Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

พระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวฯ ที่อ่านกี่รอบก็ไม่มีวันเบื่อเลย(พร้อมภาพหายากด้วยนะ)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
โพล81647 **กระทู้นี้ ครั้งแรกในชีวิตที่เจ้าของกระทู้อยากให้ติดท็อปมากมาย เพราะอยากให้ชาวเด็กดีได้รู้ว่าในหลวงของเรา ซึ่งนอกจากจะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดในจักรวาลแล้ว ยังมีพระอารมณ์๋ขันที่สุนทรีย์ยิ่งด้วย ซึ่งเจ้าของกระทู้เองเพิ่งเคยได้อ่านเป็นครั้งแรกในชีวิต(อันนี้ไม่ได้โกหกเลยนะ) และก็เชื่อด้วยว่าเด็ก ๆ บางคนยังไม่เคยอ่าน เลยคิดว่าควรจะโพสกระทู้นี้ไว้ เพื่อเป็นความรู้แก่ผู้ที่ไม่เคยอ่านอีกด้านหนึ่งของพ่อหลวงเหมือนเจ้าของกระทู้ ได้จดจำไว้ในหัวใจตลอดไป และขอให้กระทู้นี้ติดท็อปด้วยเถิด สาตุ๊!!!


พวกเดียวกัน

ในการเสด็จออกเยี่ยมราษฎรอำเภอไกลๆ ที่กันดารนั้น บางครั้งกำนันก็อยากกราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์ แต่อันที่จริงนั้นไม่ต้องก็ได้ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทรงถือว่าความจงรักภักดีและความเคารพในหัวใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าราชา ศัพท์ แต่ถึงกระนั้นกำนันบางคนก็ยังอยากจะกราบบังคมทูลให้ถูกต้องตามแบบแผน อุตสาห์ไปซ้อมเสียหลายวัน ท่องมาจนจำขึ้นใจ แต่พอเสด็จฯ มาถึงเข้าจริงๆ ท่านกำนันก็รายงานตัวออกไปว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า…” 

“เราพวกเดียวกันนะ…” รับสั่งด้วยความเมตาอย่างพ่อพูดกับลูก

ท่านกำนันเห็นว่าทรงพระกรุณาเช่นนั้น ก็เปลี่ยนใจมากราบบังคมทูลด้วยภาษาธรรมดา



ผู้หญิงตกเป็นของใคร

บางครั้ง ในหลวงของเราก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เช่น ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ

รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า

“แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป… ผู้หญิงนั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน” รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรว

สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย “ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่รู้…

(**อันนี้ เจ้าของกระทู้ก็ไม่ทราบ ว่าท่านเคยรับหน้าที่ไกล่เกลี่ยปัญหาแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย!!)




แจกปริญญาหลับใน

...ประมาณสองปีมาแล้ว ตอนเช้าได้ทำฟัน คือว่าหมอฟันมาเจาะฟัน เจาะจนเกือบจะทะลุคางไป (เสียงฮา) … เพราะว่าทะลุฟันซี่นั้นถึงราก ถอนเอาประสาทออก แล้วหมอฟันทั้งหลายก็สนุกสนานไป (เสียงฮา) กินเวลาประมาณสองชั่วโมง เวลาบ่ายโมงครึ่งก็ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ก็รับประทานไม่ไหวปากมันชาไปหมดที่เขาฉีดไว้ ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็ต้องมาแจกปริญญาที่นี่…

นับจำนวนผู้ที่มารับปริญญาแล้วก็ดู นาฬิกา จะได้รู้เวลา นับไปนับมา แจกไปแจกมา ก็มีคนหนึ่งทำให้ตกใจ เขาเดินเข้ามาหา มารับปริญญา แล้วก็ด้วยความพอใจของเขา เขาร้องออกมาว่า “ทรงพระเจริญ” (เสียงฮา) … แต่บังเอิญตอนนั้นการแจกปริญญาก็ส่วนแจกปริญญา ส่วนปวดฟันก็ส่วนปวดฟัน (เสียงฮา) ส่วนหลับในก็ส่วนหลับใน (เสียงฮา) มีเสียงเขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ” ต้องโสตประสาทตกใจตื่นทั้งตัว 

