Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ประสบการณ์จากค่ายเขาชนไก่ปี 2 คับ ภาค 2

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีคับ เมื่อวานผมมาโพสตอนแรกไว้ เห็มมีคนอยากอ่านต่อเลยมาต่อให้ครับ ผมเลยเอาตอนแรกมาลงด้วยเผื่อใครยังไม่เคยอ่าน มาเม้นด้วยนะครับ เขียนมายาวมาก ลองอ่านดู หนุกนะ

ตัวไฟล์ที่ผมทำมันมีรูปด้วย แต่เอามาลงในนี้ไม่เป็น ใครคิดว่าชอบแล้วอยากได้ไฟล์เวริดที่ผมทำก็แอดมาได้นะ เดี๋ยวส่งให้

ค่ายนักศึกษาวิชาทหาร ชั้นปีที่ 2 เขาชนไก่
1 วันก่อนเดินทาง
            ผมเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลาย คนหนึ่งที่กลัวการเข้าค่ายที่เขาชนไก่ตั้งแต่ครั้งยังเรียนชั้นประถมศึกษาเลยก็ว่าได้ เนื่องจากโรงเรียนประถมของผม มีสอนตั้งแต่ชั้นประถมตอนปลายถึงมัธยมปลาย ซึ่งในแต่ละปีช่วงหลังวันขึ้นปีใหม่ไม่นานภาพที่ผมเห็นก็จะเป็นพวกรุ่นพี่ ม.6 วุ่นกับการเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เพื่อไปเข้าค่าย รด. ที่เขาชนไก่
            หลังจากนั้น 5 วัน พี่ๆก็กลับมา ด้วยสภาพที่เนื้อตัวมีแต่ฝุ่นแดงๆ ใบหน้าสีคล้ำขึ้นของทุกคน ท่าทางที่อ่อนแรงของแต่ละคน ทำให้ผมสงสัยที่จะรู้มากว่าเขาชนไก่นั้นทำอะไรกับรุ่นพี่ของผม ไม่นานผมก็ได้มีโอกาสคุยกับพี่คนหนึ่ง สิ่งที่พี่เล่าให้ผมฟังมันได้เปลี่ยนความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาชนไก่จากสงสัยกลายเป็นกลัว ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบันนี้
           เมื่อผมจบการศึกษาจากชั้น ป.6 ผมก็ได้สอบเข้าโรงเรียนใหม่ เป็นโรงเรียนชายล้วนอยู่ย่านหัวลำโพง ซึ่งก็คือ โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนนี้ก็มีการสอนตั้งแต่ชั้น ม.1 – ม.6 หลังเปิดเทอมไม่นาน ภาพที่ผมเห็นก็คล้ายกับตอนประถม คือพี่ๆ ม.ปลาย แต่ชุดสีเขียว เสื้อแขนยาวพับแขน กางเกงขายาว สวมหมวกทรงแปลกๆ ในทุกๆวันพุธตอนเช้า และตอนบ่ายก็จะหายไปทั้งโรงเรียน ผมก็เข้าใจทันทีว่ามันคือการเรียน รด. หรือ รักษาดินแดนนั่นเอง
            จนกระทั้งผมขึ้นชั้น ม.4 ทางโรงเรียนมีนโยบายที่จะฟิตซ้อมร่ายกายให้กับนักเรียนทุกคนที่จะสอบเข้าเรียน รด. ซึ่งผมก็สมัครสอบด้วย ด้วยเหตุผลที่เหมือนกับทุกคนที่ว่า ตอนอายุ 20 ไม่อยากไปเสี่ยงจับใบดำ-ใบแดง ในที่สุดผมก็ได้เรียน รด.
            ผ่านไปเกือบ 2 ปี ซึ่งตอนนี้ผมจบการฝึก การสอบทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติของการเรียน รด. ชั้นปีที่ 2 แล้ว อาจารย์ผู้กำกับก็ได้มาประกาศหน้าแถวว่า ช่วงหลังปีใหม่ นศท. ชั้นปีที่ 2 ทุกนาย ต้องไปเข้าค่ายเพื่อฝึกภาคสนามที่ ค่ายเขาชนไก่ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มันทำให้ผมขนลุกทีเดียว เพราะตอนนั้นผมเข้าใจว่า การไปเข้าค่ายเขาชนไก่นั้น จะได้ไปตอนอยู่ ปี.3 ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมผมอยู่แค่ ปี 2 แล้วได้ไปด้วย (ซึ่งความจริงแล้ว สมัยที่ผมเรียนชั้นประถมนั้น เขาชนไก่ ไปเฉพาะ ปี 3 ขึ้นไป แต่มาสมัยที่ผมเรียน รด. ปี 2 ต้องไปด้วย เพื่อไปเรียนและฝึกเตรียมความพร้อมก่อนที่จะไปฝึกจริงตอนชั้นปีที่ 3) และอาจารย์ก็ได้กำหนดผลัดที่จะไป วันเวลาและสถานที่รวมพล พร้อมกับแนะนำการปฏิบัติ ข้าวของที่ต้องเตรียมไป ผมได้ไปผลัดที่ 13 ไประหว่างวันที่ 19-21 มกราคม 2553
เวลาก็ได้เดินผ่านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่ 18 มกราคม 2553   1 วันก็ไปเขาชนไก่ วันนี้เป็นวันจันทร์ ปกติต้องไปโรงเรียน แต่เนื่องจากอีกพลัดหนึ่งของโรงเรียนผมไปเขาชนไก่วันนี้ พวกผมบางส่วนที่จะไปพรุ่งนี้จึงพร้อมใจกันหยุดเพื่อจัดสัมภาระ หรืออีกจุดประสงค์หนึ่งก็คือ ทำใจนั่นเอง ตอนบ่ายวันนี้ผมก็เริ่มจัดกระเป๋า เริ่มจากไปหาเป้สนามที่ซื้อมาจากศูนย์ฝึก ซึ่งหลังจากซื้อมาผมก็โยนมันไว้บนเก้าอีกยาวที่ไม่ได้ใช้ โดนไม่ได้เปิด ไม่ได้เหลือบมองเลย แต่มาวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องลงทุนไปหามันมาใช้ ข้างในกระเป้าจะมีเข็ดขัดสนามพร้อมสายรัด กระติกน้ำและผ้าใบปูรองนอน ผมก็ได้เอาของออกให้หมดแล้วเริ่มจัดของใหม่
            ผมได้เตรียมของต่างมาวางไว้ข้างกระเป๋า ซึ่งของที่ผมเตรียมไป ขอแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นของที่จำเป็นจริงๆ ได้แก่ 1.ช้อน 2.อุปกรณ์อาบน้ำและแปรงฟัน 3.เสื้อตัวในและถุงเท้า 2 ชุด 4.ไฟฉาย 5.ยากันยุง 6.กางเกงใน 7.รองเท้าแตะ 8.ผ้าปิดจมูก 9.ผ้าเช็ดตัว 10.ปากกา 11.ผ้าเช็ดหน้า ส่วนที่สองเป็นของเสริมที่ผมเอาไปด้วย ได้แก่ 1.ถุงนอน 2.ขนม 3.เศษผ้า 4.ชุดฝึกอีก 1 ชุด เป็นต้น และก็มีของที่ต้องเอาไปอยู่แล้วก็เข็ดขัดสนามกับกระติก ที่สำคัญที่สุดเลย คือ เงิน เอาไปให้เยอะที่สุดเท่าที่เอาไปได้ (เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าทหารมีหัวการค้าดีแค่ไหน กลไกราคาไม่มีผลต่อระบบทหารเลย มีแต่ระบบเผด็จการ อาศัยช่วงที่เด็กมีอุปสงค์สูงๆสูบเงินในกระเป๋า) ผมก็เอาไปประมาณ 700 บาท เมื่อของก็ครบแล้ว ผมก็จัดการยัดมันลงกระเป๋า ปรากฏว่าเต็มพอดีเลย ทดลองสะพายดูก็หนักเอาการเหมือนกัน
           กว่าจะจัดเสร็จก็กินเวลาไปประมาณ 1 ชม. เย็นวันนั้นผมก็ได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนผลัดแรกที่ตอนนี้อยู่เขาชนไก่แล้ว เมื่อมันรับโทรศัพท์ สิ่งแรกที่มันพูดเลยก็คือ เอาถุงนอนมาด้วยนะอย่าลืม ที่นี่หนาวมาก ฝุ่นก็เยอะและตอนท้ายของการคุย มันบอกว่าให้เตรียมกางเกงในมาด้วย เพราะมีลุยน้ำ เปียก แล้วโทรศัพท์ก็ตัดไป ผมก็งงๆอยู่ เพราะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เนื่องจากเสียงขาดๆหายๆ อาจจะเพราะที่นั่นสัญญาณไม่ดี
            ตกดึกผมก็มาออน
MSN คุยกับเพื่อนที่จะไปผลัดเดียวกัน ก็คุยกันแต่ว่าเอาอะไรไปบ้าง มันจะเหนื่อยไหม โหดรึเปล่า ซึ่งสิ่งต่างๆที่คุยไปมันช่างบั่นทอนกำลังใจผมเสียเหลือเกิน เวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ผมก็เข้านอน แน่นอนว่าผมนอนไม่หลับเลย นอนว้าวุ้นใจอยู่นาน ดูเวลาอีกทีก็เที่ยงคืนแล้ว สุดท้ายก็ต้องข่มตานอนจนกระทั่งหลับไปโดยไม่รู้ตัว
 
วันที่ 1
           เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ขณะนี้เวลา 4.20 นาฬิกา ปลุกผมให้ออกจากการหลับใหล ผมก็ตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่ไม่สดชื่นเอาเลย อาจเป็นเพราะเมื่อวานเครียดเกินไป และนอนไม่ค่อยจะหลับดีเท่าไหร่ ผมก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน และแต่งเครื่องแบบ นศท. ที่เตรียมไว้แล้วตั้งแต่คืนวาน เสร็จแล้วผมก็สะพายกระเป๋าลงมารอเพื่อนหน้าปากซอย เพื่อนั่งแทกซี่ไปด้วยกัน ต้องไปถึงก่อน 5.30 นาฬิกา
            เมื่อมาถึงที่รวมพล เวลาประมาณ 5.10 นาฬิกา บริเวณหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง(สวนเจ้าเชตุ) ที่นั่นก็พบกับ นศท. จำนวนมาก สะพายเป้ แต่งตัวเหมือนๆกับผม ประกอบกับแสงไฟบริเวณหน้าทางเข้าที่เป็นสีเขียว ดูแล้วน่าขนลุกเหมือนกัน ผมก็เดินเข้าไป ผ่านซุ้มประตูทางเข้าก็พบกันพระบรมรูปของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ถัดไปก็จะเป็นลานรวมพลกว้างๆ และด้านหลังก็มีแผงขายของจำพวกอาหารเช้า ของใช้ต่างๆ ซึ่งผมดูคร่าวๆแล้ว มีครบทุกอย่างเลย ตั้งแต่ ถุงเท้า เข็มขัด เข็มขัดสนาม ผ้าใบ ไฟฉาย ยาดม ปากกา กระติก ฯลฯ เรียกได้ว่า ถ้าใครลืมเอาอะไรมา สามารถหาได้จากตรงนี้เลย และที่สำคัญมีรับบริการเติมน้ำในกระติกด้วย เติมขวดหนึ่งก็ประมาณ 5 บาท ในใจผมคิด
"เอาแล้ว เริ่มแล้ว การระดมสูบเงินในกระเป๋ากู มันเริ่มตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในเขตทหารเลยหรือนี่ ยังไม่ทันไปไหนเลย) ผมก็ไปสมทบกับเพื่อนคนอื่นๆแล้วเข้าไปนั่งที่โต๊ะรับประทานอาหารด้านใน ผมก็ไปซื้อหมูปิ้งข้าวเหนียวมากิน ตอนซื้อเห็นมีการแบ่งหมูไว้ 2 ส่วน ผมซื้อ 3 ไม้ ป้าคนขายก็หยิบ 2 ไม้จากส่วนแรก และอีกไม้จากอีกส่วนหนึ่ง ผมก็พอเดาได้ว่า มันต้องมีซักส่วนหนึ่งที่ทิ้งไว้จนเย็นแล้วแน่นอน
            กินเสร็จผมก็ไปเข้าห้องน้ำเตรียมไว้ก่อน ห้องน้ำที่นี่จะเหมือนกับที่ศูนย์ รด. ที่ผมเรียนอยู่เลย มีทางเข้า 2 ทาง ตรงกลางจะเป็นที่อาบน้ำรวม มีอ่างขนาดใหญ่และอ่างล้างหน้าติดกัน 3 อ่าง ก๊อกน้ำหันไปข้างใน ตรงต่อไปก็เป็นรางปัสสาวะเล็กๆ ไม่มีที่กั้น และด้านหลังก็เป็นห้องส้วมติดๆกัน ยาวไปสุดห้องน้ำ ขณะที่ผมกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่เข้ามาในห้องน้ำ พูดคุยกันเสียงดัง ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ตอนที่กำลังเดินออก ก็จะเข้าไปล้างมือตรงที่อาบน้ำ ภาพที่เห็นทำเองผมช๊อกไปเลย คือ ในที่อาบน้ำมีทหาร 10 กว่านายเข้ามาแก้ผ้าอาบน้ำกัน บางคนกำลังตักน้ำอาบ บางคนกำลังถอดกางเกงใน ด้วยอารมณ์ตกใจและช๊อกสุดขีด ผมก็เลยถอยหลังออกมาแล้วออกจากห้องน้ำไปเลย โดนที่ยังไม่ได้ล้างมือ
            เวลาประมาณ 5.45 นาฬิกา เสียงเป่านกหวีดรวมพลก็ดัง ผมก็แบกกระเป๋าที่ตอนนี้ผมคิดว่ามันหนักกว่าตอนแรกซะอีก เข้าไปรวมพล จากที่นัดแนะกับเพื่อนไว้แล้ว ว่าถ้าอยากนั่งรถคันเดียวกัน จะต้องนั่งหน้าตับเดียวกัน คือ นั่งติดกันแบบซ้าย-ขวา เมื่อจัดแถวกันเสร็จแล้ว ก็จะมีครูฝึกขึ้นมาพูด เกี่ยวกับสิทธิในการไปเข้าค่ายเขาชนไก่ ว่าจะผ่าน ปี 2 ได้ ต้องผ่านทั้ง 3 ภาค คือ ภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติและภาคสนาม ในวันนี้ และแจ้งชื่อ คนที่หมดสิทธิรับการฝึกภาคสนาม เสร็จแล้วก็มีการแจกใบบันทึกอุณหภูมิร่างกาย เพื่อระวังป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 โดนมีเครื่องสแกนอุณหภูมิ มาจ่อที่หน้าผาก แล้วเครื่องจะอ่านอุณหภูมิร่างกายออกมา ของผมสแกนครั้งแรกได้ 34.1 องศา และให้บันทึกลงในใบนั้น (ผมเห็นว่ามันหมดยุคหวัด 2009 แล้วนะ จะมาตรวจกันทำไม ตรวจมาเด็กก็มั่วเขียนได้อยู่ดี) ตรวจเสร็จก็จะมีคนมาปั๊มข้อความ 1/1 ที่หลังมือซ้ายให้ จากนั้นก็มาบีบเจลล้างมือไห้ล้างกันก่อน ผมก็ล้างเสร็จ เจลนี้ค่อนข้างแรง ล้างไปแล้วรึสึกเย็นมากและที่สำคัญ ขี้ไคลบนมือมันหลุดออกมาหมดเลย รวมถึงไอสัญลักษณ์ 1/1 ที่เพ่งปั๊มไปด้วย หายหมดจดไร้ร่องรอยเลย พอผมสังเกตเห็น ก็อุทานออกมากับเพื่อนข้างๆเลยว่า ชิปหายแล้ว แม่ง 1/1 กูหายหมด แล้วกูจะได้ไป เขาชนไก่ไหมเนี่ย มันจะตรวจป่าววะ สุดท้ายก็ไม่ได้ ตรวจ แล้วจะปั๊มหาพระแสงอะไรวะ
            จากนั้นก็ขนของขึ้นรถ ผมได้รถคนที่ 4 สภาพรถก็จะเป็นรถแบบวิ่งไปกลับต่างจังหวัด ไม่มีแอร์ สีส้มแดง ในรถก็มีพัดลมเพดาน ตอนผมขึ้นไปก็เต็มเกือบหมดแล้ว เลยต้องไปนั่งหน้า ใกล้กับคนขับ ที่นั่งผมโชคร้ายมาก เป็นแถวเดียวที่ระยะห่างของที่นั่งมันน้อยที่สุด ขาเลยไปชนกับที่นั่งข้างหน้า จะเอนตัวลงไม่ได้เลย เพราะขาติด สักพักครูฝึกประจำรถก็ขึ้นมาเช็คยอด และกำชับว่า ในรถเรามี 50 นาย ดูหน้ากันไว้ ห้ามมีใครหายและห้ามมีใครเกิน หน้าต่างรถก็ห้ามเปิดขึ้นสูงเกินล๊อกที่ 2 จากข้างล่าง ก็เหมือนกับในรถเมย์ เปิดไม่ถึงครึ่งบาน ห้ามถอดหมวกจนกว่าจะลงจากสะพานอะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ และก็บ่นๆไรอีกมากมาย น่ารำคาญมาก ดันไปนั่งอยู่ใกล้ๆด้วย

