Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อาณาจักรสุรรณภูมิ..เป็นของชนชาติไทย ไทอาศัยนานมานับพันๆปีแล้วไออัศวินอโยธยา

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่




แต่เดิมนั้น เราเชื่อกันว่าสมัยอาณาจักรสุวรรณภูมินั้น คนไทยเรายังมิได้อพยพโยกย้ายภูมิลำเนาจากประเทศจีนลงมาตั้งอยู่ในแหลมทอง หรือคาบสมุทรอินโดจีนดังเช่นทุกวันนี้

"อาณาจักรสุวรรณภูมิ" นั้นแต่ก่อนเราเชื่อกันว่าเป็นดินแดนของพวกชาวละว้า ซึ่งครอบครองความเป็นใหญ่อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมาก็กลายเป็นอาณาจักรทวาราวดีของพวกมอญเป็นหลักฐานยืนยันอยู่ ต่อจากนั้นขอมก็เข้ามาเป็นใหญ่ มีอำนาจอยู่ในอาณาเขตบริเวณนี้ก่อนหน้าที่ชนชาติไทหรือไตจะอพยพลงมา

ต่อมาเมื่อคนไทยเราได้อพยพ เคลื่อนย้ายลงมาก็เข้ายึดอำนาจ และตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหลมทองสืบแทนพวกขอม มอญ ละว้า แล้วเราก็รับเอาวัฒนธรรมในดินแดนแถบนี้มาเป็นของเราสืบมารวมทั้งพระบวรพุทธศาสนาด้วย

หมายถึงว่า คนไทยเราได้เข้ามารุกรานยื้อแย่งเอาดินแดนในแหลมทองนี้ มาจากชนชาติอื่นอีกทอดหนึ่ง

แต่บัดนี้ เมื่อมีการขุดค้นและค้นคว้าได้ก้าวหน้าพัฒนาไปมากทำให้เราได้หลักฐานต่างๆใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกเป็นอันมาก ทำให้ได้ข้อมูลใหม่มาลบล้างความเชื่อดั้งเดิมไปเป็นอันมาก

เฉพาะอย่างยิ่ง บัดนี้เราเชื่อกันว่าคนไทยหรือไตเราเรานี้ ได้เป็นเจ้าของดินแดนที่เราตั้งมั่นเป็นหลักฐานอยู่ในปัจจุบัน มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว กล่าวคือ ตั้งแต่ยุคสมัยยุคหินใหม่ก่อนสมัยพุทธกาลมานานกว่าพันปีเป็นอย่างน้อย


หลักฐานที่สมควรนำมากล่าวไว้ในที่นี้โดยย่อ ก็ได้แก่

.โครงกระดูกมนุษย์สมัยโบราณที่ขุดพบในดินแดนไทยในปัจจุบัน

     เฉพาะอย่างยิ่ง โครงกระดูกมนุษย์หินยุคใหม่ ซึ่งคณะสำรวจไทย – เดนมาร์ก ได้สำรวจและขุดค้นร่วมกันอย่างกว้างขวาง ในระหว่างปี พ..๒๕๐๓ – ๒๕๐๕ ที่บ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งได้พบกระดูกมนุษย์ยุคหินใหม่เป็นจำนวนถึงกว่า ๕๐ โครงและเครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับต่างๆ อีกถึง

๑ล้านชิ้น โครงกระดูกดังกล่าวมีอายุประมาณ ๔๐๐๐ ปีมาแล้ว




   พวกมนุษย์ดังกล่าวเป็นผู้มีวัฒนธรรมสูง เฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผา ด้วยฝีมืออันประณีตซึ่งมีรูปทรงตลอดจนสีสันคล้ายเครื่องปั้นดินเผาสีดำ ที่เคยค้นพบมาก่อนประเทศจีน ซึ่งจีนเรียกกันว่า "วัฒนธรรมลุงชาน"

เนื่องจากโครงกระดูกดังกล่าว ผู้วชาญทางด้านกายวิภาค ได้วิจัยโดยละเอียดแล้วปรากฏว่า คล้ายคลึงกับโคลงกระดูกของคนไทยในปัจจุบันหลายประการ ไม่มีลักษณะแตกต่างไปจากโครงกระดูกของคนไทยใน


ปัจจุบันเลย จึงทำให้นักโบราณหลายๆท่าน แม้ที่เป็นชาวต่างประเทศ เชื่อกันว่ามนุษย์พวกนี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นบรรพบุรุษของคนไทยเราในปัจจุบันนั้นเอง

 

นายเบียร์ ซอเรนเซน  นักโบราณคดีชาวเดนมาร์ก เชื่อว่ามนุษย์พวกที่อาศัยอยู่ตามลำน้ำแควน้อย-ใหญ่ดังกล่าวนี้ ได้อพยพเคลื่อนย้ายลงมาจากบริเวณตอนกลางของจีน ในสมัยราว ๓๗๐๐ ปีมาแล้ว

 

บาทหลวงซู ซึ่งมีบิดาเป็นชาวจีนและมารดาเป็นไทยหลวง เป็นผู้สอนศาสนาประจำอยู่ที่เกาลูนแห่งฮ่องกงในปัจจุบัน ได้ค้นคว้าเกี่ยวกับกำเนิดของชนชาติไทยอย่างจริงจัง แล้วได้ยืนยันว่าวัฒนธรรมไทยและภาษาไทย ได้เป็นรากฐานของวัฒนธรรมจีน  ซึ่งต่อมาชาชาติจีนนี้ก็ได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานแทนคนไทยในบริเวณที่เป็นแดนวัฒนธรรมสมัยหินใหม่ หรือ "วัฒนธรรมลุงซาน"


ชนชาติไตหรือไท ในตอนเหนือไทยและตอนใต้ของจีนในปัจจุบัน


    ดังนั้น กลุ่มชนที่เป็นเจ้าของ "วัฒนธรรมลุงซาน" นั้นก็ย่อมเป็นของชนชาติไทหรือไต แห่งอาณาจักรลุง ซึ่งคนจีนเรียกชาชาติที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วว่า ไต แปลว่า ใหญ่หรืออาณาจักรใหญ่ ก็คือ อาณาจักรลุงในอดีต

แต่ว่า คนไทยที่ว่านี้ มิใช่จะเพียงแต่อาศัยอยู่ในบริเวณตอนใต้ของประเทศจีนเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ได้อพยพกระจัดกระจายขยายกันไป เพื่อหาพื้นที่หากิน ได้มีส่วนหนึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาบริเวณเขตนี้ที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันด้วย แต่หากอาณาจักรเหล่านั้นมิได้ปรากฏตน เหมือนอาณาจักรไต อาณาจักรลุง(ซึ่งต่อมาแต่ตนแล้วเรียกตัวเองว่า ลาวในปัจจุบัน) ที่พระเจ้าจีนได้เข้ามาสำรวจเจอและจดบันทึกอาณาจักรเหล่านี้ไว้ แต่หากยังหาได้เจออาณาจักรที่อยู่ตอนล่างในแดนสุวรรณภูมิอีก อาณาจักรเก่านี้ถึงแม้ว่าจะขุดค้นพบว่ามีอารยธรรมสูงก็ตามแต่หาได้มีใครรู้จักอาณาจักรแห่งอารยธรรมเหล่านี้เลย แต่ด้วยหลักฐานหลายๆชิ้นนั้นเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของชนชาติไตในจีนซึ่งไม่น่าจะมีชนชาติอื่นใดในบริเวณนี้เกี่ยวข้องเลยสักนิด กลับปรากฏในดินแดนแห่งนี้ได้ จึงทำให้นักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศหลายคนเชื่อกันอย่างไม่สงสัยว่า มนุษย์ที่ค้นพบนี้นอกจากจะมีโครงกระดูกเหมือนคนไทยในปัจจุบันแล้ว ยังมีวัฒนธรรมที่คล้ายกับ "วัฒนธรรมลุงซาน" แห่งบริเวณอาณาจักรไตเก่า จึงเชื่อกันได้ว่า บริเวณอาณาจักรแห่งนี้เป็นของชนชาติใดหากได้เป็นของชนชาติอื่นใด

