Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

Pic ! "น้ำพุ" ตัวจริง !! (ไม่ดัก)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

แม่ของ "น้ำพุ" ….สุวรรณี สุคนธา

ครั้งใด...ที่มีการตั้งวงสนทนา โดยการหยิบยกเอาเรื่องราวของ "น้ำพุ" หรือ "วงศ์เมือง นันทขว้าง" -เด็กหนุ่มผู้แสนจะอ่อนไหวและปรารถนาบางสิ่งที่เขาทำได้เพียงแค่ "ฝัน" ครอบครัวอันอบอุ่นคือ ฝันที่เขาปรารถนา ทว่าฝันนั้นกลับจบลงด้วยการจากไปของเขาด้วยวัยเพียง ๑๘ ปีเศษ สาเหตุจากยาเสพติด -มาเป็นหัวข้อของการถกเถียงพูดคุย
น้ำเสียงและท่วงทำนองของบทสนทนาเหมือนถูกกำหนดไว้อย่างตายตัวเสมอ มันจะดำเนินไปอย่างเศร้าสร้อย เห็นใจ และอาลัยลา แด่ดวงวิญญาณที่จากไป ขณะที่บทสรุปของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น, ทุ่มเถียง มักวนเวียนอยู่กับการโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงไปให้แก่พ่อแม่ -คู่สามีภรรยาที่สัมพันธภาพของชีวิตคู่ ดำเนินไปอย่างกระท่อนกระแท่น จนนำไปสู่การแยกทางกันในที่สุด และเชื่อกันว่า นี่คือมูลเหตุสำคัญสุดที่นำความตายมาสู่เด็กหนุ่มนัยน์ตาเศร้าผู้นี้ !
หลายครั้งที่ผู้เขียนรับรู้ว่า ตราชั่งของวงสนทนาดูจะถ่ายเทน้ำหนักความผิดลงไปที่ตัวของ สุวรรณี สุคนธา แม่แท้ๆ ของน้ำพุ และอดีตนักเขียนหญิงระดับแนวหน้าของประเทศซึ่งมีไม่กี่คนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน โดยพุ่งไปที่ความบกพร่องของสุวรรณีที่ไม่สามารถทำหน้าที่ "แม่" และ "เมีย" ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อันเป็นวิธีคิดของคนในสังคมไทยที่มีกรอบความคิด "อุดมการณ์ชายเป็นใหญ่" (Patriarchy) ครอบงำอยู่ ซึ่งภายใต้กรอบวิธีคิดดังกล่าว เธอและหญิงไทยทั่วไปจึงมีสถานะที่ต้องอดทน และก้มหน้ายอมรับในทุกสถานการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากฝ่ายสามี ทั้งนี้ ก็เพื่อประคับประคองครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข
ทันทีที่บทสนทนาเดินทางมาถึงตรงจุดนี้ ม่านเวทีก็จะโรยตัวปิดฉากการแสดงเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่สำหรับผู้เขียน สิ่งนี้ยังคงไม่จบ แม้ผู้ชมจะเดินออกจากโรงไปหมดแล้ว คำถามมากมาย ผุดพรายขึ้นในหัวกบาล พร้อมๆ กับที่หูแว่วได้ยินเพลง BLOWING IN THE WIND ของบ๊อบ ดีแลน ที่โด่งดังในช่วงแห่งการแสวงหาในยุคศตวรรษที่ ๑๙๖๐ ส่งเสียงมากับสายลมเหน็บหนาวและเหงาเงียบ ราวกับจะบอกว่า "คำตอบนั้น... มันล่องลอยอยู่ในสายลม"