            ไม่นานรถก็ออก ไปซักพักรถก็ติด ก็มีเสียว วอ มาที่ครูฝึก
" วอ 1 เรียกวออื่น ตอนนี้รถติดไฟแดง อย่าใจร้อน อย่าใจร้อน อย่าแค่ว" และก็พูดประมาณนี้อีกหลายประโยค ผมก็ขำมาก ตกลงมันจะสื่อสารกัน หรือปล่อยมุขใส่กันกันแน่วะ ใจความสำคัญมันก็แค่ให้รอก่อน รถติดไฟแดง แต่พูดมาซะฮาเลย ผมก็คิดว่าทหารมันคงเครียดเนอะ มีมุขฮาๆเหมือนกัน
 
           พอรถออกต่างจังหวัด ลมก็พัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างเย็นสบาย บางคนก็หลับ ผมก็กำลังจะหลับแต่รำคาญหมวกที่สวมอยู่ ว่าเมื่อไหร่มันจะถอดได้ซักที เพราะทั้งรถยังไม่มีใครถอดเลย ผมมั่นใจว่ามันต้องถอดได้แล้ว ลงมาไม่รู้กี่สะพานแล้ว จนในที่สุดครูฝึกก็ถอดหมวก เผยให้เห็นหัวล้านแบบบาร์โค๊ด ผมจึงกล้าถอดแล้วนอนได้ แปบเดียวที่หลับไปผมก็ต้องตื่นขึ้นมาเสียงแตรรถ ที่คนขับมันบีบ ไม่ได้บีบแบบธรรมดา บีบเป็นชุด ปี๊น.............. ปี๊น............... ปี๊น ปี๊น ปี๊น.............................. บีบทีหลายชุดด้วย ทำเอานอนไม่หลับเลย และบีบถี่มาก ผมก็สงสัยว่ามันบีบทำไม ผมคิดว่ามีรถมาเบียดมั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่รู้อยู่ดี เพราะมันบีบเกือบตลอดทางเลย โคตรน่ารำคาญ
            ในที่สุดรถก็มาถึงวัดป่าเลไลย์ เสลาประมาณ 10.00 นาฬิกา สภาพทั่วไปก็เป็นวัดโบราณ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานจาก กรมศิลปากรแล้ว มีเจดีย์ที่ทรุดโทรม และมณฑป ที่ด้านในประดิษฐานปพระประธาน ปางป่าเลไลย์ ลักษณะ พระพุทธองค์ประทับนั่งบนหิน พระหัตถ์ซ้ายคว่ำ พระหัตถ์ขวาแบ ด้านซ้ายมีพญาวานรถวายรวงผึ้ง ด้านขวามีพญาคชสารถวายน้ำ บ่งบอกว่าพระองค์ทรงรับน้ำจากพยาคชสาร แต่ไม่รับรวงผึ้งจากพญาวานร เพราะรวงผึ้งมีตัวอ่อนผึ้งอยู่ เป็นการเบียดเบียนสัตว์อื่น เป็นพระประจำวันเกิดของคนที่เกิดในวันพุธกลางคืน ซึ่งก็คือวันเกิดของผมเอง ลงจากรถมาก็ให้ไปเข้าห้องน้ำก่อน เนื่องจากห้องน้ำมีน้องก็อนุญาตให้ยิงกระต่ายได้ แต่ผมก็เข้าห้องน้ำสบายใจกว่า ในห้องน้ำก็มืดๆแถมมีแมงมุม ที่มุมห้องอีกด้วย ตัวใหญ่กว่าที่กรุงเทพเยอะเลย ผมก็รีบๆทำธุระแล้วออกมา

            มาถึงที่นี่ ก็เจอกับด่านสูบเงินที่ 2 ก็คือ มีขายอาหารจำพวก ไก่ปิ้ง หมูปิ้ง ของทอด ไอศกรีม น้ำกระป๋อง ผมก็ไปซื้อไก่ปิ้งมาทาน ไม้ละ 5 บาท กับสปอนเซอร์ ไม่นานก็เรียกรวมพล เพื่อไปฟังประวัติของวัดและความเป็นมาของ ต.ลาดหญ้า ที่เกี่ยวกับการทำสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็คือ สงครามเก้าทัพ ตอนท้ายของการบรรยายก็มีการระดมเงินทำบุญ จากการจัดกองผ้าป่า เพื่อให้ในกิจการของวัดป่าเลไลย์ วัดในจังหวัดกาญจนบุรีและไปให้วัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 1 วัด ให้หัวแถวเดินเก็บแล้วนำไปใส่ในบาตรของพระ เป็นพระปางโปรดพุทธมารดา
เสร็จแล้วก็ปล่อยให้ไปสักการะพระประธานในมณฑป และซื้อของกินอีก ซึ่งตอนนี้เป็นอะไรที่ผมขำและเจ็บใจมาก เพื่อนผมคนหนึ่งมันไปซื้อไก่มากิน 4 ไม้ แล้วคนขายมันตะโกนมาว่า "ไก่ปิ้งหมูปิ้ง เร็วคับรีบซื้อเดียวในต้องไปต่อแล้ว จากไม้ละ 5 บาท ตอนนี้เหลือไม้ละ 3 บาท ครับ เร็วๆ" โหจี๊ดเลย ตัดราคากันรวดเร็วมาก และขำกว่านั้นคนขายย้ำต่อ "เร็วครับไม้ละ 3 บาท 3 ไม้ 10 บาท เร็วๆๆ" ผมฟังแล้วฮาแตกเลย บ้ารึเปล่า ไม้ละ 3 บาท 3 ไม้ก็ 9 บาท ดิวะ ลุงแกคิด 10 บาท เด็กเทพไม่โง่นะลุง แต่ถ้าคนซื้อ 10 บาท จริงก็ยังดีกว่าผมที่ซื้อไม้ละ 5 บาท ความสงสัยก็มาเยือนผมทันที ผมหันไปถามเพื่อนที่กินไก่ปิ้งอยู่ "ซื้อไม้เท่าไหร่วะ" มันตอบไม่ละ 5 บาทเหมือนผม ผมหล่ะโคตรขำเลย วงการทหารนี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ เสร็จแล้วก็เรียกรวมพลแล้วขึ้นรถไปต่อ

 
ในที่สุดก็มาถึงค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร เขาชนไก่ จากทางเข้าก็จะมองเห็นเขาชนไก่ เป็นเขาที่มี 2 ยอด ดูเตี้ยๆ แต่สิ่งแรกที่ผมให้ความสนใจคือ สนามฟุตบอล เพราะสนามฟุตบอลที่นี่เป็นสีเหลืองทอง ดูผิวเผินจะสวยมาก แต่ดูดีๆที่เป็นสีเหลืองทองนั้น มันคือหญ้าที่แห้งตายแล้ว บ่งบอกได้ว่ามันคงขาดน้ำหรือไม่ก็โดนแดดเผาจนแห้งหาย ผมก็คิด "ดูหญ้าสิ เหลืองกรอบงามเชียว แล้วกูหล่ะ กลับไปคงดำเงี้ยมแน่เลย" รถก็มาจอดอยู่เลยลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ซึ่งวิวด้านหลังเป็นเขาชนไก่ ดูมีมนต์ขลังมาก ครูฝึกก็เรียกลงมาเข้าแถวเพื่อกระทำพิธีเปิดค่าย มีการซักซ้อม เลือกนักศึกษาผู้บังคับบัญชา จำพวกหัวหน้าหมวด หัวหน้ากองร้อยและหัวหน้ากองพัน ก็เลือกจากพวกที่เคยเป็นหัวหน้าต่างๆตอนที่ฝึกที่ศูนย์นั่นแหล่ะ
            จากนั้นไม่นาน ตัวแรงก็มาถึง เป็นครูฝึกจากกองพันที่ผมจะเข้าไปฝึกมาร่วมพิธีเปิดและรอรับพวกผมไปต่อ มาถึงด่าเลย "พิธีเปิด พวกยืนนิ่งๆนะ ไม่นิ่งซวย ผลัดที่แล้วเค้านิ่ง แต่พวกต้องนิ่งกว่า มีปัญหาไหม มีปัญหาย้ายผลัดไปเลย นี่โรงเรียนเทพศิรินทร์ใช่ไหม ครูไปซ้อมสวนสนามที่โรงเรียน เด็กแม่งแอบกันหน้าด้านๆเลย ขอบอกนะทำตัวดีๆไม่งั้นซวย วันนี้กูเป็นเวรด้วย เดี๋ยวเจอกัน" เป็นเสียงขู่จากครูฝึกร่างอ้วนหน่อยๆ ไม่สูงนัก ทำให้ทุกคนยืนนิ่งเป็นหินในบัดดล เมื่อพิธีเปิดใกล้จบ ประธานก็กว่าเปิด "ของเปิดการฝึกภาคสนาม นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2522" มาฮาอีกแล้วครับ ป้ายด้านหลังพวกผมก็เขียนตัวใหญ่โคตรว่า "2552" ประธานแกพูดผิดหรือปล่อยมุขกันแน่ แต่ที่แน่ๆถึงพูดผิดแต่ไม่มีใครกล้าขำ เสร็จพิธีครูฝึกก็สั่งให้นั่ง แล้วครูคนเดิมก็มีพูด "ยืนนิ่งดีเต็ม 100 ให้ 90 อ่าวมีคนยุกยิก เหลือ 85 แล้ว 85 นี่ถือว่าไม่เยอะเลยนะ" พร้อมกับไปตบหัวใครบางคนแล้วคนโดนตบก็หันมามองหน้า ครูฝึกก็พูดว่า "มองหน้ากูทำไม ไม่พอใจหรอ ไม่พอใจย้ายผลัดไปเลย ไม่พอใจไม่ใช้ลูกผู้ชาย อย่าดูถูกโก้นะ" ตอนนี้ผมจึงรู้แล้วว่าครูคนนี้ชื่อโก้ จะขอเรียกว่าจ่าโก้ ละกัน
            จากนั้นก็ให้ขึ้นรถไปต่อ ไม่กี่ลมหายใจรถก็หยุดโดยเลยป้ายที่เขียนว่า กองพันที่ 21 ไปไม่ไกล ผมเห็นแล้วสะท้านเลย ด้านหน้าเป็นป้าย ส่วนด้านหลังเป็นค่ายที่ผมต้องเข้าไปใช้ชีวิต 3 วัน 2 คืน สภาพทั่วไป เป็นพื้นที่ที่อยู่ในป่าข้างทาง มีการถางหญ้าและปรับพื้นที่ให้มีที่โล่งมากขึ้น ด้านหน้ามีเต้นท์ผ้าใบกางเป็นแถวเรียงรายไปหลายแถว มีต้นไม้สูงขึ้นแซม ถ้าผมดูไม่ผิดคงเป็นต้นยูคาลิปตัส เพราะลำต้นเป็นสีขาว ที่เอาไว้ผลิตกระดาษ พื้นดินในค่ายเป็นสีแดงๆ เป็นดินที่แห้งมาก ลมพัดมาเป็นฝุ่นสีแดงขึ้นขึ้นมาจากพื้นเลยทีเดียว ถัดไปก็เป็นลานรวมพล และเต้นท์ ทบ. (ไม่รู้ว่าย่อจากอะไร แต่เป็นคล้านกองกำนวยการ เป็นที่อยู่ของครูฝึก) ข้างขวาก็เป็นเต้นท์คลังอาวุธ (เป็นที่เก็บปีนที่ใช่ฝึก) ข้างซ้ายเป็นเต้นท์สำหรับคนป่วย ด้านหลังเป็นห้องน้ำ ลักษณะก็เหมือนกับที่สวนเจ้าเชตุ (สงสัยเป็นฟอร์มเดียวกันหมดแน่ๆเลย ห้องน้ำแบบทหาร)
            พอลงจากรถ ก็ให้รีบวิ่งสะพายกระเป๋าไปเข้าแถวที่ลานรวมพล จากนั้นจ่าโกก็มีด่าอีก "เข้าแถวก็ช้า ต้องให้จัดอะไรนักหนา ไม่พอใจย้ายผลัดไปเลย ย้ายไปก็มาเจอกูอีก" ความคิดของผม ผมว่าจ่าโก้ไม่ได้โหดอะไรหรอก เพราะน้ำเสียงที่พูดมาออกจะขำๆซะมากกว่า จากนั่นก็เป็นการแบ่งกองร้อย โดนเรียงตามบัญชีรายชื่อ แยกโรงเรียนผมออกจากกันแล้วจับเองโรงเรียนอื่นๆ มารวมด้วย ที่ไปผลัดเดียวกับผมก็มี ฐานปัญญา วัดหนองแขม วัดบางบัวทอง ฐานเทคโน เตรียมอุดมน้อมเกล้าปทุมธานี ฯลฯ รวมมี 11 โรงเรียน แต่โรงเรียนผมมีจำนวนมากที่สุด รวมทั้งกองพันมี 449 นาย แบ่งเป็น 3 กองร้อย การแบ่งตรงนี้ผมก็ลุ้นเป็นพิเศษว่าจะได้อยู่กองร้อยเดียวกับเพื่อนที่นัดแนะว่าจะนอนเต้นท์เดียวกัน เพราะถ้าไม่ได้อยู่กองร้อยเดียวกันโอกาสได้นอนด้วยกันก็เป็นศูนย์ ผมได้อยู่กองร้อยที่ 2 ส่วนไอเพื่อนผมมันอยู่กองร้อยที่ 3


            จากนั้นจ่าโก้ก็ให้เซ็นชื่อในบัญชี มีทั้งหมด 7 แผ่นที่ต้องเซ็น โดนเรียกคนแรกของแต่ละชุด 1 ชุดมี 25 คน ทั้ง 25 คนก็แยกไปตั้งแถวตอนเรียก 1 อีกจุดหนึ่ง แล้วก็ส่งให้เซ็นไปเรื่อยๆ พอผมแยกไป ก็พอดีกับที่อาจารย์จากโรงเรียนผมนั่งรถทหารเข้ามาเยี่ยมที่ค่าย ปีนี้หัวหน้าระดับบอกว่าอาจารย์มาเยี่ยมกันทุกท่านเลย อาจารย์ก็ทยอยลงมา เด็กก็พากันชะเง้อคอมองหาอาจารย์ประจำชั้นของตน ผมเองก็ด้วย ผมมองอาจารย์แต่ละท่าน เสมือนเป็นแสงสว่างแห่งความหวังที่จะมาช่วยผมจากค่ายนรกนี้ อาจารย์แต่ละท่านก็ลงมาถ่ายรูปบ้าง โบกไม้โบกมือให้ลูกศิษย์บ้าง แต่ผมอยู่กลางๆแถวเลยไม่มีใครสังเกตผมเลย พอเซ็นชื่อเสร็จก็ให้แยกไปเข้าแถวตามกองร้อย ในกองร้อยก็จัดให้นั่งเป็นแถวๆ ซึ่งกำลังแบ่งหมวดกันอยู่ โดน 1 หมวดมี 50 นาย แบ่งเป็น 5 หมู่ หมู่ 1 มี 8 นาย รวมหัวหน้าหมวด หมู่ 2 มี 9 นาย และหมวด 3-5 มี 11 นาย ที่จัดจำนวนไม่เท่ากันแบบนี้ เพราะตอนนี้กำลังแบ่งคนให้เป็นในลักษณะของหมวดปีนเล็ก แบ่งเสร็จก็ให้มีการเซ็นชื่อเข้าเต้นท์ ก็เซ็นเรียงตามลำดับที่นั่ง และต่อจากช่องให้เซ็นชื่อก็จะเป็นหมายเลขเต้นท์ ผมได้ต้นท์
B12 และคู่นอนผมก็เป็นเด็กโรงเรียนเดียวกันแต่ต่างห้อง ผมก็ไม่รู้จักหรอก
            พอแบ่งกันเป็นที่เรียบร้อย จ่าโก้ก็ประกาศให้เด็กเทพศิรินทร์ออกมาเข้าแถวตรงที่รวมพล เพราะอาจารย์มาเยี่ยม และมาแจกของ ผมก็รีบพุ่งไปหาเพื่อนแล้วลากมันไปเข้าแถวหน้าสุดเลย หวังว่าคงได้แจกของเป็นคนแรก แต่ผิดถนัด จ่าโก้สั่งกลับหลังหัน ชิปหายกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย แต่ที่จริงแล้วที่เรียกออกมาไม่ได้จะมาแจกของหรอก ให้ออกมาเป็นแค่แบล็กกราวน์ให้อาจารย์ถ่ายรูปตอนมองของให้ครูฝึก ส่วนของแจกครูฝึกก็รับไว้ แล้วค่อยเอามาแจกอีกที
            และแล้วแสงสว่างของผมก็ขึ้นรถจากไป และให้แต่ละคนแยกย้ายเอาเป้ไปเก็บที่เต้นท์แล้วออกมารวมพลแยกตามกองร้อยที่แบ่งแล้ว ผมก็ไปที่เต้นท์ของผม สภาพเต้นท์เป็นเพียงผ้าใบขึ้นให้เป็นทรงสามเหลี่ยม ที่พื้นไม่มีผ้าใบรองเลย เห็นเป็นพื้นดินที่มีหญ้าใกล้จะเฉาตายขึ้นแซมๆอยู่ ตรงหัว-ท้ายเต้นท์มีไม้ไผ่มาค้ำยัน เต้นท์ของผมค่อนข้างโทรม ดูจากที่เต้นท์มันหย่อนลงมา คิดจะซ่อมก็ซ่อมไม่เป็น เกิดมันพังลงมาทั้งเต้นท์คงซวยไม่น้อย เลยปล่อยเลยตามเลย