แต่ว่าหลังตกใจตื่นขึ้นมาอาการปวดฟันหาย ไปจริงๆ นี่พูดตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัย รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าที่จะแจกปริญญาต่อไป ทำด้วยความรู้ตัวด้วย แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเรามีกำลังใจ ที่เขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ”…






ยิ้มของฉัน


เมื่อพ.ศ.2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสอเมริกาเป็นครั้งแรก เป็นที่สนใจต่อสื่อมวลชนของอเมริกา เป็นอย่างมาก จึงได้มีพระราชทานสัมภาษณ์  นักข่าว หนุ่มคนหนึ่งได้ทูลถามว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก… ไม่ทรงยิ้มเลย
?"

          ทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พลางรับสั่งว่า "นั่นไง....ยิ้มของฉัน"

        แสดงให้เห็นถึงพระราชปฏิภาณ และพระราชอารมณ์ขันอันล้ำลึกของพระองค์ท่าน ทำให้เป็นที่รักของประชาชน อเมริกันโดยทั่วไป ในวันที่เสด็จฯ รัฐสภาคองเกรส เพื่อทรงมีพระราชดำรัสต่อสภา จึงทรงได้รับการถวายการปรบมืออย่างกึกก้องและยาวนานหลายครั้ง





เพื่อนเยอะ


            การเสด็จประพาสอเมริกาครั้งนั้น ควรจะได้เล่าถึง “บ๊อบ โฮ้พ” ไว้ด้วย เพราะทรงคุ้นเคยกับดาราผู้นี้ตั้งแต่ครั้งบ๊อบ โฮ้พ มาแวะกรุงเทพฯ เพื่อจะไปเปิดการแสดงกล่อมขวัญทหารอเมริกันในเวียดนาม ระหว่างแวะพักที่กรุงเทพฯ บ๊อบ โฮ้พ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ที่วังสวนจิตรฯ โดยโปรดเก้าพระราชทานเลี้ยงดินเนอร์ด้วย

            บ๊อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ขอพาเพื่อนไปด้วย”

            “ได้เลย… ไม่ขัดข้อง” รับสั่งตอบ “พาเพื่อนของคุณมาได้เลย”

            “ต้องขอขอบพระราชหฤทัยแทนเพื่อนหกสิบสามคนของ ข้าพระพุทธเจ้าด้วย”

            คืนนั้น บ๊อบ โฮ้พ ได้นำวงดนตรีของเขา เข้าไปเล่นถวายอยู่จนดึก จึงกราบกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ที่บ้านของเขา รับสั่งว่า “ยินดี… ฉันพาเพื่อนหกสิบสามคนของฉันไปด้วยนะ”

            บ๊อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลเสียงอ่อยๆ ว่า “ติดด้วยเกล้า ว่าตกลงพ่ะย่ะค่ะ”





FBI

            อีกครั้งหนึ่ง ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร Look พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งว่า เมื่อครั้งประธานาธิบดีของท่านมาเยือนประเทศไทย มีพวก FBI และหน่วย รปภ. ห้อมล้อมกันหนาแน่นไปหมด จนหาทางเดินไม่ได้ ถ้าฉันทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถใกล้ชิดประชาชนได้ ถ้าผู้คนเบียดกันเข้ามาใกล้เกินไปจะมีคุณยายพูดขึ้นว่า “หลีกทางให้ในหลวงหน่อยเถอะ” คุณยายนั่นแหละคือ FBI ของฉัน




ทรงพระนามว่า "เกาะช้าง"

 

ครั้ง หนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถาม ข้าราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า “เกาะนั้นชื่ออะไร” ข้าราชการทูลตอบว่า “เกาะนั้นทรงพระนามว่า เกาะช้างพะย่ะคะ” ตรัสว่า “ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ” (ถ้างงก็กลับไปอ่านอีกรอบ)





ครูใหญ่

 