 

โครงกระดูกมนุษย์สมัยทวาราวดี อายุราว ๑,๒๐๐ ปี ซึ่งขุดพบที่ตำบลทัพหลวง จังหวัดสุพรรณบุรี ตามแนวถนนมาลัยแมน เมื่อปี พ..๒๕๑๐ เป็นจำนวนกว่า ๑๐ กว่าโครง พร้อมเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับ (ลูกปัด กำไล แหวน ๆลๆ ) เป็นจำนวนมากนั้น คณาจารย์ในภาคกายวิภาคคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อันมี  ศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียร เป็นหัวหน้าได้วิจัยกันโดยละเอียดแล้ว สรุปย่อได้ดังนี้

 

            โครงกระดูกของมนุษย์สมัยทวาราวาดีนี้ มิได้มีลักษณะผิดแผกแตกต่างไปจากโครงกระดูกของคนไทยในปัจจุบันเลย และก็เหมือนกับโครงกระดูกของมนุษย์หินสมัยใหม่ ที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรีตามที่ได้กล่าวมาแล้วด้วย

             เครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับหลายอย่าง เช่น ลูกปัด ก็เหมือนกับที่พบในสมัยหินใหม่จังหวัดกาญจนบุรี  กำไลสัมฤทธิ์ ก็เหมือนกับที่ขุดพบในสมัยโลหะบ้านนาดี จังหวัดขอนแก่น และศูนย์การทหารปืนใหญ่ จังหวัดลพบุรี และยังใช้กันอยู่ในหมู่ชาวสิบสองปันนา  

             จึงเป็นที่ยุติกันว่า โครงกระดูกมนุษย์ดังกล่าวนั้น เป็นคนไทยในสมัยทวารวดี ที่อาศัยกันมาตั้งแต่สมัยหินยุคใหม่ ตลอดจนถึงสมัยโลหะ (ทองแดงเหล็ก) เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ (คือสมัยที่มีตัวหนังสือใช้กันแล้ว)

             คนไทยเหล่านี้ มิได้เพิ่งจะอพยพเคลื่อนย้ายกันเข้ามาในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ดังที่เคยเชื่อถือกันมาแต่ก่อนกับข้อมูลเก่าๆที่ยังไม่พบหลักฐานใหม่ในแต่ก่อน

 

             ส่วนหลักฐานอื่นๆ ที่แสดงว่ามีพวกมอญเข้ามาอาศัยอยู่ ก็มีแต่เพียงอักษรที่จารึกอยู่ตามที่ต่างๆ เท่านั้น ไม่มีศิลปวัฒนธรรมประเพณีใด ที่สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นของชาวมอญโดยเฉพาะแต่ประการใดเลย

 

           นอกจากนี้ ดร.ควอริช เวลส์ ชาวอังกฤษ ก็ยังได้เคยขุดพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยทวาราวดีที่ตำบลพงตึก จังหวัดกาญจนบุรี มาแล้ว ตั้งแต่ พ.. ๒๔๗๘ ทำให้เขาเชื่อว่าอาจจะได้มีคนไทย ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน อยู่ตามลุ่มแม่น้ำแม่กลอง และลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ คริสต์ศตวรรษต้นๆ คือ ประมาณ ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว

            รวมความว่า จากโครงกระดูกมนุษย์สมัยโบราณในประเทศไทย เท่าที่ได้ขุดพบกันมา ทำให้น่าเชื่อว่าคนไทยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน อันเป็นที่อยู่ที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบันมาตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่เป็นอย่างน้อย กินเวลานานถึงประมาณ ๔๐๐๐ ปีมาแล้ว ก่อนถึงสมัยพุทธกาลถึงกว่า ๑๐๐๐ ปี

อารยธรรมอินเดีย ต้นแบบอิทธิทางศาสนาและศิลปะในสุวรรณภูมิในปัจจุบัน


 

            .ภาษาและชื่อบ้าน นาม เมือง

    จากข้อคิดของคุณปรีดา ศรีชลาลัย  นักค้นคว้าคนสำคัญท่านหนึ่ง เคยเป็นที่ปรึกษาด้านประวัติศาสตร์ของ หลวงพิจิตรวาทการ ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับกรณีนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า หากชาติไทยเราเพิ่งจะเข้าอาศัย และรับสืบทอดสิทธิในการครอบครองดินแดน อันเป็นประเทศไทยเราในปัจจุบัน จากชนชาติอื่นใดแล้วชาวไทยเราก็ต้องสืบสำเนียงคำเรียกเหมือนชนชาตินั้นเป็นธรรมดาของชนชาติทั่วโลกที่สืบทอดอารยธรรมจากดินแดนหนึ่งไปดินแดนหนึ่งแล้วมักจะเรียกตามสำเนียงเหมือนชนชาติที่ตนเรียกมาอีกทอดหนึ่งเป็นธรรมดา

  เช่นนั้นชาวไทยก็ย่อมเรียกชื่อบ้านเมือง แม่น้ำ ภูเขา ตามสำเนียงคำเรียกชื่อลัทธิศาสนา หรือเรียกนามสำคัญต่างๆ ในลัทธิศาสนานั้นๆ จะต้องเรียกหนังสือและอ่านออกเสียงพยัญชนะสืบสำเนียงคำไปตามแบบกลุ่มชนผู้เป็นเจ้าของถิ่นอยู่ก่อน แบบอย่างธรรมเนียมเช่นนี้เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก



           เมื่อเราหันมาพิจารณาดุ ชื่อทางภูมิศาสตร์ไทย เราก็จะพบแต่ชื่อบ้านเมือง แม่น้ำ ภูเขาเป็นภาษาไทยแบบไทยๆแทบทั้งสิ้น  หาได้มีชื่อตามภาษาขอม หรือ ชนชาติอื่นใด ถ้าหากบริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่เดิมของขอมจริง ก็น่าจะมีชื่อตามแบบภาษาขอมบ้างติดปากคนไทยตามชื่อเจ้าถิ่นมาตั้งแต่บุราณกาล แม้แต่ในศิลาจารึกก็น่าจะมีชื่อทางภูมิศาสตร์ของไทยในชื่อของขอมจารึกไว้บ้าง   แต่ก็หามีไม่ เวลากล่าวอ้างสถานที่ใดในดินแดนไทย มักจะเรียกแม่น้ำ ภูเขาตามชื่อภาษาไทย หากที่เหล่านั้นเป็นที่อยู่ของขอมแต่โบราณกาลจริง เหตุไฉนจึงไม่มีชื่อเรียกตามนามของขอมสืบทอดเรียกกันมาบ้าง   แต่ดินแดนเหล่านั้นเป็นดินแดนของไทยมาแต่บุราณกาลนานมาแล้ว ซึ่งก็แพ้และกลายเป็นอาณานิคมหรือเมืองขึ้นของขอม(ไม่น่าจะใช่เขมร) สมัยเรืองอำนาจพระเจ้าชัยวรมัน ซึ่งเป็นการรุกรานดินแดนอื่นๆ จนกว้างขวาง หาได้เพราะตนเคยอาศัยดินแดนเหล่านั้นแต่โบราณกาลนานมาเหมือนนักสำรวจชาวฝรั่งเศลอ้าง(เพราะเป็นลูกพี่ของเขมรเก่าที่ช่วยเหลือกันดีในปัจจุบันและเพื่อการวางระเบิดและกล่าวหาของอ้างในการกลืนดินแดน)  ซึ่งหากชนชาติไทยพึ่งอพยพมาจริงๆ ทำไม ขอมผู้มีอารยะธรรมภาษามานับพันปี จึงไม่มีการบันทึกการอพยพครั้งใหญ่นั้น เพราะเป็นการเคลื่อนไหวต่อความมั่นคงของอาณาจักรถ้าหากมีชนชาติอื่นอพยพลงมาดินแดนของตนอย่างมากมายจริง  ย่อมมีกล่าวถึงบ้างสักบรรทัด สองบรรทัด เพราะเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ แต่ก็หามีไม่มีแต่กล่าวเรื่องภายในราชอาราจักรของตน(ใจกลางสุวรรณภูมิหรือคนไทยเลยสยาม)   หาได้กล่าวถึงดินแดนเฉลียงดินแดนหรืออ้างว่าของตนซึ่งปัจจุบัน(เขมร)มักโจมตีเราเรื่องนี้ ทั้งๆที่การเคลื่อนไหวอพยพลงมามากมายขนาดนั้นกลับไม่ถูกจารึกใดๆเลย  แต่กลับมีภาพและเรื่องราวของกองทัพสยามทางละโว้ 