            พอมาเข้าแถวในที่รวมพล สิ่งขึ้นชื่อของเขาชนไก่ก็มาทำร้ายผมเลย ฝุ่นแดงๆจากการเดินไปเดินมาของทุกคน ฟุ้งขึ้นมา เข้าปะทะกับหน้าผมเต็มๆเข้าตา เข้าปาก จึงต้องรีบนำผ้าปิดจมูกขึ้นมาปิดทันที หลายคนก็ทำอย่างนั้น แล้วลองเคี้ยวในปากดู ปรากฏว่าเป็นเม็ดทรายอยู่ในปากเลย ส่วนรองเท้าก็มีฝุ่นมาจับหนา ตั้งแต่ที่วัดป่าเลไลย์แล้ว ถึงตอนนี้ใครขัดรองเท้ามาคงช้ำใจไม่น้อย เข้าแถวเสร็จก็ถูกสั่งในนั่งรอ ฟังจ่าโก้อธิบายการเข้าค่าย ข้อแนะนำ ข้อห้ามต่างๆ ซึ่งการพูดก็จะเน้นที่ประโยคเดิม "ไม่พอใจย้ายผลัดไป" ตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ถึงเวลาทานข้าว จ่าโก้ก็อธิบายวิธีการรับอาหารและการล้างภาชนะ เช่น ให้ถือถาดไปรับอาหาร โดนอย่าถือสูงไป ให้เอาขอบถาดไปติดขอบถังที่ใส่อาหาร จะได้ตักให้ง่ายๆไม่หก และเศษอาหารให้ทิ้งลงถัง ห้ามเอาถาดไปเคาะถัง ถ้าได้ยินซวย ประมาณนี้ หรือถ้าจะไม่กินข้าวที่หลวงจัดมาให้ ก็สามารถไปกินข้าวฝั่งตรงข้ามกองพันได้ ตรงนั้นก็จะมีขายพวกก๋วยเตี๋ยว ข้างผัดกระเพาะ ของทอด ไก่ปิ้ง ซึ่งก็มีคนลุกไปเยอะพอสมควร หมดแล้วก็เรียกคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ให้ไปรับอาหารก่อน ที่เหลือแล้วก็แบ่งให้เข้าแถวตอนเรียง 2 ไปรับอาหาร เริ่มจากร้อย 1 ไปก่อน การเข้าแถวรับอาหารก็เริ่มจากให้ไปล้างมือก่อน น้ำล้างมือก็ใส่ถังไว้หรืออีกทีจะเป็นท่อเจาะรูไว้หลายๆรู ผมเลือกไปล้างมือในถัง น้ำในถังมีลักษณะเป็นสีเขียวขุ่นๆ ผมชักไม่มั่นใจว่าล้างแล้วจะสะอาดหรือสกปรกมากกว่าเก่า แต่คิดไปคิดมาก็ล้างดีกว่า เพราะตอนลุกยืน ผมเอามือไปยันพื้น เพื่อให้ทรงตัวได้ตอนลุก มือเลยเปื้อนดินจากพื้นไปแล้วจากนั้นก็ไปหยิบถาด ซึ่งเป็นจานหลุม และก็ไปรับข้าว คนตักก็เป็นพวกหัวหน้าหมวด จากนั้นก็เป็นแกง และผัดผัก ซึ่งอาหารในมื้อนี้ก็คือ แกงฟักทองไก่ กับผัดดอกกระกล่ำหมู รับแล้วก็ถือถาดปหาที่นั่งกินได้ตายใจชอบ ผมก็ถือถาดรอเพื่อนแล้วก็ไปนั่งกินด้วยกันในที่ร่ม
            เสร็จแล้วก็ไปเติมน้ำในกระติก ซึ่งมีแท้งน้ำขนาดใหญ่ให้ไปเติม แต่ผมมีน้ำอยู่ก่อนแล้วจึงไม่ได้ไปเติม อีกอย่างผมไม่ค่อยไว้ใจด้วย ไม่รู้จะเขียวขุ่นๆเหมือนน้ำล้างมือรึป่าว ผมกับเพื่อนก็เดินไปฝั่งตรงข้ามกองพัน ที่มีขายของ ตรงนี้เป็นแหล่งสูบเงินกำลังสำคัญของที่นี่เลยก็ว่าได้ มีร้านขายอาหารอยู่ประมาณ 3-4 ร้าน แล้วก็ร้านขายน้ำ กับของใช้อีกแล้ว ขายหมดทุกอย่างพวกผ้าใบรองนอน รองเท้าแตะ ปากกา สมุดจด(ซึ่งต้องซื้อทุกคน จ่าโก้บอกตรวจ แต่พอซื้อแล้ว แม่งไม่เห็นพูดถึงอีกเลย) ผมก็ไปซื้อสปอนเซอร์ราคาก็กระป๋องละ 15 บาท กับสมุด และก็กลับไปรอเรียกรวมพล
            การรวมพลครั้งนี้ก็ได้ชี้แจงการฝึกในภาคบ่ายวันนี้ ให้ นศท. ไปรับปืนเป็นปืน สค.87(น่าจะย่อมาจาก สงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 2487 ปืนแบบเดียวกับที่ใช้ในศูนย์ฝึก มีสายมาล๊อคคันรั้งเอาไว้ด้วย กันเด็กดึงเล่น ผมชื่นชมคนคิดมาก เพราะที่ศูนย์ผม ด่ากันประจำว่าอย่าดึงคันรั้งเล่น แก้ปัญหาที่ปลายเหตุแบบนี้ก็จบ) แล้วกลับมานั่งรวมพลเช็คยอดคนและปืนอีกที โดนจ่าโก้กำชับว่า การสะพายปีน ห้ามเอาปากกระบอกปืนชี้ขึ้นฟ้า เห็นใครทำเป็นเรื่อง "อย่าให้เห็นสะพายปืนปากกระบอกปืนชี้ขึ้นฟ้านะ เห็นใครชี้ ไปล้างส้วมเลย คืนนี้ หัวหน้าหมวดจดรายชื่อมา เอามันไปล้างส้วม" พอรับมาแต่ละคนก็ยังไม่กล้าเอามาสะพานกัน ได้แต่เฉียงอาวุธเอาไว้แล้วกลับมานั่ง เป็นที่น่ารำคาญมากสำหรับการมาเช็คยอด เพราะใหม่ๆ มันจะมีพวกที่จำกองร้อย หรือหมวดตัวเองไม่ได้ หรือจำได้แต่แอบมามั่วนั่งกับเพื่อนก็ไม่รู้ มันทำให้การเช็คยอดลำบากมาก เดี๋ยวมีเกิน มีขาด ไปอยู่ร้อยอื่นบ้าง ทำเอาเสียเวลานานพอสมควรกว่าจะจับคนมั่วได้ ในครั้งนี้กองร้อยที่ 1 หมวด 2 หัวหน้าหมวดเช็คได้ 50 คน ครบนะ แต่จ่าโก้แกไปมองหมู่ 5 มันมี 12 คน เลยด่าใหญ่เลยว่ามันเกิน หัวหน้าหมวดก็งงๆ นับไปนับมามี 51 คน คงจิตหลอนไปเองมั้ง โดนด่าแล้วลน แต่ผมมองตลอด จ่าโก้ก็กำลังด่าหัวหน้าหมวดอยู่ ผมเห็นคนหนึ่งกลางๆแถวมันสลับกลับไปนั่งจากที่มันนั่งอยู่หมู่ 5 ที่ทำให้มันมี 12 คน มันค่อยๆเขยิบกลับไปนั่งในหมู่ 4 พอดีกับที่จ่าโก้แกมานับใหม่พอดี ซึ่งตอนนี้มันเหลือ 11 ถูกแล้ว จ่าโก้แกก็บ่ายเบี่ยงไป ในใจแกคงรู้สึกหน้าแตกผมสมควร เพราะแกไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนหมู่กลับไป แกคงคิดว่าตอนแรกแกนับผิดเอง สุดท้ายก็เช็คยอดกันเสร็จและให้เดินแถวไปฝึกภาคบ่ายที่สถานี 211 โดนเดินตอนเรียง 2 ขึ้นไปบนถนน และแยกออกเป็นตอนเรียง 1 คนละฝั่งของถนน
            เดินไปไม่ไกลก็เจอกองพันที่ 22 ผมก็คิดถึงพวกเพื่อนๆที่มาก่อนหน้าผมวันหนึ่งทันที เพราะมันอยู่กองพัน 22 ใจก็คิดอิจฉามัน เพราะพรุ่งนี้ของมันก็กลับบ้านแล้ว ผมต้องอยู่ต่ออีก 2 วัน ใจก็คิดอยากเจอกัน แต่อีกใจก็ไม่อยากเจอ เพราะพอจะเดาได้ว่าเจอแล้วมันต้องมาเล่าขู่ หรือไม่ก็เยาะเย้ยว่ามันจะได้กลับบ้านก่อน เดินไปอีกก็มีลงเนินและขึ้นเนิน แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าข้างทาง ผ่านเข้าไปในแนวป่าเดินไปสู่สถานีฝึกที่ 211 ก็ไปเข้าแถวหน้าสถานีฝึก เพื่อให้หัวหน้ากองพันไปรายงานเข้ารับการฝึกต่อหัวหน้าสถานี ซึ่งแบ่งเป็น 3 สถานีย่อย มี 1.ป้อมสนาม 2.การพักแรม และ 3.การพราง ก็แบ่งแต่ละกองร้อยให้เข้าฝึกตามสถานีแล้ววนจนครบ 2 สถานีให้พัก 20 นาทีและก็ค่อยไปสถานีสุดท้าย เป็นอันจบการฝึกที่สถานี 211
            กองร้อย 2 ของผมก็ได้ไปฝึกสถานีย่อยที่ 2 การพักแรม ในสถานีนี้จะมีการสร้างบ้านจำลองไว้ มีเต้นท์แบบต่างๆ ที่ใช้ในการพักแรมของทหาร เวลาที่มีการเดินทาง ครูฝึกก็จะอธิบายเกี่ยวกับประเภทของการพักแรม วัตถุประสงค์ การเลือกที่ตั้ง พูดอยู่ยาวพอสมควร ผมก็นั่งฟังจนเมื่อย และที่สำคัญง่วงสุดๆ ครูฝึกบอกก่อนเลยว่า สถานีนี้เป็นเรื่องการพักแรม ครูจะไม่ว่าคนหลับ เพราะนักศึกษานั่งรถมาไกล งเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง เพราะฉะนั้นอนุญาตให้หลับได้ แต่คนข้างๆ ซ้ายขวาหน้าหลัง จะต้องไปม้วนหน้ากระโดดน้ำ ซึ่งจากที่ผมนั่งฟัง จะเห็นธารน้ำใสๆ ที่ไหลอยู่ด้านล่าง ลงเนินจากที่ผมอยู่ไปไม่ไกล สรุปก็คือหลับไม่ได้อยู่ดีก็นั่งทนฟังจนจบแล้วก็อำลากันไปสถานีต่อไป
            ระหว่างที่เดินไปสถานีที่ 3.การพราง ก็เห็นพวกที่ออกจากสถานีที่ 3 นี้มา ทุกคนมีใบหน้าที่ถูกพรางเรียบร้อยแล้ว บางคนสีดำ สีเหลือง สีเขียวบ้าง ผมก็ต้องทำใจ ยังไงก็โดนอยู่แล้ว มาถึงสถานีก็ได้นั่งฟังบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับการพราง ตรงนี้ครูฝึกที่มาบรรยายก็จะบรรยายตลกดีไม่ค่อยง่วง สุดท้ายก็ให้พรางหน้า สั่งให้หันหน้าเข้าหากันและก็ส่งขัดที่บรรจุของเหลวสีต่างๆไว้ แถวของผมได้สีดำ มาถึงผมก็เอาปลายนิ้วจุ่มลงไป เอาพรางให้กับเพื่อนที่ผมไม่รู้จัก ส่วนมันก็บอกผมก่อนแล้วว่า นายให้เราพรางให้ได้หล่อแน่ ดูมันพูด ผมก็พรางให้มันก่อน แล้วมันก็พรางให้ผมคืน ก็พรางธรรมดา ไม่ถึงกับแกล้งผมมาก แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าไม่อยากพรางเลย เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เพื่อนผมเคยพรางแล้วตอนเรียนในศูนย์ กลับมาล้างก็ไม่ค่อยจะออก แถมสิวระเบิดเต็มหน้าเลย พรางเสร็จครูฝึกก็มาขู่อีกว่าห้ามล้างออกจนกว่าจะกลับไปถึงกองพัน ก่อนออกก็มีให้หมอบและนอนหงายอีก ผมไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่หรอก เพราะหมอบกันนอนหงายออกจะสบาย ได้นอน แต่ตรงนี้คงไม่สบายเท่าไหร่ เพราะพื้นมันเป็นทราย ลุกขึ้นมาก็เนื้อตัวก็เลยมีแต่ทราย

            เสร็จจากสถานีฝึกนี้ก็ได้พักเป็นเวลา 20 นาที แถวก็ถูกพากลับมาปล่อยบริเวณที่รวมพลหน้าสถานีฝึก ผมก็เดินวนเวียนหาเพื่อนทั้งจากกองร้อยเดียวกันและต่างกองร้อยมารวมกลุ่มกัน ปรากฏว่าเพื่อนที่อยู่ร้อย 3 ก็ผ่านการพรางหน้ามาแล้วเรียบร้อย ห้องข้อการสนทนาในครั้งที่ก็เป็นพวกเรื่องใบหน้าที่ถูกพรางนั่นเอง เดินไปเดินมาก็เจอกับมุมหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ แปลกใจในความพยายามที่จะมาตั้งด่านสูบเงินในกระเป๋าของผมอีก ก็คือบริเวณนั่นมีเต้นท์ขายน้ำด้วย ขายพวกน้ำกระป๋อง ถึงแม้ผมจะรู้ว่ามันเป็นการสูบเงิน แต่ก็อดใจไม่ได้ ขอชาลิปตันซักขวด ซึ่งเย็นชื่นใจมากในเวลาที่แสงแดดของเขาชนไก่แผดเผาในช่วงบ่ายวันนี้ ดื่มน้ำกับเสร็จก็เข้าห้องน้ำต่อ ห้องน้ำบริเวณนี้ถูกทำขึ้นเพื่อการมาเข้าค่ายของ นศท. โดยเฉพาะ คือทำจากสังกะสีมาต่อเป็นห้องส้วม ประมาณ 6-7 ห้อง ไม่มีหลังคาปิด ผนังสูงจากพื้นขึ้นมาถึงระดับอกเท่านั้น ให้ถ่ายเบายังรับให้ ถ้าต้องถ่ายหนักขอยอมอั้นไว้ดีกว่าห้องน้ำสภาพแบบนี้ หน้าส้วมก็มีอ่างน้ำขนาดใหญ่ 2 อ่าง มีน้ำสะอาดใช้ล้างหน้าล้างตาได้ แต่ยังคงมีลักษณะสำคัญคือ เขียวขุ่นๆ
            ไม่นานนักเวลาพักก็หมด ครูฝึกเป่านกหวีด บอก "อีก 5 นาทีรวม" ทุกคนก็ต้องทวนคำสั่ง เพื่อเรียกให้พวกที่อยู่ไกลๆมันได้ยินด้วย ทุกคนก็พากันทยอยเข้ามาที่รวมพล แต่ครั้งนี้ให้แต่ละกองร้อยแยกไปยังสถานีย่อยที่เหลือเลย ซึ่งสถานีสุดท้ายของผมก็เป็นการสร้างป้อมสนาม อยู่ไม่ไกลจากที่รวมพลมานัก แค่เดินลงเนินไปก็ถึงแล้ว สถานีนี้ด้านหน้าก็จะมีป้ายแสดงข้อมูลต่างๆไว้ และมีหลุมบุคคลทำการรบ หลายๆแบบขุดไว้ให้ดู ครูฝึกก็จะสอนเกี่ยวกับหลุมพวกนี้แหล่ะ ว่าเอาไว้ทำอะไร กว้าง ยาว ลึก เท่าไหร่ เสร็จแล้วก็ปล่อยให้ไปเดินดูกันเอาเองได้