โดยส่วนตัว ในการรับรู้เรื่องราวของน้ำพุของผู้เขียน อาจแตกต่างไปจากผู้อื่นอยู่บ้าง เล็กน้อย หลายคนอาจรับรู้เรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้นี้ ในรูปแบบของภาพยนตร์ที่กำกับโดยยุทธนา มุกดาสนิท ผู้กำกับชื่อดังเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยมีอำพล ลำพูน นักแสดงที่ไม่ค่อยคุ้นหูนักในช่วงเวลานั้น รับบทน้ำพุ ขณะที่ ภัทราวดี มีชูธน นักแสดงหญิงเจ้าบทบาท รับบทสุวรรณี
น้ำพุได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการ ด้วยการออกฉายราวกลางปี ๒๕๒๗ ทุบสถิติรายได้ไปถึง ๑๕ ล้านบาท บรรยากาศตามหน้าโรงหนังที่ฉายหนังเรื่องน้ำพุ เต็มไปด้วยผู้คนที่แออัดยัดเยียดกันเพื่อแย่งกันเข้าชม ไม่ต่างอะไรไปจากที่เมื่อครั้ง "สุริโยไท" หรือ "ต้มยำกุ้ง" ลงโรงฉาย น้ำพุร่ายเวทมนตร์เนรมิตให้อำพล ลำพูน จากนักแสดงที่ไม่มีใครรู้จักให้กลายเป็นชื่อที่ติดปากคนเพียงแค่ชั่วเวลาไม่ทันข้ามคืน อิทธิพลของภายยนตร์เรื่องนี้ยังส่งผลให้อำพลได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมตุ๊กตาทองและรางวัลสุพรรณหงษ์ รวมทั้งจากงานเทศกาลภาพยนตร์แห่งเอเซียและแปซิฟิก ครั้งที่ 29 อีกด้วย
ในตอนนั้นเอง ที่คนทั้งประเทศได้ร่วมรับรู้เรื่องราวของวงศ์เมือง นันทขว้าง หรือ น้ำพุตัวจริง พร้อมๆ กับที่ประเด็นปัญหาเรื่อง "ความอบอุ่นในครอบครัว และฤทธิ์ร้ายของยาเสพติด" ได้ถูกจุดขึ้นในสังคมไทย "เด็กมีปัญหา" กลายเป็นคำฮิตระบาดไปทั่วประเทศ ไม่ต่างอะไรจากคำว่า "กิ๊ก" ดังเช่นปัจจุบัน

สำหรับผู้เขียนไม่ได้รับรู้เรื่องราวของน้ำพุในแบบของภาพยนตร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังได้สัมผัสในรูปแบบของหนังสือมาก่อนด้วย หนังสือเล่มบางๆ เล็กๆ แต่แสนเศร้าที่ชื่อ "เรื่องของน้ำพุ" ได้เกิดขึ้นมาหลายปีก่อนที่มันจะกลายมาเป็นภาพยนตร์
สุวรรณีได้ดัดแปลงวรรณกรรมชิ้นนี้จากหนังสือที่พิมพ์แจกในงานศพของน้ำพุเอง (เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๑๗) โดยรวบรวมเอาจดหมายทั้ง ๑๐ ฉบับของน้ำพุ ที่มีมาถึงเธอในช่วงระหว่างการอดยาที่สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก สระบุรี และยังได้เพิ่มงานเขียนสั้น ๒-๓ ชิ้นลงไป เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของผู้เป็นแม่ที่มีต่อลูกชายผู้จากไป
"ที่จริงไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้นที่แม่ไม่ค่อยขัดใจน้ำพุ ราวกับจะรู้ว่าน้ำพุมีเวลาอยู่กับแม่น้อยนิดเดียว เพียง ๑๘ ปีกับ ๒ เดือน ๑๕ วัน"
ข้อความตอนหนึ่งของสุวรรณีที่เขียนถึงน้ำพุ ปรากฏอยู่ในส่วน "คำนำ"
ขณะที่ ในหน้า ๑๑ เธอได้ถ่ายทอดความรู้สึกของผู้เป็นแม่ ขณะตระกองกอดร่างอันไร้วิญญาณของน้ำพุแนบอกเป็นครั้งสุดท้าย
"แม่จูบน้ำพุเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาของเราไหลปนกัน เมื่อแม่บอกน้ำพุว่าหลับให้สบายนะลูก จากนั้นแม่ก็มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เหมือนถูกไขลาน จากวันนั้นจนกระทั่งวันนี้แม่เพิ่งได้รู้จักความทุกข์นั้นใหญ่หลวงหนักหนาเพียงไร"
จากตัวอักษรที่บรรจงเขียนขึ้นด้วยความรู้สึกปิ่มว่าจะขาดใจของผู้เป็นแม่เหล่านี้ ที่ทำให้ผู้เขียนไม่อาจทำใจคล้อยตามคำพิพากษาของสังคมต่อผู้หญิงคนนี้ได้ แม่ที่เต็มใจหอบหิ้วภาระน้อยๆ ทั้ง ๔ ชีวิตเพื่อไปตายเอาดาบหน้า ภายหลังจากการหย่าร้างกับสามีผู้นี้น่ะหรือ คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นกับลูกชายแท้ๆ ของเธออย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
แม้ว่า ในหน้า ๑๓ ของหนังสือเล่มนี้ เธอจะกล่าวในทำนองยอมรับความผิดที่เกิดขึ้นก็ตาม
"...นี่เป็นความผิดของแม่คนเดียว ไม่ใช่ของใครเลย และบัดนี้แม่ก็รับกรรมอันนั้นแล้ว หลับให้สบายเถอะนะน้ำพุ ระหว่างเราแม่ลูกไม่ต้องพูดกันถึงชาตินี้ หรือชาติหน้าหรอก น้ำพุอยู่ในหัวใจของแม่ตลอดเวลาอยู่แล้ว"
... แม่
๓๑ พ.ค. ๑๗

