Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

นักข่าวต่างประเทศร้อยเรียงเรื่องราวจากการได้ไปติดตามชีวิตกลุ่มนักรบชุดดำ เป็นเรื่องสั้น Unmasked: Thailand's men in black (แปลไทย)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
Unmasked: Thailand's men in black
By Kenneth Todd Ruiz and Olivier Sarbil
May 29, 2010

บทความต้นฉบับ http://www.atimes.com/atimes/Southeast_Asia/LE29Ae02.html

กลุ่มจารบุรุษลึกลับที่มีอาวุธหนักเต็มเพียบ และปะปนอยู่กับพวกผู้ประท้วงเสื้อแดงในระหว่างการชุมนุมอันเต็มไปด้วยความ รุนแรงในกรุงเทพฯเมื่อเร็วๆ นี้ จวบจนถึงขณะนี้ก็ยังคงลอยนวลไม่ได้ถูกจับกุม อีกทั้งดูจะเตรียมพร้อมเพื่อทำการสู้รบต่อไปอีก ในช่วงก่อนหน้าที่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่สี่แยกราชประสงค์จะถูกกองกำลัง ความมั่นคงของรัฐบาลกระชับวงล้อมปราบปรามจนต้องสลายตัวไปในที่สุดนั้น ผู้สื่อข่าวที่ทำงานให้เอเชียไทมส์ออนไลน์ 2 คน ได้มีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์หน่วยนักรบชุดดำเหล่านี้หน่วยหนึ่ง ถึงที่ซุกซ่อนเร้นตัวของพวกเขา ณ เบื้องหลังแนวเครื่องกีดขวางที่พวกผู้ชุมนุมประท้วงสวมเสื้อแดงสร้างขึ้นมา ในช่วงขณะที่ “นักรบชุดดำ” เหล่านี้กำลังเตรียมตัวสำหรับการออกไปก่อความรุนแรง


กรุงเทพฯ – ชายร่างบึกบึนกำยำซึ่งมีเคราที่ถักเป็นกระจุกผู้หนึ่ง เท้าแขนลงบนพนักพิงของเก้าอี้พลาสติก และกรอกคำพูดเข้าไปในวิทยุรับส่งคุณภาพสูงระดับที่ใช้กันในหน่วยทหาร ขณะที่ริมฝีปากของเขายังคงคาบบุหรี่เอาไว้

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์” เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษ ไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีเสียงระเบิดกัมปนาทขึ้นจากจุดที่อยู่ห่างออกไปในเขตใจ กลางกรุงเทพฯ-เมืองหลวงของประเทศไทยแห่งนี้ กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลกลุ่มย่อมๆ ที่อยู่รายล้อมเขาต่างอยู่ในอารมณ์ของความสะใจ พากันตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงต่อจากนั้น จะมีการเฉลิมฉลองด้วยการเปล่งรหัสลับทำนองเดียวกันนี้อีกหลายๆ หนทีเดียว

วันเวลาในขณะนั้นคือ 5 วันก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม อันเป็นวันที่กองทัพจะส่งยานลำเลียงพลหุ้มเกราะบุกเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อปราบปรามสลายการยึดครองพื้นที่ของพวกเสื้อแดงอย่างเด็ดขาด

ผู้สื่อข่าวที่เขียนรายงานชิ้นนี้ทั้งสอง กำลังอยู่ภายในเต็นท์หลังหนึ่ง กับพวกสมาชิกกองกำลังกึ่งทหารชื่อเสียงฉาวโฉ่ ซึ่งบรรดาสื่อมวลชนตั้งสมญาให้ว่า “นักรบชุดดำ” ขณะที่นักรบเหล่านี้อยู่ระหว่างการเตรียมตัวเพื่อออกทำศึก

พวกเขาอนุญาตให้เราสองคนเข้าไปข้างในโลกลึกลับของพวกเขาได้โดยตั้งเงื่อนไข เพียงข้อเดียว นั่นคือ ถ้าเราขืนถ่ายภาพใดๆ แล้ว พวกเขาจะฆ่าเราทิ้ง

สมาชิกกองกำลังเหล่านี้ไม่ใช่การ์ดรักษาความปลอดภัยสวมชุดดำตามปกติซึ่งว่า จ้างมาโดย แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่โดยทั่วไปแล้วจะไม่พกพาอาวุธปืน แต่สมาชิกกองกำลังเหล่านี้เป็นกลุ่มจารบุรุษลึกลับที่มีอาวุธหนักเต็มเพียบ กระนั้น พวกเขาก็มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงอยู่กับบุคคลระดับแกนนำของ นปช. หรือที่รู้จักเรียกขานกันในนามว่า พวกเสื้อแดง ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ตามคำบอกเล่ายอมรับของกลุ่มคนติดอาวุธเหล่านี้เอง