 
เสร็จจากทั้ง 3 สถานี ก็มารวมพลอีก เพื่อปิดการฝึกสถานีที่ 211 มีการเช็คยอดอีกตามเคย แล้วก็พากลับไปยังกองพัน กลับมาถึงก็ให้เรียงแถวเข้าไปเก็บปืน แล้วกลับมานั่งรวมพลเช็คยอดอีกแล้ว(น่าเบื่อมาก ทำกันอยู่ไม่กี่อย่าง จัดแถว เช็คยอด เลิกแถว จัดแถว เช็คยอด วนไปวนมา) ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 5.30 นาฬิกาแล้ว จ่าโก้ก็คุยกับครูฝึก ประมาณว่าจะต้องมีจัด นศท. กลุ่มหนึ่งไปที่หน่วยพยาบาล เพื่อฟังการบรรยายเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวง จ่าโก้ก็กำลังเลือกว่าจะเอากองร้อยไหนไปดี ปรากฏว่าแจ็คพอตแตก กองร้อย 2 ของผมได้ไป และพูดเรื่องขนมที่อาจารย์จากโรงเรียนผมเอาไปแจก ว่าจะจัดการยังไง โดนถามเด็กเทพเป็นการส่วนรวมว่าจะให้โรงเรียนอื่นกินด้วยไหม ด้วยความที่เด็กเทพมีน้ำใจ ก็อนุญาตให้โรงเรียนอื่นมาหยิบกินได้ด้วย เป็นมิตรภาพที่ผมเห็นแล้วก็รู้สึกดีที่แม้ยามลำบากแต่เราก็มีน้ำใจเผื่อแผ่กับเพื่อนต่างโรงเรียน ข้าวเย็นวันนี้เลยให้กองร้อย 2 กินก่อน และให้รีบไปอาบน้ำแต่งชุดฝึกกลับมารวมแถวภายในเวลา 6.30 นาฬิกา พอได้ยินเรื่องอาบน้ำผมก็ตื่นตัวเต็มที่ เพราะจากประสบการณ์เข้าค่ายที่ผ่านๆมา ไม่ว่าจะค่ายลูกเสือ ค่ายปฐมนิเทศ การอาบน้ำจำเป็นต้องไวเป็นพิเศษ ยิ่งเข้าคนแรกได้ยิ่งดี แล้วรีบอาบให้เสร็จไวๆ เพราะถ้าคนอื่นเข้ามาแล้ว จะเจอกับปัญหาแย่งกันอาบ พวกไม่มีขันแล้วจะมียืม(แบบไม่รู้จะได้คืนรึป่าว)ขันจากเรา สุดท้ายผ้าเช็ดตัวที่เราแขวนไว้ตามผนังห้องน้ำ อาจเปียกได้ จากการอาบน้ำอันรุนแรงของคนหมู่มาก หรือไม่ก็ช่วงที่เราต้องเดินผ่านพวกที่กำลังอาบน้ำอยู่ตอนกำลังจะออกจากห้องน้ำ มันไม่สนเราหรอก ซักซะผ้าเช็ดตัวเปียกเลย เมื่อตระหนักได้ดังนี้ ผมเลยต้องรีบชวนเพื่อนไปแซงแถวรับข้าวไวๆ เอาน้อยๆ แล้วรีบยัดให้หมด กับข้าวเย็นวันนี้มีไก่ทอด 1 น่องขา แกงมะเขือยาวและมีของหวานเป็นลอดช่องแบบอุณหภูมิปกติ คือไม่เย็น
            เมื่อยัดข้าวก็เสร็จแล้วก็รีบล้างถาดแล้วดิ่งตรงไปที่เต้นท์ของตัวเอง เทคนิคความไวของผมก็คือ ระหว่างกำลังเดินไปที่เต้นท์ก็ถอดกระดุมเสื้อไปด้วย ปลดเข็มขัด พอถึงเต้นท์ก็ถอดได้ทันที พอถอดหมดก็หยิบขันที่เตรียมไว้แล้วตั้งแต่ให้เอาของมาไว้ที่เต้นท์(มีการวางแผนเป็นอย่างดี) เอาผ้าเช็ดตัวมาห่อถอดกางเกงออก เหลือแต่เสื้อซับในตัวสีเขียว ที่จริงก็ควรถอด แต่ค่อนข้างรู้สึกอาย เพราะตอนนี้กองร้อยที่ 1 กับ 3 ยังไม่โดนปล่อยเลย อีกทั้งผมกับเพื่อนมาเป็น 2 คนแรกด้วย เลยไม่อยากโชว์ ผมก็เดินไปหาเพื่อน มันยังถอดชุดไม่เสร็จแล้ว ทั้งๆที่เต้นท์มันอยู่ใกล้กว่าผมเยอะ ผมก็ต้องไปเร่งมัน สุดท้ายผมกะเพื่อนก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำเป็นคนแรก
            ห้องน้ำที่นี่จะมี 4 โรง เรียงกันอยู่ โรงแรกจะอยู่หลังเต้นท์เก็บปืนเป็นของครูฝึก ห้าม นศท. ใช้ เต้นท์ถัดมาเป็นของกองร้อยที่ 3 ร้อย 2 และ 1 ตามลำดับ ซึ่งแบ่งไว่เฉพาะเวลาอาบน้ำเท่านั้น ส่วนการเข้าห้องน้ำปกติให้ใช้เฉพาะห้องน้ำของกองร้อยที่ 2 เท่านั้น ผมเข้ามาในห้องอาบน้ำรวม ตอนนี้มีน้ำอยู่เต็มอ่าง ลักษณะเฉพาะของน้ำยังคงเป็นเขียวขุ่นๆอยู่ดี ผมเอาผ้าเช็ดตัวไปแขวนไว้กับลวดที่ขึงอยู่ตรงผนังห้องน้ำ และตักน้ำขึ้นมา ครั้งแรกที่มือสัมผัสน้ำ มันทำให้สะท้านไปทั้งตัวเลย เพราะมันเย็นมาก กว่าจะราดได้ทั้งตัวต้องค่อยๆราดขาก่อน สุดท้ายก็ราดหัวได้ ผมก็อาบน้ำอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็มีคนเข้ามาบ้างแล้ว เพื่อนห้องอื่นที่รู้จักผม มันยังด่าเลย ว่าพวกจะเร็วกันไปถึงไหน เพราะมันเข้ามาทั้งๆที่ยังใส่ชุด รด. อยู่ มันแค่เข้ามาล้างหน้าก่อนเท่านั้น ผมบรรจงกับการล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้ามากกว่าฟอกสบู่ เนื่องจากไม่ได้เอาสบู่มา คิดว่าคงไม่มีเวลาพอให้ฟอกสบู่แน่นอน สีพรางเมื่อมันแห้งแล้วจะติดทนมาก ต้องล้างถึง 2 ครั้ง แต่ยังไงก็ยังเป็นรอยดำๆอยู่ดี อาบเสร็จก็เช็ดตัวแล้วใส่เสื้อซับในทับออกมาอีกรอบ
            ตอนเดินออกมาผมก็ใส่รองเท้าแตะ พยายามเต็มที่แล้วที่จะไม่ให้ทรายเข้าไปติด แต่ก็ไม่รอด เพราะระยพทางจากห้องน้ำถึงเต้นท์ผมมันก็ไกลอยู่ มาถึงเต้นท์ คู่นอนของผมยังอยู่ในชุด รด. อยู่เลย ส่วนผมอาบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็แต่งตัวด้วยชุดฝึกชุดเดิม แล้วจัดของในเต้นท์ต่ออีกนิดหน่อย คือเตรียมขัดสำหรับจะแปรฟันเอาไว้ แล้วก็เดินไปหาเพื่อน ผมทำทุกอย่างเสร็จก่อนมันอีกแล้ว ผมเลยเดินไปหยิบของแจกมากิน ของแจกที่อาจารย์แสงสว่างในใจผมเอามาให้ก็คือไมโลที่เป็นแท่งๆแบบเซี้ยงไฮ้ แพ็คมาเป็นคู่ๆผมก็หยิบมา 1 ซอง เอามากินรอเพื่อน รอจนจ่าโก้เรียกรวมพลเฉพาะกองร้อยที่ 2 ผมก็ไปเข้าแถวรวมพล
            การรวมพลกองรอยที่ 2 ก่อน ผมดูแล้วมันค่อนข้างไร้ประโยชน์ เพราะไม่เห็นให้ทำอะไรเลย เรียกมารวมและก็บ่นๆ อีกประมาณ 10 นาทีก็เรียกร้อย 1 กับ 3 มารวม สุดท้ายก็รวมพร้อมกันอยู่ดี แต่ตอนนี้ก็มีเรื่องลุ้นๆกันหน่อยสำหรับพวกเชื่องช้า ตอนที่ให้ทวนคำสั่งอีก 5 นาทีรวม บางคนเพ่งถือขันวิ่งไปอาบน้ำ วิ่งผ่านจ่าโก้ไป จ่าแกก็ด่ามา "ไอขี้เกลือ เพิ่งจะไปอาบน้ำเองหรอ เร็วๆ มาช้าคืนนี้ไปเฝ้าส้วม ตี 1 ถึง ตี 3 เลย ไม่ต้องนอน ไม่พอใจย้ายพลัดไป" และก็ด่าบางคนที่เดินเท้าเปล่าไปเข้าห้องน้ำ จ่าโก้ห้ามเดินเท้าเปล่า ต้องใส่รองเท้าแตะไปเข้าห้องน้ำหรือถ้าไม่มีก็คอมแบตเลย โดยให้เหตุผลว่า กลัวเท้าของพวกเราจะโดนแมลงกัดต่อยและเหยียบเอาเศษหินบาดขา เด็กที่วิ่งไปมา จ่าโก้ก็ด่าได้อีก
"เดินกันดีๆนะ อย่าไปแตะขาเต้นท์ เมื่อกี้มีเด็กเทพศิรินทร์เตะไปแล้ว ไอกองร้อยที่ 2 ตอนนี้ส่งไปหน่วยพยาบาลแล้ว แล้วไอป้ายกองร้อยที่ปักไว้ที่พื้นเหมือนกัน ไม่รู้จะชอบแตะกันไปถึงไหน แตะแตกไปหลายอันแล้วตั้งแต่เปิดค่ายมา" ผมฟังแล้วก็ฮากับน้ำเสียงของจ่าโก้ แต่มันเรื่องจริงที่ขาเต้นท์กับป้าย ถูกเด็กแตะกันบ่อยๆ ผมก็เกือบเตะไปหลายรอบเหมือนกัน เป็นเอาว่าตอนนี้มีคนบาดเจ็บแล้ว 1 นาย ผู้ร้ายก็คือ สมอบกที่ปักเต้นท์นั่นเอง
 
           และแล้วก็หมดเวลา จ่าโก้ตะโกนให้หัวหน้าหมวดจับคนช้าในแต่ละหมวด 2 นาย แล้วจดชื่อมา ขู่จะให้ล้างส้วม แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครโดนจด ถึงจะมาช้าก็เหอะ ตอนนี้จ่าโก้ก็สั่งให้กองร้อยที่ 2 พับแขนเสื้อ ปกติจะชุดฝึกไม่ต้องพับ ส่วนกองร้อยอื่นๆแต่งกายกันด้วยชุดครึ่งท่อน คือใส่กางเกงกับเสื้อซับใน ไม่ต้องใส่เสื้อแขนยาว และหมวกก็ไม่ต้องใส่ ตอนนี้ก็ใกล้เวลาที่นัดไว้กับหน่วยพยาบาลที่จะส่งเด็กไปฟังบรรยายแล้ว ภาพที่ผมคิดที่พูดถึงการฟังบรรยาย ผมคิดว่าจะได้เข้าห้องประชุม มีเก้าอี้ให้นั่ง เปิดแอร์เย็นฉ่ำ นั่งฟังบรรยายจากการฉายพาวเวอพอยต์ วาดความคิดไว้ซะสวยหรู ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาในรูปไหน เมื่อนัดแนะจบจ่าโก้ก็ให้ครูฝึกอีกคนมาพูดต่อ
            ครูฝึกอีกคน แก่กว่าจ่าโก้ ขึ้นมาพูด "อ่าวนักศึกษา ครูก็ไม่ได้จบเรื่องการขายมาหรอกนะ แต่ช่วงนี้มีโปรโมชั่น เป็นโปรโมชั่นจากกองพันปกครอง ที่ว่าต้องการให้นักศึกษามีผ้าพันคอและเสื้......" ถึงตอนนี้มีคนโห่ออกมาแล้ว คงรู้สึกกันได้ทุกคนแล้วว่า ตังในกระเป๋าต้องโดนสูบแน่ๆ บางคนก็โบกผ้าพันคอของตัวเองที่คงได้มาจากรุ่นพี่ พร้อมกับบอกว่ามีแล้วๆ แต่ครูฝึกพูดต่อ
"อ่าวฟังก่อน เสื้อกับผ้าพันคอ อันนี้มีลายพิมพ์ นี่ (พร้อมกับกางให้ดู) มีลายพิมพ์เขียนว่า เขาชนไก่ นักศึกษาจะได้มีของที่ระลึก แล้ววันกลับก็ใส่ตัวนี้กลับบ้าน ผ้าพันคอก็มีสารพัดประโยชน์ เวลาไปฝึกเจอฝุ่นก็เอามาปิดจมูกได้ เวลาแขนหักก็เอามาพยุงได้ เวลาเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อยก็ยังเป็นผ้าเอาไว้ซับเหงื่อ เพราะฉะนั้น 100 บาท สำหรับเสื้อและผ้าพันคอ" เด็กเริ่มโห่หนักขึ้น แต่ครูฝึกจะด่าก็ไม่ได้ด้วย เพราะกำลังจะมาสูบตัว ขึ้นด่าไปเด็กแข็งข้อไม่ซื้อคงทำไรไม่ได้ เบื้องบนสั่งมาให้ขายนี่หน่า ครูฝึกจึงพูดต่อ "อันนี้ครูไม่บังคับว่าทุกคนต้องซื้อ แต่ทุกคนต้องมี 100 บาท หัวหน้าหมวดเดินเก็บเลย หมวดนึงมี 50 นาย ต้องเก็บให้ได้ 50 คูณ 100 ก็ 5000 บาท" ถึงตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็โดนบังคับซื้อแหล่ะว่างั้น ผมก็ทำใจไว้อยู่แล้วจึงควักตังออกมาแต่โดยดี ก่อนจ่ายผมก็เอาปากกามาทำเครื่องหมายไว้ที่มุมของแบงค์ก่อนและก็จำเลขแบงค์ 3 ตัวสุดท้ายไว้ เผื่อว่ามีคนไม่จ่ายแล้วตังขาด ผมก็ยังมีหลักฐานไว้ยืนยันว่าผมจ่ายแล้ว 
 
           ตอนนี้อากาศของที่นี่ก็เริ่มเย็นตัวลงแล้ว จ่าโก้บอกว่าเป็นบริการพิเศษจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ตอนกลางคืนจะเปิดเครื่องปรับอากาศให้ ส่วนตอนกลางวันประหยัดไฟเลยปิด พอเช็คเงินค่าเสื้อกันครบแล้วก็ให้หัวหน้าหมวดเดินแจก ที่แรกก็จะให้เอาไปเก็บในเต้นท์ก่อน แต่จ่าโก้เห็นว่ากองร้อย 2 สายไปมากแล้วก็เลยให้ปลดกระดุมเสื้อแล้วยัดเสื้อเก็บไว้ข้างในชุดฝึก ส่วนผ้าพันคอก็ให้พันไปเลย และก็สั่งให้ร้อย 2 ลุกขึ้น ให้ครูอีกคนพาเดินแถวไปยังหน่วยพยาบาล ตอนเดินไปฝุ่นก็ฟุ้งกระจายอีก ผมก็รีบเอาผ้าปิดจมูกมาสวม ตอนนี้ผ้าของผมค่อนข้างสกปรกแล้ว พรุ่งนี้คงต้องเปลี่ยนเอาอันใหม่มาใช้ เดินไปไม่นานก็เห็นเป็นลานเอนกประสงค์ปูกระเบื้องอย่างดี มีหลังคาปิดอยู่ห่างออกไป ผมก็ดีใจ ถึงจะไม่ใช่ห้องแอร์ขอเป็นตรงนี้ก็ดีแล้ว กำลังคิดยังไม่ทันจบ ครูฝึกก็สั่ง "ระวัง ระวัง แถววววว หยุด" พอหยุดแล้วผมมองไปทางซ้ายมือ เห็นเป็นป้ายนิเทศหลายแผ่นตั้งเรียงราย เปิดไฟส่องเอาไว้อยู่ ด้านหลังป้ายเป็นอาคารเขียนว่า "หน่วยพยาบาล" สุดท้ายแล้วที่ฟังบรรยายของผมจากที่วาดฝันไว้ กลับเหลือเพียงแค่ป้ายนิเทศอยู่หน้าหน่วยพยาบาล แถมพื้นก็เป็นพื้นทรายปนหินก้อนเล็กๆอีก พอสั่งให้นั่ง หินก็ตำก้น เป็นอันว่าผมก็ต้องนั่งฟังบรรยายในสภาพนี้ไป
               


