Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ประสบการณ์จากค่าย รด. เขาชนไก่ ปี 2 ครับ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ค่ายนักศึกษาวิชาทหาร ชั้นปีที่ 2 เขาชนไก่
1 วันก่อนเดินทาง
    ผมเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย คนหนึ่งที่กลัวการเข้าค่ายที่เขาชนไก่ตั้งแต่ครั้งยังเรียนชั้นประถมศึกษาเลยก็ว่าได้ เนื่องจากโรงเรียนประถมของผม มีสอนตั้งแต่ชั้นประถมตอนปลายถึงมัธยมปลาย ซึ่งในแต่ละปีช่วงหลังวันขึ้นปีใหม่ไม่นานภาพที่ผมเห็นก็จะเป็นพวกรุ่นพี่ ม.6 วุ่นกับการเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เพื่อไปเข้าค่าย รด. ที่เขาชนไก่
      หลังจากนั้น 5 วัน พี่ๆก็กลับมา ด้วยสภาพที่เนื้อตัวมีแต่ฝุ่นแดงๆ ใบหน้าสีคล้ำขึ้นของทุกคน ท่าทางที่อ่อนแรงของแต่ละคน ทำให้ผมสงสัยที่จะรู้มากว่าเขาชนไก่นั้นทำอะไรกับรุ่นพี่ของผม ไม่นานผมก็ได้มีโอกาสคุยกับพี่คนหนึ่ง สิ่งที่พี่เล่าให้ผมฟังมันได้เปลี่ยนความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาชนไก่จากสงสัยกลายเป็นกลัว ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบันนี้
      เมื่อผมจบการศึกษาจากชั้น ป.6 ผมก็ได้สอบเข้าโรงเรียนใหม่ เป็นโรงเรียนชายล้วนอยู่ย่านหัวลำโพง ซึ่งก็คือ โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนนี้ก็มีการสอนตั้งแต่ชั้น ม.1 – ม.6 หลังเปิดเทอมไม่นาน ภาพที่ผมเห็นก็คล้ายกับตอนประถม คือพี่ๆ ม.ปลาย แต่ชุดสีเขียว เสื้อแขนยาวพับแขน กางเกงขายาว สวมหมวกทรงแปลกๆ ในทุกๆวันพุธตอนเช้า และตอนบ่ายก็จะหายไปทั้งโรงเรียน ผมก็เข้าใจทันทีว่ามันคือการเรียน รด. หรือ รักษาดินแดนนั่นเอง
    จนกระทั้งผมขึ้นชั้น ม.4 ทางโรงเรียนมีนโยบายที่จะฟิตซ้อมร่ายกายให้กับนักเรียนทุกคนที่จะสอบเข้าเรียน รด. ซึ่งผมก็สมัครสอบด้วย ด้วยเหตุผลที่เหมือนกับทุกคนที่ว่า ตอนอายุ 20 ไม่อยากไปเสี่ยงจับใบดำ-ใบแดง ในที่สุดผมก็ได้เรียน รด.
    ผ่านไปเกือบ 2 ปี ซึ่งตอนนี้ผมจบการฝึก การสอบทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติของการเรียน รด. ชั้นปีที่ 2 แล้ว อาจารย์ผู้กำกับก็ได้มาประกาศหน้าแถวว่า ช่วงหลังปีใหม่ นศท. ชั้นปีที่ 2 ทุกนาย ต้องไปเข้าค่ายเพื่อฝึกภาคสนามที่ ค่ายเขาชนไก่ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มันทำให้ผมขนลุกทีเดียว เพราะตอนนั้นผมเข้าใจว่า การไปเข้าค่ายเขาชนไก่นั้น จะได้ไปตอนอยู่ ปี.3 ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมผมอยู่แค่ ปี 2 แล้วได้ไปด้วย (ซึ่งความจริงแล้ว สมัยที่ผมเรียนชั้นประถมนั้น เขาชนไก่ ไปเฉพาะ ปี 3 ขึ้นไป แต่มาสมัยที่ผมเรียน รด. ปี 2 ต้องไปด้วย เพื่อไปเรียนและฝึกเตรียมความพร้อมก่อนที่จะไปฝึกจริงตอนชั้นปีที่ 3) และอาจารย์ก็ได้กำหนดผลัดที่จะไป วันเวลาและสถานที่รวมพล พร้อมกับแนะนำการปฏิบัติ ข้าวของที่ต้องเตรียมไป ผมได้ไปผลัดที่ 13 ไประหว่างวันที่ 19-21 มกราคม 2553
เวลาก็ได้เดินผ่านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่ 18 มกราคม 2553   1 วันก็ไปเขาชนไก่ วันนี้เป็นวันจันทร์ ปกติต้องไปโรงเรียน แต่เนื่องจากอีกพลัดหนึ่งของโรงเรียนผมไปเขาชนไก่วันนี้ พวกผมบางส่วนที่จะไปพรุ่งนี้จึงพร้อมใจกันหยุดเพื่อจัดสัมภาระ หรืออีกจุดประสงค์หนึ่งก็คือ ทำใจนั่นเอง ตอนบ่ายวันนี้ผมก็เริ่มจัดกระเป๋า เริ่มจากไปหาเป้สนามที่ซื้อมาจากศูนย์ฝึก ซึ่งหลังจากซื้อมาผมก็โยนมันไว้บนเก้าอีกยาวที่ไม่ได้ใช้ โดนไม่ได้เปิด ไม่ได้เหลือบมองเลย แต่มาวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องลงทุนไปหามันมาใช้ ข้างในกระเป้าจะมีเข็ดขัดสนามพร้อมสายรัด กระติกน้ำและผ้าใบปูรองนอน ผมก็ได้เอาของออกให้หมดแล้วเริ่มจัดของใหม่
    ผมได้เตรียมของต่างมาวางไว้ข้างกระเป๋า ซึ่งของที่ผมเตรียมไป ขอแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นของที่จำเป็นจริงๆ ได้แก่ 1.ช้อน  2.อุปกรณ์อาบน้ำและแปรงฟัน  3.เสื้อตัวในและถุงเท้า 2 ชุด  4.ไฟฉาย  5.ยากันยุง  6.กางเกงใน  7.รองเท้าแตะ  8.ผ้าปิดจมูก  9.ผ้าเช็ดตัว  10.ปากกา  11.ผ้าเช็ดหน้า ส่วนที่สองเป็นของเสริมที่ผมเอาไปด้วย ได้แก่ 1.ถุงนอน  2.ขนม  3.เศษผ้า 4.ชุดฝึกอีก 1 ชุด เป็นต้น  และก็มีของที่ต้องเอาไปอยู่แล้วก็เข็ดขัดสนามกับกระติก ที่สำคัญที่สุดเลย คือ เงิน เอาไปให้เยอะที่สุดเท่าที่เอาไปได้ (เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าทหารมีหัวการค้าดีแค่ไหน กลไกราคาไม่มีผลต่อระบบทหารเลย มีแต่ระบบเผด็จการ อาศัยช่วงที่เด็กมีอุปสงค์สูงๆสูบเงินในกระเป๋า) ผมก็เอาไปประมาณ 700 บาท เมื่อของก็ครบแล้ว ผมก็จัดการยัดมันลงกระเป๋า ปรากฏว่าเต็มพอดีเลย ทดลองสะพายดูก็หนักเอาการเหมือนกัน
      กว่าจะจัดเสร็จก็กินเวลาไปประมาณ 1 ชม. เย็นวันนั้นผมก็ได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนผลัดแรกที่ตอนนี้อยู่เขาชนไก่แล้ว เมื่อมันรับโทรศัพท์ สิ่งแรกที่มันพูดเลยก็คือ เอาถุงนอนมาด้วยนะอย่าลืม ที่นี่หนาวมาก ฝุ่นก็เยอะและตอนท้ายของการคุย มันบอกว่าให้เตรียมกางเกงในมาด้วย เพราะมีลุยน้ำ เปียก แล้วโทรศัพท์ก็ตัดไป ผมก็งงๆอยู่ เพราะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เนื่องจากเสียงขาดๆหายๆ อาจจะเพราะที่นั่นสัญญาณไม่ดี
    ตกดึกผมก็มาออน MSN คุยกับเพื่อนที่จะไปผลัดเดียวกัน ก็คุยกันแต่ว่าเอาอะไรไปบ้าง มันจะเหนื่อยไหม โหดรึเปล่า ซึ่งสิ่งต่างๆที่คุยไปมันช่างบั่นทอนกำลังใจผมเสียเหลือเกิน เวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ผมก็เข้านอน แน่นอนว่าผมนอนไม่หลับเลย นอนว้าวุ้นใจอยู่นาน ดูเวลาอีกทีก็เที่ยงคืนแล้ว สุดท้ายก็ต้องข่มตานอนจนกระทั่งหลับไปโดยไม่รู้ตัว

วันที่ 1
      เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ขณะนี้เวลา 4.20 นาฬิกา ปลุกผมให้ออกจากการหลับใหล ผมก็ตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่ไม่สดชื่นเอาเลย อาจเป็นเพราะเมื่อวานเครียดเกินไป และนอนไม่ค่อยจะหลับดีเท่าไหร่ ผมก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน และแต่งเครื่องแบบ นศท. ที่เตรียมไว้แล้วตั้งแต่คืนวาน เสร็จแล้วผมก็สะพายกระเป๋าลงมารอเพื่อนหน้าปากซอย เพื่อนั่งแทกซี่ไปด้วยกัน ต้องไปถึงก่อน 5.30 นาฬิกา
    เมื่อมาถึงที่รวมพล เวลาประมาณ 5.10 นาฬิกา บริเวณหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง(สวนเจ้าเชตุ) ที่นั่นก็พบกับ นศท. จำนวนมาก สะพายเป้ แต่งตัวเหมือนๆกับผม ประกอบกับแสงไฟบริเวณหน้าทางเข้าที่เป็นสีเขียว ดูแล้วน่าขนลุกเหมือนกัน ผมก็เดินเข้าไป ผ่านซุ้มประตูทางเข้าก็พบกันพระบรมรูปของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ถัดไปก็จะเป็นลานรวมพลกว้างๆ และด้านหลังก็มีแผงขายของจำพวกอาหารเช้า ของใช้ต่างๆ ซึ่งผมดูคร่าวๆแล้ว มีครบทุกอย่างเลย ตั้งแต่ ถุงเท้า เข็มขัด เข็มขัดสนาม ผ้าใบ ไฟฉาย ยาดม ปากกา กระติก ฯลฯ เรียกได้ว่า ถ้าใครลืมเอาอะไรมา สามารถหาได้จากตรงนี้เลย และที่สำคัญมีรับบริการเติมน้ำในกระติกด้วย เติมขวดหนึ่งก็ประมาณ 5 บาท ในใจผมคิด “เอาแล้ว เริ่มแล้ว การระดมสูบเงินในกระเป๋ากู มันเริ่มตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในเขตทหารเลยหรือนี่ ยังไม่ทันไปไหนเลย) ผมก็ไปสมทบกับเพื่อนคนอื่นๆแล้วเข้าไปนั่งที่โต๊ะรับประทานอาหารด้านใน ผมก็ไปซื้อหมูปิ้งข้าวเหนียวมากิน ตอนซื้อเห็นมีการแบ่งหมูไว้ 2 ส่วน ผมซื้อ 3 ไม้ ป้าคนขายก็หยิบ 2 ไม้จากส่วนแรก และอีกไม้จากอีกส่วนหนึ่ง ผมก็พอเดาได้ว่า มันต้องมีซักส่วนหนึ่งที่ทิ้งไว้จนเย็นแล้วแน่นอน