แสดงความคิดเห็น

>

8 ความคิดเห็น

จูกัดเหลียง 7 มิ.ย. 53 เวลา 19:15 น. 1
ในขณะนี้ แกนนำ นปช.หลายต่อหลายคนกำลังถูกรัฐบาลไทยควบคุมตัว และถูกตราหน้าตั้งข้อหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เมื่อวันพุธ(26) ที่ผ่านมา พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของไทยยังได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนีไปลี้ภัยอยู่ต่างแดน ด้วยข้อหามีพฤติการณ์ก่อการร้ายเช่นกัน โดยทางการไทยกล่าวหานักการเมืองหนีโทษจำคุกผู้นี้ว่ามีความเกี่ยวพันกับการ ปฏิบัติการใช้ความรุนแรงของกลุ่มติดอาวุธของ นปช. ตัว พ.ต.ท.ทักษิณนั้นได้ออกมาแถลงปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างรวดเร็ว

การตกลงกันระหว่างพวกเราสองคนกับนักรบกลุ่มนี้เป็นไปอย่างซื่อๆ ตรงไปตรงมา และถึงแม้พวกเขาจะข่มขู่ว่าอาจจะเอาชีวิตเรา แต่นั่นก็ไม่ได้สกัดกั้นไม่ให้พวกเขารับรองเราอย่างมีมิตรไมตรีแบบไทยๆ มีเพียงชายคนเดียวในกลุ่มนี้เท่านั้นที่ยังคงแสดงน้ำเสียงไม่ชอบใจกับการ ปรากฏตัวของพวกเรา เขาถามเหล่าสหายของเขาเกี่ยวกับเราสองคน โดยเขาเลือกใช้คำสรรพนามภาษาไทยแทนพวกเราว่า “มัน”

ขณะที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ณ วันที่ 14 พฤษภาคม เบื้องหลังป้อมปราการที่กำหนดเขตด้วยแนวรั้วเครื่องกีดขวางอันสร้างขึ้นจาก ไม้ไผ่และยางรถยนต์ ในบริเวณใจกลางของย่านการค้าระดับท็อปแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ชายเหล่านี้รับประทานบะหมี่ร้อนๆ และพูดกระซิบกระซาบกันอย่างหงุดหงิดกังวลใจเกี่ยวกับพลแม่นปืนของกองทัพ นักซุ่มยิงของฝ่ายทหารกำลังทำให้กลุ่มคนเหล่านี้รู้สึกโกรธเกรี้ยว

ยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้น กรุงเทพฯตกอยู่ในภาวะสับสนอลหม่าน หลังจากที่บุรุษผู้ซึ่งชายเหล่านี้ระบุว่าเป็นผู้ออกคำสั่งต่อพวกเขาโดยตรง นั่นก็คือ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล นายทหารกบฏแห่งกองทัพบก ได้ถูกกระสุนปืนยิงใส่จนล้มคว่ำ (และในที่สุดก็เสียชีวิตลงในเวลาอีกหลายวันต่อมา) ด้วยฝีมือของนักซุ่มยิง ขณะที่ พล.ต.ขัตติยะกำลังพูดกับนักข่าวผู้หนึ่ง ทางฝ่ายรัฐบาลนั้นได้ปฏิเสธเรื่อยมาว่าไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบการลอบสังหาร คราวนี้

พล.ต.ขัตติยะ นายทหารนอกแถวนามกระเดื่อง ได้รับการยกย่องนับถือจากพวกเสื้อแดงจำนวนมาก เขามักจะพูดอย่างชื่นชมถึงกลุ่มกองกำลังที่เขาเรียกขานว่าเป็น “นักรบโรนิน” (โรนิน Ronin คือนักรบซามูไรที่ไร้เจ้าไร้มูลนายที่จะสวามิภักดิ์ด้วย) ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เขาคุยอวดกับพวกผู้สื่อข่าวว่า กำลังฝึกอบรมอดีตทหารจำนวนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยว่ามีจำนวนเท่าใด เพื่อให้มาทำหน้าที่พิทักษ์คุ้มครองพวกเสื้อแดง แต่ต่อมาเขาก็กลับออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้นำของอดีตทหารเหล่านี้

