔ ยาม ๓ กาละไท ตกทิศทักษิณ อย่าออกรบ จะเสียแม่ทัพ และนายทหารได้เมื่อทรพาตาย แล? วัน ๕ ยาม ๑ กาละไท ตกทิศบูรพา ให้เร่งรบจะมีชัย ได้เมื่อพระอินทร์มีชัยชนะแก่ท้าวอสูร แล?วัน ๕ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศประจิม อย่ายกไป ได้เมื่อนางอัศวมุขีจับเอาพราหมณ์ไปได้ แล?วัน ๕ ยาม ๕ กาละไท ตกทิศอิสาน ยามนี้ให้เร่งรบเถิด ถ้าจะถอยทัพก็ดี แลได้เมื่อสองพ่อลูกหนีนางอัศวมุขีไปได้ แล?วัน ๖ ยาม ๔ กาละไท ตกทิศอิสาน ให้เร่งรบเถิด ถ้าถอยทัพก็ดี แล?วัน ๖ ยาม ๒ กาละไท ตกทิศทักษิณ ดีร้ายเท่ากัน พิเคราะห์ดูให้แน่ ถ้าเห็นดีจึงจะให้ยกเข้าตี ถ้าเห็นร้าย อย่ายกไปเลย ได้เมื่อวิชาธรได้นาง แล?วัน ๖ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศพายัพ ได้เมื่อท้าววิเทหราช ได้นางปัญจาลจันที ยามนี้ให้ยกไปตั้งมั่นรอไว้ก่อน ถ้าข้าศึกยกมาก็แพ้เรา แล?วัน ๗ ยาม ๔ กาละไท ตกทิศบูรพา ได้เมื่อพญาฉัตรทันต์ตาย อย่าออกรบเลย?วัน ๗ ยาม ๗ กาละไท ตกทิศอุดร ได้เมื่อห่าลงเมืองไพศาลี ยามนี้ห้ามมิให้ออกรบ จะเสียรี้พล
และสรรพอาวุธยุทธภัณฑ์ทั้งปวง แล


การจัดทัพตามตำราพิชัยสงครามนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อจะได้ชัยภูมิที่ได้เปรียบทางยุทธภูมิ 
จะได้เป็นที่เกรงขามของข้าศึก  ซึ่งเป็นความรู้ที่จอมทัพจะต้องเรียนรู้ให้ชำนาญ
ดังข้อความที่พระเจ้ากรุงหงสาวดีตรัสสอนพระมหาอุปราชว่า
?หนึ่งรู้พยุหศึกไสร้   สบสถาน
เจนจิตวิยาการ กาจแกล้ว
รู้เชิงพิชัยชาญ   ชุมค่ายควรนา
อาจจักรอยรณแผ้ว     แผกแพ้พังหนี?
 
ชัยภูมิพยุหะ  มีอยู่  ๘  นาม
๑. ครุฑนาม มีต้นไม้ใหญ่  ๑ ต้น ขึ้นบนจอมปลวกหรือภูเขา
๓. สีหนาม   มีต้นไม้ใหญ่  ๓ ต้น  ขึ้นบนจอมปลวกหรือภูเขา
๔. สุนัขนาม     อยู่ริมทางใกล้หมู่บ้าน
๕. นาคนาม  อยู่ใกล้ทางน้ำ
๖. มุสิกนาม  อยู่ใกล้โพรงไม้
 ๗. อัชนาม    อยู่กลางทุ่ง
 ๘. คชนาม    อยู่ใกล้ป่าไผ่
  (จากหนังสือ ?คู่มือลิลิตตะเลงพ่าย? ของนริศร์  เลี่ยมทอง  หน้า ๙๘)



การนับโมงยามแบบโบราณ
การแบ่งเวลาในสมัยโบราณนั้นแบ่งเวลากลางคืนออกเป็น  ๔ ยาม  กลางวัน  ๔ ยาม
การนับโมงยามแบบโบราณ  มีดังนี้
ปฐมยาม    จากยามค่ำคืนไปถึง  ๓ ทุ่ม   (๑๘.๐๐-๒๑.๐๐ น.)
 ทุติยาม จาก ๓ ทุ่ม ไปจนถึง  ๖ ทุ่ม   (๒๑.๐๐-๒๔.๐๐ น.)
 ตติยาม จาก ๖ ทุ่ม ไปจนถึง  ๙ ทุ่ม   (๒๔.๐๐-๐๓.๐๐ น.)
 ปัจฉิมยาม  จาก ๙ ทุ่ม ไปจนถึงย่ำรุ่ง  (๐๓.๐๐-๐๗.๐๐ น.) 