ลงท้ายด้วยภาพดังแห่งนครวัด "เสียมกุก"



ทหารราบ "เสียมกุก"

ยกทัพมาช่วยขอมรบจาม  ซึ่งน่าแปลกซึ่งหาชนชาวไทยพึ่งอพยพและเป็นชนชาวป่าจริง ไม่น่าจะมีกองทัพที่ใหญ่ขนาดนั้น มีทัพช้าง ม้าเป็นระบบ และสามารถสร้างนครรัฐเร็วได้ขนาดนั้น นอกเสียจากเราจะอยู่ดินแดนนั้นมาแต่โบราณกาล   ทั้งๆที่ขอมเองก็ไม่ได้อยู่ในดินแดนเหล่านั้นอย่างที่อ้าง แม้แต่ชื่อแม่น้ำภูเขา เมืองก็หาได้มีชื่อภาษาของขอมเลย  จะมีก็เสียแต่ปราสาทหินที่สร้างไว้ทั่วหลังจากยึดอาณาเขตเหล่านั้นได้เพื่อบวงสรวงปวงเทพ  หรือเพื่ออะไรก็ต้องสืบกันต่อไป



ส่วนบางท่านจะกล่าวว่าทำไมคำไทยหลายคำที่เกี่ยวกับสงครามยังมีคำขอมเข้ามาปนนั้น แน่นอนว่า ชาวสยามสยบต่อกองทัพขอมอันเกรียงไกรนั้น แน่นอนว่าเวลาเกิดศึกสงครามของอาณาจักรขอมคนไทยเราเมื่อได้ตกเป็นเมืองขึ้นเป็นขี้ข้าเขาเมื่อเขาได้รบทัพจับศึกกับอาณาจักรข้างเคียง เช่น จาม ย่อมเรียกทหารหัวเมืองนอก
แน่นอนว่าเมืองไทยเข้าร่วมรบ แม่ทัพย่อมมักเป็นขอมเป็นผู้ควบคุมทัพ เมื่อมีการสั่งการ ย่อมเป็นภาษาขอมเมื่อนั้น กองทัพชาวสยามก็ย่อมต้องได้เรียนรู้ คำศัพท์ภาษาของขอมและย่อมรับ ในอิทธิพลนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เช่น กระโจน แปลว่า บุก.. ประจัญบาน แปลว่า  ตะลุมบอน-เข้าตี ย่อมง่ายต่อการสั่งการของเจ้านายฝ่ายขอม
เมื่อชาวสยามถูกใช้รบบ่อยครั้งก็มักจะกลายเป็นคำพูดติดปาก และคุ้นเคย เหมือนคนไทยสมัยนี้ที่มักติดปากภาษาและนิยมใช้กันสืบตามมา ซึ่งหากเปรียบเทียบภาษาที่มีอิทธิพลมากอย่าง อังกฤษ เช่น โอเค  แบงค์  เป็นต้น
ซึ่งไม่แปลกในหมู่ชาติที่มีอิทธิพลและเคยเป็นมหาอำนาจนั้นๆ แม้แต่ยุโรป อาหรับ จีน ก็ไม่ต่างกัน



ส่วนเรื่องกองทัพของชาวสยามนั้น มีวิชาการแต่โบราณกาลมาซึ่งส่วนใหญ่ในกลุ่มวิชาสยามยุทธ์แล้วมักจะมาจากอินเดียแทบทั้งนั้น มีน้อยมากที่จะพบวิชาของขอมแต่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวคิดการมากกว่า  ก็เพราะส่วนใหญ่นั้น
ขอมเองก็รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ไม่ต่างจากไทย เช่น โจงกระเบนแถวอาหรับเปอร์เซีย อินเดียก็เคยใส่มาแล้วทั้งนั้นก่อนจะเปลี่ยนมาใส่กางเกงบ้าง ผ้าประเจียด ส่วนเขมรเรียก ประเจีย ซึ่งก็มีมาแต่อินเดียแล้วทั้งนั้น



ไม่แปลกที่วิชาสยามยุทธ์นั้นจะมีแต่ของอินเดียทั้งนั้น ทั้งพิชัยสงครามของพระปเสนทิโกศล การวางแผนการรบจัดขบวนต่าง เช่น ม้ากินสวน ปีกครุฆ ก็ได้วิชามาจากชาวอินเดียจากพรามณ์โดยตรง ซึ่งไทยมักเรียกถูกตามเสียงเจ้าของภาษาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ส่วนขอมนั้นก็เรียกอีกอย่างตามสำเนียงเขา ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า เราไม่ได้รับวิชาการรบมาจากขอม แต่มาจากอินเดียเสียมากกว่า แทบจะไม่ปรากฏขอมนัก

ภาษาตามลัทธิศาสนา ซึ่งชาวอินเดียนำมาเผยแผ่ ไม่ว่าศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาพุทธ ตลอดจนศาสนาเชน

ที่น่าประหลาดใจอย่างมาก ไทยเรากลับออกเสียงตรงตามสำเนียงคำของอินเดียวเป็นส่วนมาก  วิชาหนังสือ ที่ชาวอินเดียนำมาสั่งสอนไว้ ไทยเราก็รับสืบสำเนียงคำอ่านออกเสียงสระ พยัญชนะตรงตามแบบฉบับอินเดียมากที่สุด

แบบอย่างหนังสือบาลีก็ดี น่าอัศจรรย์ที่ชนชาติไทยเราสามารถรับสืบทอดสำเนียง  จากอาจารย์ชาวอินเดียได้อย่างถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยนมาแต่โบราณกาล  ม่เหมือนชนชาวประเทศเพื่อบ้านของไทย เช่น ขอม ไทยนั้นสามารถอ่านออกเสียง เช่นคำว่า "นคร" ได้ตามชาวอินเดียได้อย่างถูกต้อง แต่ขอมเองกลับ ออกเสียงผิดเพี้ยนว่า "อังกอร์" เป็นส่วนใหญ่ เป็นต้น

แต่ถ้าหากเรารับวัฒนธรรมมาจากขอมทุกอย่างจริง ไฉน ทำไมเราไม่เรียกตามสำเนียงขอม เสียหมด ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่น่าเชื่อได้ว่า สมัยแรกที่ชาวอินเดียเข้ามาเผยแผ่วิชาหนังสือ ในถิ่นนี้มาแล้วแต่โบราณกาล ซึ่งไทยเราซึ่งเป็นเจ้าของถิ่น  ย่อมมีโอกาสได้รับทั้งลัทธิศาสนา และวิชาหนังสือ จากชาวอินเดียผู้เป็นปรมาจารย์มาโดยตรงเลยทีเดียว

     เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าไม่มีชนชาติอื่นใด มาครอบครองอาณาบริเวณนี้อยู่เป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว ก่อนหน้าที่ชนชาติเราได้รับรู้ทางลัทธิศาสนารวมทั้งวิชาหนังสือ และวิทยาการอื่นๆ ด้วย จากชาวอินเดียผู้เป็นปรมาจารย์ที่เข้ามาเผยแผ่ในสมัยอาณาจักรสุวรรณภูมิ