เมื่อขาดไร้ซึ่งการนำของ พล.ต.ขัตติยะ เสียแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าระเบียบวินัยภายในป้อมค่ายของพวกเสื้อแดงอยู่ในสภาพเสื่อม ทรุด แอลกอฮอล์ถูกนำมาดื่มกินกันอย่างเสรี และกลายเป็นการเติมเชื้อให้เกิดการใช้อารมณ์โกรธขึ้งเข้าใส่กัน รวมถึงการต่อสู้กันด้วยกำปั้น ก่อนหน้านี้ในวันนั้นเอง นักรบโรนินผู้หนึ่งได้ยิงปืนไรเฟิลสังหารแบบ ทาร์-21 (TAR-21) เข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพลำหนึ่งที่มาบินอยู่เหนือที่ชุมนุม ปืนทาร์โว ทาร์-21 ดังกล่าวนี้ ผลิตในอิสราเอล กลุ่มติดอาวุธเหล่านี้น่าจะยึดมาได้จากฝ่ายทหารเมื่อตอนที่เกิดการปะทะนอง เลือดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

มีนักรบโรนินหลายๆ คนพยายามเบ่งบารมีเพื่อช่วงชิงฐานะความเป็นลูกพี่ใหญ่ในหมู่กองกำลังนี้ที่ ตกอยู่ในสภาพสับสนไร้ระเบียบ แต่ชายไว้เคราผู้แทบไม่พูดอะไรเลยคือผู้ที่กำลังมีบทบาทเป็นผู้สั่งการใน เวลานี้ “พวกคุณรู้ไหมใครเป็นผู้รับผิดชอบที่นี่” เขาตั้งคำถามแล้วก็ให้คำตอบเองว่า “ผมไง”

อย่างน้อยที่สุดก็จะเป็นเช่นนั้นไปจนกระทั่งเมื่อมีผู้บังคับบัญชาที่ไม่มี การระบุชื่ออีกคนหนึ่ง โดยเขาบอกว่าเป็นมือรองจาก พล.ต.ขัตติยะ จะเดินทางมาถึงและรับมอบอำนาจบังคับบัญชาไป รวมทั้งมาสอบถามด้วยว่าทำไมถึงมีพวกนักข่าวเข้ามาปะปนอยู่กับกลุ่มถืออาวุธ เหล่านี้
0
จูกัดเหลียง 7 มิ.ย. 53 เวลา 19:16 น. 2
บริเวณด้านนอกของแนวเครื่องกีดขวางซึ่งทำจากยางรถยนต์ที่กองสุมอย่างไม่เป็น ระเบียบ มีแผ่นป้ายขึงเอาไว้โดยเขียนข้อความว่า “ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ไม่ใช้ความรุนแรง มีแต่สันติภาพและประชาธิปไตย” อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้คนที่อยู่ด้านในของป้อมปราการฝ่ายเสื้อแดงแล้ว มันเป็นความลับที่ทราบกันแพร่หลายไปทั่วว่ากลุ่มคนถืออาวุธเหล่านี้เป็นใคร เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่ความลับอะไรเลยในเรื่องมีระเบิดจำนวนหนึ่งวางเอาไว้ ตามแนวเครื่องกีดขวาง และเชื่อมโยงเข้าด้วยกันโดยสายไฟสีทึมๆ สกปรก พร้อมที่จะสร้างความเสียหายอย่างหนักหน่วงแก่ทหารในกองทัพรัฐบาลที่จะยก กำลังบุกเข้ามา

ชายกลุ่มนี้บางคนใส่เสื้อแจ๊กเกตเพื่อช่วยอำพรางอาวุธปืนที่พวกเขาพกพาติด ตัวให้มิดชิด ทันทีที่ดวงอาทิตย์ตกดิน บห่อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ห่อคลุมด้วยผ้าพลาสติกสีดำ ก็ถูกขนเข้ามาในเต็นท์ต่างๆ ในบริเวณสวนลุมพินี บห่อเหล่านี้มาจากที่ไหนก็ไม่ทราบภายในเขตพื้นที่ชุมนุมประท้วงนี้ พวกเราถูกบอกให้ออกวิ่งโดยก้มศีรษะให้ต่ำๆ โยกย้ายไปอยู่ที่เต็นท์อีกเต็นท์หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ยิ่งขึ้นกับพระบรมราชานุ สาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นักรบโรนินจะมีการเคลื่อนย้ายระหว่างเต็นท์ต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเช่นนี้แหละ เพื่อไม่ให้มือซุ่มยิงของฝ่ายรัฐบาลติดตามร่องรอยได้