ภาพเหมือนสุวรรณี สุคนธา ฝีมือ ทวี นันทขว้าง ผู้เป็นสามี


ภัทราวดี มีชูธน ผู้รับบท "สุวรรณี" ในภาพยนตร์ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร a day ประจำเดือนตุลาคม ๒๕๔๓ หน้า ๕๕ เกี่ยวกับตัวตนของสุวรรณี เอาไว้ว่า
"ที่ผ่านมาก็รู้จักคุณสุวรรณีพอสมควร เคยเจอกันในงาน พูดคุยหัวเราะ สนิทสนมกัน รักแกมาก จะเจอไม่ได้ พอจะเจอกันต้องกระโจนเข้าหากัน (หัวเราะสนุก) ส่วนมากจะพบกันในงาน เวลาได้คุยกันแล้ว มีความรู้สึกเหมือนความคิดของเรามันถึงกัน อาจเป็นเพราะว่ามีอะไรเหมือนกันหลายๆ อย่าง เป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน มีความมั่นใจในตัวเองเหมือนกัน นี่ไม่นับนิสัยแบบ ฉันอยากจะทำอะไรฉันก็ทำ ฉันเป็นตัวของตัวเอง ชีวิตเป็นของฉัน ไม่กลัวใครจะมองอะไรอย่างนั้น ซึ่งคุณอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะยุคนี้เราก็มีผู้หญิงแบบนี้ให้เห็นกันเยอะ แต่สมัยนั้นมันต่างจากวันนี้มาก"
บทสรุปของภัทราวดี สะท้อนให้เห็นว่า สุวรรณีมิใช่ผู้หญิงของยุคสมัยเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ยุคสมัยที่ถือว่า การหย่าร้างกับชายผู้เป็นสามี ถือเป็น "ความผิดบาปของฝ่ายหญิง" และจะยิ่งโจษขานกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง หากสาวใหญ่ลูกติดอย่างสุวรรณี คิดจะมองหาชายคนใหม่สักคนสำหรับการเป็น "ที่พักพิง" ของชีวิต
และทั้งหมดที่กล่าวมานี่นั่นคือ สิ่งที่สังคมได้กระทำไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ สุวรรณี สุคนธา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

แต่จะอย่างไร ถึงแม้สุวรรณี จะผ่านความทุกข์ระทมมาแสนสาหัสเพียงใด แต่ในวันนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าเธอน่าจะมีความสุขแล้ว เพราะหลังการจากไปของน้ำพุเป็นเวลากว่า 10 ปี เธอก็ได้เดินทางไปอยู่ร่วมกันกับน้ำพุ ลูกชายอันเป็นที่รักของเธออีกครั้งหนึ่ง
แม้การอยู่ร่วมกันครั้งนี้จะเป็นการอยู่ร่วมกันในอีกภพหนึ่ง....ก็ตาม

เมื่อเวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. วันที่ ๓ ก.พ. ๒๗ ได้มีคนร้ายขับรถ บี.เอ็ม.ดับบลิว. นำศพ "สุวรรณี สุคนธา" ไปทิ้งที่บริเวณหลังสวนสยาม ถนนรามอินทรา แขวงคันนายาว เขตบางกะปิ สภาพศพถูกมีดแทงตามร่างกาย ๘ แผล ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมนายคชินทร์ สมบูรณ์ และนายไพฑูรย์ สว่างไพร สองนักเรียนโรงเรียนช่างกลแห่งหนึ่ง คนร้ายที่พยายามแย่งชิงรถยนต์ แต่เมื่อสุวรรณีขัดขืน เธอจึงถูกทำร้ายจนเสียชีวิต… ข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๔ ก.พ. ๒๕๒๗