            ผมหัวหน้ากองร้อยรายงานเข้ารับการบรรยายต่อครูผู้บรรยายเสร็จ ครูก็สั่งให้นั่งอีกครั้ง แล้วทีนี้ก็เริ่มบรรยาย หัวข้อการบรรยายหลักๆก็มี 2 หัวข้อ คือ 1.เจ็ดมหาราช ก็พูดถึงกษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ที่มีการขนานนามให้ทรงเป็นมหาราช แต่ครูฝึกจะเน้นที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะครูฝึกแกมาจาก จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นเมื่อที่สมเด็กพระนารายณ์โปรดให้สร้างเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ในสมัยที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อกระจายอำนาจการปกครองไม่ให้อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาเพียงที่เดียว ไว้กันข้าศึกมาบุกยึดกรุงศรีเอาไว้ได้ 2.โครงการตามแนวพระราชดำริของในหลวง ครูก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก ก็สั่งให้นักศึกษาไปเดินชมป้ายกันเอาเอง จากที่ผมนั่งไปอย่างตั้งใจ เพราะผมชอบเรื่องประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ก็ลุกขึ้นไปดูเรื่อง เจ็ดมหาราช แต่ก็แค่เดินดูป้ายแบบผ่านๆ ขี้เกียดอ่าน แต่ก็ชื่นชมคนทำป้ายมา เพราะมีการตกแต่งอย่างสวยงาม ไม่คิดว่าเป็นฝีมือของทหารทำ
            ใช้เวลาอยู่ที่หน่วยพยาบาลประมาณ 1 ชั่วโมง ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 2 ทุ่มแล้ว ผมก็เดินแถวกลับมาที่กองพัน 21 และก็มารวมแถวกับเพื่อนๆกองร้อยอื่นๆ พอมาถึงจ่าโก้ก็กำลังคุยเล่นกับเด็กๆกันอยู่ "เมื่อตอนเย็นนะ มีโจรกระจอกมักแอบมาขโมยขนม แหม๋มันเลวมาก ไอเต้นท์ตรงข้างหน้าเนี่ยมันว่า ตอนเย็นเห็นใครก็ไม่รู้ มันเดินมาหยิบขนมแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกง 2-3 อัน เสร็จแล้วมันเอาไปเก็บไว้ในเต้นท์ แล้วก็ออกมาเอาอีก มีการโพกผ้าปิดหน้าปิดตาด้วย เรียกมาถามมันก็ตอบหน้าด้านๆเลยนะ ว่าเก็บไว้เป็นเสบียง ไหนใครวะไอโจรกระจอก ยกมือดิ๊" ก็เรียกเสียงฮาได้พอสมควร ผมเห็นว่ามากันครบแล้วก็ประชุมแจ้งเรื่องเวรยาม วันนี้เป็นหน้าที่ของกองร้อยที่ 1 บอกว่าหลังปล่อยนอนแล้วให้เต้นท์แรกๆประมาณ 30 เต้นท์ไปพบครูเวรยามด้วย เสร็จแล้วก็ปล่อยให้ไปซื้อของกินฝั่งตรงข้ามกองพันอีก คราวนี้ผมได้ไปเจอกับเพื่อนๆที่อยู่กองพัน 22 ที่มันมาก่อนผม 1 วัน เจอหน้ามันแล้วมันพูดก่อนเลยว่า "พรุ่งนี้เหนื่อย มีคลานต่ำ ลอดลวดหนามด้วย แดดก็ร้อน ตัวเลอะไปหมดเลย" ผมก็เชื่อมัน เพราะว่าชุดฝึกมัน ขนาดมืดๆยังเห็นเป็นสีฝุ่นแดงๆเลย มันมาเยอะเย้ยต่ออีกว่า "พรุ่งนี้กูกลับบ้านแล้ว พวกอยู่ต่ออีกคืน" เป็นอะไรที่ทำให้ผมเจ็บใจไม่น้อยเลย ผมก็ต้องกลับกองพันด้วยความเจ็บใจ กลับมาผมก็เลยถือโอกาสไปแปรฟันซะเลย หลังจากไปกินมาแล้ว และก็เรียกรวมอีกครั้ง
            ครั้งนี้ให้หัวหน้ากองพันมาพูดคุย หัวหน้ากองพันเป็นคนใต้ ชอบปล่อยมุขฝืดๆ และก็พูดเชิงปรัชญาว่า "นักศึกษาวันนี้เรามาเข้าค่าย 3 วัน 2 คืนที่เราชนไก่ ที่นี่จะฝึกให้เรามีความอดทน อะไรที่เราเลยทำตอนอยู่ที่กรุงเทพ มาอยู่ที่นี่ก็ทำไม่ได้ แต่เรามาเพื่อฝึกความอดทนอดกลั้น มาที่นี่มีแต่ผู้ชาย ไม่มีสั่งยั่วยวน เรามาสะสมพลัง ไว้กลับไปกรุงเทพนะ นักศึกษา เราก็ไปปล่อยให้เต็มที่ไปเลย มันจะมีความสุขกว่าเป็นไหนๆ" พูดจบก็ทำให้เด็กชายวันรุ่น 400 กว่านายหัวเราะไปได้ เพราะทุกคนรู้ว่ามันหมายถึงอะไร เป็นอันว่ามุขนี้ผ่าน และก็จะมีการตั้งฉายาของกองพัน ไม่รู้หัวหน้าแกตั้งเองรึป่าว แต่ผมฟังแล้วขอบอกเลย อนุบาลมากๆ "ฉายาเรานะนักศึกษา กองพัน 21 พยัคฆ์น้อย รวดเร็ว รุนแรง สู้ๆ" โอ้ยยย อนุบาลมากๆ แถวให้ท่องตามด้วย รู้สึกอายสุด ตอนสู้ๆ ต้องยกมือ กำปั่นชูขึ้นอีก ผม ม.5 แล้วนะ ให้มาทำอะไรแบบนี้
            พอหัวหน้ากองพันจากไปได้ ซึ่งผมยินดีอย่างยิ่ง จ่าโก้ก็มาให้ตรวจเช็คอุณหภูมิร่างกายอีกและให้บันทึกลงในใบบันทึก ซึ่งทุกคนต้องพกติดตัวให้ เสร็จแล้วก็ให้เก็บรวบรวมนำไปให้ครูหมอประทับตรา ต่อไปก็ให้หัวหน้ากองพันนำสวดมนต์ แผ่เมตตา จบลงด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และก็ปล่อยให้ไปนอน โดยนัดแนะสัญญาณนกหวีดเป่านอน และปลุกตอนเช้า จะเป็นนกหวีดยาว 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายให้กล่าวคำว่า ราตรีสวัสดิ์ และตอนปลุกก็กล่าว อรุณสวัสดิ์ เมื่อปล่อยแล้วผมก็เข้าเต้นท์ไป แต่เสียงจากไมค์ของจ่าโก้ยังดังไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ก็ขู่อีกว่าพอเป่านกหวีดแล้วใครไม่ปิดไฟฉายนอนก็ให้หัวหน้าต่างๆ จดเบอร์เต้นท์มา พรุ่งนี้จะให้ล้างส้วม ตอนนี้ไฟฉายที่เอามาได้มีประโยชน์แล้ว เพราะในเต้นท์มืดมากจนมองอะไรไม่เห็น คู่นอนผมไม่ได้เอาไฟฉายมา ก็ต้องมาแบ่งๆกันใช้ เริ่มจากปูผ้าใบก่อน และก็เครียดกระเป๋าออกไปให้นอนได้ ผมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไป ตี 3.40 นาฬิกา กะจะตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำก่อน เพราะจะเป่านกหวีดปลุกตอนตี 5 แต่ช่วงเวลา ตี 4-5 ห้ามออกมานอกเต้นท์ และช่วงนี้ก็ด้วย คือหลังเป่านกหวีดนอน 1 ชม. ก็ห้ามออกมา ผมเลยต้องตั้งไว้ก่อนตี 4 แต่สุดท้ายก็ไม่ตั้ง เพราะกลัวว่านาฟิกาปลุกผมจะปลุกคนทั้งกองพันเลย มันเสียงดังมาก เอาเป็นว่าผมจะถ่างตาให้พ้น 1 ชม. แรกไปแล้วไปเข้าดีกว่า พอจัดที่นอนเรียบร้อยผมก็นำถุงนอนออกมา ด้วยความขี้เกียดกางและเก็บ ผมเลยเอามาเป็นหมอนแทน เพราะอากาศไม่หนาวมากผมทนได้ ตอนนอนก็ใส่ชุดฝึกนอนเลย แค่ถอดรองเท้าเท่านั้น ตอนนี้เปลี่ยนถุงเท้าเป็นคู่ใหม่แล้ว คู่เก่าที่ถอดออกมาก็รีบยัดเข้ากระเป๋าเลย มันเหม็นมาก กลัวคู่นอนด่า ก่อนนอนก็เอาน้ำยาตะไคร้ไล่ยงมาฉีดแขน และรอบๆเต้นท์ กันแมลงอื่นๆไปด้วย ผมล้มตัวลงนอน ก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ทันที เพราะข้างล่างมีหินมาตำต้องเครียออกก่อนถึงนอนได้ พอลงไปนอน ด้วยความยาวของเต้นท์ประมาณ 1.5 เมตร ผมกะจากความสูงของผม เพราะนอนไปแล้วขาผมเลยออกไปนอกเต้นท์ด้วย แต่ก็กลัวว่าจีแมลงหรืองูมากัด เลยนอนแบบเอาขาขัดสมาธิแล้วเอนตัวลงนอน ทรมานมากสุดท้ายก็ต้องยอมเอาขาเลยออกไป เต้นท์ผมนอนแบบไม่ปิดเต้นท์ แต่แง้มไว้นิดนึงให้อากาศถ่ายเท และขาจะได้ออกไปนอกเต้นท์ แต่พอตอนเช้าผมก็รู้สึกเสียใจมากที่ใส่ถุงเท้าแล้วยื่นออกไปนอกเต้นท์ ถุงเท้าคู้ใหม่ของผม มีเศษหญ้าติดเต็มไปหมดเลย ปัดไม่ออกด้วย ต้องนั่งแกะทีละเส้นและผมก็ไม่ยอมใส่ถุงเท้าติดเศษหญ้าไปฝึกพรุ่งนี้แน่ เลยนั่งแกะไป
            เวลาประมาณ 23.30 นาฬิกา เป็นเวลาที่ออกนอกเต้นท์ได้แล้ว ผมซึ่งถ่างตามาก็หาไฟฉายแล้วถือออกมานอกเต้นท์ บรรยากาศในกองพันตอนนี้เงียบสงบ ไม่มีใครออกมาตอนนี้เลย ผมก็เดินไปห้องน้ำคนเดียว ไปถึงหน้าเต้นท์ ทบ. ก็มีเวรเฝ้าอยู่ 2 คน มองไปทางห้องน้ำก็มีอีก 2 คน พอเดินไปถึงห้องน้ำ เวรก็ถามผมว่า มาเปลี่ยนเวรหรอ ผมก็ปฏิเสธไป แค่มาเข้าห้องน้ำเฉยๆ การมาเข้าห้องน้ำของผม คือมาถ่ายหนัก ที่จริงไม่ปวดหรอก แต่เผื่อเอาไว้ก่อน ถ้าเกิดปวดขึ้นมาในระหว่างวัน แล้วหาที่เข้าไม่ได้ คงได้เต้นกันตลอดวันแน่ เพราะฉะนั้นให้ตายคืนนี้ต้องเข้าห้องน้ำก่อน ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำในส่วนด้านหลังที่เป็นห้องส้วม มันมืดมากเพราะทั้งโรงมีหลอดไฟนีออนเพียงหลอดเดียว ผมต้องใช้ไฟฉายนำทางไป เข้าไปสำรวจดูห้องแรก ห้องน้ำก็สกปรก แต่อยู่ในขั้นรับได้ เข้าไปแล้วผมก็ปิดประตู ปรากฏว่าไม่มีกลอน คือมันมีแต่ตัวที่จะไปยึดกับวงกบประตูไม่มี เป็นดังนั้นก็ต้องเปลี่ยนห้อง ผมลองเข้าห้องอื่นๆดูอีก 3-4 ห้องถัดไปก็ไม่มีกลอนเหมือนกัน เดินมาดูถึงโซนกลางๆ มีเขียนหน้าห้องน้ำอีก ว่าชุดรุดห้ามใช้อยู่ประมาณ 3 ห้องติดกัน ในที่สุดมันก็เหลือห้องเดียว คือห้องแรก เพราะผมเดินไล่มาจากห้องสุดท้าย เป็นโชคดีของผมมากๆที่ห้องแรกมันอยู่ในสภาพที่ผมพอใจและลงตัว มีกลอน มีขัน สะอาดและก็น้ำเขียวขุ่นๆตามเคย ตกลงห้องนี้แหล่ะ ผมก็เข้าไปนานพอสมควร จนไอเวรเฝ้าห้องน้ำมันคุยกันถามถึงผม ว่าทำไมยังไม่ออกมา ผมคิดในใจ "มันเรื่องของกู ไม่ต้องเข้ามาถามกูเลยนะ กูเสร็จแล้วก็ออกไปเอาแหล่ะน่า ไม่ได้อยากอยู่หรอกในห้องน้ำ" พอเสร็จเรียบร้อยก็รีบออกไปทันที โดยไม่รอคุยกับมันเลย
            กลับมาที่เต้นท์ก็เข้าไป ทีนี้จะได้นอนซักทีลงไปนอน ตอนนี้เต้นท์ข้างๆซ้ายขวา ผมได้ยินเสียงกรนแล้ว ก็รู้สึกท้อใจ ว่าเมื่อไหร่ผมจะหลับได้ เนื่องจากผมเป็นคนหลับยาก ถ้าที่นอนไม่สบายจริงๆหรือแปลกที่ก็จะนอนไม่หลับ ตอนนี้ผมก็คิดถึงเตียงที่บ้านกับแอร์และผ้าห่มที่บ้านขึ้นมาทันที คิดไปเรื่อยๆผมก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
 