มีชายรวมทั้งสิ้น 27 คนหมอบอยู่ในความมืดภายในเต็นท์แห่งนี้ วิทยุรับส่งหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งมีส่วนที่สามารถสะท้อนแสงต่างถูกคลุมปิดด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ และเราสองคนก็ถูกขอร้องให้ปิดโทรศัพท์มือถือของพวกเรา ชายถืออาวุธคนหนึ่งในกลุ่มนี้บอกว่า ถ้าหากพวกนักแม่นปืนของกองทัพมีโอกาส เพียงแวบแรกที่มองเห็นแสงสะท้อนออกมา ก็จะยิงพวกเขาทิ้งทันที

“ไม่ต้องกลัวหรอก ปลอดภัย แบบไทยๆ น่ะ” พลพยาบาลของพวกเขากล่าวปลอบใจพวกเราสองคนเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมกับพยักเพยิดให้ดูผ้าใบกันน้ำหลายๆ ชั้นที่คอยปิดบังไม่ให้มือซุ่มยิงที่อาจจะอยู่ภายนอกมองเห็นถึงพื้นที่ซึ่ง พวกเราสองคนกำลังหลบซ่อนตัวอยู่กับพวกเขา

กลุ่มคนเหล่านี้มีไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นกองกำลังกึ่งทหาร พวกเสื้อดำธรรมดาที่เหลือเป็นพวกที่ทำหน้าที่สนับสนุนและจัดหาจัดเตรียมสิ่ง ต่างๆ ที่พวกถืออาวุธต้องการ บางคนทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน คนอื่นๆ จัดหาน้ำ, กาแฟ, เครื่องดื่มชูกำลัง เอ็ม-150 นักรบโรนินเหล่านี้จัดโครงสร้างเหมือนเป็นทหารหน่วยหนึ่งโดยมีทั้งพลวิทยุ สื่อสารและพลพยาบาลครบครัน พวกเขาดูน่าจะผ่านการฝึกอบรมเรื่องการใช้วัตถุระเบิดและอาวุธยุทโธปกรณ์ ต่างๆ มาแล้ว ดังเห็นได้จากการที่พวกเขามีความรู้ในการจัดการกับระเบิดพลาสติก ตลอดจนมีความสามารถที่จะวางระเบิดเอาไว้รอบๆ แนวที่ตั้งในแบบที่สามารถจุดชนวนระเบิดจากที่ไกลออกไปได้

ถึงแม้มีสื่อมวลชนบางรายคาดเดาว่า นักรบโรนินเหล่านี้ประกอบไปด้วยอดีตทหารคอมมานโดที่เคยทำหน้าที่สู้รบกับพวก คอมมิวนิสต์ ทว่าสมาชิกกองกำลังที่เราพบเห็น ส่วนใหญ่ต่างยังอ่อนวัยเกินกว่าจะอยู่ในรุ่นอายุขนาดนั้นได้ โดยพวกเขาดูจะยังอยู่ในวัย 20 ต้นๆ กันเท่านั้น จำนวนมากทีเดียวเคยเป็นพลร่มมาก่อน มีคนหนึ่งบอกว่าเขาเคยอยู่กองทัพเรือ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามีรกรากภูมิลำเนาจากพื้นที่ชนบทเดียวกัน เป็นพวกจังหวัดซึ่งเป็นบ้านเกิดของคนเสื้อแดงส่วนข้างมาก หลายๆ คนทีเดียวกล่าวว่าพวกเขายังเป็นทหารประจำการอยู่

ในที่สุดก็มีเสียงวิทยุเรียกเข้ามาจากการ์ดของ นปช.ผู้หนึ่ง กองทัพกำลังประสบความสำเร็จในการเข้าประจำที่มั่นแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับสี่แยกประตูน้ำ อันเป็นสี่แยกที่ตั้งอยู่ตรงแนวขอบด้านเหนือของย่านการค้าที่พวกเสื้อแดงยึด ครองอยู่ ทหารยังกำลังผลักดันผู้ประท้วงตรงบริเวณนั้น พวกเขาจึงต้องการความช่วยเหลือ

ปืนไรเฟิลสังหารทั้งแบบเอ็ม16 และ เออาร์-15 ถูกนำออกมาจากที่ซุกซ่อนในสภาพที่ห่อด้วยผ้าพลาสติก บางกระบอกก็ถูกนำออกมาจากภายในชุดเครื่องแต่งกายของพวกเขาเอง ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที กลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ก็บรรจุกระสุนเข้าไปในแมกกาซีน และเสียบแมกกาซีนเข้าที่จนเสร็จเรียบร้อย