(จรัล มานตรี)

cradit : http://www.thaiwriternetwork.com/articleread.php?id=155

ส่วนภาพนี้เป็นภาพของน้ำพุตัวจริง สมัยยังมีชีวิต

คนขวามือ

หน้าเค้าดูไม่ค่อยมีความสุขเลยเนอะ ไม่เหมือนคนอื่นๆ

www.dek-d.com

กระทู้เก่าเล่าใหม่ สำหรับคนที่ยังไม่เคยเห็นจ้า


เป็นครั้งแรกที่แม่เขียนถึงน้ำพุได้อย่างยากลำบากใช่ว่าไม่มีเรื่องจะเขียนถึง ทว่ามีมากเกินไปจนแม่ไม่รู้จะขึ้นต้นจากตรงไหนดี เมื่อน้าแพทและกบบอกแม่ว่า น้ำพุไปแล้วนั้นแม่ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริงไปใด้อย่างไร น้ำพุยังเปิดประตูรับแม่อวดกางเกงใหม่ที่จะใส่ไปโรงเรียนพรุ่งนี้เช้า แม่ติว่าเป้าสั้นไปนิดนึง แต่น้ำพุก็บอกว่ามันเรียบร้อยดีแล้ว แม่ก็ไม่อยากขัดใจน้ำพุหรอก ที่จริงก็ไม่ว่าจะเรื่องอะไรทั้งนั้น ที่แม่ไม่ค่อยอยากขัดใจน้ำพุ ราวกับจะรู้ว่า น้ำพุจะมีเวลาอยู่กับแม่น้อยนิดเดียว เพียง ๑๘ ปีกับ ๒ เดือน ๑๕ วัน

แม่พยายามจะเอาน้ำพุกลับคืนมาให้ใด้ในเช้ามืดของวันนั้น ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ หมอพัลลภและเพื่อนของหมอที่รพ.เปาโลเขาช่วยน้ำพุอยู่ ๒ ชั่วโมง เป็นเวลาที่แม่ใจรอนๆราวกับหัวใจจะขาดตามน้ำพุไปด้วย แม่จูบน้ำพุเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาของเราไหลปนกันไปเมื่อแม่บอกน้ำพุว่า หลับให้สบายนะลูก

จากนั้นแม่ก็มีชีวิตอยู่ไปวันๆเหมือนถูกไขลาน จากวันนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้แม่พึ่งจะได้รู้จักว่า ความทุกข์นั้นใหญ่หลวงนักหนาเพียงไรอย่างไรก็ตาม แม่ดีใจที่น้ำพุรู้จักดีชั่ว และได้ใช้ความพยายามอดทนที่จะเป็นคนดีกับเขาให้ได้และน้ำพุก็ทำได้แล้ว

แม่นึกถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า แม่ได้ให้ความสุขกับน้ำพุพอเพียงหรือไม่ และก็คิดได้ว่าแม่น่าจะได้ให้ความสุขกับน้ำพุได้มากกว่านี้ บางครั้งน้ำพุว้าเหว่มาก เพราะน้ำพุเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน เข้ากับพี่ๆน้องๆไม่ได้เมื่อเขาจุ๋มจิ๋มเล่นปักหมอน หรือตัดเสื้อ น้ำพุก็เข้ามาเลียบๆเคียงๆแล้วก็ถูกเขาไล่ออกไป อย่างคืนวันนั้นที่พี่กับน้องเค้าลองเครื่องชั้นในกัน น้ำพุเข้ามาเขาก็แตกกระจายกันไปคนละทางสองทาง น้ำพุก็ถูกดุว่า ไม่รู้จักมารยาท น้ำพุอาจจะเหงาเหลือเกินในตอนนั้นและน้ำพุก็ปิดประตูให้แม่กับน้องๆ หันลงบันไดกลับมาอย่างเงียบๆลงมาเปิดเพลงและหาความสุขไปคนเดียว...ตามลำพัง

นี่เป็นความผิดของแม่คนเดียวหรอก ไม่ใช่ของใครเลย และบัดนี้แม่ก็รับเวรกรรมอันนั้นแล้ว หลับให้สบายเถิดนะน้ำพุ ระหว่างเราแม่ลูก ไม่ต้องพูดกันถึงชาตินี้...หรือชาติหน้าหรอก น้ำพุอยู่ในหัวใจของแม่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