      แม้มีมอญ มีขอมเข้าอยู่บ้าง ก็เป็นเพียงชนส่วนน้อย เข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารของมหากษัตริย์ไทยอาศัยเท่านั้น

มาตรว่าจะได้มีศาสนิกชนชาวมอญจัดทำศิลาจารึกเกี่ยวกับกัลปนาเข้าไว้บ้าง ก็เป็น จารึกมอญปนไทย (เช่น จารึกหลักที่ ๑๘ จารึกบนเสาแปดเหลี่ยมที่ศาลสูงลพบุรี) แม้ศาสนิกชนชาวขอมเอง ก็อดปนไทยไม่ได้ เช่น จารึกเสนาหัว พ.. ๑๑๘๒ ตำบลเทรัง จังหวัดปราจีนบุรี และจารึกศรีจนาศะ พ..๑๔๘๐

   นอกจากนี้ คุณปรีดา ศรีชลาลัย ยังได้ยกตัวอย่างศิลาจารึกอันเป็นภาษาเก่าแก่ของไทยเรามาแสดงอีก ๒ หลัก คือ จารึกหลักที่ ๒๒ จารึกในถ้ำฤาษี เขางู จังหวัดราชบุรีอายุประมาณ ๑,๔๐๐ –,๔๐๐  ปีมาแล้ว และหลักจารึกที่ ๒

จารึกวัดศรีชุม เมืองสุโขทัยเก่า อายุประมาณ ๖๐๐ ปีเศษ  (แต่เป็นเครื่องยืนยันว่าหนังสือไทยได้มีมาก่อนหน้านั้นช้านานแล้ว) อันล้วนแสดงวิชาหนังสือไทยของเรานั้น ได้มีมาช้านานแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ คือก่อนตั้งกรุงสุโขทัยเป็นเวลาร่วมพันปีเป็นอย่างต่ำซึ่งได้อิทธิพลมาจากอินเดียโบราณน่าจะตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ


ภาพกองทัพขอม


          จากการกล่าวหลักฐานเท่าที่ได้กล่าวมาโดยย่อในตอนนี้ ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นได้อย่างชัดแจ้ง ว่าไทยเรานั้นรุ่งเรืองมาช้านาน มีภาษาและหนังสือเป็นของตัวเองมานับพันปีแล้ว ชนชาติไทยได้รับถ่ายทอดวิชาหนังสือ(ตัวอักษร)และความรู้ทางด้านศาสนามานานนับจากชาวอินเดียปรมาจารย์โดยตรง

 

ก่อนหน้าที่ชาวอินเดีย จะเข้ามาเผยแพร่วิชาหนังสือและศาสนาในบริเวณนี้ ชนชาติไทยก็ได้เข้ามาตั้งหลักฐานครอบครองถิ่นนี้อยู่อย่างเป็นปึกแผ่นดินมั่นคงแล้ว

          ชนชาติไทยจึงได้รับวิชาหนังสือและลัทธิศาสนา จากชาวอินเดียโดยตรง มิต้องผ่านกลุ่มชนชาติไทยจึงได้รับวิชาหนังสือและลัทธิทางศาสนา จากชาวอินเดียโดยตรง มิต้องผ่านกลุ่มชนชาติอื่นใดอีกทอดหนึ่ง

         จากการที่มีศิลาจารึกภาษามอญหรือภาษาขอมปนไทย มาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๕ นั้น ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้อีกทางหนึ่งว่าได้มีชนอีกทางหนึ่งว่าได้มีชาวไทยเราเจ้ามาตั้งมั่นเป็นปึกแผ่นอยู่ในดินแดนแถบนี้มาก่อนหน้านั้นแล้ว พวกมอญและขอมเป็นแต่เพียงได้เข้ามาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่เท่านั้น และเมื่อมาอาศัยอยู่ช้านานเข้า ภาษาของเขาจึงแดเป็นภาษาไทยเราบ้างไม่ได้

         นอกจากที่กล่าวมาแล้วนี้ยังมีหลักฐานอื่นๆ อีกเป็นอันมาก เช่น ชาดกของอินเดียและลังกา ที่กล่าวถึงความรุ่งเรืองมั่งคั่งของ "สุวรรณภูมิ" ความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรมระหว่าง "ชมพูทวีป" กับ "สุวรรณภูมิ" ซึ่งล้วนยืนยันถึงความสำคัญของสุวรรณภูมิแค่ครั้งบรรพกาล  ก่อนที่จะมีพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นมาในโลกทั้งสิ้น

       

  อย่างไรก็ดี ได้มีนักค้นคว้ารุ่นใหม่ท่านหนึ่ง ซึ่งมิค่อยจะปรากฏนามตามวงการทั่วไป คือ คุณบุญธรรม เอี่ยมสมบูรณ์ ได้กล่าวกรณีนี้ไว้ในหนังสือชื่อว่า "วินิจฉัยเรื่องลังกา" ตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์และชาดกโบราณนั่นเอง มีความสำคัญตอนหนึ่งแจ้งอยู่ดังนี้

       "เมื่อพิจารณาหลักฐานต่างๆโดยรอบคอบแล้ว ข้าพเจ้ามีความเห็นค้านกับประวัติศาสตร์อยู่ข้อหนึ่ง คือ ไม่เชื่อว่าประวัติศาสตร์ไทยในแหลมทองจะเริ่มต้นเรื่องราว พ..๑๗๐๐ เศษ ดั่งที่ถือกันตามวิสัยนักสำรวจชาวยุโรปที่เราถือกันอยู่ทุกวันนี้  แต่มีความเชื่อมั่นว่าไทยได้มีอำนาจอยู่ในแหลมทองในฐานะเจ้าของถิ่น มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลแล้วถ้านับเวลาก็ไม่น้อยกว่า ๔,๐๐๐ ปี

          เรื่องราวต่างๆในตำนานของชาวชมพูทวีป ที่เกี่ยวข้องกับสุวรรณภูมิ ก็คอืเกี่ยวข้องกับคนไทยนั้นเอง  ไม่ใช่ใครอื่นไหนดินแดนของไทยก็แผ่คลุมตลอดจนแ หลมมลายู  และมีส่วนหนึ่งเลยไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเวลานับพันปีแล้ว  มีประจักษ์พยานที่หาคำตอบไม่ได้อยู่อย่าหนึ่งคือ ชาวฟิลิปินส์กับคนไทย เหมือนกันจนดูไม่ออก ว่าเป็นคนไทยหรือคนฟิลิบปินส์ 

 

          ไม่เฉพาะรูปร่างหน้าตาและดีเอ็นเอของไทยและฟิลิบปินส์เท่านั้นที่คล้ายกัน  แม้แต่ประเพณีต่างๆก็เหมือนกันอีกด้วย เหตุที่เป็นเช่นนี้ไม่มีทางอื่น นอกจากว่าเป็นชนเผ่าเดียวกันและแตกกลายไปตามท้องถิ่นที่ตนอยู่ แยกย้ายกันไปอยู่ต่างถิ่นเสียนานนับพันๆปี ประวัติศาสตร์ขาดตอน จึงไม่ทราบเรื่องราวแต่หนหลัง"

 

   "ฉะนั้น ที่ข้าพเจ้าว่าคนไทยได้รับพุทธศาสนา มาตั้งแต่ พ..๒๓๖ นั้น  จึงหมายถึงคนไทยจริงๆ ไม่ใช่ดินแดน ดั่งที่เข้าใจกันมาแต่เดิม คำว่า "สุวรรณภูมิ" อาจจะเป็นชื่อชาวชมพูทวีปตั้งให้โดยถือเอานิมิตว่าเป็นแดนทองคำ ส่วนชื่อไทยจะมีว่าอย่างไร ไม่มีพยานหลักฐาน  แต่อาจจะชื่อ อู่ทอง ก็ได้   ชาวชมพูทวีปอาจจะแปลเป็น "สุวรรณภูมิ" เพื่อความสะดวกบางประการ เลยเป็นชื่อที่รู้จักกันทั่วไป ข้อนี้แสดงว่าเมืองไทยสมัยโบราณนั้น อย่างน้อยก็มีอู่อยู่ 3 อู่ คือ อู่ทอง 1 อู่เงิน 1 อู่ข้าว 1 อู่น้ำ 1 ดั่งที่พ่อขุนรามคำแหงทรงจารึกบันทึกไว้ว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว"