กระสุนกำลังเหลือน้อยแล้ว พวกเขาพูดกันเช่นนั้น นักรบแต่ละคนจึงได้รับกระสุนติดตัวคนละไม่เกิน 30 นัด ถึงแม้เราจะไม่ได้เห็นเครื่องยิงระเบิดเอ็ม79 แต่ก็ได้ยินพวกนักรบโรนินพูดคุยกันถึงกระสอบบรรจุลูกระเบิดใบใหญ่เทอะทะที่ พวกเขากำลังถืออยู่ เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านเลย 3 ทุ่มไปนิดเดียว นักรบทั้ง 12 คนก็พากันลุกขึ้นและรีบเร่งออกไปอย่างเงียบๆ เพื่อเข้าสู่ความมืดมิดของรัตติกาล กระทำหน้าที่ในการสร้างความบาดเจ็บล้มตายและในการหว่านเพาะความปั่นป่วน วุ่นวายอีกวาระหนึ่ง

ระยะเวลา 9 ชั่วโมงถัดจากนั้น เสียงยิงปืนแผดก้องปะทุขึ้นจากพื้นที่ต่างๆ รอบๆ อาณาบริเวณของเขตเสื้อแดง แรกทีเดียวจากทิศทางของสี่แยกประตูน้ำ ต่อมาก็จากจุดต่างๆ ตามแนวถนนพระราม 4

0
จูกัดเหลียง 7 มิ.ย. 53 เวลา 19:17 น. 3
ยุทธวิธีของพวกเขาสอดคล้องตรงกันกับที่ใช้โดยพวกนักรบจรยุทธ์และมือซุ่มยิง ที่ผ่านการฝึกอบรมมา นั่นคือระดมปล่อยกระสุนปืนออกไปเป็นชุดสั้นๆ จากนั้นก็ย้ายที่กำบังตัว พวกเขาสร้างความทุกข์ทรมานให้ทหารของกองทัพไทยซึ่งเป็นพวกที่ได้รับการฝึก แบบธรรมดาๆ อยู่ตลอดทั้งคืน วนเวียนตามรังควาญพวกเขาและไม่ยอมให้พวกเขาได้นอนหลับพักผ่อน

เมื่อถึงเวลา 6 โมงเช้าของวันที่ 16 พฤษภาคม พวกเขาก็เดินอาดๆ กลับเข้ามาในที่มั่น โดยได้รับการยิงคุ้มกันจากบั้งไฟยักษ์ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนเสื้อแดงที่มารวมตัวกัน นักรบเหล่านี้ซึ่งมีท่าทางเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นชัดทว่าใบหน้าประดับด้วยรอย ยิ้มของผู้พิชิต ต่างขนต่างแบกข้าวของที่ช่วงชิงเอามาได้ในคืนนั้น เป็นต้นว่า เสื้อเกราะ, โล่ปราบจลาจล, ไม้กระบอง, หมวกเหล็ก, ไฟฉาย, และสิ่งของอื่นๆ ที่ได้มาจากกองกำลังความมั่นคงของไทย บางชิ้นพวกเขาก็แจกจ่ายให้แก่ผู้ที่มารุมล้อมในฐานะเป็นของที่ระลึก

ถ้าหากสมรภูมิช่วงชิงกรุงเทพฯคราวนี้ ให้ความสำคัญกับการรณรงค์เพื่อเอาชนะหัวจิตหัวใจ เพื่อให้ได้รับความสนับสนุนจากประชาชนในวงกว้างแล้ว การกระทำของพวกโรนินก็คือการทำลายจิตวิญญาณแห่งอหิงสาแห่งการไม่ใช้ความ รุนแรง ซึ่ง นปช.อ้างว่าเป็นหลักการในการดำเนินการต่อสู้ของพวกเขา

นักรบโรนินพูดถึงจุดประสงค์ของพวกเขาว่า เพื่อ “พิทักษ์คุ้มครอง” ผู้ชุมนุมประท้วง และเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่เป็น กองกำลังซึ่งจะทำให้ฝ่ายเสื้อแดงมีความทัดเทียมกับกองกำลังความมั่นคงของไทย มากขึ้น พวกเขามองตัวเองเป็น “เทวดาองค์ดำ” ซึ่งกำลังระแวดระวังภัยให้แก่พวกเกษตรกรและครอบครัวที่ปราศจากอาวุธ อันประกอบขึ้นเป็นผู้คนพลพรรคส่วนใหญ่ของฝ่ายเสื้อแดง