มื่อครั้งหนึ่ง กรมศิลปากรไม่มีครูที่จะประกอบพิธีไหว้ครู เพราะเนื่องจากไม่มีการมอบหมายหน้าที่เอาไว้ ในที่สุดเพื่อแก้ปัญหานี้ ต้องไปทูลเชิญพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะว่าทรงเป็นเสมือนสมมติเทพ ต้องให้ทรงเป็น ผู้มอบหมาย เมื่อความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงรับสั่งว่า “จะให้เป็นครูใหญ่ใช่ไหม




หมอลำ

 รั้ง หนึ่งได้มี การถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ทรงรับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า ฉันได้เป็นหมอความแล้ว  ต่อมา เมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ก็รับสั่งว่า ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้  ไม่นานก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก รับสั่งอีกว่า ในตอนนี้เราเป็นหมอลำ




ส่งเสี่ยกลับวัง

มื่อสมัยก่อนเสด็จแปรพระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง และบางครั้งโดยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่งระหว่างจะ เสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า “ไปไหมเสี่ย” ปรากฎว่าเสี่ยพระองค์นี้สน พระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง พระราชวังไกลกังวล โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ เท่านั้นแหละ ซาเล้งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร






ไม่มี บัตรผ่าน

 

อกจากนี้ยังโปรดจะเสด็จพระดำเนินระยะไกลตามชายทะเลจากหน้า พระราชวังอีกด้วย และเสด็จกลับมาใน ตอนเย็นๆ เมื่อเสด็จกลับถึงปรากฏว่า ทหารนั้นไม่ให้พระองค์เข้า “ไม่ได้ครับ ไม่มีบัตรผ่านเข้าไม่ได้” ทหารทูล “ขอโทษที ฉันไม่มีบัตร แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ เธอมีธนบัตรไหม” ทรงตรัสตอบ ทหารว่า “มีครับ ทำไมหรือ” แล้วก็ทรงตรัสว่า “นั่นแหละบัตรของฉั






ข้าวกล้อง ของคนจน


เมื่อ ไม่กี่ปีมานี้ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพฯ ไปทอดพระเนตรกิจการตาม พระราชดำริ ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับข้าวกล้องอยู่ด้วย พระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “ข้าวกล้องนี้ดี เรากินข้าวกล้องทุกวัน” สมเด็จพระเทพฯ เห็นว่า น่าสนใจ แต่นักข่าว ไม่สนใจเท่าไร จึงตรัสว่า “น่าสนใจนะ น่าจะเก็บไว้” ก็เลยมีการทูลขอให้ทรงตรัสอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระ เทพฯ ก็ทรงช่วยเหลือ และนำมาซึ่งคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ “ข้าวกล้องนี้ดี มีประโยชน์ คนอื่นเขาว่าเป็นข้าวของคนจน เรากินข้ากล้องทุกวัน เรานี่แหละคนจน


(**เห็นมั้ย แม้กระทั่งผู้ที่เป็นกษัตริย์ ยังไม่ทรงรังเกียจคนจนเลย แถมยังทรงตรัสว่าเป็นคนจนซะเองอีก คนบางคน รังเกียจคนจน รังเกียจจนมองไม่เห็นจิตใจของคนจนเลย)





ใช่แล้วพระเจ้าครับ

 

เคย ได้ฟังคนเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งในหลวงทรงเสด็จไปที่ ห่างไกลทุรกันดาร เพื่อที่จะทรงงาน ขณะที่จะกลับมีชายคนหนึ่งมาถวายผ้าไหม โดยทหารไม่ให้เข้าเฝ้าแต่ในหลวงให้เข้าเฝ้า ชายคนนั้นถวายผ้าไหมให้ในหลวง ในหลวงจึงตรัสถามว่า “ผ้าไหมนี้ทำเอาใช่ไหม” ด้วยความที่ชายคนนั้นไม่รู้คำราชาศัพท์ จึงกราบทูลพระองค์ว่า “ใช่แล้วพระเจ้าครับ






ซุ้มสำหรับในหลวง


ะยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับ แก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว

วัน หนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่ บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ จึงไม่ยอมให้รถผ่าน ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้ วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อน พระองค์จึงทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงออกข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว….

วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรใน หมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อม คณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม และทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ..





คล่องราชาศัพท์

 

อีก ครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายต่างก็แปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่ว และใช้ราชาศัพท์ได้ดีอย่างน่าฉงนของราษฎรผู้นั้นเมื่อในหลวงมีพระราช ปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า..