    กินเสร็จผมก็ไปเข้าห้องน้ำเตรียมไว้ก่อน ห้องน้ำที่นี่จะเหมือนกับที่ศูนย์ รด. ที่ผมเรียนอยู่เลย มีทางเข้า 2 ทาง ตรงกลางจะเป็นที่อาบน้ำรวม มีอ่างขนาดใหญ่และอ่างล้างหน้าติดกัน 3 อ่าง ก๊อกน้ำหันไปข้างใน ตรงต่อไปก็เป็นรางปัสสาวะเล็กๆ ไม่มีที่กั้น และด้านหลังก็เป็นห้องส้วมติดๆกัน ยาวไปสุดห้องน้ำ ขณะที่ผมกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่เข้ามาในห้องน้ำ พูดคุยกันเสียงดัง ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ตอนที่กำลังเดินออก ก็จะเข้าไปล้างมือตรงที่อาบน้ำ ภาพที่เห็นทำเองผมช๊อกไปเลย คือ ในที่อาบน้ำมีทหาร 10 กว่านายเข้ามาแก้ผ้าอาบน้ำกัน บางคนกำลังตักน้ำอาบ บางคนกำลังถอดกางเกงใน ด้วยอารมณ์ตกใจและช๊อกสุดขีด ผมก็เลยถอยหลังออกมาแล้วออกจากห้องน้ำไปเลย โดนที่ยังไม่ได้ล้างมือ
    เวลาประมาณ 5.45 นาฬิกา เสียงเป่านกหวีดรวมพลก็ดัง ผมก็แบกกระเป๋าที่ตอนนี้ผมคิดว่ามันหนักกว่าตอนแรกซะอีก เข้าไปรวมพล จากที่นัดแนะกับเพื่อนไว้แล้ว ว่าถ้าอยากนั่งรถคันเดียวกัน จะต้องนั่งหน้าตับเดียวกัน คือ นั่งติดกันแบบซ้าย-ขวา เมื่อจัดแถวกันเสร็จแล้ว ก็จะมีครูฝึกขึ้นมาพูด เกี่ยวกับสิทธิในการไปเข้าค่ายเขาชนไก่ ว่าจะผ่าน ปี 2 ได้ ต้องผ่านทั้ง 3 ภาค คือ ภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติและภาคสนาม ในวันนี้  และแจ้งชื่อ คนที่หมดสิทธิรับการฝึกภาคสนาม เสร็จแล้วก็มีการแจกใบบันทึกอุณหภูมิร่างกาย เพื่อระวังป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 โดนมีเครื่องสแกนอุณหภูมิ มาจ่อที่หน้าผาก แล้วเครื่องจะอ่านอุณหภูมิร่างกายออกมา ของผมสแกนครั้งแรกได้ 34.1 องศา และให้บันทึกลงในใบนั้น (ผมเห็นว่ามันหมดยุคหวัด 2009 แล้วนะ จะมาตรวจกันทำไม ตรวจมาเด็กก็มั่วเขียนได้อยู่ดี) ตรวจเสร็จก็จะมีคนมาปั๊มข้อความ 1/1 ที่หลังมือซ้ายให้ จากนั้นก็มาบีบเจลล้างมือไห้ล้างกันก่อน ผมก็ล้างเสร็จ เจลนี้ค่อนข้างแรง ล้างไปแล้วรึสึกเย็นมากและที่สำคัญ ขี้ไคลบนมือมันหลุดออกมาหมดเลย รวมถึงไอสัญลักษณ์ 1/1 ที่เพ่งปั๊มไปด้วย หายหมดจดไร้ร่องรอยเลย พอผมสังเกตเห็น ก็อุทานออกมากับเพื่อนข้างๆเลยว่า ชิปหายแล้ว แม่ง 1/1 กูหายหมด แล้วกูจะได้ไป เขาชนไก่ไหมเนี่ย มันจะตรวจป่าววะ สุดท้ายก็ไม่ได้ ตรวจ แล้วจะปั๊มหาพระแสงอะไรวะ

    จากนั้นก็ขนของขึ้นรถ ผมได้รถคนที่ 4 สภาพรถก็จะเป็นรถแบบวิ่งไปกลับต่างจังหวัด ไม่มีแอร์ สีส้มแดง ในรถก็มีพัดลมเพดาน ตอนผมขึ้นไปก็เต็มเกือบหมดแล้ว เลยต้องไปนั่งหน้า ใกล้กับคนขับ ที่นั่งผมโชคร้ายมาก เป็นแถวเดียวที่ระยะห่างของที่นั่งมันน้อยที่สุด ขาเลยไปชนกับที่นั่งข้างหน้า จะเอนตัวลงไม่ได้เลย เพราะขาติด สักพักครูฝึกประจำรถก็ขึ้นมาเช็คยอด และกำชับว่า ในรถเรามี 50 นาย ดูหน้ากันไว้ ห้ามมีใครหายและห้ามมีใครเกิน หน้าต่างรถก็ห้ามเปิดขึ้นสูงเกินล๊อกที่ 2 จากข้างล่าง ก็เหมือนกับในรถเมย์ เปิดไม่ถึงครึ่งบาน ห้ามถอดหมวกจนกว่าจะลงจากสะพานอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ และก็บ่นๆไรอีกมากมาย น่ารำคาญมาก ดันไปนั่งอยู่ใกล้ๆด้วย


    ไม่นานรถก็ออก ไปซักพักรถก็ติด ก็มีเสียว วอ มาที่ครูฝึก “ วอ 1 เรียกวออื่น ตอนนี้รถติดไฟแดง อย่าใจร้อน อย่าใจร้อน อย่าแค่ว” และก็พูดประมาณนี้อีกหลายประโยค ผมก็ขำมาก ตกลงมันจะสื่อสารกัน หรือปล่อยมุขใส่กันกันแน่วะ ใจความสำคัญมันก็แค่ให้รอก่อน รถติดไฟแดง แต่พูดมาซะฮาเลย ผมก็คิดว่าทหารมันคงเครียดเนอะ มีมุขฮาๆเหมือนกัน
    พอรถออกต่างจังหวัด ลมก็พัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างเย็นสบาย บางคนก็หลับ ผมก็กำลังจะหลับแต่รำคาญหมวกที่สวมอยู่ ว่าเมื่อไหร่มันจะถอดได้ซักที เพราะทั้งรถยังไม่มีใครถอดเลย ผมมั่นใจว่ามันต้องถอดได้แล้ว ลงมาไม่รู้กี่สะพานแล้ว จนในที่สุดครูฝึกก็ถอดหมวก เผยให้เห็นหัวล้านแบบบาร์โค๊ด ผมจึงกล้าถอดแล้วนอนได้ แปบเดียวที่หลับไปผมก็ต้องตื่นขึ้นมาเสียงแตรรถ ที่คนขับมันบีบ ไม่ได้บีบแบบธรรมดา บีบเป็นชุด ปี๊น.............. ปี๊น............... ปี๊น ปี๊น ปี๊น.............................. บีบทีหลายชุดด้วย ทำเอานอนไม่หลับเลย และบีบถี่มาก ผมก็สงสัยว่ามันบีบทำไม ผมคิดว่ามีรถมาเบียดมั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่รู้อยู่ดี เพราะมันบีบเกือบตลอดทางเลย โคตรน่ารำคาญ
    ในที่สุดรถก็มาถึงวัดป่าเลไลย์ เสลาประมาณ 10.00 นาฬิกา สภาพทั่วไปก็เป็นวัดโบราณ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานจาก กรมศิลปากรแล้ว มีเจดีย์ที่ทรุดโทรม และมณฑป ที่ด้านในประดิษฐานปพระประธาน ปางป่าเลไลย์ ลักษณะ พระพุทธองค์ประทับนั่งบนหิน พระหัตถ์ซ้ายคว่ำ พระหัตถ์ขวาแบ ด้านซ้ายมีพญาวานรถวายรวงผึ้ง ด้านขวามีพญาคชสารถวายน้ำ บ่งบอกว่าพระองค์ทรงรับน้ำจากพยาคชสาร แต่ไม่รับรวงผึ้งจากพญาวานร เพราะรวงผึ้งมีตัวอ่อนผึ้งอยู่ เป็นการเบียดเบียนสัตว์อื่น เป็นพระประจำวันเกิดของคนที่เกิดในวันพุธกลางคืน ซึ่งก็คือวันเกิดของผมเอง ลงจากรถมาก็ให้ไปเข้าห้องน้ำก่อน เนื่องจากห้องน้ำมีน้องก็อนุญาตให้ยิงกระต่ายได้ แต่ผมก็เข้าห้องน้ำสบายใจกว่า ในห้องน้ำก็มืดๆแถมมีแมงมุม ที่มุมห้องอีกด้วย ตัวใหญ่กว่าที่กรุงเทพเยอะเลย ผมก็รีบๆทำธุระแล้วออกมา


    มาถึงที่นี่ ก็เจอกับด่านสูบเงินที่ 2 ก็คือ มีขายอาหารจำพวก ไก่ปิ้ง หมูปิ้ง ของทอด ไอศกรีม น้ำกระป๋อง ผมก็ไปซื้อไก่ปิ้งมาทาน ไม้ละ 5 บาท กับสปอนเซอร์ ไม่นานก็เรียกรวมพล เพื่อไปฟังประวัติของวัดและความเป็นมาของ ต.ลาดหญ้า ที่เกี่ยวกับการทำสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็คือ สงครามเก้าทัพ ตอนท้ายของการบรรยายก็มีการระดมเงินทำบุญ จากการจัดกองผ้าป่า เพื่อให้ในกิจการของวัดป่าเลไลย์ วัดในจังหวัดกาญจนบุรีและไปให้วัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 1 วัด ให้หัวแถวเดินเก็บแล้วนำไปใส่ในบาตรของพระ เป็นพระปางโปรดพุทธมารดา

เสร็จแล้วก็ปล่อยให้ไปสักการะพระประธานในมณฑป และซื้อของกินอีก ซึ่งตอนนี้เป็นอะไรที่ผมขำและเจ็บใจมาก เพื่อนผมคนหนึ่งมันไปซื้อไก่มากิน 4 ไม้ แล้วคนขายมันตะโกนมาว่า “ไก่ปิ้งหมูปิ้ง เร็วคับรีบซื้อเดียวในต้องไปต่อแล้ว จากไม้ละ 5 บาท ตอนนี้เหลือไม้ละ 3 บาท ครับ เร็วๆ”  โหจี๊ดเลย ตัดราคากันรวดเร็วมาก และขำกว่านั้นคนขายย้ำต่อ “เร็วครับไม้ละ 3 บาท 3 ไม้ 10 บาท เร็วๆๆ” ผมฟังแล้วฮาแตกเลย บ้ารึเปล่า ไม้ละ 3 บาท 3 ไม้ก็ 9 บาท ดิวะ ลุงแกคิด 10 บาท เด็กเทพไม่โง่นะลุง แต่ถ้าคนซื้อ 10 บาท จริงก็ยังดีกว่าผมที่ซื้อไม้ละ 5 บาท ความสงสัยก็มาเยือนผมทันที ผมหันไปถามเพื่อนที่กินไก่ปิ้งอยู่ “ซื้อไม้เท่าไหร่วะ” มันตอบไม่ละ 5 บาทเหมือนผม ผมหล่ะโคตรขำเลย วงการทหารนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ เสร็จแล้วก็เรียกรวมพลแล้วขึ้นรถไปต่อ