วันที่ 2
            ผมนอนไปทั้งๆที่รู้สึกไม่สบายตัว เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดเวลา พอมารู้สึกตัวและดูนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้ก็เป็นเวลา 4.30 นาฬิกา ของเช้าวันใหม่แล้ว ยังเหลือเวลากว่าที่จ่าโก้บอกว่าจะเป่านกหวีดปลุก ตอนนี้ผมก็ไม่นอนต่อแล้ว ลุกขึ้นมาในเต้นท์ จัดการแต่งตัว ใส่รองเท้า เตรียมผ้าปิดจมูกอันใหม่ เตรียมขันไปแปรฟัน ตอนนี้คู่นอนของผมก็ตื่นแล้ว เพื่อนต่างห้องคนนี้ของผมค่อนข้างเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจาเท่าไหร่ ตั้งแต่เมื่อคืน พวกผมยังคุยกันไม่กี่ประโยคเอง เมื่อเตรียมเสร็จแล้วผมก็นั่งรอที่ทางเข้าเต้นท์ เพื่อรอสัญญาณปลุก
            ตอนนี้นาฬิกาผมชี้บอกเวลาตี 5 5 นาทีแล้ว ยังไม่มีเสียงปลุก ยิ่งเลยตี 5 ไปมากเท่าไหร่ ร่ายกายผมก็ตื่นตัวเต็มที่ พร้อมที่จะถือขัดวิ่งไปยังห้องน้ำก่อนใคร และแล้วเวลาที่รอคอยที่มาถึง เสียงนกหวีดยาว 2 ครั้ง และครั้งสุดท้ายเป่าสั้น ผมก็ออกมาจากเต้นท์ เป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ พอดีกับที่เสียงจ่าโก้ดังมาจากไมค์ "อ่าวนักศึกษาตื่นกันได้แล้ว ไม่เห็นมีใครพูดอรุณสวัสดิ์เลยนะ สั่งแล้วไม่ทำตาม เดี๋ยวซวย ให้ไวเลย ให้เวลา 10 นาที ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วมารวม" ผมก็มาถึงห้องน้ำก่อนใคร จัดแจงล้างหน้าแปรฟัน ตอนนี้อากาศที่เขาชนไก่ยังคงหนาวอยู่ น้ำสีเขียวขุ่นๆคงเย็นกว่าตอนที่ผมอาบน้ำเป็นแน่ แค่เอาน้ำมาลูบหน้าก็ทำให้ตาสว่างขึ้นได้มากทีเดียว เสร็จแล้วผมก็กลับไปในเต้นท์ หาผ้าพันคอที่โดนบังคับซื้อเมื่อวานมาผูก และไปรอรวมแถว เมื่อครบเวลา ผมก็รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่อุส่าถ่างตามาเข้าห้องน้ำและตื่นก่อนเวลา เพราะเห็นคนอื่นๆหลายคนกำลังวิ่งวุ่นกับการถือขัดพุ่งไปที่ห้องน้ำ บางคนกำลังวิ่งกลับไปเก็บของที่เต้นท์ และซ้ำไปกว่านั้น บางคนเพิ่งตื่น ก็โดนจ่าโก้ขู่ทำโทษไปตามๆกัน แต่ผมว่าจากที่ขู่ๆมาก็ไม่มีใครโดนหรอก จ่าโก้แกก็ขู่เล่นๆเท่านั้นเอง พอรวมแถวเสร็จก็ให้เช็คอุณหภูมิ คราวนี้เพื่อความรวดเร็ว จ่าโก้แกเดินเช็คเองด้วยในกองร้อยที่ 1 พอเครื่องอ่านค่ามาแกก็จะบอกให้บันทึก แต่แกติดโม้ไปหน่อย บางคนเครื่องอ่านค่ามาแล้ว แกดังลืมบอก เพราะมัวแต่หันไปคุยกับคนนู้นคนนี้ เด็กก็เลยต้องมาถามแกอีกรอบ แต่ก็ยังดีนะที่จ่าโก้แกจำได้
            พอเช็คกันเรียบร้อย จ่าโก้ก็นัดแนะสำหรับการปฏิบัติในวันนี้ คือ จะให้ไปรับประทานอาหารเช้าก่อน เสร็จแล้วก็มารวมพลรับปืนและจะพาเดินไปฝึกที่สถานี 212 ระหว่างชี้แจงก็มีการขู่กันเล็กน้อย "วันนี้พวกทำตัวกันดีๆนะ กูอารมณ์ไม่ดี เมื่อเช้าโดนแมงป่องต่อยที่ขา ตอนนี้ยังปวดอยู่เลย มันอยู่ในรองเท้าแล้วลืมดูก่อน ใส่ขาไปแม่งต่อยเลย พวกก็ระวังไว้กลางคืนนอนขาออกมานอกเต้นท์ก็ใส่รองเท้าไว้ด้วย อย่ามากวนนะบอกเลยวันนี้อารมณ์ไม่ดี ไม่เล่น พลัดที่แล้วโดนครูกระโดดถีบไปแล้ว แต่แม่งหลบ คิดดูนะน้ำหนัก 85 มันหลบ อย่าให้ต้องลงไม้ลงมือ" ถึงจะขู่พวกผมก็เถอะ น้ำเสียงก็ตลกอยู่ดี
            เช้านี้หลังจากเรียกอิสลามออกไปรับข้าวก่อนแล้ว กองร้อยที่ 3 จะได้ทานข้าวก่อน พอจ่าโก้ปล่อยร้อย 3 ไปหมด จ่าโก้ก็ให้ครูอีกคนมาปล่อย แทนที่ครูจะปล่อยกองร้อยที่ 1 ก่อน ดันมาปล่อยร้อย 2 ของผมก่อนเลย เป็นอันว่า กองร้อยผมยังไม่เคยกินข้าวทีหลังใครเลย ข้าวเช้าในวันนี้มีหมูผัดพริกหวานกับแกงจืดฟักไก่ ผมก็ทานไปมากพอสมควร อาหารที่นี่ทำอร่อยมาก ถ้าไม่เสียเรื่องถาดที่ให้พวกผมล้างกันเองแล้ว การรับประทานอาหารที่นี่ก็จัดว่าดีทีเดียว ทานเสร็จก็ไปทิ้งเศษอาหารและล้างถาด โดนเริ่มจากล้างเศษอาหารในอ่างน้ำเปล่าก่อน ผ้าพันคอของผมปลายมันจุ่มลงไปในน้ำนิดหน่อยตอนก้มตัวผมก็เลยถอดออกมาเหน็บไว้ที่ไหลแถนจากนั้นก็ไปล้างน้ำยาล้างจาน ซึ่งมันเจือจางมากๆ แล้วทันใดนั้นผ้าพันคอผมมันดันหล่นลงไปในอ่างน้ำยาล้างจาก จบกัน ผมก็รีบเอาขึ้นมา ปรากฏว่ามันไม่อยู่ในสภาพที่ควรเอามาผูกคออีกต่อไป ผมก็ทำใจ และนำถากไปล้างน้ำเปล่าอีก 3-4 อ่าง สุดท้ายก็เป็นการลวกน้ำร้อน ตอนแรกผมก็นึกว่ามันร้อนมาก เพราะมีไอน้ำขึ้นมาเยอะ แต่วันสุดท้ายลองเอามือแตะๆดู มันแค่อุ่นๆเอง ก่อนรวมผมก็เอาผ้าพันคอไปโยนเก็บในเต้นท์
            ช่วงที่กินข้าวอยู่นั้นก็ไปมีโอกาสไปสมทบกับเพื่อนกองร้อยที่ 3 ก็ถามกันว่าเมื่อคืนหลับไหม เพื่อผมซวยหน่อยได้คู่นอนเป็นตุ๊ดต่างโรงเรียน มันก็แหยงๆ แต่เมื่อคืนก็ต่างๆคนต่างๆนอนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เมื่อรวมพลรับปืนเสร็จก็เดินแถวตอนเรียง 2 เหมือนเมื่อวานไปยังสถานี 212 ซึ่งเดินไปตามทางเดิน แต่ไกลกว่ามาก และก็เลี้ยวซ้ายเข้าป่า บริเวณหน้าทางเข้าป่า มีป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนว่า "ศาลเจ้าแม่ตะเตียนทอง" ผมเห็นแล้วก็ซีดหน่อยๆ พยายามมองหาศาลแต่ก็ไม่พอ และรู้สึกว่าคืนนี้ผมต้องเดินออกมาทางนี้ซะด้วย เนื่องจากวันนี้ต้องฝึกที่นี่ทั้งวัน กินข้าวกันในสถานีฝึกทั้งกลางวันและเย็น ตกดึกก็มีฝึกบุคคลทำการรบในเวลากลางคืนที่นี่อีก ขากลับคงต้องผ่านทางนี้แน่ ไม่รู้ว่าตกกลางคืนแล้วจะน่ากลัวแค่ไหน
            เข้าไปในป่าได้ไม่นานก็ออกสู่ที่โล่ง พื้นดินแห้งแล้งมีไม้ยืนต้นขนาดกลางขึ้นเป็นหย่อมๆ หาบริเวณที่เป็นเงาไม้ได้น้อยมาก แต่ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นใจให้พวกผม เพราะแดดยังไม่ออก อีกอย่างวันนี้ท้องฟ้ามีเมฆมาก ก่อนออกมาจ่าโก้ยังบ่นว่าเสียวๆฝนจะตกอยู่เลย เมื่อมาถึงสถานีฝึก ก็มาเข้าแถวนับยอดกัน วันนี้จ่าโก้มาแบบฮาๆ คือ สะพายเป้สีดำ มีลายปิกาจูด้วย เป้ก็แก่ๆเปื้อนฝุ่น พอมาอยู่ที่หลังจ่าโก้แล้ว มันก็ทำให้ดูตลกดี พอทำพิธีเปิดการฝึก ณ สถานี 212 เสร็จก็ให้เดินไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งไม่ไกลและให้นั่งลงฟังการบรรยาย หัวข้อการบรรยาในเช้าวันนี้คือ การจัดรูปขบวนทำการรบ สำหรับหมู่ปีนเล็ก ซึ่ง 1 หมู่มี 11 นาย การบรรยายก็เริ่มจาก จัดนักศึกษาให้เป็นแถวตอน แต่ละตอนมี 11 นาย แล้วก็ส่งช็อกมาให้เขียนหลังเพื่อนตามลำดับหมายเลข 1-11

           
            เริ่มการบรรยาย ตอนนี้เวลาประมาณ 8.30 นาฬิกา บรรยายไปก็มีคนหลับ ซึ่งผมก็ด้วย ใครหลับก็จะโดนครูฝึกปาผลพุทราป่า ลูกเล็กๆใส่ ซึ่งปาแม่งมาก บ่อยเข้ามีคนหลับมากเลยให้คนหลับออกไปวิ่งให้ตาสว่างซักหน่อย ตำแหน่งทั้ง 11 เป็นดังนี้ 1.ผู้บังคับหมู่ 2.หัวหน้าชุดยิง ก. 3.หัวหน้าชุดยิง ข. 4.พลยิงปืนเล็กชุดยิง ก. 5.พลยิงปืนเล็กชุดยิง ข. 6.พลยิงปืนเล็กชุดยิง ก. 7.พลยิงปืนเล็กชุดยิง ข. 8.พลยิงปืนเล็กอัตโนมัติชุดยิง ก. 9.พลยิงปืนเล็กอัตโนมัติชุดยิง ข. 10.พลยิง M209 ชุดยิง ก. 11.พลยิง M209 ชุดยิง ข. ซึ่งทุกคนต้องจำตำแหน่งของตัวเองให้ได้ ผมได้เบอร์ 9.พลยิงปืนเล็กอัตโนมัติชุดยิง ข.
            การจัดรูปขบวนทำการรบแบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1.รูปขบวนหมู่แถวตอน ซึ่งมีลักษณะดังนี้
2
10              8
4                          6
1
3
9              11
7                            5
2.รูปขบวนหมูแถวหน้ากระดาน
3                                 2
9        11                      10       8
7                    5          4                   6
1
            เมื่อฟังการบรรยายเสร็จก็ต้องมาปฏิบัติจริง มีการขู่ว่าถ้าทำไม่ถูกจะต้องถูกปรับตก และจะไม่ผ่านชั้นปีที่ 2 การฝึกจริงจะแบ่งเป็น 2 ชุด ชุดแรก กองร้อยที่ 1 กับกองร้อยที่ 3 ครึ่งหนึ่ง ไปที่สนามหนึ่ง และชุดที่ 2 กองร้อยที่ 2 กับกองร้อยที่ 3 ที่เหลือ ไปสนามที่ 2 สนามฝึกการจัดรูปขบวนจะมีเสาเล็กปัดที่พื้นและมีตัวเลขกำกับตามตำแหน่งของเรา เริ่มจากไปเข้าแถวหน้าสนามฝึกก่อน ซึ่งจะไปทีละตอน เสร็จแล้วก็เดินไปประจำที่ตามป้ายที่ปัก หมายเลข 1.ผู้บังคับหมู่ก็จะสั่งให้ขานตำแหน่ง ก็เริ่มจากตัวเองก่อน ยกมือขึ้นมาระดับเอว ศอกชิดลำดับแล้วก็ขานว่า "1 ผู้บังคับหมู่" เรื่อยไปจบครบ เสร็จแล้วหัวหน้าหมู่ก็จะวิ่งไปข้างหน้าไปเรียกให้จัดรูปขบวนแถวตอน เมื่อสั่งมาพวกชุดยิง ก. ก็วิ่งไปก่อน ผมอยู่ชุดยิง ข. ค่อยวิ่งไปประจำที่ ซึ่งที่พื้นก็มีป้ายปักไว้ ก็แค่วิ่งไปประจำจุด เสร็จแล้วก็เปลี่ยนเป็นแถวหน้ากระดาน แล้วก็มีการสั่งให้ชุดยิง ก. นำ ข. ตาม สุดท้ายก็จบลงด้วยการตั้งแถวหน้ากระดานแล้วให้หมองตั้งท่าประทับเล็งไปข้างหน้า เป็นอันจบ ผมก็ทำตาม มันก็ง่ายๆ แต่งานนี้คนที่ได้เบอร์ 1 ก็หนักหน่อย ต้องมาจำคำสั่ง พวกที่เหลือแค่ทวนคำสั่งและทำตามเท่านั้น จากนั้นแถวของผมก็ถูกสั่งไปเดินไปสมทบกับพวกที่ผ่านการฝึกแล้ว ก็ไปนั่งเข้าแถวรอในอีกสถานีย่อยหนึ่ง ซึ่งตรงนี้เป็นสถานีที่จะมาฝึกในตอนบ่าย เกี่ยวกับการฝึกบุคคลทำการรบในเวลากลางวันและการเข้าตี
            เมื่อครบหมด ก็กินเวลาไปจบเกือบเที่ยงแล้ว ทุกคนก็เดินแถวไปยังจุดรวมพลในตอนแรกที่เข้ามา ไปเจอจ่าโก้ ให้จับการในการกินข้าวกลางวัน พอดีกับที่มีอาจารย์จากโรงเรียนอื่นมาเยี่ยมเหมือนกัน เด็กโรงเรียนอื่นก็ถูกปล่อยให้ไปหา เหมือนกันผมนั่นแหล่ะ ทุกคนเหมือนเห็นอาจารย์ตัวเองเป็นแสงสว่าง ก็พากันวิ่งไปหาไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน และมีของมาแจกด้วย จากเมื่อวานที่โรงเรียนผมมีจิตใจที่ดีงาม แบ่งปันของกินให้กับเพื่อนโรงเรียนอื่น คราวนี้พวกเข้าก็แบ่งให้ทุกคนสามารถทานได้ ก็เป็นที่ปลาบปลื้มใจของทุกคน ทั้งครูฝึกและก็นักศึกษา
            และแล้วก็ได้เวลาทานข้าว จ่าโก้ถามว่าคราวนี้เวรใครได้กินก่อน ทุกคนก็ตอบพร้อมใจกันว่า ร้อย 1 และได้รับคำชื่นชมจากจ่าโก้ว่า ผลัดนี้ดี ผลัดอื่นๆเวลาถามก็มักจะตอบเป็นกองร้อยของตัวเอง แต่ผลัดนี้ไม่ ทุกคนตอบตามความจริงไม่มีการเห็นแก่ตัวให้กองร้อยตัวเองกินก่อน จ่าโก้ก็สั่งให้รวมปืนและตั้งซุ้มปืน และให้แยกออกเดินแถวไปทานข้าว กับข้าววันนี้มี ต้มแซบลูกชิ้นกับปลาไส้ตันเค็มทอด ทีแรกที่ผมได้อาหารมา ครูฝึกเข้ามาตอนที่ผมกำลังจะได้ปลาทอดพอดี แล้วบอกให้ตักน้อยลง เพราะเดี๋ยวจะไม่พอคนอื่นๆ ทีแรกผมก็รู้สึกเสียดายมาก คนยิ่งหิวๆดันได้น้อยอีก แต่พอมากิดูแล้วกลับรู้สึกว่า ดีแล้วที่ได้น้อย เพราะมันโคตรเค็มเลย แล้วยังได้รับแจกนมจากอาจารย์โรงเรียนฐานปัญญาที่นำมาเผื่อเลี้ยงทั้งกองพันด้วย เมื่อได้อาหารแล้วก็ไปหาที่นั่งทานกัน ซึ่งหายากมากๆ ตอนนี้แดดยามเที่ยงกำลังร้อนระอุ ร่มเงาก็ไม่มี ทั้งยังมีฝุ่นที่เกิดจากลมพัดและการเดินของคนอื่นๆขึ้นมาเต็มไปหมด ต้องหาที่หลบแดดและนั่งหันหลังให้ทิศทางลมที่มาด้วย ไม่งั้นได้กินข้าวคลุกฝุ่นแน่
            ทานข้าวเสร็จก็ยังพอมีเวลา ไม่ไกลจากที่ผมนั่งกินข้าวก็มีเต้นท์ขายน้ำอีกแล้ว(มีความพยายามสูงมาก ที่อุส่าแบกเต้นท์กับน้ำเข้ามาบริการถึงกลางป่าเลย) ผมก็ไปซื้อน้ำมาดื่ม ผมแปลกใจมาก ขนาดอยู่กลางป่าแท้ๆ น้ำขวดที่เตรียมมาขาย ยังเย็นเฉียบมากๆ เรียบร้อยแล้วก็เข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำก็เหมือนกับที่สถานี 211 เสร็จแล้วก็ไปจับกลุ่มนั่งคุยกัน โดนเล่าว่าเมื่อคืนนี้พวกหัวหน้าหมวดเล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าตอนอาบน้ำของพวกมันมีคนแก้ผ้าอาบน้ำ หน้าด้านมาก ที่กล้าถอดหมดก็อาจจะเป็นเพราะคนน้อย พวกหัวหน้าทั้งหลายจะได้อาบน้ำทีหลังพวกผม ตอนที่พวกผมเข้านอนแล้ว และก็คุยเรื่องอื่นๆจนเรียกรวมอีกที
            คราวนี้ได้มาฝึกบุคคลทำการรบเวลากลางวันและการเข้าตี แดดตอนนี้ไม่แรงนัก เพราะมีเมฆมาบดบังไว้ ครูฝึกประจำสถานีนี้เป็นครูตัวผอม สูงๆ ยังหนุ่มอยู่ ก็มีสอนเกี่ยวกับการเข้าตี การเคลื่อนหน่วยเข้าหาที่ตั้งของข้าศึกตั้งแต่การเคลื่อนออกจากแนวออกตี ผ่านจุดที่มีการทิ้งระเบิดมาจากข้าศึกษา การเข้าใกล้ข้าศึกโดยต้องเคลื่อนที่ด้วยการคลานสูง คลานต่ำและการลอดลวดหนาม ซึ่งมีการสอนวิธีการปฏิบัติ โดยเฉพาะเวลาคลานหรือลอดลวดหนาม เราจะเอาปืนเจ้ากรรมนี้ไปด้วยในท่าทางไหน หัวโก่งไกปืนไปทางไหน และกำชับว่าห้ามทำผิด มีการเล่าถึงรุ่นก่อนๆว่ามีการโดนลวดหนาวเกี่ยวหน้า โดนส่งโรงพยาบาลเย็บไปหลายเข็มและอื่นๆอีกมากมาย
            ถึงเวลาต้องไปปฏิบัติจริงแล้ว ผมก็รู้จากเพื่อนพลัดก่อนมาว่า ช่วงนี้แหล่ะที่โหดที่สุดในค่ายนี้ มันบอกว่าตัวเละ แล้วก็เหนื่อยมาก ผมก็กลัวๆไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่ และแล้วก็โดนเรียกให้หมู่ของผมเดินไปเข้าสนามฝึก ซึ่งได้ไปเป็นหมู่แรกๆเลย เริ่มจากไปหยิบหมวกเหล็กมาสวมแล้วนั่งรอให้ถึงหมู่ตัวเอง พื้นที่สนามฝึกนี้ แบ่งเป็น 2 สนามเหมือนตอนเช้า ด้านหน้าของผมจะมีป้าปัดไว้ เป็นหมายเลข 1-11 กระจายทั่วไป และก็มีกระสอบทราย ท่อระบายน้ำมาตั้งไว้เป็นที่กำบัง เป็นการจำลองสนามรบขึ้นมาให้พวกผมได้ฝึก ไกลออกไปก็หอวิทยุกระจายเสียง มีครูฝึกคอบกำกับคำสั่งอยู่บนนั้น พูดปลุกใจต่างๆนานาๆ ช่วงนี้ผมก็นั่งรอดูหมู่ก่อนหน้าผมฝึก