   "ไทยมิใช่แขกของสุวรรณภูมิโดยชอบธรรมทีเดียว ที่ว่านี้ไม่มีตำนานใดกล่าวไว้ หรืออาจมีแต่ยังหาไม่พบ ที่หาญกล่าวเช่นนี้เพราะถือเอาความเจริญของชาวสุวรรณภูมิเป็นหลักตัดสิน คือสังเกตเรื่องราวแต่อดีต จะเห็นได้ว่าชาวสุวรรณภูมิเจริญวัฒนธรรมเทียมบ่าเทียมไหล่ชาวชมพูทวีปและมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่เข้ามาอีกจนกระทั่งได้มาทุกจนถึงวันนี้ของชาวสุวรรณภูมิทวีปในปัจจุบัน

        ฉะนั้นประวัติศาสตร์ที่ว่าชนเผ่าซึ่งอยู่ลำน้ำเจ้าพระยาแต่เดิมด้อยความเจริญกว่าไทย ไทยจึงสามารถปกครองชนเผ่านั้นได้จึงต้องหมายถึงเวลาก่อนพุทธกาลไม่น้อยกว่าพันปี"

 

     "ประเทศไทยทุกภาคได้เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นก่อนสุโขทัยซึ่งประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นยุคเริ่มแรกของไทยในแหลมทองเป็นไหนๆแล้ว จะว่าเผ่าชนแถบนี้ด้อยอารยธรรมอย่างไรได้ วัตถุโบราณที่มีอยู่บนพื้นดิน และที่ขุดพบ ณ เมืองนครปฐมก็ดี อู่ทองก็ดี กาญจนบุรีก็ดี หรือที่อื่นๆก็ดี ทั่วประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านี้ ต้องเป็นคนมีความเจริญสูงมาก

        ถ้าคนที่สร้างสิ่งเหล่านั้นมิใช่คนไทยแล้ว คนเหล่านั้นหายไปไหนหมด? ไทยจะสามารถกลืนคนที่มีความเจริญยิ่งปานนี้ได้นะหรือ

            "อันสมบัติของไทยทุกอย่างได้เจริญถึงจุดอิ่ม คือแก้ไขให้ดีที่สุดมาแล้ว ที่เห็นได้ชัด คือ ภาษาและหนังสือ คนไทยสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ชัดเจนเท่าเจ้าของภาษา ไม่มีชนชาติใดจะพูดภาษาต่างประเทศได้ชัดเท่าคนไทย หนังสือไทยเขียนคำในภาษาต่างๆ ได้ดีกว่าหนังสือของหนังสือทุกชนชาติ เสียงใดที่มีอยู่ในภาษาอื่น เสียงนั้นมักมีอยู่พร้อมในภาษาไทย เสียงบางเสียงที่มีภาษาไทย กลับไม่มีภาษาอื่น เช่นเสียง "เอือ อือ" เป็นต้น

          ลองให้คนต่างด้าวว่า บางทีตลอดชีวิตก็ว่าได้ไม่ชัด หรือบางทีเสียงใกล้กัน เช่น "ขายไข่ไก่" เป็นต้น

ชาวต่างด้าวจะออกเสียงว่า "คาย คาย ไค"

           "เมื่อพูดถึงหนังสือ ข้าพเจ้าขอเสนอความเห็นต่อท่านผู้อ่านว่า "หนังสือขอม" (อาจจะรวมหนังสือมอญด้วย) นั้น สันนิษฐานว่าเป็นหนังสือไทยแต่เดิมนั้นเอง  ใช้กันมานานแล้วจึงได้ใช้กันแพร่หลายทั่วไป ดินแดนส่วนใดไม่ขึ้นต่อไทย ก็ใช้หนังสือแบบเดิมเรื่อยมา แต่ส่วนใหญ่นั้นมักจารึกไว้ในหนังสัตว์ตามวิสัยคนไตเวลาเกิดอดอยากหรือเกิดศึกสงครามจึงง่ายต่อการย่อยสลายและทำลาย แบบคนไตในแดนต่างๆ ไม่เหมือนชาวขอมมอญที่นิยมจารึกตามหินไว้แต่เดิมเรื่อยมาหรืออาจจะมีของไทยอยู่บ้างแต่ยังไม่มีการขุดหาค้นพบจึงไม่มีหลักฐานยืนยันมาลบล้างคำกล่าวอ้างของคณะฝรั่งเศล  จึงเหลือตกเป็นสมบัติของขอม และต่อมาถูกเขมรกลืนจนอยู่ถึงทุกวันนี้"

 

      ดร.วิลเลียม คลิฟตัน ดอดจ์  หมอสอนศาสนาชาวอเมริกา ซึ่งได้ค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับชาติไทยเป็นเวลานานปี ได้เขียนสรุปท้ายไว้ในหนังสือเรื่อง "ชนชาติไทย" ของท่านไว้ว่า

        "ไทได้อยู่ในแดนอำนาจเป็นเวลาน้อยกว่า 4,000 ปี มาแล้วคือ ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรายังอยู่ตามถ้ำตามเขา และนุ่งห่มใบไม้ และหนังสัตว์"

       รวมความว่า เรามีหลักฐานแวดล้อมนานัปการ ที่ทำให้น่าเชื่อได้ว่า "ชาวสุวรรณภูมิ" ผู้เคยรุ่งเรืองมาในอดีต ตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล และมีความสัมพันธ์เป็นอันดีกับชมพูทวีป ตลอดมาอีกทั้งยังเป็นดินแดนที่พระเจ้าอโศกมหาราช ได้โปรดพระโสณะ-พระอุตตระ นำพระศาสนาเข้ามาประกาศ พร้อมกับอันเชิญอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุเข้ามาประดิษฐานเป็นประเดิมที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็คือ "ชนชาติไทย"เราผู้เป็นเจ้าของ "สุวรรณภูมิแดนใจกลางเฉลียงตลอดมาจนตราบถึงปัจจุบันนี้นั้นเอง

 

         

ขอมนั้นแต่เดิมไม่นิยมใส่เสื้อ ทั้งหญิงและชาย แต่ไทยกลับมีเสื้อโดยเฉพาะเสื้อจากผ้าไหมมากมายแต่โบราณกาล

และชนชาติไทยก็หาได้เป็นพวกไร้วัฒนธรรมและรับเอาวัฒนธรรมของขอมมาเสียทุกอย่างอย่างที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอ้าง…ชนชาติไทยนั้นมีวัฒนธรรมทำผ้าไหม ทอผ้าไหมมานานนับพันปีๆแล้วก่อนที่ขอมจะรู้จักจากไท

และตามบันทึกหนังสือพ่อค้าชาวจีนเองก็ยังกล่าวว่า "ชาวขอมนั้นไม่รู้จักการทอผ้าไหม และเลี้ยงไหมสำหรับทอผ้าใดๆเลย ส่วนผ้าไหมที่เราค้าขายกลับเป็นของคนไทสกอเป็นผู้มาสอนชาวขอมหัดทอ และชาวขอมก็เริ่มนิยมการใส่ผ้าไ ่างไทย"