ในที่สุดก็มาถึงค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร เขาชนไก่ จากทางเข้าก็จะมองเห็นเขาชนไก่ เป็นเขาที่มี 2 ยอด ดูเตี้ยๆ แต่สิ่งแรกที่ผมให้ความสนใจคือ สนามฟุตบอล เพราะสนามฟุตบอลที่นี่เป็นสีเหลืองทอง ดูผิวเผินจะสวยมาก แต่ดูดีๆที่เป็นสีเหลืองทองนั้น มันคือหญ้าที่แห้งตายแล้ว บ่งบอกได้ว่ามันคงขาดน้ำหรือไม่ก็โดนแดดเผาจนแห้งหาย ผมก็คิด “ดูหญ้าสิ เหลืองกรอบงามเชียว แล้วกูหล่ะ กลับไปคงดำเงี้ยมแน่เลย” รถก็มาจอดอยู่เลยลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ซึ่งวิวด้านหลังเป็นเขาชนไก่ ดูมีมนต์ขลังมาก ครูฝึกก็เรียกลงมาเข้าแถวเพื่อกระทำพิธีเปิดค่าย มีการซักซ้อม เลือกนักศึกษาผู้บังคับบัญชา จำพวกหัวหน้าหมวด หัวหน้ากองร้อยและหัวหน้ากองพัน ก็เลือกจากพวกที่เคยเป็นหัวหน้าต่างๆตอนที่ฝึกที่ศูนย์นั่นแหล่ะ
    จากนั้นไม่นาน ตัวแรงก็มาถึง เป็นครูฝึกจากกองพันที่ผมจะเข้าไปฝึกมาร่วมพิธีเปิดและรอรับพวกผมไปต่อ มาถึงด่าเลย “พิธีเปิด พวกยืนนิ่งๆนะ ไม่นิ่งซวย ผลัดที่แล้วเค้านิ่ง แต่พวกต้องนิ่งกว่า มีปัญหาไหม มีปัญหาย้ายผลัดไปเลย นี่โรงเรียนเทพศิรินทร์ใช่ไหม ครูไปซ้อมสวนสนามที่โรงเรียน เด็กแม่งแอบกันหน้าด้านๆเลย ขอบอกนะทำตัวดีๆไม่งั้นซวย วันนี้กูเป็นเวรด้วย เดี๋ยวเจอกัน” เป็นเสียงขู่จากครูฝึกร่างอ้วนหน่อยๆ ไม่สูงนัก ทำให้ทุกคนยืนนิ่งเป็นหินในบัดดล เมื่อพิธีเปิดใกล้จบ ประธานก็กว่าเปิด “ของเปิดการฝึกภาคสนาม นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2522” มาฮาอีกแล้วครับ ป้ายด้านหลังพวกผมก็เขียนตัวใหญ่โคตรว่า “2552” ประธานแกพูดผิดหรือปล่อยมุขกันแน่ แต่ที่แน่ๆถึงพูดผิดแต่ไม่มีใครกล้าขำ เสร็จพิธีครูฝึกก็สั่งให้นั่ง แล้วครูคนเดิมก็มีพูด “ยืนนิ่งดีเต็ม 100 ให้ 90 อ่าวมีคนยุกยิก เหลือ 85 แล้ว 85 นี่ถือว่าไม่เยอะเลยนะ” พร้อมกับไปตบหัวใครบางคนแล้วคนโดนตบก็หันมามองหน้า ครูฝึกก็พูดว่า “มองหน้ากูทำไม ไม่พอใจหรอ ไม่พอใจย้ายผลัดไปเลย ไม่พอใจไม่ใช้ลูกผู้ชาย อย่าดูถูกโก้นะ” ตอนนี้ผมจึงรู้แล้วว่าครูคนนี้ชื่อโก้ จะขอเรียกว่าจ่าโก้ ละกัน
    จากนั้นก็ให้ขึ้นรถไปต่อ ไม่กี่ลมหายใจรถก็หยุดโดยเลยป้ายที่เขียนว่า กองพันที่ 21 ไปไม่ไกล ผมเห็นแล้วสะท้านเลย ด้านหน้าเป็นป้าย ส่วนด้านหลังเป็นค่ายที่ผมต้องเข้าไปใช้ชีวิต 3 วัน 2 คืน สภาพทั่วไป เป็นพื้นที่ที่อยู่ในป่าข้างทาง มีการถางหญ้าและปรับพื้นที่ให้มีที่โล่งมากขึ้น ด้านหน้ามีเต้นท์ผ้าใบกางเป็นแถวเรียงรายไปหลายแถว มีต้นไม้สูงขึ้นแซม ถ้าผมดูไม่ผิดคงเป็นต้นยูคาลิปตัส เพราะลำต้นเป็นสีขาว ที่เอาไว้ผลิตกระดาษ พื้นดินในค่ายเป็นสีแดงๆ เป็นดินที่แห้งมาก ลมพัดมาเป็นฝุ่นสีแดงขึ้นขึ้นมาจากพื้นเลยทีเดียว ถัดไปก็เป็นลานรวมพล และเต้นท์ ทบ. (ไม่รู้ว่าย่อจากอะไร แต่เป็นคล้านกองกำนวยการ เป็นที่อยู่ของครูฝึก) ข้างขวาก็เป็นเต้นท์คลังอาวุธ (เป็นที่เก็บปีนที่ใช่ฝึก) ข้างซ้ายเป็นเต้นท์สำหรับคนป่วย ด้านหลังเป็นห้องน้ำ ลักษณะก็เหมือนกับที่สวนเจ้าเชตุ (สงสัยเป็นฟอร์มเดียวกันหมดแน่ๆเลย ห้องน้ำแบบทหาร)
    พอลงจากรถ ก็ให้รีบวิ่งสะพายกระเป๋าไปเข้าแถวที่ลานรวมพล จากนั้นจ่าโกก็มีด่าอีก “เข้าแถวก็ช้า ต้องให้จัดอะไรนักหนา ไม่พอใจย้ายผลัดไปเลย ย้ายไปก็มาเจอกูอีก” ความคิดของผม ผมว่าจ่าโก้ไม่ได้โหดอะไรหรอก เพราะน้ำเสียงที่พูดมาออกจะขำๆซะมากกว่า จากนั่นก็เป็นการแบ่งกองร้อย โดนเรียงตามบัญชีรายชื่อ แยกโรงเรียนผมออกจากกันแล้วจับเองโรงเรียนอื่นๆ มารวมด้วย ที่ไปผลัดเดียวกับผมก็มี ฐานปัญญา วัดหนองแขม วัดบางบัวทอง ฐานเทคโน  เตรียมอุดมน้อมเกล้าปทุมธานี ฯลฯ รวมมี 11 โรงเรียน แต่โรงเรียนผมมีจำนวนมากที่สุด รวมทั้งกองพันมี 449 นาย แบ่งเป็น 3 กองร้อย การแบ่งตรงนี้ผมก็ลุ้นเป็นพิเศษว่าจะได้อยู่กองร้อยเดียวกับเพื่อนที่นัดแนะว่าจะนอนเต้นท์เดียวกัน เพราะถ้าไม่ได้อยู่กองร้อยเดียวกันโอกาสได้นอนด้วยกันก็เป็นศูนย์ ผมได้อยู่กองร้อยที่ 2 ส่วนไอเพื่อนผมมันอยู่กองร้อยที่ 3



    จากนั้นจ่าโก้ก็ให้เซ็นชื่อในบัญชี มีทั้งหมด 7 แผ่นที่ต้องเซ็น โดนเรียกคนแรกของแต่ละชุด 1 ชุดมี 25 คน ทั้ง 25 คนก็แยกไปตั้งแถวตอนเรียก 1 อีกจุดหนึ่ง แล้วก็ส่งให้เซ็นไปเรื่อยๆ พอผมแยกไป ก็พอดีกับที่อาจารย์จากโรงเรียนผมนั่งรถทหารเข้ามาเยี่ยมที่ค่าย ปีนี้หัวหน้าระดับบอกว่าอาจารย์มาเยี่ยมกันทุกท่านเลย อาจารย์ก็ทยอยลงมา เด็กก็พากันชะเง้อคอมองหาอาจารย์ประจำชั้นของตน ผมเองก็ด้วย ผมมองอาจารย์แต่ละท่าน เสมือนเป็นแสงสว่างแห่งความหวังที่จะมาช่วยผมจากค่ายนรกนี้ อาจารย์แต่ละท่านก็ลงมาถ่ายรูปบ้าง โบกไม้โบกมือให้ลูกศิษย์บ้าง แต่ผมอยู่กลางๆแถวเลยไม่มีใครสังเกตผมเลย พอเซ็นชื่อเสร็จก็ให้แยกไปเข้าแถวตามกองร้อย ในกองร้อยก็จัดให้นั่งเป็นแถวๆ ซึ่งกำลังแบ่งหมวดกันอยู่ โดน 1 หมวดมี 50 นาย แบ่งเป็น 5 หมู่ หมู่ 1 มี 8 นาย รวมหัวหน้าหมวด หมู่ 2 มี 9 นาย และหมวด 3-5 มี 11 นาย ที่จัดจำนวนไม่เท่ากันแบบนี้ เพราะตอนนี้กำลังแบ่งคนให้เป็นในลักษณะของหมวดปีนเล็ก แบ่งเสร็จก็ให้มีการเซ็นชื่อเข้าเต้นท์ ก็เซ็นเรียงตามลำดับที่นั่ง และต่อจากช่องให้เซ็นชื่อก็จะเป็นหมายเลขเต้นท์ ผมได้ต้นท์ B12 และคู่นอนผมก็เป็นเด็กโรงเรียนเดียวกันแต่ต่างห้อง ผมก็ไม่รู้จักหรอก

    พอแบ่งกันเป็นที่เรียบร้อย จ่าโก้ก็ประกาศให้เด็กเทพศิรินทร์ออกมาเข้าแถวตรงที่รวมพล เพราะอาจารย์มาเยี่ยม และมาแจกของ ผมก็รีบพุ่งไปหาเพื่อนแล้วลากมันไปเข้าแถวหน้าสุดเลย หวังว่าคงได้แจกของเป็นคนแรก แต่ผิดถนัด จ่าโก้สั่งกลับหลังหัน ชิปหายกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย แต่ที่จริงแล้วที่เรียกออกมาไม่ได้จะมาแจกของหรอก ให้ออกมาเป็นแค่แบล็กกราวน์ให้อาจารย์ถ่ายรูปตอนมองของให้ครูฝึก ส่วนของแจกครูฝึกก็รับไว้ แล้วค่อยเอามาแจกอีกที
    และแล้วแสงสว่างของผมก็ขึ้นรถจากไป และให้แต่ละคนแยกย้ายเอาเป้ไปเก็บที่เต้นท์แล้วออกมารวมพลแยกตามกองร้อยที่แบ่งแล้ว ผมก็ไปที่เต้นท์ของผม สภาพเต้นท์เป็นเพียงผ้าใบขึ้นให้เป็นทรงสามเหลี่ยม ที่พื้นไม่มีผ้าใบรองเลย เห็นเป็นพื้นดินที่มีหญ้าใกล้จะเฉาตายขึ้นแซมๆอยู่ ตรงหัว-ท้ายเต้นท์มีไม้ไผ่มาค้ำยัน เต้นท์ของผมค่อนข้างโทรม ดูจากที่เต้นท์มันหย่อนลงมา คิดจะซ่อมก็ซ่อมไม่เป็น เกิดมันพังลงมาทั้งเต้นท์คงซวยไม่น้อย เลยปล่อยเลยตามเลย