ความรู้เกี่ยวกับฉัตร  
ฉัตร  คือ  เครื่องกั้นเป็นร่มซ้อนชั้นมีระบาย  มีตั้งแต่  ๓ ชั้น  ถึง  ๙ ชั้น 
แต่ละชั้นของฉัตรเป็นจำนวนเลขคี่ คือ ๓ ชั้น  ๕ ชั้น ๗ ชั้น  และ ๙ ชั้น
ฉัตร  ๕ ชั้นแสดงพระอิสริยยศของพระมหาอุปราช  ส่วนพระมหาเศวตฉัตรมี ๙ ชั้น
หุ้มด้วยผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น  ขลิบทองแผ่ลวดมียอดเป็นราชกกุธภัณฑ์ของพระมหากษัตริย์
มีที่ใช้เป็นเครื่องกั้น  ดังนี้
๑. ปักที่พระแท่นราชาอาสน์ราชบัลลังก์
๒.  แขวนเหนือพระแท่นราชบรรจถรณ์
๓. ปักที่พระคชาธาร
๔.  ปักที่ยานมาศทรงพระบรมศพ
๕.  แขวนกั้นพระโกศทรงพระบรมศพ
๖. ปักที่ยอดฝาโกศพระบรมอัฐิ
โบราณถือว่า  เศวตฉัตร เป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นกษัตริย์ 
จึงถือว่าสำคัญกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ
(จากหนังสือ ?วรรณวิจักษณ์ เล่ม ๒?  ของวันเนาว์  ยูเด็น  หน้า ๑๐๘



ประเพณีและพิธีกรรมความเชื่อต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพิไชยสงครามของไทย

โขลนทวาร   
พิธีไสยศาสตร์บำรุงขวัญทหารก่อนที่จะออกสงคราม  ทำเป็นประตูป่า  ซุ้มประตูประดับด้วยกิ่งไม้สดๆให้ทหารในกองทัพลอด  มีพราหมณ์คู่หนึ่งนั่งบนร้านสูงสองข้างประตู  ทำพิธีสวดพระเวท  ประพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ  พิธีนี้ต่อมาได้มีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาด้วย โดยพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าชนะมารแล้วประพรมน้ำมนต์แก่ทหารที่ลอดซุ้มประตูเมื่อเสร็จศึกสงครามแล้ว ต้องผ่านโขลนทวารอีก  กันเสนียดจัญไร แก้กันภูตผีปีศาจที่อาจติดตามมาจากสนามรบเป็นพิธีการที่บำรุงขวัญทหารผ่านศึกไม่ให้เสียขวัญจากการสงครามนั่นเอง
 
ตัดไม้ข่มนาม   
เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งเมื่อจะยกกองทัพออกทำสงคราม  โดยตั้งเป็นโรงพิธีขึ้น 
เอาดินจากใต้สะพาน  ดินท่าน้ำ  ดินในป่าช้า  อย่างละ  ๓  แห่ง  มาผสมปั้นเป็นรูปข้าศึก แล้วเขียนชื่อแม่ทัพข้าศึก  ลงยันต์พุทธจักร  บรรลัยจักร  ทับลงบนชื่อนั้น แต่งตัวให้หุ่นดังกล่าวเป็นตามเพศภาษาข้าศึก  เอาต้นกล้วยและไม้มีชื่อร่วมตัวอักษรเดียวกับชื่อของข้าศึกผู้เป็นแม่ทัพ
มาปลุกเสกในโรงพิธีแล้วเอาหุ่นผูกติดกับต้นกล้วย  เอาไม้นั้นประกบกันเข้า
พราหมณ์อ่านพระเวทเมื่อได้ฤกษ์แล้วพระมหากษัตริย์จะมีพระบรมราชโองการให้ขุนพลทหารคนใดคนหนึ่งทำพิธีแทน โดยพระราชทาน พระธำมรงค์เนาวรัตน์  และพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ให้ขุนพลจะใช้ดาบอาญาสิทธิ์ฟันไม้นั้นให้ขาดใน ๓ ที  แล้วกลับเข้าไปบังคมทูลว่าได้ปราบข้าศึกมีชัยชนะตามพระราชโองการแล้วพร้อมถวายพระแสงดาบอาญาสิทธิ์และพระธำมรงค์คืน
 
เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค
เป็นการเคลื่อนทัพตามตำราพิชัยสงครามซึ่งบอกไว้ว่าวันใดหัวนาคจะหันไปทางทิศใดในการยกกองทัพนั้น  จะต้องเดินทัพไปทางทิศเหนือเดียวกับทิศทางที่หัวนาคเดินไปจะเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ
 
ละว้าเซ่นไก่
เป็นพิธีบวงสรวงเจ้าป่า  เจ้าเขา  เทวดา  เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กองทัพ  โดยผู้ทำพิธีจะตั้งเครื่องสังเวยบวงสรวงขอให้ทำการสำเร็จสมปรารถนา  แล้วเสี่ยงทายโดยถอดกระดูกไก่เครื่องเซ่นตัวหนึ่งมาดูถ้ากระดูกยาวมีข้อถี่  ถือว่าเป็นนิมิตดี  เป็นประเพณีเดิมของชาวละว้า  อาจได้รับมาจากอินเดียก็ได้

สวัสดิมงคล
ตำราพิชัยสงครามของไทย...บอกลักษณะมีชัย ไว้สิบประการ แต่คัดลอกต่อๆกันมา จึงเหลือเพียง 8 ประการ คิดอ่านดี วางแผนดี ฤกษ์พานาทีดี ช้างม้ากล้าหาญดี ไม่ขาดอาหาร ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ประกอบพิธีอันถูกต้อง การลักลอบเข้าเผาเมืองมีชัยชนะ...
เหตุที่ทำให้ปราชัย...ตำราก็บอกว่า...มีสิบประการเช่นกัน
อำมาตย์เสนาบดีหมองใจกัน ทหารขัดกัน จอมทัพและเสนาบดีมิได้ปลงใจอันเดียวกัน
ช้างม้ามิได้ฝึกปรือดี ขาดอาหารและอดอยาก มีโรคภัย ไพร่พลทะเลาะกัน โหรให้ฤกษ์ฟั่นเฟือน
ประการสุดท้าย...ถูกฝ่ายข้าศึกฝังอาถรรพณ์ อาคม
อาจารย์พลูหลวง เขียนไว้ในหนังสือ 7ความเชื่อของไทยว่า ตำราพิชัยสงครามไทย
รวบรวมมาจากสารพัดตำรา โหราศาสตร์ ยกเมฆ ทักษาพยากรณ์ อภิไธยโพธิบาทว์
สุริยยาตร์ เวทมนตร์คาถา



ตำราสวัสดิมงคล...ก็ถูกใส่ไว้ในตำราพิชัยสงคราม ตัวอย่างดังต่อไปนี้
อนึ่ง ถ้าจะไปรณรงค์สงคราม ห้ามลูกเมียข้าคนอื่นซึ่งอยู่ ภายหลัง อย่าตีหม้อข้าวหม้อแกง
บนเรือน อย่าตบตีคนบนเรือน ให้เลือดตกทับเรือน อย่าให้ตบมือเล่นเต้นรำให้จงได้
ถ้าจะไปสงคราม ให้อาบน้ำก่อนค่อยไป เมื่อจะนอนทุกครั้งให้ล้างเท้าเสียก่อน
ถ้าจะตัดผมตัดเล็บมือเล็บเท้า ให้ตัดวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ ถ้าจะสระผมให้สระวันอังคาร เสาร์
ถ้าจะเรียนวิชาให้เรียนวันพฤหัส
อนึ่ง ห้ามอย่าเอาผ้านุ่งเช็ดหน้า อย่าล้างหน้าด้วยกระบวยกะลา ให้ล้างหน้าด้วยขัน
อย่าฆ่าสัตว์ที่ต้องปีเกิด จะเป็นการถอยอายุ
การเอาผ้านุ่งเช็ดหน้า ถือกันมากว่าเป็นอัปมงคล ด้วยผ้านุ่งเป็นของต่ำ จะทำให้สง่าราศีเสีย
เรื่องอัปมงคลนี้โบราณถือกันมาก เช่น จะกินหมากเมื่อหยิบใบพลูจะป้ายปูนต้องเด็ดปลายทิ้งเสียก่อน ถือว่าปลายเป็นหางของใบพลู เมื่อจะเก็บผักตำลึงมาแกงก็ต้องเด็ดตีนทิ้ง
โบราณถือว่าจะทำให้คาถาเสื่อม
ส่วนกระบวยกะลานั้นถือว่าเป็นของต่ำคนโบราณมักใช้ กระบวยตักน้ำกิน และกระบวยตักน้ำล้างเท้า ไม่นิยมใช้กระบวยตักน้ำล้างหน้า
ความเชื่อนี้ ทำให้ทหารที่ไปสงคราม จะต้องมีขันโลหะเล็กๆติดตัวไปใช้ตักน้ำกินและล้างหน้า
เมื่อจะถ่ายมูลหนักมูลเบา ให้หันหน้าไปประจิมและอุดรจึงจะดี อย่าถ่มน้ำลายลงที่อาจม
ถ้าถ่มที่นั่น จะเจรจาหาสง่ามิได้
ครั้นถ่ายทุกข์แล้วให้อาบน้ำเสีย ถ้าหาน้ำอาบมิได้ ให้ล้างหน้าลูบหน้าเสีย
ถ้าจะอาบน้ำในคลองและห้วยธาร ห้ามถ่ายมูลหนักเบาลงในน้ำ
ถ้าตัวอยู่บนบก บนเรือน บนไม้ ถ่ายมูลหนักเบา ลงในน้ำได้แล...