มา ถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ ไม่ยกเว้นแม้แต่ในหลวง

(**ในหลวงทรงขึ้นไปเยี่ยมราษฎรถึงบนบ้าน!! ไม่เคยรู้มาก่อนเลย!!)





จะให้เป็นช่างจริง

 

 มีเรื่องนึง เคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า เฮ้ยๆ จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง ในหลวงก็ทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน แทบจะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย

(**เป็นเรา เราก็เข่าอ่อนนะ)





ชื่อเดียวกัน

รื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้น ผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ

ท่าน ผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้น จนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาเป็นอย่างดีก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ

เมื่อ คำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า เออ ดี เราชื่อเดียวกัน.. . ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้กราบบังคมทูลรายงานตื่นเต้น จนกระทั่งจำชื่อตนเองไม่ได้





แอลกอฮอล์เข้มข้น

 

          เหตุการณ์ เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด อ.พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปในบ้าน ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับให้พระองค์ประทับ แล้วก็รินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่คงไม่ค่อยจะได้ล้าง จนมีคราบดำๆ จับอยู่ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วงพระองค์ท่าน เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยที่มีคราบ จึงกระซิบทูลว่า ควรจะทรงแค่ทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทาน ผู้ติดตามจะจัดการเอง แต่ท่านก็ทรงดวดเอ กร้อบเดียวเกลี้ยง หลังจากนั้นจึงทรงรับสั่งว่า ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหม





เหมือนในหลวงจัง

ครั้ง หนึ่งในหลวงทรงเสด็จไปที่ตลาดสด และทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า ทำไมหน้าเหมือนในหลวงจัง? ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่า ก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม




ขอเดชะ พระหมดแล้ว

 

ครั้งหนึ่งขณะที่ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร พระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว แต่มีราษฎรผู้หนึ่งยังไม่ได้รับ จึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์ ในหลวงทรงตรัสว่า ขอเดชะ พระหมดแล้ว





รับปริญญาสองครั้ง

 

เมื่อ วันที่ 28 พ.ย. 2528 เป็นวันสุดท้ายของพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ใน วันนั้นเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วประเทศในตอนบ่าย เป็นผลให้บัณฑิต 6 คน ที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในช่วงนั้นหมดโอกาสที่จะถ่ายภาพตอนเข้ารับพระ ราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ไว้เป็นที่ระลึก

แต่ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเสร็จพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับอาจารย์ที่หมอบถวาย ปริญญาอยู่ข้างๆที่ประทับว่า.. ให้ไปตามบัณฑิต 5 – 6 คนนั้นขึ้นมารับปริญญาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก สร้างความตื้นตันให้กับนิสิตและคณาจารย์กันทั่วทั้งหอประชุม





คนในแบงค์

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นาง สนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วยก็มีเสียงตอบกลับมาว่า"คนที่แบงค์" ทางนางสนองพระโอษฐ์ก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า เวลานี้แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า แต่ก็ไปทูลฟ้าหญิงให้มารับโทรศัพท์ พอฟ้าหญิงวางสายแล้ว ท่านก็หันมาตรัสว่า คนที่แบงค์น่ะก็ที่แบงค์จริง ๆ นะ ไม่เชื่อก็เปิดกระเป๋าตังค์แล้วหยิบแบงค์ขึ้นมาดูสิ นางสนองพระโอษฐ์ถึงกับตื่นเต้นตกใจจนขนลุกขนพอง เพราะผู้ชายปลายสายนั้นคือ ในหลวง นั่นเอง...




ต้องเรียกน้าซิ

ันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จ เยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราคนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือ ของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่

แต่ พอได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถู





แขนตกสะพาน

พระองค์ ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้า เพราะแขนเจ็บเข้าเฝือก ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า แขนเจ็บไปโดนอะไรมา ชายคนนั้นตอบว่า ตกสะพาน แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า แล้ว แขนอีกข้างหนึ่งละ ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วย ตกข้างเดียว ในหลวงของเราก็ทรงแย้มพระสรวล…..