    พอมาเข้าแถวในที่รวมพล สิ่งขึ้นชื่อของเขาชนไก่ก็มาทำร้ายผมเลย ฝุ่นแดงๆจากการเดินไปเดินมาของทุกคน ฟุ้งขึ้นมา เข้าปะทะกับหน้าผมเต็มๆเข้าตา เข้าปาก จึงต้องรีบนำผ้าปิดจมูกขึ้นมาปิดทันที หลายคนก็ทำอย่างนั้น แล้วลองเคี้ยวในปากดู ปรากฏว่าเป็นเม็ดทรายอยู่ในปากเลย ส่วนรองเท้าก็มีฝุ่นมาจับหนา ตั้งแต่ที่วัดป่าเลไลย์แล้ว ถึงตอนนี้ใครขัดรองเท้ามาคงช้ำใจไม่น้อย เข้าแถวเสร็จก็ถูกสั่งในนั่งรอ ฟังจ่าโก้อธิบายการเข้าค่าย ข้อแนะนำ ข้อห้ามต่างๆ ซึ่งการพูดก็จะเน้นที่ประโยคเดิม “ไม่พอใจย้ายผลัดไป” ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ถึงเวลาทานข้าว จ่าโก้ก็อธิบายวิธีการรับอาหารและการล้างภาชนะ เช่น ให้ถือถาดไปรับอาหาร โดนอย่าถือสูงไป ให้เอาขอบถาดไปติดขอบถังที่ใส่อาหาร จะได้ตักให้ง่ายๆไม่หก และเศษอาหารให้ทิ้งลงถัง ห้ามเอาถาดไปเคาะถัง ถ้าได้ยินซวย ประมาณนี้ หรือถ้าจะไม่กินข้าวที่หลวงจัดมาให้ ก็สามารถไปกินข้าวฝั่งตรงข้ามกองพันได้ ตรงนั้นก็จะมีขายพวกก๋วยเตี๋ยว ข้างผัดกระเพาะ ของทอด ไก่ปิ้ง ซึ่งก็มีคนลุกไปเยอะพอสมควร หมดแล้วก็เรียกคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ให้ไปรับอาหารก่อน ที่เหลือแล้วก็แบ่งให้เข้าแถวตอนเรียง 2 ไปรับอาหาร เริ่มจากร้อย 1 ไปก่อน การเข้าแถวรับอาหารก็เริ่มจากให้ไปล้างมือก่อน น้ำล้างมือก็ใส่ถังไว้หรืออีกทีจะเป็นท่อเจาะรูไว้หลายๆรู ผมเลือกไปล้างมือในถัง น้ำในถังมีลักษณะเป็นสีเขียวขุ่นๆ ผมชักไม่มั่นใจว่าล้างแล้วจะสะอาดหรือสกปรกมากกว่าเก่า แต่คิดไปคิดมาก็ล้างดีกว่า เพราะตอนลุกยืน ผมเอามือไปยันพื้น เพื่อให้ทรงตัวได้ตอนลุก มือเลยเปื้อนดินจากพื้นไปแล้วจากนั้นก็ไปหยิบถาด ซึ่งเป็นจานหลุม และก็ไปรับข้าว คนตักก็เป็นพวกหัวหน้าหมวด จากนั้นก็เป็นแกง และผัดผัก ซึ่งอาหารในมื้อนี้ก็คือ แกงฟักทองไก่ กับผัดดอกกระกล่ำหมู รับแล้วก็ถือถาดปหาที่นั่งกินได้ตายใจชอบ ผมก็ถือถาดรอเพื่อนแล้วก็ไปนั่งกินด้วยกันในที่ร่ม

    เสร็จแล้วก็ไปเติมน้ำในกระติก ซึ่งมีแท้งน้ำขนาดใหญ่ให้ไปเติม แต่ผมมีน้ำอยู่ก่อนแล้วจึงไม่ได้ไปเติม อีกอย่างผมไม่ค่อยไว้ใจด้วย ไม่รู้จะเขียวขุ่นๆเหมือนน้ำล้างมือรึป่าว ผมกับเพื่อนก็เดินไปฝั่งตรงข้ามกองพัน ที่มีขายของ ตรงนี้เป็นแหล่งสูบเงินกำลังสำคัญของที่นี่เลยก็ว่าได้ มีร้านขายอาหารอยู่ประมาณ 3-4 ร้าน แล้วก็ร้านขายน้ำ กับของใช้อีกแล้ว ขายหมดทุกอย่างพวกผ้าใบรองนอน รองเท้าแตะ ปากกา สมุดจด(ซึ่งต้องซื้อทุกคน จ่าโก้บอกตรวจ แต่พอซื้อแล้ว แม่งไม่เห็นพูดถึงอีกเลย) ผมก็ไปซื้อสปอนเซอร์ราคาก็กระป๋องละ 15 บาท กับสมุด และก็กลับไปรอเรียกรวมพล
    การรวมพลครั้งนี้ก็ได้ชี้แจงการฝึกในภาคบ่ายวันนี้ ให้ นศท. ไปรับปืนเป็นปืน สค.87(น่าจะย่อมาจาก สงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 2487 ปืนแบบเดียวกับที่ใช้ในศูนย์ฝึก มีสายมาล๊อคคันรั้งเอาไว้ด้วย กันเด็กดึงเล่น ผมชื่นชมคนคิดมาก เพราะที่ศูนย์ผม ด่ากันประจำว่าอย่าดึงคันรั้งเล่น แก้ปัญหาที่ปลายเหตุแบบนี้ก็จบ) แล้วกลับมานั่งรวมพลเช็คยอดคนและปืนอีกที โดนจ่าโก้กำชับว่า การสะพายปีน ห้ามเอาปากกระบอกปืนชี้ขึ้นฟ้า เห็นใครทำเป็นเรื่อง “อย่าให้เห็นสะพายปืนปากกระบอกปืนชี้ขึ้นฟ้านะ เห็นใครชี้ ไปล้างส้วมเลย คืนนี้ หัวหน้าหมวดจดรายชื่อมา เอามันไปล้างส้วม” พอรับมาแต่ละคนก็ยังไม่กล้าเอามาสะพานกัน ได้แต่เฉียงอาวุธเอาไว้แล้วกลับมานั่ง เป็นที่น่ารำคาญมากสำหรับการมาเช็คยอด เพราะใหม่ๆ มันจะมีพวกที่จำกองร้อย หรือหมวดตัวเองไม่ได้ หรือจำได้แต่แอบมามั่วนั่งกับเพื่อนก็ไม่รู้ มันทำให้การเช็คยอดลำบากมาก เดี๋ยวมีเกิน มีขาด ไปอยู่ร้อยอื่นบ้าง ทำเอาเสียเวลานานพอสมควรกว่าจะจับคนมั่วได้ ในครั้งนี้กองร้อยที่ 1 หมวด 2 หัวหน้าหมวดเช็คได้ 50 คน ครบนะ แต่จ่าโก้แกไปมองหมู่ 5 มันมี 12 คน เลยด่าใหญ่เลยว่ามันเกิน หัวหน้าหมวดก็งงๆ นับไปนับมามี 51 คน คงจิตหลอนไปเองมั้ง โดนด่าแล้วลน แต่ผมมองตลอด จ่าโก้ก็กำลังด่าหัวหน้าหมวดอยู่ ผมเห็นคนหนึ่งกลางๆแถวมันสลับกลับไปนั่งจากที่มันนั่งอยู่หมู่ 5 ที่ทำให้มันมี 12 คน มันค่อยๆเขยิบกลับไปนั่งในหมู่ 4 พอดีกับที่จ่าโก้แกมานับใหม่พอดี ซึ่งตอนนี้มันเหลือ 11 ถูกแล้ว จ่าโก้แกก็บ่ายเบี่ยงไป ในใจแกคงรู้สึกหน้าแตกผมสมควร เพราะแกไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนหมู่กลับไป แกคงคิดว่าตอนแรกแกนับผิดเอง สุดท้ายก็เช็คยอดกันเสร็จและให้เดินแถวไปฝึกภาคบ่ายที่สถานี 211 โดนเดินตอนเรียง 2 ขึ้นไปบนถนน และแยกออกเป็นตอนเรียง 1 คนละฝั่งของถนน

    เดินไปไม่ไกลก็เจอกองพันที่ 22 ผมก็คิดถึงพวกเพื่อนๆที่มาก่อนหน้าผมวันหนึ่งทันที เพราะมันอยู่กองพัน 22 ใจก็คิดอิจฉามัน เพราะพรุ่งนี้ของมันก็กลับบ้านแล้ว ผมต้องอยู่ต่ออีก 2 วัน ใจก็คิดอยากเจอกัน แต่อีกใจก็ไม่อยากเจอ เพราะพอจะเดาได้ว่าเจอแล้วมันต้องมาเล่าขู่ หรือไม่ก็เยาะเย้ยว่ามันจะได้กลับบ้านก่อน เดินไปอีกก็มีลงเนินและขึ้นเนิน แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าข้างทาง ผ่านเข้าไปในแนวป่าเดินไปสู่สถานีฝึกที่ 211 ก็ไปเข้าแถวหน้าสถานีฝึก เพื่อให้หัวหน้ากองพันไปรายงานเข้ารับการฝึกต่อหัวหน้าสถานี ซึ่งแบ่งเป็น 3 สถานีย่อย มี 1.ป้อมสนาม 2.การพักแรม และ 3.การพราง ก็แบ่งแต่ละกองร้อยให้เข้าฝึกตามสถานีแล้ววนจนครบ 2 สถานีให้พัก 20 นาทีและก็ค่อยไปสถานีสุดท้าย เป็นอันจบการฝึกที่สถานี 211
    กองร้อย 2 ของผมก็ได้ไปฝึกสถานีย่อยที่ 2 การพักแรม ในสถานีนี้จะมีการสร้างบ้านจำลองไว้ มีเต้นท์แบบต่างๆ ที่ใช้ในการพักแรมของทหาร เวลาที่มีการเดินทาง ครูฝึกก็จะอธิบายเกี่ยวกับประเภทของการพักแรม วัตถุประสงค์ การเลือกที่ตั้ง พูดอยู่ยาวพอสมควร ผมก็นั่งฟังจนเมื่อย และที่สำคัญง่วงสุดๆ ครูฝึกบอกก่อนเลยว่า สถานีนี้เป็นเรื่องการพักแรม ครูจะไม่ว่าคนหลับ เพราะนักศึกษานั่งรถมาไกล งเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง เพราะฉะนั้นอนุญาตให้หลับได้ แต่คนข้างๆ ซ้ายขวาหน้าหลัง จะต้องไปม้วนหน้ากระโดดน้ำ ซึ่งจากที่ผมนั่งฟัง จะเห็นธารน้ำใสๆ ที่ไหลอยู่ด้านล่าง ลงเนินจากที่ผมอยู่ไปไม่ไกล สรุปก็คือหลับไม่ได้อยู่ดีก็นั่งทนฟังจนจบแล้วก็อำลากันไปสถานีต่อไป