นี่เป็นภาพตำราพิชัยสงครามอายุกว่า 200 ปีครับ พึ้งถูกค้นพบสดๆร้อนๆ
นี่ถือเป็นตำรายุคหลังครับ ของไทยอาจจะมีเวทมนคาถาผลมด้วย แต่การรบจริงๆก็อย่างที่เรารู้กันครับ ฝึก ฝึก และ ฝึก ถึงจะช่วยให้เก่งขึ้นได้ ช่วงหลังๆก่อนกรุงแตก เราห่างสงครามมานานไม่ค่อยได้ฝึก เลยโดนด้านมึดครอบงำ(ยังกะเจได) หันไปสนใจเรื่องคาถาอาคมมากกว่าที่จะฝึกรบทับจับศึก พอมาเจอพม่าที่รบมาแล้วหลายสนาม เลยแพ้ครับ

บทความอันนี้มาจาก
http://www.konmeungbua.com/forum/topic4375.html
เดียวต่อไปจะเอาประวัติการรบของ สุโขทัยกับ อยุธยามาลงนะครับ (ถ้ามีคนอยากดูอะนะ -*- )




แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 19 สิงหาคม 2552 / 13:56

PS.  เอกราชไม่ได้มาจากการอยู่เฉยๆ แต่มาจากการต่อสู้ของบรรพชน สู้เท่านั้นที่จะทำให้ได้เอกราช

แสดงความคิดเห็น

>

12 ความคิดเห็น

I_Beau 19 ส.ค. 52 เวลา 13:12 น. 2
นั่นสิ ทำไมจะเข้าไม่ได้ยะ ผู้หญิงก้ออ่านนะ ตำราพิชัยฯ
PS.  รักนะเด็กโง่ เพราะโง่ถึงรัก อย่าหยุดโง่นะที่รัก เดี๋ยวไม่รักนะเด็กโง่
0
ขุนกำแหง 19 ส.ค. 52 เวลา 13:52 น. 3

มันคือกุลยุทธ์การดึงลูกค้าเข้ามาจ้ะ 

ฮิฮิฮิ

มีเคือง


PS.  เอกราชไม่ได้มาจากการอยู่เฉยๆ แต่มาจากการต่อสู้ของบรรพชน สู้เท่านั้นที่จะทำให้ได้เอกราช
0
qazxc 19 ส.ค. 52 เวลา 20:51 น. 5

ยอมรับว่าคนสมัยก่อนเก่งจริงๆ แบบไม่ต้องพึ่งอาวุธที่ทันสมัย แบบปัจจุบัน ก็สามารถรบข้าศึกชนะได้
ใช้ความสามารถและสมองล้วนๆ

0
แฟนคลับท่านขุน 20 ส.ค. 52 เวลา 11:35 น. 6

ผู้หญิงสมัยก่อนนอกจากเป็นกุลสตรีแล้ว ยังมีความกล้าหาญต่อสู้กับข้าศึกที่มีมากโข น่านับถือ

