Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

“กว่าจะมาเป็นสบู่ในปัจจุบัน มารู้จักประวัติศาสตร์สบู่กันครับ”

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

มารู้จักกับ “สบู่” ที่เราใช้กันทุกวันนี้กันค้าบ...กว่าจะมาเป็นอย่างทุกวันนี้ มันวิวัฒนาการอย่างไรบ้าง.....ไปค้นหาคำตอบกับเฮนรี่กันค้าบ....

 


 



เอกสารจากอดีตบันทึกกำเนิดสบู่ก้อนแรกว่ามาจากไขมันแพะต้มกับขี้เถ้าจากการเผาไม้ ซึ่ง เป็น การค้นพบโดยบังเอิญในยุค โรมันอันมีการบูชายัญสัตว์บนแท่นบูชาที่ทำด้วยไม้ แท่นบูชานี้ ตั้งอยู่บนเนินเขา เมื่อสัตว์และแท่นไม้ถูกเผาพร้อมกัน ไขมันสัตว์ออกมาผสมกับขี้เถ้า เมื่อฝนตกลง มาก็เกิดเป็นก้อนสีขาว เวลาล่วงเลยมา มีการทำสบู่ใช้ เพียงแต่ไม่ได้ผลิตเป็นจำนวนมาก เป็นการทำ

 


ประวัติของสบู่ สบู่ธรรมชาติ และสบู่ที่ทำจากเคมี ที่ใช้กันทุกวันนี้

 

ย้อนหลังไปหลายปี อาจจะหลายพันปีเลยก็ว่าได้ ก่อนที่มนุษย์ จะรู้จักสบู่ 
ในช่วงนั้นการทำความสะอาดร่างกายหรือ เสื้อผ้าให้สะอาดเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ เท่าทุกวันนี้ครับ เพราะสิ่งสกปรกและคราบมันต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่อาจรวมตัวกับน้ำได้ สังเกตุง่าย ๆ เมื่อเราเทน้ำผสมน้ำมัน มันจะแยกชั้นกันอย่างชัดเจน ร่างกายของเรานั้น มักจะผลิตน้ำมันออกมาตลอดเวลา การอาบน้ำธรรมดา ก็เป็นเพียงการชะล้างฝุ่นออกไปจากร่างกาย แต่ก็ไม่ได้สะอาดหมดจดจริง


มีตำนานเล่าไว้เหมือนกันว่า แม่นางคลีโอพัตตรา ก็พยายามแสวงหาวิธีการที่จะทำให้ร่างกายของนางสะอาด และมีกลิ่นหอม ดังนั้นนางจึงใช้น้ำที่นำพืชสมุนไพรมาต้มเพื่อนำมาอาบ โดยทำให้ช่วยชะล้างความสะอาดได้ดีขึ้นและให้กลิ่นหอมสะอาด

ส่วนคนไทยโบราณสมัยที่ยังไม่มีสบู่ก็ใช้ พืชผลไม้ หลายอย่างมาช่วยทำให้ร่างกายสะอาดขึ้นเช่นกัน เช่นการนำ มะกรูด มาเผาไฟ และ นำมาสะผม
นำน้ำใบส้มป่อย มาอาบน้ำ หรือ นำมะขามเปียกมาถูตัวเป็นต้น


ผมจำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ เคยอ่านหนังสือนานมากๆเเล้ว จำไม่ได้ว่าหนังสืออะไร กล่าวไว้ว่า ในยุคแรกที่คิดสบู่ได้นั้น สบู่เรียกว่า ไซโป หมายถึงสิ่งที่นำมาชำระล้างนั่นเอง โดยต่อมาได้เพี้ยนไปเป็น โซป (Soap) ดังในปัจจุบัน
ถือเป็นสิ่งล้ำค่ามากๆ ในยุคแรกๆ คนธรรมดา ไม่มีสิทธิ์ได้ใช้นะครับ จะได้ใช้ก็แต่ระดับชนชั้นสูงเท่านั้น ในแต่ละประเทศ

ซึ่งการค้นพบสบู่เนี่ยะถือว่าเป็นความบังเอิญมาก ๆ ในยุคสมัยที่เรายังนิยมการบูชายันต์อยู่นั้น มักจะมีแท่นบูชายันต์ ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำ เมื่อนำแพะ หรือสัตว์อื่น ๆ มาบูชายัน ก็มีการเผาทำพิธีบริเวณนั้นด้วย และไขมันจากสัตว์เกิดไหลปนกับขี้เถ้า เกิดเป็นสิ่งที่เป็นก้อนขาว ๆๆ ไหลลงในลำธาร ชาวบ้านที่นำผ้ามาซักบริเวณนั้น ก็เกิดข้อสังเกตว่า ผ้าที่ซักจากบริเวณนี้ สะอาดง่ายกว่า ซักบริเวณอื่น จึงได้หาเหตุ กันต่าง ๆ จนมาเจอก้อนที่ว่านี่เอง สบู่ไงครับ ที่เกิดจากความบังเอิญจาก ไขมัน รวม กับ ขี้เถ้า 


สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า ปฎิกิริยา Saponification หรือการเกิดสบู่ขึ้นนั่นเอง
เป็นผลที่มาจาก ESter(ไขมัน) และ base(ด่าง) รวมกัน ได้เป็นสบู่ขึ้นมา โดยที่สบู่จากการสร้างจาก Saponification จะมีส่วนที่เรียกว่า กลีเซอรีน ออกมาด้วย ดังนั้นสบู่จากปฎิกิริยานี้ จะช่วยบำรุงผิวได้ดี