ถิ่นกำเนิดของชนชาติไท
    
ชนเผ่าไทเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดชนเผ่าหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์ตะวันออก อันเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่แก่แก่ที่สุดในโลก อายุราว ๒,๕๐๐,๐๐๐ ปี พบที่หยวนโมวมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นเขตเก่าแก่ที่สุดที่มีร่องรอยมนุษย์ดึกดำบรรพ์อาศัยอยู่สืบมาจนถึงยุคหินใหม่ เมื่อประมาณ ๗,๐๐๐ ปีมาแล้ว พบหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากในยุคหินใหม่ คือ เครื่องปั้นดินเผาแบบลายกด ขวานหินมีบ่า และขวานหินขัด ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมไป่เยว่สมัยโบราณ ที่เป็นบรรพบุรุษของชนชาติไท

แหล่งกำเนิดผ้าไหมในประเทศจีนแต่เป็นภูมิปัญญาไท
    
ตำนานจีนโบราณระบุว่า ค้นพบไหมเมื่อประมาณ ๔,๕๐๐ ปีมาแล้ว โดยมเหสีชีหลิง สมัยจักรพรรดิฮ่วงตี่หรือหวังตี่ จักรพรรดิจีนองค์แรกในยุคปรำปรา ซึ่งยังไม่ใช่เชื้อสายพวกฮั่นที่เป็นจีนแท้ ตามประวัติระบุว่า พระองค์เป็นบิดาของพระเจ้าเหา ซึ่งเป็นต้นตระกูลของชนเผ่าไท
    
หลักฐานใหม่ที่สนับสนุนว่าผ้าไหมเป็นภูมิปัญญาไท ปรากฏในนิตยสารภาพจีน ฉบับเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๓๗ ระบุว่า ผ้าไหมมีแหล่งกำเนิดที่แคว้นเสฉวน ซึ่งเป็นแคว้นที่พวกเหล่า (ลาว) อยู่มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ก่อนที่ชนเผ่าจีนจะเข้ามาครอบครอง ดังนั้นการเลี้ยงไหมทอผ้าจึงเป็นภูมิปัญญาไท ไม่ใช่ของจีน

หลักฐานเรื่องผ้าไหม ภูมิปัญญาไทจากแหล่งโบราณคดีสมัยหินใหม่
    
แหล่งโบราณคดีสมัยหินใหม่ที่เก่าแก่ที่สุดที่พบหลักฐานว่าผ้าไหมเป็นเป็นภูมิปัญญาไทในวัฒนธรรมลุงชาน อยู่ที่ Chien-shan-yang เมืองวูชิง มณฑลซีเกียง พบผ้าไหมทอลายขัดในตะกร้าไม้ไผ่ อายุประมาณ ๔,๘๐๐ มาแล้ว

วัฒนธรรมการทอผ้าไทในสมัยก่อนประวัติศาสตร์จากหนังสือประวัติศาสตร์ของชาวเยว่
    
หนังสือประวัติศาสตร์ชาวเยว่ สมัยราชวงศ์ฮั่น เมื่อประมาณ ๒,๑๐๐ ปีมาแล้ว ระบุว่า พระเจ้าโกวเจี้ยน กษัตริย์ชาวเยว่ มีนโยบายส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม โปรดให้นำฝ้ายมาทอเป็นผ้าสีเหลือง ส่งไปถวายพระเจ้าฮั่นอู่ตี๋ แห่งราชวงศ์ฮั่น

วัฒนธรรมการทอผ้าของไทในสมัยก่อนประวัติศาสตร์จากหลักฐานผ้าไหมโบราณที่เก่าแก่ที่สุด
    
หลักฐานที่สะท้อนภูมิปัญญาอันสูงของบรรพชนเผ่าไท ผู้มีความสามารถในการทอผ้าด้วยเทคโนโลยีระดับสูง มาตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ คือ การพบผ้าไหมที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้ อายุ ๒,๑๐๐ ปี ที่สุสานนางพระยาเผ่าไท ที่ตำบลหม่าหวังตุย นครฉางซา มณฑลหูหนาน พบผ้าไหมบาง ผ้าไหมโปร่ง ผ้าไหมยกดอกชนิดซับซ้อน ผ้าใยกัญชา ผ้าพิมพ์ดอก ผ้าไหมปักลวดลาย และผ้าไหมวาดลวดลายเป็นเรื่องราว

 

 

 

ถ้าหากชนชาวไทยเป็นคนป่าอย่างที่เขมรกล่าวหาเรา เหตุไฉนเลยผู้มีอารยธรรมยิ่งใหญ่อย่างขอมกลับไม่รู้จักการทอผ้าไหม กลับต้องให้ชนชาติไทยนั้นเป็นผู้สอน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ว่าชนชาติไทยนั้น รับเอาวัฒนธรรมมาจากขอมอย่างเดียว แต่ขอมเองก็รับวัฒนธรรมจากชนชาติอื่นมาเหมือนกัน และชนชาตินั้นเองก็ย่อมเป็นชนชาติมีอารยธรรมสูงและนั้นถ้าหากไม่ใช่ชนชาติไทย  แต่เพียงขอมนั้นมีจารึกและหลักฐานอันทนทานก็คือปราสาทสามยอดต่างๆ จึงกล่าวอ้างได้ว่าตนนั้นมีอารยธรรมสูง แต่หากหลักฐานแต่รายละเอียดของชนชาติตนกลับไม่ปรากฏชัดเจน และอาณาจักรรอบข้างจะมีก็เพียงจามคู่กรรมคู่เวรของขอมที่ขอมใส่รายละเอียดเป็นพิเศษ

เป็นที่แน่นอนว่าชนชาติไทยไม่ได้เป็นชนชาติพึ่งมาแต่ประการใด แต่เป็นชนอารยธรรมสูงในแดนนั้นมาเนินนานแล้ว และย่อมมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมใกล้เคียงกันเป็นธรรมดา  ไทก็เอาจากขอมบ้าง ขอมเองก็ย่อมรับมาจากไทเหมือนกันจะมาทางเชลยศึกหรือทางการค้าก็หาหลักฐานกันต่อไป แต่ที่แน่ๆไทยเองย่อมเป็นชาวมีอารยธรรมสูงมานานเช่นกัน  ไม่เช่นนั้นแล้ว ไทยจะสามารถสร้างวัดวาอารามนับพันปี ด้วยว่าพึ่งอพยพและพึ่งรับอารยธรรมจากขอมไม่กี่ปีก็สามารถสร้างวัดวาอารามได้สวยวิจิตรพิศดารได้เลยหรือ   เว้นเสียแต่ไทยนั้นมีอารยธรรมการสร้างมาแต่นานแล้วนับพันปี

 และตอนนี้ไทยก็เริ่มได้หลักฐานใหม่ๆมากมายทั้งอาณาจักรโบราณที่ขุดค้นพบ พร้อมทั้งกระดูกเครื่องใช้ที่เป็นวัฒนธรรมคล้ายชนชาติไต  ตั้งแต่ยุคสมัยหินใหม่แล้ว  เป็นที่ค่อนข้างยืนยันว่า ไท อาศัยบริเวณแห่งนี้มาเนินนานแล้ว และอารยธรรมไทย ก็ไม่ได้เป็นสองรองใครเลยจนถึงปัจจุบัน

 

 

ปล.ขอมเองนั้นก็รับอารยธรรมอินเดียโบราณมาแบบไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าไม่ใช่ของอินเดีย และถ้าหากอารยธรรมไทยนั้นจะคล้ายอินเดียบ้าง

 

 

 

 


PS.  อยากเบียดเบียนไทย ถ้าอยากให้เกาหลีสงบสุข

แสดงความคิดเห็น

>

9 ความคิดเห็น

ขุนกำแหง 28 ม.ค. 53 เวลา 18:16 น. 1

เนื่องจากคุณอัศวินอโยธยา อะไรนั้น  ทฤษฏีลอยลมว่าคน "ไทย" อพยพมาจากเทือกเขาอัลไต เป็นใหญ่ในน่านเจ้าก่อน แล้วมาครองสุโขทัยและกล่าวว่าศรีนาวนำถุม มีฐานะเป็นคนจากน่านเจ้าต้าหลี่อะไรของคุณนั่น 