    ระหว่างที่เดินไปสถานีที่ 3.การพราง ก็เห็นพวกที่ออกจากสถานีที่ 3 นี้มา ทุกคนมีใบหน้าที่ถูกพรางเรียบร้อยแล้ว บางคนสีดำ สีเหลือง สีเขียวบ้าง ผมก็ต้องทำใจ ยังไงก็โดนอยู่แล้ว มาถึงสถานีก็ได้นั่งฟังบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับการพราง ตรงนี้ครูฝึกที่มาบรรยายก็จะบรรยายตลกดีไม่ค่อยง่วง สุดท้ายก็ให้พรางหน้า สั่งให้หันหน้าเข้าหากันและก็ส่งขัดที่บรรจุของเหลวสีต่างๆไว้ แถวของผมได้สีดำ มาถึงผมก็เอาปลายนิ้วจุ่มลงไป เอาพรางให้กับเพื่อนที่ผมไม่รู้จัก ส่วนมันก็บอกผมก่อนแล้วว่า นายให้เราพรางให้ได้หล่อแน่ ดูมันพูด ผมก็พรางให้มันก่อน แล้วมันก็พรางให้ผมคืน ก็พรางธรรมดา ไม่ถึงกับแกล้งผมมาก แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าไม่อยากพรางเลย เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เพื่อนผมเคยพรางแล้วตอนเรียนในศูนย์ กลับมาล้างก็ไม่ค่อยจะออก แถมสิวระเบิดเต็มหน้าเลย พรางเสร็จครูฝึกก็มาขู่อีกว่าห้ามล้างออกจนกว่าจะกลับไปถึงกองพัน ก่อนออกก็มีให้หมอบและนอนหงายอีก ผมไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่หรอก เพราะหมอบกันนอนหงายออกจะสบาย ได้นอน แต่ตรงนี้คงไม่สบายเท่าไหร่ เพราะพื้นมันเป็นทราย ลุกขึ้นมาก็เนื้อตัวก็เลยมีแต่ทราย


    เสร็จจากสถานีฝึกนี้ก็ได้พักเป็นเวลา 20 นาที แถวก็ถูกพากลับมาปล่อยบริเวณที่รวมพลหน้าสถานีฝึก ผมก็เดินวนเวียนหาเพื่อนทั้งจากกองร้อยเดียวกันและต่างกองร้อยมารวมกลุ่มกัน ปรากฏว่าเพื่อนที่อยู่ร้อย 3 ก็ผ่านการพรางหน้ามาแล้วเรียบร้อย ห้องข้อการสนทนาในครั้งที่ก็เป็นพวกเรื่องใบหน้าที่ถูกพรางนั่นเอง เดินไปเดินมาก็เจอกับมุมหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ แปลกใจในความพยายามที่จะมาตั้งด่านสูบเงินในกระเป๋าของผมอีก ก็คือบริเวณนั่นมีเต้นท์ขายน้ำด้วย ขายพวกน้ำกระป๋อง ถึงแม้ผมจะรู้ว่ามันเป็นการสูบเงิน แต่ก็อดใจไม่ได้ ขอชาลิปตันซักขวด ซึ่งเย็นชื่นใจมากในเวลาที่แสงแดดของเขาชนไก่แผดเผาในช่วงบ่ายวันนี้ ดื่มน้ำกับเสร็จก็เข้าห้องน้ำต่อ ห้องน้ำบริเวณนี้ถูกทำขึ้นเพื่อการมาเข้าค่ายของ นศท. โดยเฉพาะ คือทำจากสังกะสีมาต่อเป็นห้องส้วม ประมาณ 6-7 ห้อง ไม่มีหลังคาปิด ผนังสูงจากพื้นขึ้นมาถึงระดับอกเท่านั้น ให้ถ่ายเบายังรับให้ ถ้าต้องถ่ายหนักขอยอมอั้นไว้ดีกว่าห้องน้ำสภาพแบบนี้ หน้าส้วมก็มีอ่างน้ำขนาดใหญ่ 2 อ่าง มีน้ำสะอาดใช้ล้างหน้าล้างตาได้ แต่ยังคงมีลักษณะสำคัญคือ เขียวขุ่นๆ
    ไม่นานนักเวลาพักก็หมด ครูฝึกเป่านกหวีด บอก “อีก 5 นาทีรวม” ทุกคนก็ต้องทวนคำสั่ง เพื่อเรียกให้พวกที่อยู่ไกลๆมันได้ยินด้วย ทุกคนก็พากันทยอยเข้ามาที่รวมพล แต่ครั้งนี้ให้แต่ละกองร้อยแยกไปยังสถานีย่อยที่เหลือเลย ซึ่งสถานีสุดท้ายของผมก็เป็นการสร้างป้อมสนาม อยู่ไม่ไกลจากที่รวมพลมานัก แค่เดินลงเนินไปก็ถึงแล้ว สถานีนี้ด้านหน้าก็จะมีป้ายแสดงข้อมูลต่างๆไว้ และมีหลุมบุคคลทำการรบ หลายๆแบบขุดไว้ให้ดู ครูฝึกก็จะสอนเกี่ยวกับหลุมพวกนี้แหล่ะ ว่าเอาไว้ทำอะไร กว้าง ยาว ลึก เท่าไหร่ เสร็จแล้วก็ปล่อยให้ไปเดินดูกันเอาเองได้