แม่ ๓๑ พค. ๑๗

_______________________________________________________________

เรื่องของน้ำพุ

เรื่องของน้ำพุ เมื่อได้อ่านก็รู้ซึ้งกับเรื่องนี้เมื่อ คำนำเริ่มต้นด้วย
น้ำพุเกิดเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๙ นั้นเป็นชื่อที่เรียกกันเล่นๆในครอบครัว และเลยเรียกติดปากมาจนกระทั่งน้ำพุโตเป็นหนุ่ม

น้ำพุจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนศรีวิกรม์ และจากนั้นได้จากไปเรียนที่เชียงใหม่ปีหนึ่ง ที่ไปเรียนก็เพราะน้ำพุตามใจแม่ เมื่อเห็นว่าควรเรียนที่นั่นจะดีกว่า น้ำพุก็ไปตามคำ เมื่อไปเรียนจึงรู้ว่าน้ำพุไม่ได้ชอบวิชาที่เรียนเลย แต่ชอบศิลปะมากกว่า จึงได้ขอแม่มาเรียน ก่อนการเปิดเรียนในปีนั้น น้ำพุได้บวชเณรอยู่เดือนหนึ่ง เมื่อเปิดภาคเรียนแล้วจึงสึกออกมาเรียนต่อ ระหว่างนั้น น้ำพุอยู่ในความอุปการะของป้า

ระหว่างปีสุดท้ายของการเรียน น้ำพุเริ่มคบเพื่อนหน้าตาแปลกๆ และพาเข้ามาในบ้านให้แม่เดือดร้อนใจอยู่เสมอ เช่น ริอ่านทำความรู้จักกับเหล้าแห้ง กัญชา และยาเสพติดชนิดต่างๆ

จากนั้นน้ำพุก็เปลี่ยนใช้ยาที่แรงขึ้นๆ จนกระทั่งถึงเฮโรอีน เมื่อมาสารภาพว่าติดแล้วนั้น น้ำพุกำลังเตรียมตัวจะไปอดที่ถ้ำเขากระบอก มาขอเงินแม่สามร้อยบาท ครั้งแรกตั้งใจจะไปโดยไม่บอก แต่หาเงินเท่าไรก็ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมาสารภาพ ระหว่างนั้นตัวข้าพเจ้าเองต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด จึงไม่อาจจะไปดูแลน้ำพุที่ถ้ำเขากระบอกได้ เมื่อกลับมาน้ำพุสดใสขึ้นมาก ทำให้ครอบครัวมีความหวังว่าน้ำพุคงจะดีขึ้น มีคนถามข้าพเจ้าเสมอ หลังจากที่น้ำพุได้สิ้นชีวิตแล้วว่า "เลี้ยงลูกยังไงถึงได้ปล่อยให้ติดเฮโรอีน"

ทำให้ต้องนิ่ง และไม่อาจจะหาคำตอบได้

แต่ถ้าจะให้ตอบจริงๆแล้ว ก็จะต้องโทษตัวเองว่า "เลี้ยงลูกไม่เป็น"

และเมื่อเหตุไรที่ลูกชายสิ้นชีวิตไปเพราะยาเสพติด จึงนำเอามาเปิดเผย เพราะไม่ใช่เรื่องที่ดี น่าจะปิดเป็นความลับไว้มากกว่า

คำตอบตรงบรรทัดนี้มีอยู่ว่า เพราะไม่อยากให้ลูกของคนอื่นๆ ต้องเสียชีวิตไปเพราะยาเสพติดอีก ถ้าเรื่องของน้ำพุจะเป็นประโยชน์ต่อลูกของใครอื่นได้ ข้าพเจ้าก็จะยินดีอย่างยิ่ง และจะไม่ขออะไรอื่นนอกจากผลกุศลที่ได้เกิดจากสิ่งที่ทำไปแล้วนี้ ขอให้น้ำพุจงไปมีความสุขในโลกใหม่ หรือที่ใดก็ตามที่น้ำพุขึ้น ไปอยู่ เมื่อน้ำพุกลับมาแล้วก็ตั้งใจเรียนดีขึ้น หลังจากที่ได้เสียเวลาไปถึงสองปี ปีแรกที่เชียงใหม่ และปีที่สองไม่ได้สอบที่โรงเรียนช่างศิลป์ เพราะต้องเข้าโรงพยาบาลถึงเดือนครึ่งเนื่องด้วยโรคไวรัสลงตับ เวลาเรียนมีไม่พอสอบ