คุณจะบอกว่าสุโขทัยไม่ใช่ของไทสร้างแต่เป็นของขอมก่อนที่ไทยจะเข้ามาตีเอาอย่างนั้นหรือ

ผมไม่ทราบว่าคุณไปร่ำเรียนรับการศึกษามาจากเขมรหรือจากหนังสือฝรั่งเศลหรอกนะครับ

จริงอยู่ว่าไทยเราสืบเชื่อเผ่าไตหรือไทมาจริง แต่ว่าก็กระจัดกระจายไปมาก และไม่มีบันทึกใดว่า ไทไหนอพยพมาเมื่อไรตอนไหน ที่ใด พึ่งจะมาสันนิษฐานกันไม่กี่ปีมานี้ตาม พวกต่างด้าวมันบอก

แต่กรุณาศึกษาของคณะสำรวจชาติอื่นๆบ้าง ก็พอทราบนะครับ ฝรั่งเศล เขมร เข้าเป็นอะไรกัน เป็นผลทางการเมืองด้วยในเมื่อก่อน



ไม่มีจารึกใดแน่ชัดว่า "ขอม" คือใคร ใช่เขมรจริงๆหรือ
1.ทำไมวัฒนธรรมขอม เช่นการสร้างปราสาทหิน จึงไม่สืบทอดมาสู่เขมร  และสิ้นสุดไม่มีการก่อสร้างต่อเลยในช่วงเรียกตนว่า ขะแม
2.ทำไมเขมรจึงไม่รู้เลยว่ามีปราสาทหินนครวัดอยู่ในป่าดงดิบ อย่างน้อยถ้าเขมรสืบเชื้อสายจากพระเจ้าสุริยวรมันจริงก็ต้องรู้สิว่ามีปราสาทหินอยู่ ในตำราก็ต้องบันทึกบ้างการใหญ่ขนาดนี้
3.ถ้าเขมรเป็นขอมจริงทำไมจึงปลดแอกตัวเองจากไทยไม่ได้เสียที ทั้งที่เป็นชาติที่สุดแสนยิ่งใหญ่ในอดีต
4.เขมรไม่มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลังจากยุคขอมเลย ทั้งที่ถ้าเป็นขอมจริง ก็หน้าจะมีปัญญาทำได้
อย่างน้อยก็ปราสาทหินเล็กๆก็ยังดี



PS.  อยากเบียดเบียนไทย ถ้าอยากให้เกาหลีสงบสุข
0
หยิง 28 ม.ค. 53 เวลา 20:59 น. 2

สุวรรณภูมิ ไม่ใช่ของชาติไทย เพราะชาติไทย เพิ่งเกิดขึ้นตอนยุคกลางของรัตนโกสินทร์
ย้อนไปช่วนต้นรัตนโกสนิทร์ ไทย ยังไม่ใช่ ไทย แต่เป็นสยาม
สยามมีพื้นที่แท้จริงแล้วแบริเวณกรุงเทพกับภาคกลางโดยรอบอีกนิดหน่อย
นอกนั้นเป็นหัวเมือง อย่าง เมืองขอนแก่น เมืองโคราช เมืองอุบล
หัวเมืองปกครองตัวเอง แต่มีผู้สำเร็จราชการไปคอยกำกับ
พอมาถึงรัตนโกสินทร์มาถึงช่วงรัตนโกสินทร์ตอนกลาง ได้จัดทำแผนที่ขึ้นรวมหัวเมืองทั้งหมดเข้าเป็น สยาม
แล้วเปลี่ยนชื่อจากสยามเป็นไทย ในสมัยจอมพล ป. ที่เปลี่ยนชื่อประเทศตามชนชาติที่อาศัยอยู่
ถ้านับเอาว่าผู้ที่อาศัยในสุวรรณภูมิ คือบรรพบุรุษไทย
ก็ไม่ตรงเท่าไหร่
ในสุวรรณภูมิมีหลายชนชาติอาศัยอยู่ ทั้งอยู่ปะปนไปมาหาสู่ เกิดการผสมผสานระหว่างเผ่าพันธุ์
และรวมชนชาติเดียว อยู่กันเป็นกลุ่ม
ซึ่งทั้งหมดควรเรียกว่า คนพื้นเมืองในดินแดนสุวรรณภูมิ
สมัยก่อนไม่ได้มีการแยกแยะชัดเจน ว่าใครเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไหน
เพื่งมาแยกตอนที่มีการศึกษามนุษยวิทยาอย่างจริงจัง
ขอม หรือ ไท ในสมัยนั้น เป็นการรวมกลุ่มกันของคนพื้นเมือง ตั้งบ้านแปงเมืองขึ้นมา
แต่มิได้แบ่งแยกเรื่องชาติพันธุ์
การที่มีการสันนิฐานเรื่องความป่าเถื่อนของแต่ละชนเผ่า
เป็นเเพยงจิตวิทยาในเรื่องความเป็นรัฐ
ที่สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติ
สรุป
คนไทที่เป็นบรรพบุรุษของไทย คือคนพื้นเมืองในสุวรรณภูมิ มิใช่เจ้าของดินแดนทั้งหมด

0
BBGUN 28 ม.ค. 53 เวลา 21:17 น. 3

อดีตผ่านมาแล้ว&nbsp เราเรียนรู้อดีตเพื่อให้รู้ว่าเราจะอยู่รอดต่อไปยังไงในอนาคต เราเป็นคนไทยอย่าทะเลาะกันกับเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดดีกว่านะครับ&nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp &nbsp เรื่องจะดูว่าตกลงอะไรมายังไง&nbsp คงไม่มีใครรู้นอกจากจะย้อนอดีตกลับไปดู&nbsp มันอาจจะเป็นกรณีที่1หรืออาจเป็นกรณีที่2
หรืออาจจะ 2 อย่างรวมกัน หรือไม่มีอะไรถูก ก็ช่างมันเถอะครับ&nbsp ปัจจุบันเรายังคงมีชาติไทยอยู่ แล้วถ้าเรารักษาคงไว้ รักชาติไทย รักวัฒนธรรมไทย ไทยก็ไม่สูญหายแล้วหล่ะนะครับ ^ ^

0
ขุนกำแหง 29 ม.ค. 53 เวลา 14:08 น. 5

เช่นนั้น การที่กล่าวหาว่า ชนชาติไทยพึ่งอพยพมาในสมัยพ่อขุนบางกลางหาวย่อมไม่เป็นความจริง ดั่งที่ ผู้นำเขมรอ้าง


PS.  อยากเบียดเบียนไทย ถ้าอยากให้เกาหลีสงบสุข
0
ติมูร์ข่าน 29 ม.ค. 53 เวลา 16:42 น. 6

โถๆ นึกว่าเรื่องอะไร ทำเอาเสียผมตกอกตกใจจนหายใจหายคอไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว
ครับผม ผมยอมรับว่าผิดจริงตามที่คุณกล่าวอ้างครับ คุณขุนคำแหง...แต่ผมก็มีอะไรมาให้คุณดูเล็กน้อยนะครับ