เมื่อถึงคิวของหมู่ผม ครูฝึกได้สั่งให้ออกมาตั้งแถวหน้ากระดานเรียงตามหมายเลข เมื่อหมู่ก่อนหน้าเคลื่อนไปอีกจุดแล้ว ก็สั่งให้หัวหน้าหมู่เข้าประจำที่ หัวหน้าหมู่ก็สั่งให้ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งตามแนวออกตี ผมก็วิ่งไปที่ท่อน้ำที่มีหมายเลข 9 กำกับอยู่ แล้วก็ทำท่าหมอบเล็งอยู่ เพื่อรอฟังคำสั่งต่อไป คำสั่งต่อไปก็สั่งให้เคลื่อนที่ผ่อนแนวออกตี ผมกับลูกหมู่คนอื่นๆก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน แล้วเดินต่อไปช้าๆ พอดีกับที่เสียงจากหอวิทยุพูดออกมา "ตอนนี้ได้เคลื่อนที่ออกจากแนวออกตีแล้ว ข้าศึกมองเห็นเราจะระยะไกล จึงยิงสกัดกั้นด้วยปืนใหญ่ ระวังงงงงงงง   บึ้มมมมมมมมมมม" เป็นเสียงยิงปืนของจริง จากครูฝึกอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงทุกคนก็หมอบลง เสียงจากหอวิทยุ "ตอนนี้ข้าศึกได้ยิงกระสุนปืนใหญ่มาตก ผู้บังคับหมู่รีบตัดสินใจเคลื่อนย้ายกำลังพลไปข้างหน้า ผ่านพื้นที่ตำบลกระสุนปืนใหญ่ตก เพื่อลดการสุญเสียกำลังพล" ผู้บังคับหมู่ของผมจึงสั่ง "เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไปทั้งหมู่ ผ่านตำบลกระสุนปืนใหญ่ตก ด้วยวิธีการโผ" ผมก็ลุกขึ้นยืนและออกวิ่งซิกแซกไปข้างหน้าแล้วเข้าไปหยุดหมอบที่ป้ายหมายเลข 9 อันต่อไป จากนั้นก็มีการสั่งให้โผอีก 2-3 ครั้ง จนผมมาถึงบริเวณที่เป็นพื้นทราย จากจุดนี้มองเห็นหมู่ก่อนหน้ากำลังลอดลวดหนามกันอยู่ สักพักผู้บังคับหมู่ก็สั่งอีก "หมู่ 1 เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ด้วยวิธีคลานสูง" ผมก็เอาปืนมาวางบนข้อพับแล้วกำหมัดมาล๊อคกันไว้ แล้วใช้ข้อศอกคืบคลานส่งลำตัวของผมออกจากกระสอบทรายไปตามพื้นทราย การเคลื่อนที่โดยการคลานสูงค่อนข้างลำบาก ใช้ศอกดันตัวเองไป ทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่ข้อศอก ในที่สุดก็มีถึงกระสอบทรายอีกอัน เมื่อทั้งหมู่มาครบ ผบ.หมู่ก็สั่ง "หมู่ 1 เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไปทั้งหมู่ ด้วยวิธีคลานต่ำ" คราวนี้ผมก็ใช้มือขวาจับที่สายสะพายปืนตรงที่ติดกับปืนให้แน่น แล้วนำตัวปืนพาดไปตามแขนขวา จากนั้นค่อยคลานออกจากแนวกระสอบทราบไปหยุดที่หน้าลวดหนาม ถึงตอนนี้ตัวมีแต่ฝุ่นหมดแล้วเรียบร้อย บางทีทรายอาจจะเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วย แย่หล่ะสิ ผมพกมือถือมาซะด้วย ต่อไปก็เจอกับของที่ยากที่สุด ลอดลวดหนาม หลังจากที่ ผบ.หมู่สั่ง ผมก็นอนหงายใช้มือทั้ง จับปืนให้ขนานกับลำตัว แล้วนำปากกระบอกปืนรั้งลวดหนามให้ขึ้นไป เพื่อตัวจะได้ลอดไปได้ และผมก็ค่อยๆดันตัวไปข้างหน้า ไถไปแค่นิดเดียว ผมก็รู้สึกเลยว่าทรายเข้ามาในเสื้อแล้ว แต่ไม่รู้ว่ากางเกงจะโดนด้วยไหม ผมไปได้ไม่ไกลครูฝึกก็มาทัก "อ่าว โทรศัพท์ใครหล่นแล้ว" ผมจึงหยุดทันที มันเป็นมือถือผมเอง แต่ยังดีที่ผมเอาสายผูกกับหูกางเกงไว้ จึงรีบเก็บเข้ากระเป๋าไปตามเดิม แล้วไปต่อ ทำให้ช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ ผมไปยังไม่ทันถึงเส้นสุดท้าย ผมก็พลิกตัวแล้วคลานออกมา ทันพอดีคนอื่นๆเลย
             เสร็จแล้วครูฝึกก็สั่งลุก แล้วให้วิ่งตามเชือกฟางที่ผูกไว้ เพื่อย้อนกลับไปรวมพลที่สถานีฝึก ตอนนี้สภาพผมดูไม่ได้เลย ทรายเต็มไปหมด ผมก็ต้องทนวิ่งไป ตอนนี้เหนื่อยมาก วิ่งไปก็ปัดทรายไป จนกลับมาถึงที่รับหมวกแล้วก็ถอดหมวกคืน จากนั้นก็กลับไปนั่งรอคนอื่นฝึก ก่อนไปนั่งผมก็ปัดฝุ่นออกอีก แล้วก็ถอดชุดฝึกออกมาสะบัดด้วย แต่ต้องแอบๆทำ เพราะถูกสั่งห้ามไว้ก่อนแล้ว และก็เอาเศษผ้าที่เตรียมไป ไปชุบน้ำในกระติกมาเช็กหน้า แขน คอ ซึ่งผ้าทั้งผืนกลางเป็นสีน้ำตาลทันที ไปนานนักเสือร้ายก็โดนจับได้ ครูฝึกหันมาด่าและสั่งให้รีบมารวม ผมก็ค่อยๆเดินมานั่ง แล้วก็ดื่มน้ำไปเยอะเลย
           ชุดอื่นๆก็ทยอยกลับมาแล้ว พวกชุดหลังๆก็เหมือนผม กลับมาก็แอบไปปัดทราย มีบางคนแอบเดินไปล้างหน้าล้างตาถึงที่ห้องน้ำเลย ครูฝึกก็จับได้ เพราะคนนั่งมันดูบางตา และก็เห็นคนหลังไวๆวิ่งไปด้วย เลยด่าเลย "พวกเอ็งหนีไปห้องน้ำไม่มาขออนุญาตก่อนเลยนะ ผมบอกคุณแล้วว่าให้มาขออนุญาตก่อน ไม่ฟังกัน รับผิดชอบร่วมกันทั้งกองพัน รอให้มาครบก่อน อยู่ดีๆไม่ชอบ โดยเฉพาะเทพศิรินทร์นะ ผมเป็นเด็กสวนกุหลาบมาก่อน พวกคุณทำตัวแบบนี้เดี๋ยวเจอดี" กรรมแล้วพวกผม เจอโจทก์เก่า มีเด็กเทพบางส่วนมาโห่ให้อีก ตอนนี้พวกผมก็ต้องนั่งเจี๋ยมเจี้ยมไปก่อน
            เมื่อมาครบกันแล้ว ครูฝึกก็เปิดฉากการลงโทษทันที โดนสั่งให้นั่งยองๆ กอดคอกัน แล้วลุกนั่ง 50 ครั้ง ตามสไตน์ครับ เวลาทวนคำสั่ง ครูฝึกต้องบอกว่า "ไม่ดัง 100 ครั้ง" พอทำไปได้ซัก 10 ครั้ง เหมือนเป็นแบบฟอร์ม "มีคนอู้เอาใหม่ 100 ครั้ง" ไปอีก 10 ครั้ง ก็เจออีก "ไม่พร้อมกัน 100 ครั้ง" ที่นี้ก็ระวังกันมาขึ้น ทำไปประมาณ 20 ครั้งก็สั่งหยุดแล้วก็มาเทศน์ต่ออีกนิดหน่อย
            เสร็จแล้วก็ออกมารอรับประทานอาหาร ขณะที่กำลังรอปล่อยแถว ก็มีรถตู้คันหนึ่งขับเข้ามา ไม่นานก็มีคนลงมาจากรถหลายคน คนเหล่านั้นคือ พวกผู้บริหารจากโรงเรียนของผมนั่นเอง ประกอบด้วยท่านผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ อดีตรักษาการท่านผู้อำนวยการลงมาเยี่ยมพวกผม จ่าโก้ก็สั่งให้เด็กเทพศิรินทร์ออกมาหา ผอ. ผมก็รีบออกไปเลย ทีนี้รู้แล้วว่ามาถ่ายรูป ขอมีรูปตัวเองเด่นๆหน่อยละกัน เลยรีบแทรกตัวไปแถวหน้าสุดเลย เมื่อถ่ายรูปกันเป็นที่เรียบร้อย ผอ.ก็กล่าวให้กำลังใจ และก็ให้โอวาทอะไรต่างๆนาๆ เสร็จแล้วก็มอบพระเจ้าคุณนรฯ ให้แก่ครูฝึก พวกผมถึงค่อยโดนปล่อยไปรับประทานอาหาร พอดีกับที่ โรงเรียนอื่นกำลังเดินไปพอดี
            ข้าวเย็นวันนี้เป็นแกมันฝรั่งกับหมูแผ่น และก็มีของหวานเป็นถั่วแดงต้มน้ำตาล ใครที่เคยไปดูหนังเรื่อง เขาชนไก่ คงพอนึกภาพออก ว่าจะมีการเล่นมุขอะไรเกิดขึ้น ซึ่งก็มีกันจริงๆ ก็ฮากันไปเล็กน้อย เพราะทุกคนก็รู้กันดีอยู่แล้ว กับข้าววันนี้ไม่อร่อยเอาเลย เนื่องจากทุกคนเหน็ดเหนื่อยและคงไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่ ดูจากถังทิ้งเศษอาหาร มีเศษอาหารเททิ้งมากกว่ามื้ออื่นๆ เมื่อทานเสร็จก็เอาช้อนกับถาดไปล้าง และก็นำมาเก็บที่รถเลย เพื่อขนกลับไปกองพัน พวกผมก็ไปหาน้ำเย็นๆดื่มกัน มื้อนี้ผมซัดไป 2 ขวดเลย
            กลับมารวมพล ก็มีการเช็คอุณหภูมิอีก ผมหล่ะเซ็ง อยากบอกคนเช็คมากว่า เช็คแล้วได้ตรวจหรอ เด็กเขียนมั่วๆมาก็มี ในเมื่อเช็คตั้งแต่ตอนมาแล้วว่าไม่มีใครเป็นก็ไม่ต้องเช็คแล้ว ถ้าจะมาติดกันในค่ายมันก็มีระยะเวลาฟักตัว คงไม่แสดงอาการในวัน 2 วันหรอก ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 6.30 นาฬิกาแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง พวกผมถูกพาไปยังสถานีฝึกสุดท้ายของวันนี้คือ บุคคลทำการรบในเวลากลางคืน
            ที่ฝึกตรงนี้จะเป็นลานโล่งๆ มีเวทีอยู่ข้างหน้า แถวถูกจัดเป็นรูปเกือกม้าหันหน้าเข้าหาเวที เมื่อกล่าวเปิดการฝึกกันแล้วก็ได้นั่ง พื้นที่ตรงนี้เป็นหินก้อนเล็ก นั่งไปก็เจ็บก้น ครูฝึกด้านหน้าก็เริ่มบรรยายทันที เกี่ยวกับการเดินทางของทหารในเวลากลางคืน การทำตัวให้เงียบเมื่อเดินทางเข้าใกล้ข้าศึก การเจอบุคคลต้องสงสัย ต้องใช้การตั้งคำถามเป็นรหัส ทำตัวอย่างไรเมื่อเจอพลุแสง ซึ่งแต่ละขั้นตอนก็มีการแสดงจากครูฝึกให้ดูตลอด มีการยิงปืน จุดพลุของจริงให้ดู ทำให้ผม ซึ่งกะจะมาอาศัยช่วงเวลาที่มืดมิดแอบหลับซักหน่อย เกิดความสนใจและนั่งดูจนจบ จากนั้นก็เป็นการหาทิศในเวลากลางคืน โดยการหาตำแหน่งดาวเหนือจากกลุ่มดาวจระเข้และกลุ่มดาวค้างคาว ผมก็สงสัยว่าวันนี้จะสอนดูดาวยังไง เพราะวันนี้ฟ้าปิด มีเมฆมากมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ทหารไม่โง่ครับ ครั้งนี้ผมชื่นชมในความคิดการสอนนี้มากๆ คือที่เวทีมีติดหลอดไฟสีฟ้าๆเอาไว้ เวลาสอนก็ค่อยๆเปิดทีละดวงเรียงเป็นรูปกลุ่มดาวต่างๆแล้วมีการเปิดไฟไล่ไห้เห็นแนวของดาวเหนือด้วย จากนั้นก็ฝึกการกะระยะห่างของแหล่งกำเนิดแสงจากการเห็นแสงและการฟังเสียง เช่น ข้าศึกอาจจะยิงปืน ทำให้เกิดแสงและเสียง วิ่งเข้ามาหาเรา ให้นับเวลาตั้งแต่เริ่มเห็นแสงจนได้ยินเสียง และคำนวณนิดหน่อยก็สามารถกะระยะของข้าศึกได้ แล้วก็มีการฝึกทักษะการแยกแยะเสียงในเวลากลางคืน ก็ให้ครูฝึกไปแอบขุดดิน ยิงปืน ดึงคันรั้งไกลๆ แล้วมาถามกันว่าเป็นเสียงอะไร
            เมื่อบรรยายกับสาธิตเสร็จแล้ว ครูฝึกก็มานำแต่ละกองร้อยไปฝึกเดินเงียบ คลานเงียบและหมอบเงียบ ช่วงนี้ผมก็ทำตามไป ตอนนี้ร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยากับทรายแล้ว ผสมกับเหงื่อทำให้รู้สึกระคายตัวและคันหน่อยๆ อยากอาบน้ำเต็มที่ แล้วยิ่งให้ผมคลานเงียบตอนนี้แหล่ะทรมานสุดๆเลย เพราะต้องเอามือคล่ำไปข้างหน้าก่อน ส่วนเข่าก็โดนหินทิ่ม แล้วตัวไปไหนปืนก็ต้องไปด้วย รำคาญปืนที่สุดแล้ว ถ้าไม่ติดว่าต้องเอาไปเช็คยอดนะ ผมคงหมกไว้กลางป่าแล้ว ฝึกกันหมดทุกกองร้อยก็มารวมกันเพื่อเช็คยอดกลับ ขากลับให้เดินตอนเรียง 2 ออกไปตามทางที่เข้ามาเมื่อเช้า โดยให้ร้อย 1 นำ 3 ตาม แล้ว 2 สุดท้าย
            ตอนเดินออกบรรยากาศรอบๆตัวสุดยอดมากๆ ฟ้าก็มืดๆมองอะไรไม่เห็นเลย ที่สำคัญเวลาเดินฝุ่นจะฟุ้งขึ้นมา กับอากาศหนาวๆอีก เหมือนหมอกมาก มองไปข้างหน้าประมาณ 5 เมตรไม่เห็นหลังคนหน้าเลย ตอนเดินก็ต้องสังเกตคนหน้าดีๆ ว่ามันชะลอหรือมีตกหลุมรึป่าว ก่อนออกมาจ่าโก้แกบอกว่า "นักศึกษาถ้าพลัดหลงเวลาเดินออกนะ อย่าวิ่งไปไหน ให้อยู่กับที่แล้วเราจะส่งครูฝึกออกมาค้นหาท่านตอนเช้า" ไอชิปหาย ค่อยมาหาผมตอนเช้า แล้วตลอดคืนผมจะเอาชีวิตรอดในป่าได้ไหมเนี่ย แล้วก่อนออกมาจ่าโก้ได้แยกพวกตุ๊ดไว้ต่างหาก ทีแรกก็นึกอิจฉาว่าพวกตุ๊ดจะได้นั่งรถพยาบาลกลับ แต่พอตุ๊ดออกไปก็ จ่าโก้ก็บอกว่าจะให้ตุ๊ดเดินรั้งท้าย ไม่ต้องรีบเดินเหมือนพวกผม
            เดินออกจากป่าในคืนนี้ทำให้เหงื่อออกได้ดีเหมือนกัน เพื่อความรู้สึกอยากอาบน้ำให้มากขึ้น ถ้าคืนนี้ไม่ได้อาบน้ำผมคงดิ้นตายเป็นแน่ พอออกมาถึงค่ายแล้วผมเพิ่งนึกถึงศาลเจ้าแม่ตะเคียนทองได้ ว่าเมื่อกี้เดินผ่านรึป่าว แต่เหมือนผมจะไม่ได้สังเกตอะไรเลย ก็ลืมๆไป ตอนนี้ก็เก็บปืนเข้าที่แล้วมารวมพล จ่าโก้ก็บ่นๆด่าๆอีกตามเคย และก็แจ้เวรยามของวันนี้ เป็นหน้าที่ของร้อย 2 เต้นท์
B1-B35 ให้ออกไป ซวยละสิ ผมเต้นท์ B12 ก็โดนไปด้วย อยากอาบน้ำจะตายอยู่แล้วต้องไปนั่งรอฟังชี้แจงเรื่องเวร จากครูเวรอีก ส่วนคนอื่นๆแปบเดียวจ่าโก้ก็ปล่อยไปอาบน้ำแล้ว ทำเอาแผนผมพังทลายหมด ช่วงกำลังไปนั่งเรียงเต้นท์กันผมก็ผิดหวังมาก คืนนี้จะเหลือเวลาให้ผมอาบน้ำไหมเนี่ย คนอื่นไปอาบกันแล้ว แล้วพวกเวรหล่ะ จะปล่อยเมื่อไหร่
 