ถึงแม้วาดภาพลักษณ์ตนเองเอาไว้อย่างองอาจกล้าหาญเช่นนี้ แต่เทวดาเหล่านี้ก็ก่อให้เกิดความตายและความวุ่นวายปั่นป่วน เชื่อกันว่าการรณรงค์ด้วยความรุนแรงของพวกเขาทำให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวน หนึ่งต้องด่าวดิ้นลง รวมทั้งเป็นไปได้ว่าเป็นชนวนกระตุ้นให้ผู้คนอีกหลายสิบต้องพบกับความตายไป ด้วย

นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะรัฐบาลของเขา ตลอดจนผู้สังเกตการณ์คนอื่นๆ ต่างกล่าวประณาม “นักรบชุดดำ” ว่า เป็นพวกที่เติมเชื้อโหมเพลิงจนทำให้การประจันหน้าระหว่างพวกผู้ชุมนุม ประท้วงกับกำลังทหารเมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งอยู่ในสภาพตึงเครียดมากอยู่แล้ว กลายเป็นความสับสนอลหม่านที่เลือดไหลนอง จากการที่พวกเขาจู่โจมสังหารนายทหารจนเสียชีวิตและบาดเจ็บ และโจมตีเล่นงานกองทหาร ซึ่งทำให้ฝ่ายทหารตอบโต้ด้วยการยิงกระสุนจริงเข้าใส่ฝูงชนเสื้อแดง ทั้งนี้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 25 คนในวันนั้น

อย่างไรก็ตาม นปช.ยังคงอ้างเสมอว่าพวกตนดำเนินการต่อสู้อย่างสันติ ในวันที่ 15 พฤษภาคม เพียงไม่กี่ชั่วโมงภายหลังพวกโรนินกลับมาจากภารกิจของพวกเขา นายฌอน บุญประคอง โฆษกฝ่ายต่างประเทศของ นปช. กล่าวปราศรัยจากเวทีประท้วงที่ราชประสงค์ว่า “พวกทหารกำลังเรียงแถวดาหน้าเข้ามาโดยที่มีอาวุธสงครามอยู่ในมือ และยิงเข้าใส่ฝูงชนเสื้อแดง ซึ่งทั้งหมดต่างไม่ได้มีอาวุธอะไรเลย”

แต่จากพฤติการณ์ของกองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ ก็ทำให้รัฐบาลพลเรือนชุดนี้มีข้ออ้างที่กำลังต้องการอยู่แล้ว เพื่อส่งกองทหารติดอาวุธร้ายแรง เข้าไปยุติการยึดครองพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ของ นปช.ในวันที่ 19 พฤษภาคม หลังจากที่พวกเสื้อแดงชุมนุมกันอยู่ที่นั่นมาได้ 6 สัปดาห์

ในระหว่างการแถลงต่อบรรดานักการทูตต่างประเทศและสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้นำเอาอาวุธต่างๆ ที่ยึดได้ออกมาแสดง ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่การที่รัฐบาลใช้กองกำลังที่ติด อาวุธร้ายแรงชนิดมุ่งหมายเอาชีวิต

“พวกผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธเหล่านี้มาโจมตีเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ บริสุทธิ์” นายสุเทพแจกแจงเหตุผลของฝ่ายรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม นายอภิสิทธิ์ก็ได้ประทับตีตรา พล.ต.ขัตติยะ ผู้ซึ่งบัดนี้ล่วงลับไปแล้ว ว่าเป็น หัวหน้ากลุ่ม “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าก่อนที่เขาจะถูกลอบสังหารนั้น พล.ต.ขัตติยะ เป็นผู้มีบุคลิกภาพอันชวนให้ตื่นเต้นเร้าใจผิดธรรมดา สืบเนื่องจากการที่เขามักกล่าวอ้างถึงเรื่องต่างๆ แบบขวานผ่าซากไม่มีรูดซิปปาก และจากการที่เขามีความสามารถอันเกินกว่าที่จะหาเหตุผลธรรมดามาอธิบายได้ ในการทำนายล่วงหน้าได้อย่างถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับการเกิดเหตุโจมตีด้วย ระเบิดทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งจวบจนบัดนี้ยังไม่มีใครออกมาประกาศเป็นผู้รับผิดชอบ นอกจากนั้นบางครั้งบางคราว พล.ต.ขัตติยะยังแทบไม่ได้ใช้ความพยายามเอาเสียเลยที่จะปกปิดบทบาทของตัวเขา เองในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกนักรบโรนิน
0
จูกัดเหลียง 7 มิ.ย. 53 เวลา 19:17 น. 4
เป็นต้นว่า ตอนที่ผู้ประท้วงฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลจำนวนหลายร้อยคนมาชุมนุมกันอยู่บริเวณ ใกล้ๆ ป้อมค่ายของ นปช.ในวันที่ 22 เมษายน พล.ต.ขัตติยะได้ประกาศว่า “คนใส่ชุดดำบางคน” กำลังจะมาช่วยพวกเสื้อแดงแล้ว อีกไม่นานหลังจากนั้น ก็มีลูกระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงมาตกที่บริเวณใกล้ๆ กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล ทำให้มีสตรีวัย 26 ปีผู้หนึ่งเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บอีกร่วม 100 คน มีข้อน่าสังเกตด้วยว่าอาวุธที่ทำร้ายผู้คนถึงตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากใน คราวนี้ ซึ่งก็คือ เครื่องยิงระเบิดเอ็ม79 นั้น ก็เป็นอาวุธชนิดเดียวกับที่มีผู้นำออกมาใช้ดำเนินการรณรงค์สร้างความรุนแรง และทำลายทรัพย์สินทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนให้เกิดความเสียหายอยู่เป็นเวลา แรมเดือนนั่นเอง โดยที่รัฐบาลระบุว่าการรณรงค์ดังกล่าวเป็นฝีมือของทาง นปช.

ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ออกมาพูดแสดงความคิดเห็นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรีผู้นี้ยังได้โยงใยความเกี่ยวพันกันระหว่าง พล.ต.ขัตติยะ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ อภิมหาเศรษฐีผู้กำหลังหลบหนีโทษจำคุก ซึ่งทาง นปช.มุ่งหวังที่จะต่อสู้ช่วยเหลือให้ได้กลับคืนมาครองอำนาจอีกครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.ต.ขัตติยะ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังก่อให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นมา ดังที่ปรากฏให้เห็นจากการที่รัฐบาลตั้งข้อกล่าวหามีพฤติการณ์ก่อการร้ายเอา กับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั่นก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณทราบเรื่องกองกำลังคอมมานโดที่เรียกขานกันว่านักรบชุดดำนี้มาก น้อยแค่ไหน?

ตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์ บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงออสเตรเลีย (Australian Broadcast Corporation ใช้อักษรย่อว่า ABC) ในวันพุธ(26) ที่ผ่านมา เมื่อถูกตั้งคำถามเอาตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำ โดยกล่าวเพียงว่า “มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเลย มันเป็นแค่การกล่าวหากันเท่านั้น”

ตามรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายๆ สำนัก พล.ต.ขัตติยะได้เดินทางไปยังดูไบเพื่อพบปะหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นอกจากนั้น พล.ต.ขัตติยะยังบอกด้วยว่าเขากับ พ.ต.ท.ทักษิณได้ติดต่อพูดคุยกันทางโทรศัพท์อยู่เป็นระยะ โดยหนท้ายสุดคือในวันที่ 3 พฤษภาคม นั่นเป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนที่จะมีสัญญาณหลายอย่างซึ่งทำให้เชื่อกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการทำลายแผนปรองดองสู่สันติภาพ ขณะเดียวกับที่ พล.ต.ขัตติยะก็ออกมาข่มขู่แสดงความต้องการที่จะเข้าควบคุมยึดครอง นปช. จากพวกแกนนำที่มีท่าทีประนีประนอมมากกว่า

พวกแกนนำเหล่านี้ทำท่าจะยอมรับ “โรดแมปเพื่อการปรองดอง” 5 ประการของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ข้อหนึ่งเสนอที่จะจัดการเลือกตั้งขึ้นก่อนครบวาระ โดยจะให้มีขึ้นในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ การที่ข้อเสนอเพื่อการปรองดองถูกล้มคว่ำลงไปในที่สุด ได้กลายเป็นการเร่งรัดให้ฝ่ายทหารเข้ามาปราบปราม โดยในวันที่มีการปราบปรามสลายการชุมนุมนั้นเอง พวกนักรบโรนินได้ทำการสู้รบกับกองทหารรัฐบาล ขณะที่พวกเขาถอนตัวออกมาจากป้อมค่ายของฝ่ายเสื้อแดง โดยลักษณะของการล่าถอยของพวกเขานั้นดำเนินไปอย่างมีระเบียบไม่ได้เสียขบวน