ความคิดเห็นที่ 96

ขอบคุณสำหรับข้อติติงนับแต่ความเห็นที่ 92 มานะครับ ซึ่งผมของขี้แขงไปดังนี้
-------- ส่วนตัวของผมนั้นไม่ค่อยถนัดประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ (เพราะศึกษาจริงจังในช่วงปีนี้นี่เอง ) จึงทำให้ข้อมูลในส่วนภูมิภาคนี้มีความคลาดเคลื่อนเปนอันมาก สำหรับสาเหตุที่ผมไม่ได้กลับไปแก้ไขนั้น เพราะด้วยต้องการเน้นเรื่องการจัดการวิชาการเรียนและการศึกษา+งานเขียนเรื่องใหม่ๆในระยะนี้ จึงทำให้งานเขียนที่ผิดพลาดนั้นยังคงค้างอยู่จนปัจจุบันนี้
- คห.92 ผมไม่มั่นใจว่าใช่อาจารย์ราม วัชรประดิษฐ์ของสาขาประวัติศาสตร์จริงๆหรือเปล่า แต่หากว่าใช่ ผมก็ต้องกราบขออภัยมาใน ณ ที่นี่จริงๆว่าผมไม่แม่นในเรี่องข้อมูลดินแดนสุวรรณภูมิในช่วงยุคโบราณจริงๆอย่างที่ชี้แจงไปแล้วครับ ผมจะถนัดที่ก็ยุคกรุงศรีอยุธยาเข้าไปแล้ว ดังนั้น ถ้าข้อมูลเปนความเปนผิดพลาดสมตามความเห็นของอาจารย์และผู้รู้หลายท่าน ผมก็คงไม่ข้อแย้งขัดอะไรทั้งสิ้น และขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายถือว่าเปนความผิดพลาดของผมเพียงผู้เดียว ส่วนเรื่องที่เอาบุคลาจารย์ไปกล่าวอ้างนั้น ก็ด้วยเปนวิสัยของผู้ที่รู้ซึ้งในพระคุณของครูบาอาจารย์ มิได้หมายหลบหลู่หรือทำให้ตกต่ำลงแต่อย่างใดไม่
-------- สำหรับเรื่องการทูตนั้น ผมเองได้สำรวจเนื้อหาโดยถี่ถ้วนแล้ว ผมไม่เคยหรือยืนยันกล่าวว่าอยุธยาเปนผู้แรกที่ส่งบรรณาการไปจีน ซ้ำยังกล่าวอย่างชัดเจนว่า "กรุงสุโขทัยได้ส่งกองเรือสำเภาไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนมาโดยตลอด" แต่ผมได้กล่าวขยายความในเรื่อง "พระร่วงไปเมืองจีน" ซึ่งจริงแท้แล้วคือสมเด็จพระนครินทราฯเท่านั้น มิได้กล่าวในทำนองว่ากรุงศรีอยุธยาคือเจ้าแรกที่ส่งทูตไปจีนแต่อย่างใดเลย
- คห.94 สำหรับชาติพันธุ์ไท - สยามก็ถือว่าผมได้กล่าวขอโทษและยอมรับในตอนต้นและตามใน คห.92 แล้วแต่สำหรับข้อมูลเรื่องกองทัพพุกามจำนวนมหาศาลถึงเพียงนั้น ผมได้อ้างตามหนังสือจดหมายเหตุของมาร์โค โปโลวยึ่งก็ยอมรับว่าเชื่อถืออะไรไม่ได้มากนักเช่นกัน หากแต่ผมเองก็ไม่ได้ใส่ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมอะไร ก็ขออภัยและขอบคุณในข้อชี้แนะนี้ด้วยเช่นกันครับ


PS.  Ihcuc Christos Nika "พระเยซูคริสต์วิชิตราช" - ธงรบไบแซนไทน์
Name : ติมูร์ข่าน< My.iD > [ IP : 118.172.136.66 ]
Email / Msn: Andronicus_II(แอท)hotmail.com ส่งข้อความลับ
วันที่: 17 พฤษภาคม 2551 / 19:02
คุณขุนคำแหงครับ...ช่วยอ่านเนื้อความในกระทู้ที่ผมตั้งมาตอบ และวันเวลาที่ผมออกมาขอโทษให้ชัดๆด้วยนะครับ สวัสดีครับ
PS.  หากฟ้าสวรรค์ปกครองด้วยพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวได้แล้วไซร้ ไฉนบนผืนพิภพจักมีจอมจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวมิได้ - ติมูร์เลน
0
ขุนศึกอยุธยา V.๐๒ 31 ม.ค. 53 เวลา 14:17 น. 7

ขุนกำแหง

ท่านสมชื่อนัก




PS.  เราจะรบเคียงไหล่ เราจะตายเคียงกัน รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด Cavalry can do. เลือดข้า เลือดทหารม้า สีฟ้าหม่น
0
แวะมาอ่าน 16 มี.ค. 53 เวลา 20:38 น. 8

ผู้นำเขมรเขาจะว่าอย่างไร ช่างเขาปัจจุบันเรารักชาติไทยให้มากสมเนื้อร้องเพลงชาติไทย
มีสถาบันชาติ(ที่ผสมด้วยชาติพันธุ์หลากหลาย ไทย จีน ลาว เขมร ส่วย ย้อ กะเลิง ข่า แม้ว อีก้อ กะเหรี่ยง&nbsp เวียดนาม แขกอินเดีย แขกปากี ฯลฯ และ ฯลฯ โฮ้ย และ ฯลฯ ) ศาสนาที่อยู่รวมกันได้อย่างสบาย อิสลามก็ไม่สุดโต่ง อย่างแถวอาหรับ คริสต์ก็เผยแพร่ศาสนาได้แม้แต่ตามต้นไม้สูงๆ
ในข้างถนน(น่าเกลียดอยู่นะขอบอก...รกตาน่ะ) ศาสนาพุทธก็ไหว้พระ&nbsp ทำกฐิน ผ้าป่าไปตามเรื่อง หุหุ มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ในหลวงของเราเป็นบุคคลที่น่าทึ่งสำหรับชาวไทยและชาวโลก&nbsp รักชาติให้สมเหตุสมผล&nbsp รู้จักพิจารณาว่าควรทำอะไรควรไม่ควร ประเทศไทยไปโลดครับ

0
Mary 29 ธ.ค. 55 เวลา 01:39 น. 9

มีข้อสงสัยและข้อคิดเห็น ดังนี้

- "อาณาจักรสุวรรณภูมิ"??? เคยได้ยินแต่ "ดินแดนสุวรรณภูมิ"หรือ"คาบสมุทรอินโดจีน"เท่านั้น ถ้ามีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ ขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยนะคะ

- "ขอม" มีความหมายอย่างเป็นทางการว่า "กลุ่มทางวัฒนธรรมบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา" ไม่สามารถนิยามได้ว่าเป็น"ชนชาติ"ใดๆ และเป็นคำที่มีเฉพาะในภาษาไทย(นิยามโดยคนไทย)

- ในด้านภาษาศาสตร์ หากชนชาติไทย อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีนมาตั้งแต่ยุคหินใหม่ และมีการสร้างอารยธรรมไปพร้อมๆกับชาติพันธุ์อื่นๆในบริเวณนี้ แน่นอนว่าโครงสร้างทางภาษาควรจะมีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน แต่กลับพบว่าภาษาไทยมีโครงสร้างทางภาษาที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากชาวเขมร มอญ และอื่นๆ ซึ่งพบคำโดดหลายพยางค์ และไม่มีวรรณยุกต์ ขณะที่ภาษาไทยมีวรรณยุกต์ คำโดดพยางค์เดียว โครงสร้างลักษณะนี้พบได้เฉพาะในตระกูลภาษาซิโน-ทิเบตัน ม้ง-เมี่ยน และไท-กะได

- โครงสร้างประชากรในปัจจุบัน ค่อนข้างเป็นอุปสรรคในการสำรวจเพื่อบ่งชี้ความเป็นชนชาติ อันเนื่องมาจากโครงสร้างประชากรในหลายประเทศ มักพบเปอร์เซ็นต์ของประชากรต่างถิ่นหรือประชากรอื่นๆที่ไม่เป็นชนชาติหลักสูงกว่าประชากรที่เป็นเจ้าของชนชาติ ยกตัวอย่างประชากรชาวเกาหลีพบว่ามียีนส์ของชาวจีนในเปอร์เซ็นต์สูงเกินครึ่ง จึงต้องมีการเปรียบเทียบความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม ซึ่งชาวเกาหลีพูดภาษาตระกูลอัลไตอิกเช่นเดียวกับชาวมองโกล

0