เสร็จจากทั้ง 3 สถานี ก็มารวมพลอีก เพื่อปิดการฝึกสถานีที่ 211 มีการเช็คยอดอีกตามเคย แล้วก็พากลับไปยังกองพัน กลับมาถึงก็ให้เรียงแถวเข้าไปเก็บปืน แล้วกลับมานั่งรวมพลเช็คยอดอีกแล้ว(น่าเบื่อมาก ทำกันอยู่ไม่กี่อย่าง จัดแถว เช็คยอด เลิกแถว จัดแถว เช็คยอด วนไปวนมา) ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 5.30 นาฬิกาแล้ว จ่าโก้ก็คุยกับครูฝึก ประมาณว่าจะต้องมีจัด นศท. กลุ่มหนึ่งไปที่หน่วยพยาบาล เพื่อฟังการบรรยายเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวง จ่าโก้ก็กำลังเลือกว่าจะเอากองร้อยไหนไปดี ปรากฏว่าแจ็คพอตแตก กองร้อย 2 ของผมได้ไป และพูดเรื่องขนมที่อาจารย์จากโรงเรียนผมเอาไปแจก ว่าจะจัดการยังไง โดนถามเด็กเทพเป็นการส่วนรวมว่าจะให้โรงเรียนอื่นกินด้วยไหม ด้วยความที่เด็กเทพมีน้ำใจ ก็อนุญาตให้โรงเรียนอื่นมาหยิบกินได้ด้วย เป็นมิตรภาพที่ผมเห็นแล้วก็รู้สึกดีที่แม้ยามลำบากแต่เราก็มีน้ำใจเผื่อแผ่กับเพื่อนต่างโรงเรียน ข้าวเย็นวันนี้เลยให้กองร้อย 2 กินก่อน และให้รีบไปอาบน้ำแต่งชุดฝึกกลับมารวมแถวภายในเวลา 6.30 นาฬิกา พอได้ยินเรื่องอาบน้ำผมก็ตื่นตัวเต็มที่ เพราะจากประสบการณ์เข้าค่ายที่ผ่านๆมา ไม่ว่าจะค่ายลูกเสือ ค่ายปฐมนิเทศ การอาบน้ำจำเป็นต้องไวเป็นพิเศษ ยิ่งเข้าคนแรกได้ยิ่งดี แล้วรีบอาบให้เสร็จไวๆ เพราะถ้าคนอื่นเข้ามาแล้ว จะเจอกับปัญหาแย่งกันอาบ พวกไม่มีขันแล้วจะมียืม(แบบไม่รู้จะได้คืนรึป่าว)ขันจากเรา สุดท้ายผ้าเช็ดตัวที่เราแขวนไว้ตามผนังห้องน้ำ อาจเปียกได้ จากการอาบน้ำอันรุนแรงของคนหมู่มาก หรือไม่ก็ช่วงที่เราต้องเดินผ่านพวกที่กำลังอาบน้ำอยู่ตอนกำลังจะออกจากห้องน้ำ มันไม่สนเราหรอก ซักซะผ้าเช็ดตัวเปียกเลย เมื่อตระหนักได้ดังนี้ ผมเลยต้องรีบชวนเพื่อนไปแซงแถวรับข้าวไวๆ เอาน้อยๆ แล้วรีบยัดให้หมด กับข้าวเย็นวันนี้มีไก่ทอด 1 น่องขา แกงมะเขือยาวและมีของหวานเป็นลอดช่องแบบอุณหภูมิปกติ คือไม่เย็น
    เมื่อยัดข้าวก็เสร็จแล้วก็รีบล้างถาดแล้วดิ่งตรงไปที่เต้นท์ของตัวเอง เทคนิคความไวของผมก็คือ ระหว่างกำลังเดินไปที่เต้นท์ก็ถอดกระดุมเสื้อไปด้วย ปลดเข็มขัด พอถึงเต้นท์ก็ถอดได้ทันที พอถอดหมดก็หยิบขันที่เตรียมไว้แล้วตั้งแต่ให้เอาของมาไว้ที่เต้นท์(มีการวางแผนเป็นอย่างดี) เอาผ้าเช็ดตัวมาห่อถอดกางเกงออก เหลือแต่เสื้อซับในตัวสีเขียว ที่จริงก็ควรถอด แต่ค่อนข้างรู้สึกอาย เพราะตอนนี้กองร้อยที่ 1 กับ 3 ยังไม่โดนปล่อยเลย อีกทั้งผมกับเพื่อนมาเป็น 2 คนแรกด้วย เลยไม่อยากโชว์ ผมก็เดินไปหาเพื่อน มันยังถอดชุดไม่เสร็จแล้ว ทั้งๆที่เต้นท์มันอยู่ใกล้กว่าผมเยอะ ผมก็ต้องไปเร่งมัน สุดท้ายผมกะเพื่อนก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำเป็นคนแรก
    ห้องน้ำที่นี่จะมี 4 โรง เรียงกันอยู่ โรงแรกจะอยู่หลังเต้นท์เก็บปืนเป็นของครูฝึก ห้าม นศท. ใช้ เต้นท์ถัดมาเป็นของกองร้อยที่ 3 ร้อย 2 และ 1 ตามลำดับ ซึ่งแบ่งไว่เฉพาะเวลาอาบน้ำเท่านั้น ส่วนการเข้าห้องน้ำปกติให้ใช้เฉพาะห้องน้ำของกองร้อยที่ 2 เท่านั้น ผมเข้ามาในห้องอาบน้ำรวม ตอนนี้มีน้ำอยู่เต็มอ่าง ลักษณะเฉพาะของน้ำยังคงเป็นเขียวขุ่นๆอยู่ดี ผมเอาผ้าเช็ดตัวไปแขวนไว้กับลวดที่ขึงอยู่ตรงผนังห้องน้ำ และตักน้ำขึ้นมา ครั้งแรกที่มือสัมผัสน้ำ มันทำให้สะท้านไปทั้งตัวเลย เพราะมันเย็นมาก กว่าจะราดได้ทั้งตัวต้องค่อยๆราดขาก่อน สุดท้ายก็ราดหัวได้ ผมก็อาบน้ำอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็มีคนเข้ามาบ้างแล้ว เพื่อนห้องอื่นที่รู้จักผม มันยังด่าเลย ว่าพวกจะเร็วกันไปถึงไหน เพราะมันเข้ามาทั้งๆที่ยังใส่ชุด รด. อยู่ มันแค่เข้ามาล้างหน้าก่อนเท่านั้น ผมบรรจงกับการล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้ามากกว่าฟอกสบู่ เนื่องจากไม่ได้เอาสบู่มา คิดว่าคงไม่มีเวลาพอให้ฟอกสบู่แน่นอน สีพรางเมื่อมันแห้งแล้วจะติดทนมาก ต้องล้างถึง 2 ครั้ง แต่ยังไงก็ยังเป็นรอยดำๆอยู่ดี อาบเสร็จก็เช็ดตัวแล้วใส่เสื้อซับในทับออกมาอีกรอบ
    ตอนเดินออกมาผมก็ใส่รองเท้าแตะ พยายามเต็มที่แล้วที่จะไม่ให้ทรายเข้าไปติด แต่ก็ไม่รอด เพราะระยพทางจากห้องน้ำถึงเต้นท์ผมมันก็ไกลอยู่ มาถึงเต้นท์ คู่นอนของผมยังอยู่ในชุด รด. อยู่เลย ส่วนผมอาบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็แต่งตัวด้วยชุดฝึกชุดเดิม แล้วจัดของในเต้นท์ต่ออีกนิดหน่อย คือเตรียมขัดสำหรับจะแปรฟันเอาไว้ แล้วก็เดินไปหาเพื่อน ผมทำทุกอย่างเสร็จก่อนมันอีกแล้ว ผมเลยเดินไปหยิบของแจกมากิน ของแจกที่อาจารย์แสงสว่างในใจผมเอามาให้ก็คือไมโลที่เป็นแท่งๆแบบเซี้ยงไฮ้ แพ็คมาเป็นคู่ๆผมก็หยิบมา 1 ซอง เอามากินรอเพื่อน รอจนจ่าโก้เรียกรวมพลเฉพาะกองร้อยที่ 2 ผมก็ไปเข้าแถวรวมพล
    การรวมพลกองรอยที่ 2 ก่อน ผมดูแล้วมันค่อนข้างไร้ประโยชน์ เพราะไม่เห็นให้ทำอะไรเลย เรียกมารวมและก็บ่นๆ อีกประมาณ 10 นาทีก็เรียกร้อย 1 กับ 3 มารวม สุดท้ายก็รวมพร้อมกันอยู่ดี แต่ตอนนี้ก็มีเรื่องลุ้นๆกันหน่อยสำหรับพวกเชื่องช้า ตอนที่ให้ทวนคำสั่งอีก 5 นาทีรวม บางคนเพ่งถือขันวิ่งไปอาบน้ำ วิ่งผ่านจ่าโก้ไป จ่าแกก็ด่ามา “ไอขี้เกลือ เพิ่งจะไปอาบน้ำเองหรอ เร็วๆ มาช้าคืนนี้ไปเฝ้าส้วม ตี 1 ถึง ตี 3 เลย ไม่ต้องนอน  ไม่พอใจย้ายพลัดไป” และก็ด่าบางคนที่เดินเท้าเปล่าไปเข้าห้องน้ำ จ่าโก้ห้ามเดินเท้าเปล่า ต้องใส่รองเท้าแตะไปเข้าห้องน้ำหรือถ้าไม่มีก็คอมแบตเลย โดยให้เหตุผลว่า กลัวเท้าของพวกเราจะโดนแมลงกัดต่อยและเหยียบเอาเศษหินบาดขา เด็กที่วิ่งไปมา จ่าโก้ก็ด่าได้อีก “เดินกันดีๆนะ อย่าไปแตะขาเต้นท์ เมื่อกี้มีเด็กเทพศิรินทร์เตะไปแล้ว ไอกองร้อยที่ 2 ตอนนี้ส่งไปหน่วยพยาบาลแล้ว แล้วไอป้ายกองร้อยที่ปักไว้ที่พื้นเหมือนกัน ไม่รู้จะชอบแตะกันไปถึงไหน แตะแตกไปหลายอันแล้วตั้งแต่เปิดค่ายมา” ผมฟังแล้วก็ฮากับน้ำเสียงของจ่าโก้ แต่มันเรื่องจริงที่ขาเต้นท์กับป้าย ถูกเด็กแตะกันบ่อยๆ ผมก็เกือบเตะไปหลายรอบเหมือนกัน เป็นเอาว่าตอนนี้มีคนบาดเจ็บแล้ว 1 นาย ผู้ร้ายก็คือ สมอบกที่ปักเต้นท์นั่นเอง
    และแล้วก็หมดเวลา จ่าโก้ตะโกนให้หัวหน้าหมวดจับคนช้าในแต่ละหมวด 2 นาย แล้วจดชื่อมา ขู่จะให้ล้างส้วม แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครโดนจด ถึงจะมาช้าก็เหอะ ตอนนี้จ่าโก้ก็สั่งให้กองร้อยที่ 2 พับแขนเสื้อ ปกติจะชุดฝึกไม่ต้องพับ ส่วนกองร้อยอื่นๆแต่งกายกันด้วยชุดครึ่งท่อน คือใส่กางเกงกับเสื้อซับใน ไม่ต้องใส่เสื้อแขนยาว และหมวกก็ไม่ต้องใส่ ตอนนี้ก็ใกล้เวลาที่นัดไว้กับหน่วยพยาบาลที่จะส่งเด็กไปฟังบรรยายแล้ว ภาพที่ผมคิดที่พูดถึงการฟังบรรยาย ผมคิดว่าจะได้เข้าห้องประชุม มีเก้าอี้ให้นั่ง เปิดแอร์เย็นฉ่ำ นั่งฟังบรรยายจากการฉายพาวเวอพอยต์ วาดความคิดไว้ซะสวยหรู ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาในรูปไหน เมื่อนัดแนะจบจ่าโก้ก็ให้ครูฝึกอีกคนมาพูดต่อ
    ครูฝึกอีกคน แก่กว่าจ่าโก้ ขึ้นมาพูด “อ่าวนักศึกษา ครูก็ไม่ได้จบเรื่องการขายมาหรอกนะ แต่ช่วงนี้มีโปรโมชั่น เป็นโปรโมชั่นจากกองพันปกครอง ที่ว่าต้องการให้นักศึกษามีผ้าพันคอและเสื้......” ถึงตอนนี้มีคนโห่ออกมาแล้ว คงรู้สึกกันได้ทุกคนแล้วว่า ตังในกระเป๋าต้องโดนสูบแน่ๆ บางคนก็โบกผ้าพันคอของตัวเองที่คงได้มาจากรุ่นพี่ พร้อมกับบอกว่ามีแล้วๆ แต่ครูฝึกพูดต่อ “อ่าวฟังก่อน เสื้อกับผ้าพันคอ อันนี้มีลายพิมพ์ นี่ (พร้อมกับกางให้ดู) มีลายพิมพ์เขียนว่า เขาชนไก่ นักศึกษาจะได้มีของที่ระลึก แล้ววันกลับก็ใส่ตัวนี้กลับบ้าน ผ้าพันคอก็มีสารพัดประโยชน์ เวลาไปฝึกเจอฝุ่นก็เอามาปิดจมูกได้ เวลาแขนหักก็เอามาพยุงได้ เวลาเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยก็ยังเป็นผ้าเอาไว้ซับเหงื่อ เพราะฉะนั้น 100 บาท สำหรับเสื้อและผ้าพันคอ” เด็กเริ่มโห่หนักขึ้น แต่ครูฝึกจะด่าก็ไม่ได้ด้วย เพราะกำลังจะมาสูบตัว ขึ้นด่าไปเด็กแข็งข้อไม่ซื้อคงทำไรไม่ได้ เบื้องบนสั่งมาให้ขายนี่หน่า ครูฝึกจึงพูดต่อ “อันนี้ครูไม่บังคับว่าทุกคนต้องซื้อ แต่ทุกคนต้องมี 100 บาท หัวหน้าหมวดเดินเก็บเลย หมวดนึงมี 50 นาย ต้องเก็บให้ได้ 50 คูณ 100 ก็ 5000 บาท” ถึงตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็โดนบังคับซื้อแหล่ะว่างั้น ผมก็ทำใจไว้อยู่แล้วจึงควักตังออกมาแต่โดยดี ก่อนจ่ายผมก็เอาปากกามาทำเครื่องหมายไว้ที่มุมของแบงค์ก่อนและก็จำเลขแบงค์ 3 ตัวสุดท้ายไว้ เผื่อว่ามีคนไม่จ่ายแล้วตังขาด ผมก็ยังมีหลักฐานไว้ยืนยันว่าผมจ่ายแล้ว  
    ตอนนี้อากาศของที่นี่ก็เริ่มเย็นตัวลงแล้ว จ่าโก้บอกว่าเป็นบริการพิเศษจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ตอนกลางคืนจะเปิดเครื่องปรับอากาศให้ ส่วนตอนกลางวันประหยัดไฟเลยปิด พอเช็คเงินค่าเสื้อกันครบแล้วก็ให้หัวหน้าหมวดเดินแจก ที่แรกก็จะให้เอาไปเก็บในเต้นท์ก่อน แต่จ่าโก้เห็นว่ากองร้อย 2 สายไปมากแล้วก็เลยให้ปลดกระดุมเสื้อแล้วยัดเสื้อเก็บไว้ข้างในชุดฝึก ส่วนผ้าพันคอก็ให้พันไปเลย และก็สั่งให้ร้อย 2 ลุกขึ้น ให้ครูอีกคนพาเดินแถวไปยังหน่วยพยาบาล ตอนเดินไปฝุ่นก็ฟุ้งกระจายอีก ผมก็รีบเอาผ้าปิดจมูกมาสวม ตอนนี้ผ้าของผมค่อนข้างสกปรกแล้ว พรุ่งนี้คงต้องเปลี่ยนเอาอันใหม่มาใช้ เดินไปไม่นานก็เห็นเป็นลานเอนกประสงค์ปูกระเบื้องอย่างดี มีหลังคาปิดอยู่ห่างออกไป ผมก็ดีใจ ถึงจะไม่ใช่ห้องแอร์ขอเป็นตรงนี้ก็ดีแล้ว กำลังคิดยังไม่ทันจบ ครูฝึกก็สั่ง “ระวัง  ระวัง  แถววววว หยุด” พอหยุดแล้วผมมองไปทางซ้ายมือ เห็นเป็นป้ายนิเทศหลายแผ่นตั้งเรียงราย เปิดไฟส่องเอาไว้อยู่ ด้านหลังป้ายเป็นอาคารเขียนว่า “หน่วยพยาบาล” สุดท้ายแล้วที่ฟังบรรยายของผมจากที่วาดฝันไว้ กลับเหลือเพียงแค่ป้ายนิเทศอยู่หน้าหน่วยพยาบาล แถมพื้นก็เป็นพื้นทรายปนหินก้อนเล็กๆอีก พอสั่งให้นั่ง หินก็ตำก้น เป็นอันว่าผมก็ต้องนั่งฟังบรรยายในสภาพนี้ไป
    