แต่ผู้หญิง สมัยนี้ นอกจากไม่กุลสตรีแล้ว

ยังเก่งแต่รุมรุ่นน้อง แย่งผัวกัน ถ่ายคลิปตีกัน


ผู้ชายสมัยก่อน เก่งกล้าสามารถ เป็นบุรุษ

ตัวต่อตัว กล้าหาญ ฉลาด ดูแต่ประโยคพูดจาของคนโบราณ พูดยังกะกลอน มีสัมผัส คล้องจอง

ผมว่าผู้ชายสมัยก่อนฉลาดกว่าสมัยนี้ และเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง


ผู้ชายสมัยนี้ กระจอก ใช้อาวุธกับฝ่ายไม่มีทางสู้ รังแกผู้หญิง ถ่ายคลิป แมงดา

เก่งแต่รุม คติโง่ๆ เก่งแต่ในแว่นแคว้นในถิ่นตน พอไปต่างแดน เจอข้าศึก กลัวหัวหดเฟมือนสุนัข

รักแต่สถาบันตนแต่ไม่รักเผ่าพงษ์ของตัวเอง

ไปเชิดชูต่างชาติ

อาณาจักรอยุธยาที่เคยยิ่งใหญ่ จนบาทหลวงฝรั่งชมนักนา

เดียวนี้เหลืออะไรบ้าง

แต่ก่อนเกาหลีหรือจะเจริญเทียบอาณาจักรอยุธยา

แต่เดียวนี้......

คนรุ่นใหม่ จักทำอะไรเป็นก็แค่ ปกป้องความชอบตัวเอง ถึงแม้จะมีผลกระทบต่อบ้านเมืองก็ตาม

ถ้าให้เลือก

ก็ขอเลือกคนสมัยก่อน







อาณาจักรไทยที่เคยรุ่งเรือง ก็เหลือแค่ในประวัติศาสตร์

และต้องมาจบลงที่รุ่นลูกหลานอย่างน่าเศร้า ถ้าคนไทยยังนิยมของนอก

เสียดุลการค้ารู้จักไหม

ไทยคิด ไทยใช้ ไทยเจริญ

สอนพวกสัตว์มันไม่ฟังหรอก

0
5555555555555555555555555555555555555 23 ส.ค. 52 เวลา 00:04 น. 7

ไร้สาระ-_-;;
ชอบเกาหลีแล้วมันหนักหัวนักเรอะ เหอะๆ
ประสาท หมายถึงคห.บน จะรักประเทศไทยก็รักไปสิ จะมากล่าวหาเกาหลีทำไม ทุเรศ

0
ขุนกำแหง 26 ส.ค. 52 เวลา 09:36 น. 8

เกลียดเกาหลี ก็ไม่ได้หนักหัวใคร เหมือนกัน


PS.  เอกราชไม่ได้มาจากการอยู่เฉยๆ แต่มาจากการต่อสู้ของบรรพชน สู้เท่านั้นที่จะทำให้ได้เอกราช
0
เสื่อมแล้ว 25 ม.ค. 55 เวลา 22:24 น. 11

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ ความคิดเห็นที่ 6
อ่านแล้วเราชาบูเลย สุดยอด

น่าเสียดายที่บางคนปัญญาไม่ถึง ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

คุณแค่ชอบเกาหลีไม่เคยจะว่าไม่เคยด่า มันเป็นรสนิยมส่วนตัว
แต่อย่าไปถึงขนาดบูชามันเหนือหัว แล้วลืมรากเหง้าของตัวเองเป็นพอ
เพราะเดี๋ยวนี้เห็นๆ อยู่ว่ามันเคารพยกย่องกันแค่ไหน
หยั่งกะของไทยไม่มีคุณค่า

ใกล้เกลือกินด่างรึเปล่า?

ขอแค่นี้มีใจอนุรักษ์ สนใจไว้หน่อยไม่ได้รึไง?

0
raewya 25 ส.ค. 56 เวลา 13:28 น. 12
ต้นเหตุของการทะเลาะกันในกระทู้นี้=_=
ตำราพิชัยสงคราม>>ผู้หญิงห้ามเข้า>>ผู้หญิงผู้ชายสมัยก่อนดีกว่าสมัยนี้>>สมัยนี้ชอบเกาหลี>>คนชอบเกาหลีเคือง>>คนเกลียดเกาหลีเคือง >>ทะเลาะกัน!!
กรูเศร้าเลย
0