ดินเค็มไหม?

พระองค์ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ ทางภาคใต้ คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรดมีความเค็ม พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้านที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม?ชาว บ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง ก่อนตอบกลับมาว่า ไม่เคยชิมซักที ในหลวงก็รับทรงสั่งกับข้าราชบริภารที่ตามเสด็จว่า ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ





ทรงพระคัน

ครั้งหนึ่งหลาย ๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้วชาญทางโรคผิวหนัง แต่ไม่ได้วชาญทางราชาศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า เอ้อ…ทรงอ้า… ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า ฉันไม่ใช่ ผู้หญิงนี่ จะท้องได้อย่างไร แล้วคงจะทรงทราบว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป…..





ถวายพระเพลิง

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนชุดครุย ทรงจะสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมกับทูลว่า ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า เรายังไม่ตาย ถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก




เราจับได้แล้ว


ครั้งหนึ่งในงานนิทรรศการ “ก้าวไกลไทยทำ” วันที่
17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 “The BOI Fair 1995 commemorates the 50th Anniversary of His Majesty King Bhumibol Adulyadej’s reign” (Board of Investment Fair 1995 BOI) หลังจากที่เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามศาลาการแสดงต่างๆ ก็มาถึงศาลาโซนี่ (อิเล็กทรอนิกส์) ภายในศาลาแต่งเป็น “พิภพใต้ทะเล” โดยใช้เทคนิคใหม่ล่าสุด “Magic Vision” น้ำลึก 20,000 league จะมีช่วงให้แลเห็นสัตว์ทะเลว่ายผ่านไปมา ปลาตัวเล็กๆ สีสวยจะว่ายเข้ามาอยู่ตรงหน้า ข้อสำคัญเขาเขียนป้ายไว้ว่า ถ้าใครจับปลาได้เขาจะให้เครื่องรับโทรทัศน์ พวกข้าราชบริพารไขว่คว้าเท่าไหร่ก็จับไม่ได้สักที เพราะเป็นเพียงแสงเท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า “เราจับได้แล้ว” พร้อมทั้งทรงยกกล้องถ่ายรูปชูให้ผู้บรรยายดู แล้วรับสั่งต่อ “อยู่ในนี้” ต่อจากนั้นคงไม่ต้องเล่า เพราะเมื่ออัดรูปออกมาก็จะเป็นภาพปลาและจับต้องได้ บริษัทโซนี่จึงน้อมเกล้าฯ ถวายเครื่องรับโทรทัศน์ตามที่ประกาศไว้





หมึก ไม่ออก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อนงค์รัตน์ สุขุม เล่าว่า....... วันที่ 19 กรกฎาคม 2526 เป็นวันพระราชทางปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่นายกสโมสรอาจารย์จะเป็นผู้ดูแลถวายปากกาให้ทรงลงประปรมาภิไธย แต่ในปีนั้น ดิฉันในฐานะอุปนายกสโมสรอาจารย์ได้รับหน้าที่นี้แทน ก่อนจะเสด็จประราชดำเนิน เราก็ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่าง อย่างระมัดระวังที่สุด โดยเฉพาะปากกาลองกันหลายครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแน่ พอเสด็จฯ มาถึงท่านก็ทรงลงประปรมาภิไธย ปรากฏว่าทรงจรดปากกาลงไปแล้วแต่ไม่มีหมึกออกมา เราก็ตกใจมากเลย ไม่รู้จะทำยังไงดี นึกในใจว่าเป็นความบกพร่องของเราแน่ๆ ลองมากไปจนหมึกหมด ดิฉันก็เลยถวายกระดาษทิชชูเปล่าๆ ที่อยู่ในมือให้ท่าน เพื่อจะให้ท่านทรงเช็ดปากกา แต่ท่านทรงพระเมตตามากเลย สีพระพักตร์ที่ท่านมองดิฉันเหมือนกับจะตรัสว่า “ไม่ต้องตกใจ” แล้วก็ทรงนำปากกามาลองที่มือดิฉันที่มีกระดาษทิชชู่ ปรากฏว่าหมึกออก จากนั้นก็ทรงหันไปลงพระปรมาภิไธยในสมุด พอท่านเสด็จพระราชดำเนินไปแล้ว ทุกคนก็รีบเข้ามาดูกระดาษที่ทรงลองปากกาแผ่นนั้นกันใหญ่ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ บอกว่า “พี่ๆ ขอหน่อยเถอะพี่ จะเอาไปเป็นมงคล” ก็เลยแบ่งให้อาจารย์ไปส่วนหนึ่ง..