วันสุดท้ายที่ได้พบลูกนั้น เป็นคืนวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ตอนเย็นลูกไปหาที่โรงพิมพ์ พาสาวน้อยหน้าตาจุ๋มจิ๋มไปด้วย และบอกว่าขอเงินไปเอากางเกงนักเรียน ได้หยิบเงินให้ไปและสั่งว่าอย่ากลับค่ำ น้ำพุก็รับคำเป็นอันดี เมื่อไปถึงบ้านนั้นประมาณสามทุ่ม น้ำพุมาเปิดประตูรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ใครจะรู้ว่านั่นเป็นการเปิดประตูครั้งสุดท้ายของลูก จากนั้นน้ำพุก็เอารูปมาอวด

และบอกว่า

"ตั้งแต่เกิดมาน้ำพุยังไม่เคยเขียนรูปได้ดีเท่านี้เลยแม่"

ข้าพเจ้ารับมาดูและชมด้วยใจจริงว่า "ดูดีนี่ แต่ทำไมไม่ใช้ดินสอดำ"

"น้ำพุไม่ชอบสีดำ"ข้าพเจ้าขึ้นนอน ยังนอนไม่หลับ ลูกสาวคนโตก็กลับ เธอมีงานที่มหาวิทยาลัยจึงกลับล่าไปมาก น้ำพุออกไปช่วยพี่สาวขนของ มีรูปซึ่งเป็นภาพพิมพ์ และกล่องผ้าเช็ดหน้าที่ทำขายในงานของมหาวิทยาลัย ซึ่งน้ำพุสนใจมาก เลิกเรียนแล้วก็ไปนั่งดูว่าพี่สาวจะขายผ้าเช็ดหน้าได้สักเท่าไร จะขาดทุนหรือได้กำไร

"พี่กบ วันนี้ขายได้เท่าไร" น้ำพุถาม... โผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำก่อนที่จะออกไปช่วยพี่สาวขนของลงจากรถ

เราเอารูปภาพพิมพ์ที่ได้มาจากเพื่อนๆ ของลูก ไปลองติดตามห้องต่างๆ น้ำพุลองติดห้องของพี่ของน้อง เดินไปทั่วบ้านราวกับจะสั่งลา ท้ายสุดนั้นข้าพเจ้าและลูกอีกสองคนเดินลงมาชั้นล่าง...ก็ที่ห้องน้ำพุนั่นแหละ ไม่ทราบว่าลงมาทำไมเหมือนกันทั้งที่ดึกมากแล้ว น้ำพุยังไม่นอน บอกว่าจะทำการบ้าน และพูดกับข้าพเจ้าเป็นคำสุดท้ายว่า

"แม่...น้ำพุจะซื้อสีน้ำมัน แม่ซื้อให้พุนะ...จะเอามาเขียนรูปติดห้อง แม่ว่าพุเขียนได้ไหม "ได้ซิ" แล้วข้าพเจ้าก็ออกมาจากห้องลูก...ขึ้นนอน น่าแปลกที่นอนไม่หลับเลย จนเกือบจะรุ่งสางจึงหลับไปได้นิดหนึ่ง รู้สึกได้ยินเสียงเหมือนอะไรล้มอยู่ข้างล่าง แต่ก็แว่วๆ เต็มที มานึกได้ทีหลังเสียอีกด้วย

ก่อนเข้าบ้านในวันนั้น น้ำพุโทรศัพท์ไปหาอ๊อด เพื่อนสนิท ชวนมานอนบ้าน แต่อ๊อดไม่มา

คนใช้ไปปลุกข้าพเจ้าตอนเช้ามืดให้ไปดู 'คุณพุ'

น้ำพุนอนเหยียดยาวอยู่หน้าเตียง แผ่นเสียงยังหมุนและไฟยังเปิด น้ำพุสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียว ถอดเสื้อ