    ผมหัวหน้ากองร้อยรายงานเข้ารับการบรรยายต่อครูผู้บรรยายเสร็จ ครูก็สั่งให้นั่งอีกครั้ง แล้วทีนี้ก็เริ่มบรรยาย หัวข้อการบรรยายหลักๆก็มี 2 หัวข้อ คือ 1.เจ็ดมหาราช ก็พูดถึงกษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ที่มีการขนานนามให้ทรงเป็นมหาราช แต่ครูฝึกจะเน้นที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะครูฝึกแกมาจาก จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นเมื่อที่สมเด็กพระนารายณ์โปรดให้สร้างเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ในสมัยที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อกระจายอำนาจการปกครองไม่ให้อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาเพียงที่เดียว ไว้กันข้าศึกมาบุกยึดกรุงศรีเอาไว้ได้ 2.โครงการตามแนวพระราชดำริของในหลวง ครูก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก ก็สั่งให้นักศึกษาไปเดินชมป้ายกันเอาเอง จากที่ผมนั่งไปอย่างตั้งใจ เพราะผมชอบเรื่องประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ก็ลุกขึ้นไปดูเรื่อง เจ็ดมหาราช แต่ก็แค่เดินดูป้ายแบบผ่านๆ ขี้เกียดอ่าน แต่ก็ชื่นชมคนทำป้ายมา เพราะมีการตกแต่งอย่างสวยงาม ไม่คิดว่าเป็นฝีมือของทหารทำ

    ใช้เวลาอยู่ที่หน่วยพยาบาลประมาณ 1 ชั่วโมง ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 2 ทุ่มแล้ว ผมก็เดินแถวกลับมาที่กองพัน 21 และก็มารวมแถวกับเพื่อนๆกองร้อยอื่นๆ พอมาถึงจ่าโก้ก็กำลังคุยเล่นกับเด็กๆกันอยู่ “เมื่อตอนเย็นนะ มีโจรกระจอกมักแอบมาขโมยขนม แหม๋มันเลวมาก ไอเต้นท์ตรงข้างหน้าเนี่ยมันว่า ตอนเย็นเห็นใครก็ไม่รู้ มันเดินมาหยิบขนมแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกง 2-3 อัน เสร็จแล้วมันเอาไปเก็บไว้ในเต้นท์ แล้วก็ออกมาเอาอีก มีการโพกผ้าปิดหน้าปิดตาด้วย เรียกมาถามมันก็ตอบหน้าด้านๆเลยนะ ว่าเก็บไว้เป็นเสบียง ไหนใครวะไอโจรกระจอก ยกมือดิ๊” ก็เรียกเสียงฮาได้พอสมควร ผมเห็นว่ามากันครบแล้วก็ประชุมแจ้งเรื่องเวรยาม วันนี้เป็นหน้าที่ของกองร้อยที่ 1 บอกว่าหลังปล่อยนอนแล้วให้เต้นท์แรกๆประมาณ 30 เต้นท์ไปพบครูเวรยามด้วย เสร็จแล้วก็ปล่อยให้ไปซื้อของกินฝั่งตรงข้ามกองพันอีก คราวนี้ผมได้ไปเจอกับเพื่อนๆที่อยู่กองพัน 22 ที่มันมาก่อนผม 1 วัน เจอหน้ามันแล้วมันพูดก่อนเลยว่า “พรุ่งนี้เหนื่อย มีคลานต่ำ ลอดลวดหนามด้วย แดดก็ร้อน ตัวเลอะไปหมดเลย” ผมก็เชื่อมัน เพราะว่าชุดฝึกมัน ขนาดมืดๆยังเห็นเป็นสีฝุ่นแดงๆเลย มันมาเยอะเย้ยต่ออีกว่า “พรุ่งนี้กูกลับบ้านแล้ว พวกอยู่ต่ออีกคืน” เป็นอะไรที่ทำให้ผมเจ็บใจไม่น้อยเลย ผมก็ต้องกลับกองพันด้วยความเจ็บใจ กลับมาผมก็เลยถือโอกาสไปแปรฟันซะเลย หลังจากไปกินมาแล้ว และก็เรียกรวมอีกครั้ง
    ครั้งนี้ให้หัวหน้ากองพันมาพูดคุย หัวหน้ากองพันเป็นคนใต้ ชอบปล่อยมุขฝืดๆ และก็พูดเชิงปรัชญาว่า “นักศึกษาวันนี้เรามาเข้าค่าย 3 วัน 2 คืนที่เราชนไก่ ที่นี่จะฝึกให้เรามีความอดทน อะไรที่เราเลยทำตอนอยู่ที่กรุงเทพ มาอยู่ที่นี่ก็ทำไม่ได้ แต่เรามาเพื่อฝึกความอดทนอดกลั้น มาที่นี่มีแต่ผู้ชาย ไม่มีสั่งยั่วยวน เรามาสะสมพลัง ไว้กลับไปกรุงเทพนะ นักศึกษา เราก็ไปปล่อยให้เต็มที่ไปเลย มันจะมีความสุขกว่าเป็นไหนๆ” พูดจบก็ทำให้เด็กชายวันรุ่น 400 กว่านายหัวเราะไปได้ เพราะทุกคนรู้ว่ามันหมายถึงอะไร เป็นอันว่ามุขนี้ผ่าน และก็จะมีการตั้งฉายาของกองพัน ไม่รู้หัวหน้าแกตั้งเองรึป่าว แต่ผมฟังแล้วขอบอกเลย อนุบาลมากๆ “ฉายาเรานะนักศึกษา กองพัน 21 พยัคฆ์น้อย รวดเร็ว รุนแรง สู้ๆ” โอ้ยยย อนุบาลมากๆ แถวให้ท่องตามด้วย รู้สึกอายสุด ตอนสู้ๆ ต้องยกมือ กำปั่นชูขึ้นอีก ผม ม.5 แล้วนะ ให้มาทำอะไรแบบนี้
    พอหัวหน้ากองพันจากไปได้ ซึ่งผมยินดีอย่างยิ่ง จ่าโก้ก็มาให้หัวหน้ากองพันนำสวดมนต์ แผ่เมตตา จบลงด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และก็ปล่อยให้ไปนอน โดยนัดแนะสัญญาณนกหวีดเป่านอน และปลุกตอนเช้า จะเป็นนกหวีดยาว 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายให้กล่าวคำว่า ราตรีสวัสดิ์ และตอนปลุกก็กล่าว อรุณสวัสดิ์ เมื่อปล่อยแล้วผมก็เข้าเต้นท์ไป แต่เสียงจากไมค์ของจ่าโก้ยังดังไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ก็ขู่อีกว่าพอเป่านกหวีดแล้วใครไม่ปิดไฟฉายนอนก็ให้หัวหน้าต่างๆ จดเบอร์เต้นท์มา พรุ่งนี้จะให้ล้างส้วม ตอนนี้ไฟฉายที่เอามาได้มีประโยชน์แล้ว เพราะในเต้นท์มืดมากจนมองอะไรไม่เห็น คู่นอนผมไม่ได้เอาไฟฉายมา ก็ต้องมาแบ่งๆกันใช้ เริ่มจากปูผ้าใบก่อน และก็เครียดกระเป๋าออกไปให้นอนได้ ผมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไป ตี 3.40 นาฬิกา กะจะตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำก่อน เพราะจะเป่านกหวีดปลุกตอนตี 5 แต่ช่วงเวลา ตี 4-5 ห้ามออกมานอกเต้นท์ และช่วงนี้ก็ด้วย คือหลังเป่านกหวีดนอน 1 ชม. ก็ห้ามออกมา ผมเลยต้องตั้งไว้ก่อนตี 4 แต่สุดท้ายก็ไม่ตั้ง เพราะกลัวว่านาฟิกาปลุกผมจะปลุกคนทั้งกองพันเลย มันเสียงดังมาก เอาเป็นว่าผมจะถ่างตาให้พ้น 1 ชม. แรกไปแล้วไปเข้าดีกว่า พอจัดที่นอนเรียบร้อยผมก็นำถุงนอนออกมา ด้วยความขี้เกียดกางและเก็บ ผมเลยเอามาเป็นหมอนแทน เพราะอากาศไม่หนาวมากผมทนได้ ตอนนอนก็ใส่ชุดฝึกนอนเลย แค่ถอดรองเท้าเท่านั้น ตอนนี้เปลี่ยนถุงเท้าเป็นคู่ใหม่แล้ว คู่เก่าที่ถอดออกมาก็รีบยัดเข้ากระเป๋าเลย มันเหม็นมาก กลัวคู่นอนด่า ก่อนนอนก็เอาน้ำยาตะไคร้ไล่ยงมาฉีดแขน และรอบๆเต้นท์ กันแมลงอื่นๆไปด้วย ผมล้มตัวลงนอน ก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ทันที เพราะข้างล่างมีหินมาตำต้องเครียออกก่อนถึงนอนได้ พอลงไปนอน ด้วยความยาวของเต้นท์ประมาณ 1.5 เมตร ผมกะจากความสูงของผม เพราะนอนไปแล้วขาผมเลยออกไปนอกเต้นท์ด้วย แต่ก็กลัวว่าจีแมลงหรืองูมากัด เลยนอนแบบเอาขาขัดสมาธิแล้วเอนตัวลงนอน ทรมานมากสุดท้ายก็ต้องยอมเอาขาเลยออกไป เต้นท์ผมนอนแบบไม่ปิดเต้นท์ แต่แง้มไว้นิดนึงให้อากาศถ่ายเท และขาจะได้ออกไปนอกเต้นท์ แต่พอตอนเช้าผมก็รู้สึกเสียใจมากที่ใส่ถุงเท้าแล้วยื่นออกไปนอกเต้นท์ ถุงเท้าคู้ใหม่ของผม มีเศษหญ้าติดเต็มไปหมดเลย ปัดไม่ออกด้วย ต้องนั่งแกะทีละเส้นและผมก็ไม่ยอมใส่ถุงเท้าติดเศษหญ้าไปฝึกพรุ่งนี้แน่ เลยนั่งแกะไป
    เวลาประมาณ 23.30 นาฬิกา เป็นเวลาที่ออกนอกเต้นท์ได้แล้ว ผมซึ่งถ่างตามาก็หาไฟฉายแล้วถือออกมานอกเต้นท์ บรรยากาศในกองพันตอนนี้เงียบสงบ ไม่มีใครออกมาตอนนี้เลย ผมก็เดินไปห้องน้ำคนเดียว ไปถึงหน้าเต้นท์ ทบ. ก็มีเวรเฝ้าอยู่ 2 คน มองไปทางห้องน้ำก็มีอีก 2 คน พอเดินไปถึงห้องน้ำ เวรก็ถามผมว่า มาเปลี่ยนเวรหรอ ผมก็ปฏิเสธไป แค่มาเข้าห้องน้ำเฉยๆ การมาเข้าห้องน้ำของผม คือมาถ่ายหนัก ที่จริงไม่ปวดหรอก แต่เผื่อเอาไว้ก่อน ถ้าเกิดปวดขึ้นมาในระหว่างวัน แล้วหาที่เข้าไม่ได้ คงได้เต้นกันตลอดวันแน่ เพราะฉะนั้นให้ตายคืนนี้ต้องเข้าห้องน้ำก่อน ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำในส่วนด้านหลังที่เป็นห้องส้วม มันมืดมากเพราะทั้งโรงมีหลอดไฟนีออนเพียงหลอดเดียว ผมต้องใช้ไฟฉายนำทางไป เข้าไปสำรวจดูห้องแรก ห้องน้ำก็สกปรก แต่อยู่ในขั้นรับได้ เข้าไปแล้วผมก็ปิดประตู ปรากฏว่าไม่มีกลอน คือมันมีแต่ตัวที่จะไปยึดกับวงกบประตูไม่มี เป็นดังนั้นก็ต้องเปลี่ยนห้อง ผมลองเข้าห้องอื่นๆดูอีก 3-4 ห้องถัดไปก็ไม่มีกลอนเหมือนกัน เดินมาดูถึงโซนกลางๆ มีเขียนหน้าห้องน้ำอีก ว่าชุดรุดห้ามใช้อยู่ประมาณ 3 ห้องติดกัน ในที่สุดมันก็เหลือห้องเดียว คือห้องแรก เพราะผมเดินไล่มาจากห้องสุดท้าย เป็นโชคดีของผมมากๆที่ห้องแรกมันอยู่ในสภาพที่ผมพอใจและลงตัว มีกลอน มีขัน สะอาดและก็น้ำเขียวขุ่นๆตามเคย ตกลงห้องนี้แหล่ะ ผมก็เข้าไปนานพอสมควร จนไอเวรเฝ้าห้องน้ำมันคุยกันถามถึงผม ว่าทำไมยังไม่ออกมา ผมคิดในใจ “มันเรื่องของกู ไม่ต้องเข้ามาถามกูเลยนะ กูเสร็จแล้วก็ออกไปเอาแหล่ะน่า ไม่ได้อยากอยู่หรอกในห้องน้ำ” พอเสร็จเรียบร้อยก็รีบออกไปทันที โดยไม่รอคุยกับมันเลย
    กลับมาที่เต้นท์ก็เข้าไป ทีนี้จะได้นอนซักทีลงไปนอน ตอนนี้เต้นท์ข้างๆซ้ายขวา ผมได้ยินเสียงกรนแล้ว ก็รู้สึกท้อใจ ว่าเมื่อไหร่ผมจะหลับได้ เนื่องจากผมเป็นคนหลับยาก ถ้าที่นอนไม่สบายจริงๆหรือแปลกที่ก็จะนอนไม่หลับ ตอนนี้ผมก็คิดถึงเตียงที่บ้านกับแอร์และผ้าห่มที่บ้านขึ้นมาทันที คิดไปเรื่อยๆผมก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว


พอแค่นี้ก่อน ติ-ชม กันด้วยนะครับ

แสดงความคิดเห็น

>

26 ความคิดเห็น

Smile Music 23 ม.ค. 53 เวลา 20:34 น. 1

อะโห นับถือในความพยายามของ จขกท. พิมมาได้เยอะมาก


PS.  ชักใบเรือ The Flying blue sea-dragon ข้าคือ กัปตันโจนิสพอร์น ญาญิมซิลริ สุขสันต์วันปีใหม่ 2553 นะครับทุกท่าน อย่ามัวแต่ดราม่ากันเลย
0
~ปิยะ~ 23 ม.ค. 53 เวลา 20:39 น. 2
ขอโทดที อ่านไม่จบ

แต่มาเม้น มา แอบอ่านไปนิดนึง - -*

PS.  อยากบิน ได้ ก็ต้องฝึกบิน จะได้ตกไม่เจ็บ!!
0
เลิฟๆ_สาวกรีบอร์น ™ 23 ม.ค. 53 เวลา 20:45 น. 3
ปรบมือๆ จขกท.เก่งจัง วู้วๆ เมื่อยนิ้วมั้ย? -_-"
PS.  จะผิดมากไหมถ้าฉันไม่ร้องไห้~ จะผิดมากไหมที่ชั้ลไม่แคร์~ ที่ไม่ได้ร้องไม่เป็นอะไรไม่ใช่เพราะชั้ลไม่ยอมพ่ายแพ้ แต่เป็นเธอนั่นแหละๆ เธอนั่นแหละที่ไร้ค่า!!
0
Goddess Madoka 23 ม.ค. 53 เวลา 20:46 น. 4

นี่แค่ปี2นะ

พิมพ์มา อ่านกันเหงือกเหลือง

ปี3คงพิมพ์กันข้ามชาติ

เหอๆๆๆ แต่ชอบ ตรงทหารแก้ผ้าอาบน้ำ

ตอนตูเรียนปี1ที่สวนเจ้าเชตุ ทำไม ตูไม่เจอแบบนี้มั่งว้า เวลาไปห้องน้ำ 

เจอแต่เพื่อนสาว ยืนซับมัน ตบแป้ง 

เฮ้ย!! เอามาใช้มั่งเด๊ะ กรี๊ดกร๊าด 

ฮา


PS.  Gold Flower OMG!!? IT'S ME :P
0
dekdeb 23 ม.ค. 53 เวลา 20:58 น. 7

ใช่ครับชิวมาก แต่ความรู้สึกก่อนไป มันร้ากาจสุดๆ เพราะไปดูหนังเรื่อง เขาชนไก่มาอะ
ตอนนี้ที่พิมพ์ เพิ่งจบวันแรกเอง ยังมีอีก 2 วันนะ ถ้าอ่านกันจะเอามาโพสอีก
ช่วงนี้กลับมาจาก รด. ที่ รร มันโดดกัน เลยว่างอะ

จาก จขกท. (เพิ่งมาลงครั้งแรก)

0
autaa 23 ม.ค. 53 เวลา 21:07 น. 8

เหอะๆ ผมก็เพิ่งกลับมาจาก ปี3 ครับ

ตอนอยู่ปี 2 ก็เฉยๆ อะ&nbsp พอไปจริง กลับไม่มีอะไรเลย นั่งเรียน ลงโทษ ฐานเบาๆ


ปี3สิครับ ผมไปด้วยอารมณ์แบบว่า เคยไปมาแล้ว เมื่อปีที่แล้ว ไม่เห็นจะเท่าไรเลย
แต่บอกได้เลยครับ ปี3 กะ ปี2 มันคนละเรื่องกัน

ตอนปิดพิธี ปี3 คุณจะรู้ ว่า มันโล่งมากแค่ไหน
พอเค้าปิด ผมก็โยนหมวกแม้.งเลย - - * โดนปี4 เก็บ +555
สุดท้าย ครูฝึกด่า


ปีหน้าก็พยายามเข้านะครับ 5 วัน
กรุณาปล่อยทุกข์ ก่อนเข้าป่า +55

0
KapoM 23 ม.ค. 53 เวลา 22:23 น. 11

เราก้พึ่งกลับมาเมื่อ วันพุธที่13เอง เราไปผลัดแรกของกองร้อย33 ผลัด3ของเขาชนไก่


มันส์เวอร์


ไปกันเองเเล้วจะรู้ว่าลูกผุ้ชายมานต้องเปนเเบบนี้




เเบบไปกะช่างฝีมือทหารไง เค้าชินกับการเเก้ผ้าอาบน้ำอ่ะ 555+เเล้วเเบบดงดอกเหมยมากๆครูฝึกยังร้องเห้ย เราก้เเบบ 555+ ตุ้ดร.ร.เราลั่ลล้ามาก


ละก้สถานี 33&nbsp  จ่านรก&nbsp  นรกเวอร์ 555+ จะรุ้ว่าเหนื่อยจิง&nbsp ห้ามพลาดเลยนะ ไปเขาชนไก่ ปี 3 ห้ามพลาดเลย ทีเด็ด!!!!

อย่าไปซีเรียสเลยน้องๆปี2&nbsp  อย่างที่ คห.9บอกอ่ะ พอพิธีปิด จะรู้ว่ามันเยี่ยมขนาดไหน&nbsp  สุ้ๆๆ

0
rain hongge 23 ม.ค. 53 เวลา 23:19 น. 12

ปกติ ไม่ค่อยตอบกระทู้ จะอ่านอย่างเดียว

เเต่เห็นใจ จขกท. ตั้งใจพิมพ์ซะ

อ่านเเล้วมันดี เหมือนอ่านการ์ตูน

เเล้วจะมาอ่านต่อในภาค2

0
jrockchon 24 ม.ค. 53 เวลา 09:06 น. 13

เข้าห้องนํานาน
เหอๆๆๆๆ
เวรเฝ้าเขาคิดไรกับ จขกท ป่าวน้าๆๆๆ


PS.  ชลเด็กเจร๊อค โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
0
~`AcT*|3an|<~` 24 ม.ค. 53 เวลา 16:32 น. 15

เอ่อ

วาน จขกท. ช่วยบอกอุปกรณ์ที่ต้องใช้ทั้งหมดอะครับ

อย่างละเอียดหน่อยได้ปะ คือ เราไป ผลัด 8-10 กพ.อะ

เอ่อ แล้วหม้อข้าว ต้องใช้ป่าวอ้ะ แล้วก็ ผมอะ ตัด เบอร์ 2 ไปจะผ่านป้ะะ

ขอบคุณล่วงหน้าา

0
๐ChiNKunG๐ 24 ม.ค. 53 เวลา 21:56 น. 16

ตอบ คห16 นะครับ

จาก จขกท

เรื่องผม พอดีลืมเขียนครับ ผมก็ตัดรองทรงก็ได้นะ เค้าตรวจไม่เข้มมาก ถ้าไม่ได้ตัดเลยก็ไม่เป็นไร เพราะที่นั่นมีช่างมาตัด แถบสั่งได้ดังใจอีกด้วย เบอ 2 น่าจาได้ ให้ชัวก็เบอ 1 เหอะ รอดแน่ ของให้ที่ผมเอาไปก็ตามที่เขียนเลย ไม่มีทากกว่านั้น

เดี๋ยวผมไปตั้งกระทู้ใหม่ดีกว่า ตอนนี้สมัครสมาชิกแล้ว ตามไปอ่านต่อกันนะครับ เขียนจบวันที่ 2 แลว

0
555 26 ม.ค. 53 เวลา 13:24 น. 17

ร.ร.ที่ว่า ร.ร.ประชานิเวศน์ป่ะ&nbsp บ้าเรียนร.ด. อยู่ร.ร.เดียวตั้งแต่ประถมเลย1

0
Bhroom 28 ม.ค. 53 เวลา 22:20 น. 18

เราก็เพิ่งกลับมาวันนี้เอง เหมือนกันเลย แต่เราได้กองพันที่ 21&nbsp แต่ชอบครูฝึกที่ชื่อชาละแวนไรเนี่ยอ่ะครับ เค้าตลกดี

0
... 7 ก.พ. 53 เวลา 21:59 น. 19

พรุ่งนี่จะไปแล้วอ่ะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเลย

ไว้กลับมาจะเล่าให้ฟัง 55+

0
สู้ๆ 10 ก.พ. 55 เวลา 22:53 น. 20

ปี2 ปี 3 อ่ะ มัน สุดๆ ก็จิง นะ สำหรับ พวก คุณ

ผมนี่ดิ จะไป ปี4 วันวาเลนไทน์พอดีเลย แม่เยส

ถ้าจะให้เล่า มัน คงจะแบบ ว่า 555+

แฟน ก็จะไป อยู่กับใครก็ม่ายรู้ 555 +

เอาวะ ลุย ใจเรามันร้อน อยู่แล้ว อุปสรรค ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ผ่านมันไปให้ได้

กลับมา แล้ว เรียก แฟนมา ถอด รองเท้าให้ มันแบบ ว่า ความรู้สึก คงจะสุดยอดเลย นะ

0