**ภาพที่โพส อาจจะไม่ตรงกับเรื่องเล่านะคะ เพราะเจ้าของกระทู้ก็หาไม่ได้อ่ะ(หาทั้งคืนแหล่ววว!!! ตาแดงรุยยย!!!)

อยากให้คนไทย...รักในหลวงให้มาก ๆ นะคะ


แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 26 มีนาคม 2553 / 21:44

PS.  

แสดงความคิดเห็น

>

15 ความคิดเห็น

รักชาติ 26 มี.ค. 53 เวลา 08:48 น. 1

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความละเอียดรอบคอบ ทรงคิดหาแนวทางพัฒนาเพื่อมุ่งประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุดไทยเรามีสถาบันพระมหา กษัตริย์ ทรงเป็นประมุขปกครองประเทศมาช้านาน ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนทั้งชาติพระองค์ทรงเป็นผู้นำตามแนวพระราชดำริ ให้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคคลบาทด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

0
k_milk 26 มี.ค. 53 เวลา 10:19 น. 4

ชอบมากๆค่ะ

เรื่องรางของในหลวง อ่านแล้วไม่เคยเบื่อเลย

อ่านแล้วยิ้ม ไปพร้อมน้ำตา

ทรงพระเจริญ !!

มี ของขวัญ จากในหลวงมาฝาก ด้วยค่ะ

ลองดูนะคะ ว่าในหลวงได้ให้ของขวัญอะไรกับคนไทยบ้าง

http://liverple.jeedzone.com/index.php?blog,index,6302dbaaab584e6eed6e2e

0
นายพัน 19 ม.ค. 54 เวลา 00:11 น. 5

เรื่อง ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์อะครับเราจะบอกให้ว่าคนนั้นคือใคร
คนที่พูดชื่อ จ.ส.อ.สมนึก ไม่ขอบอกนามสกุลนะครับ พอดีว่าเขาเป็นลูกน้องพ่อผมเอง
ตอนนั้นท่านเสด็จที่หนองคายเพื่อเสด็จไปตรวจหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาหรือที่รู้จักกันในนามว่า
นักรบสีน้ำเงิน สมัคนั้นพ่อผมยังยศ พล.ท.อยู่เขาก็ไม่คิดหรอกว่าลุงสมนึกจะกล้าขอเเต่บอกตรงๆ
ว่าตอนนั้นลุกนึกเมามากเเล้วไปรอรับเสด็จพระองค์ท่านที่หน้าหน่วย เลยไปคุยกับท่านเเล้วก็ขอพระท่านหนึ่งองค์ปัจจุบันลุงนึกตายเเล้วครับพ่อผมก็เสียเเล้วเเต่ผมก็ได้เข้ารับราชการเป็นนายทหารราช
องค์เวณของพระองค์ท่านครับ&nbsp ขอพระองค์ทรงพระเจริญครับ

0
นายพัน 19 ม.ค. 54 เวลา 00:16 น. 6

ปัจจุบันพระองค์ท่านก็ยังทรงจำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีครับท่านก็ตรัดกับผมเสมอกับเรื่องนี้
เพราะผมอยู๋หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาเเล้วท่านก็รู้ว่าผมเป็นลูกของนายทหารที่ค่อยรับใช้
อยู่ใต้พระยุคลบาทตลอดจนเสียชีวิต ปัจจุบัน พระองค์ทรงสบายดีครับ
เเต่ต้องให้ท่านประทับที่โรงพยาบาลไปก่อนเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของพระองค์ท่าน
ครับ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานครับ

0
ิำำbee 4 มิ.ย. 55 เวลา 09:04 น. 11

เห็นพระองค์ทีไร น้ำตาซึมทุกที มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ขอพระองค์ทรงพระเจริญครับ

0