หลังจากเวลาบ่ายโมงสามสิบนาที ของวันที่ 19 พฤษภาคมผ่านไปไม่นานนัก ผู้สื่อข่าวที่เขียนรายงานข่าวชิ้นนี้ทั้งสอง ได้พบเห็นเหตุการณ์ที่ทหารไทย 2 คนและนักข่าวชาวแคนาดาอีกคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 ลูกหนึ่ง จากจำนวนหลายๆ ลูกซึ่งถูกยิงออกมาจากจุดที่อยู่บนที่สูง โดยเชื่อกันว่าน่าจะเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟลอยฟ้า ต่อจากนั้น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ก็ถูกจุดไฟเผาและพระเพลิงลุกโหม คนเหล่านี้ได้ทำการยิงต่อสู้อย่างดุเดือดกับกองทหารในบริเวณห่างออกไปหลาย ช่วงตึก จากนั้นคนเหล่านี้ก็หายไป

ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าทำไมพวกนักรบโรนินจึงยอมเปิดม่านเผยให้พวกเราทั้งสอง เข้าถึงความลับของพวกเขา บางทีอาจจะเนื่องจากพวกเขารู้สึกว่า การต่อสู้ของพวกเขา และเป็นไปได้ว่ากระทั่งชีวิตของพวกเขาด้วยซ้ำ อาจจะจบสิ้นลงในไม่ช้า เมื่อฝ่ายทหารยกกำลังเข้าปราบปราม อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ การต่อสู้และชีวิตของพวกเขายังไม่ได้ดับสูญไปแต่อย่างใด

พวกแกนนำของ นปช.อาจจะยอมมอบตัวต่อตำรวจ และผู้ที่ร่วมการชุมนุมก็แตกกระจัดกระจายหรือถูกจับกุม ทว่าเป็นที่เชื่อกันว่าพวกนักรบผู้มีพิษสงในการเข่นฆ่าและทำลายล้าง ยังคงลอยนวลอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วยความพรักพร้อมที่จะทำการสู้รบต่อไปอีก ตัว พ.ต.ท.ทักษิณก็พูดชี้ออกมาโดยไม่แจกแจงรายละเอียดภายหลังวันที่ 19 พฤษภาคมว่า พวกผู้ประท้วงของ นปช.ที่โกรธแค้น อาจจะหันไปใช้ยุทธวิธี “จรยุทธ์”

ขณะเดียวกัน กรุงเทพฯก็กำลังพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ความรู้สึกถึงความเป็นปกติหวน กลับคืนมา แม้กระทั่งในขณะที่ยังติดตามจับกุมพวกนักรบติดอาวุธเหล่านี้ไม่ได้ เมื่อวันจันทร์(24) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงยอมรับเรื่องนี้ เมื่อเขาอธิบายถึงเหตุผลที่ต้องขยายเวลาการประกาศห้ามออกนอกบ้านในยามวิกาล ไปอีกหลายๆ วัน ว่า เนื่องจากยังมีความกลัวเกรงกันว่า “ขบวนการใต้ดิน” ซึ่งกำลังวางแผนการที่จะก่อความปั่นป่วนวุ่นวาย ยังคงลอยนวลอยู่ในกรุงเทพฯ

เคนเนธ ท็อดด์ รูอิซ เป็นนักหนังสือพิมพ์อิสระที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ และมีบล็อกอยู่ที่เว็บไซต์ reporterinexile.com ส่วน โอลิวิเยร์ ซาร์บิล เป็น นักถ่ายภาพข่าว (photojournalist) ผลงานภาพของเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเมืองไทยช่วงหลังๆ มานี้ เผยแพร่ทางออนไลน์อยู่ที่เว็บไซต์ OlivierSarbil.com
0
nmmoa 16 ก.ย. 57 เวลา 07:54 น. 6

เครดิตแปลภาษาไทยอยู่ตรงไหนคะ?
มีแต่ภาษาอังกฤษ

ใครอยากอ่านแล้วเข้าใจง่ายๆ
แนะให้ไปอ่านที่บทความต้นฉบับภาษาอังกฤษเลย
ถึงจะยาวพอกัน แต่สำนวนเข้าใจง่ายกว่าค่ะ

0
จูกัดเหลียง 4 ต.ค. 57 เวลา 18:07 น. 7

ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าผมตั้งกระทู้นี้มานานกว่า 4 ปีแล้วจะยังคงมีคนติดตามอ่าน ตอนนั้นผมยังเป็นนักศึกษาอยู่เลยครับ จนมาตอนนี้ผมแทบไม่ได้เข้ามาเล่นแล้ว ก็พึ่งเห็นความเห็นแรกที่อ่านนี่แหละครับ

0