เหมือนหัวใจจะขาดตามลูกไปด้วย ได้อุ้มลูกขึ้นรถ ให้พี่สาวน้ำพุขับไปโรงพยาบาล

หมอสันนิษฐานว่า น้ำพุหัวใจวาย

แต่ใครๆก็รู้ว่าน้ำพุไปเพราะยาเสพติด น้ำพุอาจจะหวนกลับไปใช้ยา ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นยาชนิดใด และยานั้นคงจะรุนแรง จนสามารถทำให้หัวใจน้ำพุหยุดโดยเฉียบพลัน ไม่มีใครช่วยได้



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2553 / 18:54
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2553 / 19:04

แสดงความคิดเห็น

>

13 ความคิดเห็น

หนูเล็ก ณ บ้านใหญ่ {*} 16 ก.พ. 53 เวลา 20:01 น. 3

ช่วงนั้นที่ เอามาทำเป็นละคร เติ้ลตะวัน แสดงเป็นน้ำพุ
เราชอบมาก ดูแล้วร้องไห้  เข้าใจความรู้สึก


PS.  ชอบคนหน้าเบลอ ,เซอร์ๆ , กระเป๋าตุงๆ.
0
nizz 16 ก.พ. 53 เวลา 20:10 น. 4

ฟ้าก็ฟ้าเดียวกันแต่จันทร์ดูคล้ายลำเอียง

ส่องแสงลงมาเพียงเสี้ยว ฉันคนเดียวที่หมอกเมฆบัง

ไม่เคยเห็นจันทร์ที่เขาชม ไม่เคยสมใจสักครั้ง

ความรักที่เฝ้าใฝ่ฝันคนห่วงใยฉันไม่มีไม่มี

ผิดที่ฉันหรือจันทร์ลืมฉันจริงๆทิ้งหัวใจ ของคนที่มันอ้างว้าง

ไม่มีทางได้เจอความรักใช่ไหม..จันทร์

โปรดตอบฉัน พระจันทร์สีน้ำเงิน


เพลง : พระจันทร์สีน้ำเงิน

0
moomayyyyy 16 ก.พ. 53 เวลา 20:46 น. 5

เราก็ชอบ   ตอนที่เติ้ล เเสดง ซื้อ ทั้ง เเผ่นเพลง ทั้งหนังสือ มาหมด 

แต่แม่บอกว่า อยากให้กาย ลูก หนุ่ย อำพล ที่เคยเล่นเรื่องนี้ มาแสดง จะได้รู้ว่าเหมือนพ่อมั้ย


แม่เราเลอะเทอะ !!! 555+ แต่อยากให้เอากลับมาทำใหม่อยู่นะ ชอบ

0
SSIM 23 16 ก.พ. 53 เวลา 20:47 น. 6
ซึ้งมากๆ ยิ่งฟังเพลงพระจันทร์สีน้ำเงินประกอบไปด้วยยิ่งอิน

PS.  "ความเคยชิน กับ ความรู้สึก" //เธอรู้สึกแบบไหนกันแน่นะ
0
i-AM. . . .DOnKEY 16 ก.พ. 53 เวลา 22:38 น. 9
วงศ์เมือง นันทขว้าง

เป็นคนแรกที่ดูละครแล้วต้องไปหาหนังสือมาอ่าน

แม้จะเป็นหนังสือที่ระลึกจากงานศพก้อตาม

PS.  อุ๊เม๊ .. . SLeeP KnOCK Kok Kok ทั้งที พาเพื่อนไปด้วยสิ ~~ เก๊าก้อเหมือนตัวเทอนะ ^o^
0
ฝ้าย 17 ก.พ. 53 เวลา 00:57 น. 10

เราเคยอ่านหนังสือของคุณสุวรรณี เรื่องสวนสัตว์อ่ะ

อ่านที่เค้าให้สัมภาษณ์หลายๆอย่าง

เค้าเป็นผู้หญิงหัวคิดทันสมัย ซึ่งยุคนั้นไม่ค่อยมี

เราว่าเค้ารักลูกเค้านะ พี่น้ำพุอ่ะ

เป็นคนที่น่าสงสารจัง ....

0
ลูกหมู 1 ส.ค. 59 เวลา 23:05 น. 13

15แล้วเนอะตอนนั้นจำได้อยู่อนุบาลทันเวอร์พี่เติ้ลคุณสินจัย5555555ตอนนี่ในยูทูปน่าจะยังให้ดูนะไม่รู้โดนลบไปยัง พระจันทร์สีน้ำเงิน :)เศร้าจัง

0