           การชี้แจงเวรยาม จะมีให้เข้าเวรด้วยกัน 7 จุด คือ 1.เต้นท์ ทบ. 2.เต้นท์เก็บปืน 3.ห้องน้ำ 4.ประตู1 5.ประตู2 6.เฝ้าถาดอาหาร และ 7.สายตรวจ และช่วงเปลี่ยนผลัดก็มี 20.00-21.00น   21.00-23.00 น.    0.00-3.00 น.และ 3.00-5.00 น. ของผมได้เวรประตู1 เวลา 21.00-23.00 น. ซึ่งตอนนี้ก็เวลา 21.30 น. แล้ว ครูเวรที่ชี้แจงก็ปล่อยพวกผลัด 20.00-21.00 น. ให้ไปอาบน้ำก่อน ส่วนผลัดอื่นๆก็ฟังการปฏิบัติ ก็ไม่ได้ยากอะไรแค่ให้ยืนเฝ้าไว้หน้าใครเข้ามาหรือออกไป สุดท้ายก็ปล่อย ครูก็มอบความหวังให้ผมอีกครั้ง คือ อนุญาตให้เวรผลัก 21.00-23.00 น. อาบน้ำหลังออกเวรได้ ส่วนผลัดอื่นรีบไปอาบเดี๋ยวนี้ แล้วก็ปล่อย ผมกับคู่นอน(ใช้คำนี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจเอาเลย) ก็เดินไปที่ประตู1 เพื่อเข้าเวรทันที
            พอรู้ว่าจะได้อาบน้ำหลังออกเวร ทำให้ผมหลั่นล้ามาก เพราะไม่ต้องแย่งกับใคร มีเวลาเหลือเฟือ เป็นส่วนตัวอีก จะหนักก็ตรงต้องรอทั้งๆที่อยากอาบน้ำเต็มที่เท่านั้น รอมาตั้งแต่บ่ายแล้ว รออีกไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็รับได้อยู่แล้ว ประตู1 อยู่ห่างจากเต้นท์พอสมควร น่าจะเป็นจุดที่อยู่ไกลที่สุดแล้วของจุดเฝ้าเวรยามทังหมด อยู่ตรงนี้ผมก็ปลดกระติกน้ำออก แล้วก็เดินไปเดิมมา รอเวลาหมด ช่วงนี้ก็มีโอกาสคุยกับเพื่อนที่เป็นคู่นอนไปด้วย ไม่นานผมก็รู้สึกเบื่อ แล้วก็นึกขึ้นมาได้มาในเป้มีขนมอยู่ ก็เลยเดินไปหยิบออกมาแบ่งกันกิน ขณะที่กินก็มีคนขับมอเตอร์ไซค์ตรงเข้ามาทางผม ด้วยหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายมาว่าอย่าให้ใครเข้าและอย่าให้ใครออก ทำให้ผมไม่รู้จะทำยังไงกับบุรุษแปลกหน้าผู้นี้ดี ขณะที่กำลังขับผ่าน เค้าก็ถามผมว่า "อาบน้ำรึยัง" แค่นั้นแล้วเค้าก็ผ่านผม 2 คน เข้าไปอย่างง่ายดาย พอผ่านไป ผมก็ขำขึ้นมาทันที ผมก็คิดว่า "จะให้กูมาเฝ้าทำไมวะ ดุดิ๊คนผ่านเข้ามากูก็ปล่อยผ่านโลด เกิดมีเหตุร้ายจริงๆกูก็วิ่งหนีอยู่แล้ว ให้มาเฝ้ายามนี่ไร้สาระจริงๆ"
            เวลาตอนนี้เหมือนผ่านไปช้ามาก ประมาณ 21.40 น. จ่าโก้ก็ปล่อยให้ไปซื้อขนมกินฝั่งตรงข้าม ผมซึ่งเข้ายามอยู่ก็เลยอดไป แต่ใจอยากไปมาก รู้สึกอิจฉาไม่น้อย แต่ข้อเสนอที่ให้อาบน้ำอย่างสบายๆก็ยังดีกว่า ผมก็เลยรอเวลาต่อไป ประมาณ 22.30 น. จ่าโก้ก็เรียกรวมแล้วปล่อยนอน 22.50 น. เวลาตามนาฬิกาผม ผมก็เดินไปเรียกเต้นท์
B13 มาผลัดเวรกัน พอเปิดเต้นท์เข้าไป ก็มีกลิ่นเหม็นรองเท้าแรงๆเข้ามาปะทะหน้าผมเลย คนในนั้นก็ถามพูดอย่างกระแดะๆออกมาว่า "ยังเหลืออีกตั้ง 4 นาที เอานี่ดูดิสิ" เป็นอันได้รู้ว่า เพื่อนบ้านผมเป็นตุ๊ดจาก รร.วัดหนองแขม แถมกลิ่มเท้าเฉ้าฉุ่ยอีก คนทั้ง 2 จากเต้นท์ B13 ก็ตามผมมา ผมนำทางไปที่ประตู 1 แล้วกะทำพิธีมอบหมายงานกันเรียบร้อย ผมกูเดินหลั่นล้ากลับเต้นท์ ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็เข้าเต้นท์กันหมดแล้ว เหลือแต่พวกหัวหน้าต่างๆ และก็รวมๆเต้นท์ผม พูดคุยกัน มันไม่ยอมนอน ผมกลับมาก็จัดแจงถอดชุดฝึกแล้วถือขันรอเพื่อนเต้นท์เดียวกัน
            เมื่อไปถึงห้องน้ำ กลับพบว่ามีคนอาบน้ำอยู่ก่อนแล้ว เข้าไปก็มีประมาณ 8-10 คน ซึ่งน่าจะเป็นพวกเวรกะเดียวกับผม หรือไม่ก็หัวหน้าต่างๆ ผมเข้าไปวางขัดตรงอ่างกลาง แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะผมได้เจอกับสิ่งที่เพื่อนผมเล่ากล่าวขานกัน ซึ่งก็คือ คนแก้ผ้าอาบน้ำ พระเจ้า! มันคือหัวหน้ากองร้อยที่ 3 ตัวเตี้ยๆดำหน่อยๆ ตอนเย็นยังเห็นมันไปแทะโลมตุ๊ดอยู่เลย แก้ผ้าอาบน้ำได้หน้าด้าน เห็นหมดเลย พอผมรู้แล้ว ซึ่งไม่กล้ามองมันหรอก ก็เลขถือขันน้ำข้ามไปอาบอีกฝั่งนึง ไม่สมควรอยู่ใกล้ อันตรายมาก ผมก็อาบของผมไป มันก็ยังคงอาบไปชวนคนนู้นคนนี้คุยอย่างหน้าไม่อาย สุดท้ายมันก็อาบเสร็จ มีการบอกว่าสบายตัวจัง แล้วก็นุ่งผ้าออกไป ผมก็เลยอาบได้อย่างสบายใจหน่อย อาบเสร็จก็กลับมาแต่งตัวด้วยชุดใหม่ แต่ยังไม่ใส่เสื้อนอกกะเอาไว้ในก่อนนอน
            ก่อนนอนตอนนี้ผมก็จัดของที่ไม่ใช้แล้วอย่างเช่น ผ้าเช็คตัว เสื้อ ผ้าพันคอที่ถอดทิ้งไว้เข้าเป้ เพื่อพรุ่งนี้จะได้ไม่เสียเวลาจัดมาก ตอนนี้มีเวลาอยู่ และอีกจุดประสงค์นึงคือ เต้นท์รกมาก จนเข้าไปไม่ได้เลย ก่อนนอนก็ต้องมีปัดฝุ่นที่ผ้าใบก่อน ไม่รู้มาจากไหนเยอะแยะ สุดท้ายก็ลงไปนอน วันนี้ผมคงเพลียเพราะมีท่าว่าจะหลับง่ายกว่าเมื่อวาน กำลังใกล้จะหลับ ผมก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แขน เพราะโดนยุงกัน เลยลุกขึ้นมาใส่เสื้อนอกตัวใหม่ แต่ใส่แล้วก็ต้องถอด เนื่องจากมันยังใหม่อยู่และผ้าแข็งมาก ใส่แล้วเหมือนนักบินอวกาศเลย หายใจไม่ออก เลยถอดออกแล้วทางน้ำยาตะไคร้แทน แล้วก็มีการแบ่งยากันยุงจากเพื่อนในเต้นท์มาทาผสมกันอีก คืนนี้ผมจึงได้หลับซะที ซึ่งปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่าๆแล้ว


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 24 มกราคม 2553 / 22:04

แสดงความคิดเห็น

>

20 ความคิดเห็น

Smile Music 24 ม.ค. 53 เวลา 22:09 น. 1

 อ่านไม่จบ แต่แนะนำว่า
จขกท. น่าจะสมัครไอดีนะครับ แล้วแต่งเป็นนิยายเลยดีกว่า น่าจะรุ่ง 
อ้อ อีกข้อ นับถือในความพยายามและความอดทนครับ =w=


PS.  ชักใบเรือ The Flying blue sea-dragon ข้าคือ กัปตันโจนิสพอร์น ญาญิมซิลริ สุขสันต์วันปีใหม่ 2553 นะครับทุกท่าน อย่ามัวแต่ดราม่ากันเลย
0
คนพเนจรหมอนเน่า 24 ม.ค. 53 เวลา 22:11 น. 2

มาเม้นให้แต่ขอโทษนะเราอ่านไม่จบอ่ะยาวเกินตาลาย


PS.  การที่เราทำพลาดแล้วล้มลงยังดีกว่าคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย ~~~~
0
~ปิยะ~ 24 ม.ค. 53 เวลา 22:16 น. 4

อ่านไม่จบ

น่าจะแบ่งเป็นตอนๆ ให้น่าสนใจมากกว่านี้

O_O

อยากรู้นะ แต่ขี้เกลียดอ่านตาลายๆ


PS.  อยากให้ช่วย มาจีบ มาจีบ ฉันที มาจีบมาจีบฉันที ฉันทอดสะพานให้แล้ววว~
0
: PPOMM * 25 ม.ค. 53 เวลา 01:26 น. 8

ติดตามคับอยากรู้เปนไงจนวันสุดท้าย

ผม ม.5 เหมือนกันไปวันที่ 10ก.พ. นี้อ่ะคับ


เซงมากมายอยากรู้ว่าเปนไงมั่งเขียนต่อไวๆนะคับ

เปนกำลังใจให้ *0*

0
game 25 ม.ค. 53 เวลา 16:02 น. 10

อ่า หวาดดีคร๊าฟ เจ้าของกระทู้&nbsp ความจำดีจังเรยเนอะ

&nbsp ของเราเพิ่งไปมาเอง พลัดที่16อะคร๊าฟ เพิ่งกลับมาวันที่24นี้เอง อิอิ

นายนี้มีความพยายาม ในการเขียนมากเรยอ่ะ เเห่ะๆ ยาวมากก

&nbsp &nbsp &nbsp ว่างก้อเเอดเมลเราไว้คุยกานได้นะครัฟ singharart@hotmail.com


ชอบครูคนไหนหรอ&nbsp ของเราชอบ มร.ดร.ศาสตราจารย์ ชาลีแวน ซุปเปอร์ไซย่าซาวด์ อะนะ อิอิ

&nbsp &nbsp  พูดไวๆ อะ555+ ฮาเเตกเรยพวกทหารนี้ ไงไว้คุยกานนะครัฟ9

0
โอคุ :3 25 ม.ค. 53 เวลา 16:58 น. 12

อ่านไม่จบจริงๆ

ปี 3 ต้องยาวกว่านี้แน่นอน


PS.  ลืมตามองเช้าวันใหม่ มองไปด้วยใจที่ว่างเปล่า . . .
0
Goddess Madoka 25 ม.ค. 53 เวลา 22:42 น. 13

ใครๆก็อยากไปผลัดแรก

ทำไมน่ะหรอ ห้องน้ำผลัดแรกๆ มันปิ๊งไง 

แล้วผลัดหลังๆ มีแต่ขาประจำ ซัมเมอร์เซล 


คราวนี้แหละ ลด แลก แจก แถม หมอบ วิ่ง กลิ้ง คลาน กันเหงือกเหลือง


PS.  Gold Flower OMG!!? IT'S ME :P
0
So* cUte 25 ม.ค. 53 เวลา 23:14 น. 15

เราอ่านจบนะ
 สนุกจัง

สรุปได้ก้อคือ จขกท. มีปัญหาเรื่องห้องน้ำ ซะเป็นส่วนใหญ่


ผมก้อเรียน รด คับ

มีปัญหาเรื่องห้องน้ำเหมือนกัน

5 วัน เข้าครั้งเดียวไมนับฉี่ อึดมาก

55+



ผมอยู่จังหวัดทหารบกสุรินทร์คับ ก้อโหดเอาการเหมือนกัน
ที่อาบน้ำก้อมีแต่ไม่พอใช้แถมเป็นที่โล่งแจ้งอีก ใช้พร้อมกันแบบอัดแน่น ได้ประมาณครั้งละไม่เกิน20 คน 

เกือบทุกคนเรยต้องไปอาบในสระน้ำใหญ่

หลายๆคนก้อมาราธอนทนเหม็นตัว 5 วันไม่ยอมอาบ

ส่วนผมแอบไปอาบในช่วงรอยต่อระหว่างพักครับ
เอาถังตักน้ำแล้วมาอาบในห้องส้วมกับเพื่อน55+



สนุกดีนะ
เหนื่อยหน่อยแต่ก้อเป็นประสบการณืที่ดี

0
[DeleTez] 26 ม.ค. 53 เวลา 20:22 น. 16

เย้ ^ ^

อ่านจบแล้ววว

คือเราเป็นผู้หญิงอ่ะ เรียนรด. ไม่ได้ T T

ก็อยากเรียนนะ น่าหนุกดี 555+

เอ๊ะ! หรือว่า ผู้หญิงก็เรียนรด.ได้ ???

แต่โรงเรียนเราเป็นหญิงล้วนอ่ะ ก็เลยไม่มีรด.เลย

T T ว่าแต่...สนุกมั้ยอ่ะที่ไปเขาชนไก่อ่ะ


PS.  วันนี้ยิ้มไปกี่ครั้ง? หัวเราะไปกี่รอบ??
0
xyz 2 ก.พ. 53 เวลา 20:48 น. 18

- อ่านทั้งหมดแล้วรู้สึกว่าจะลำบากในวันที่2
- ขอถามให้แน่ใจว่าเอาชุดฝึกกับคอวีอย่างละกี่ชุด กางเกงชั้นในด้วยครับ
- จ่าโก้ ที่พูดถึงนี่ชื่อจริง จ.ส.อ.วิรัตน์ สามเพ็ชรเจริญ หรอป่าวครับ เพราะครูโก้(จ่าโก้)ผมสนิท(รู้จักกันมาตั้งแต่เป็นยุวชนทหารตอน ม.3)ตอนมาศูนย์ฝึกก็คุยกะแกทุกครั้ง ถ้าผลัดผมได้คนนี้ก็ดีสิ จะได้ไม่เอาไรกับผมมาก เพราะผมไม่ค่อยเหมือนกับชาวบ้านเขาอยู่แล้ว ทั้งร่างกายที่แข็งแรงไม่เท่าเพื่อน ทั้งเป็นคนซื่อๆ ครูโก้รู้ดี

0