อย่างไรก็ตามคุณสมบัติของสบู่จะแปรตามคุณสมบัติของไขมันที่มาทำสบู่ 
เช่นถ้าสบู่ที่ทำจากน้ำมันมะพร้าว จะมีเนื้อแข็ง ฟองมาก เหมาะไว้ล้างจานเป็นต้น สบู่น้ำมันละหุ่ง จะให้ครีมนุ่มอ่อนโยน เหมาะไว้ล้างหน้าเป็นต้นครับ


ดังนั้นมนุษย์เราจึงได้ผลิตสบู่แบบนี้ซึ่งผมจะเรียกว่าการผลิตสบู่ด้วยวิธีธรรมชาติ โดยใช้ไขมันจากพืชหรือสัตว์ผสมกับด่างหรือ NaOH มาใช้กันเป็นเวลายาวนานซึ่งถือว่าเป็นสบู่ที่ดี ไม่ค่อยมีความระคายเคือง และมีกลีเซอรีนผสมอยู่ และมีการปรับสูตรกันในแต่ละท้องถิ่น 
ในไทยเอง ก็มีการผลิตสบู่ลักษณะนี้อยู่เหมือนกันในอดีต

จวบจนครั้งเมื่ออุตสาหกรรมเคมี ได้พัฒนาขึ้น การผลิตสบู่แบบดั้งเดิม ซึ่งต้นทุนสูง ใช้เวลานานในการผลิต และ ผลิตได้ครั้งละจำกัด จึงเกิดสบู่อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งผลิตโดยใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติในการชะล้าง มาอัดเป็นก้อนและผสมกลิ่นน้ำหอม และ เติมสี และจัดจำหน่ายทั่วไป มีการเติมมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อทดแทนกลีเซอรีน ที่เคยได้ในการผลิตแบบดั้งเดิม สบู่ประเภทนี้ให้การชะล้างที่เยี่ยมยอด และมีกลิ่นสี น่าใช้มาก เพราะแต่งเติมเข้าไปด้วยกรรมวิธีใหม่ ๆ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ การระคายเคืองในบางคน และการสะสมสารเคมี ไว้ที่ผิวกาย ทุกวัน ๆ มาจนถึงวันนี้ ไม่ทราบว่ามีใครสงสัยเหมือนผมบ้างไหมครับ ว่าสบู่ที่อยู่ในห้องน้ำบ้างเราเนี่ย เป็นสบู่จริงๆ หรือ เป็น เคมีชำระล้างอัดก้อน หรือสงสัยมั๊ยครับ ว่าเราเคยใช้สบู่ ที่เป็นสบู่จริงๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน


 

ประวัติสบู่

 
  เอกสารจากอดีตบันทึกกำเนิดสบู่ก้อนแรกว่ามาจากไขมันแพะต้มกับขี้เถ้าจากการเผาไม้ ซึ่งเป็น  การค้นพบโดยบังเอิญในยุค โรมันอันมีการบูชายัญสัตว์บนแท่นบูชาที่ทำด้วยไม้ แท่นบูชานี้ตั้งอยู่บนเนินเขา เมื่อสัตว์และแท่นไม้ถูกเผาพร้อมกัน ไขมันสัตว์ออกมาผสมกับขี้เถ้า เมื่อฝนตกลงมาก็เกิดเป็นก้อนสีขาว เวลาล่วงเลยมา มีการทำสบู่ใช้ เพียงแต่ไม่ได้ผลิตเป็นจำนวนมาก เป็นการทำใช้กันในครัวเรือน และเพราะมีสบู่ใช้ไม่มาก ผู้คนก่อนศตวรรษที่ 20 จึงไม่ได้อาบน้ำกันบ่อยนัก อย่างไรก็ตาม ต่อมาการทำสบู่กลายเป็นอุตสาหกรรมเก่าแก่ที่สุดของโลกประเภทหนึ่ง โดยโรงงานแรกๆเกิดขึ้นในยุโรป
  การทำสบู่เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ มีการพัฒนาก้าวหน้าจนปัจจุบันรูปแบบและสภาพแตกต่างไปจากบรรพบุรุษที่หน้าตาเดิมเป็นเพียงก้อนสบู่ ทั้งนี้ หลักการพื้นฐานของสบู่เกิดจากการทำปฏิ-กริยาทางเคมีระหว่างสารละลายกับน้ำมัน อาจเป็นน้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ และกลีเซอรีนสำหรับทำสะอาด ขจัดคราบสกปรก   แต่ข้อเสียคือความที่ล้างความมันได้ดีมากจึงทำลายไขมันคุ้มกันผิวไป ทำให้ผิวแห้งตึง และสบู่ยังมีฤทธิ์เป็นด่าง (ค่า pH มากกว่า 7) ทำให้ค่า pH บนผิวซึ่งปกติมีค่าประมาณ 5.5 คือมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เปลี่ยนไป การที่ค่า pH สูงกว่าภาวะปกติเป็นเวลานานๆ ทำให้ผิวระคายเคืองอักเสบ และส่งเสริมให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อโรคบนผิวหนัง ปัจจุบันนี้จึงนิยมใช้สารชำระล้างชนิดสังเคราะห์ใหม่ๆ (synthetic detergents หรือ soapless) ซึ่งสามารถปรับค่า pH ให้มีค่าใกล้เคียงกับ

ผิวหนังปกติ ระคายเคืองน้อยกว่าสบู่แบบเดิม ล้างออกได้สะดวกโดยไม่ทิ้งคราบไว้บนผิวหนัง



 
สบู่.

 

มนุษย์ดึกดำบรรพ์มีวิธีอาบน้ำที่แปลกประหลาด  ในขั้น     
แรกเขาจะใช้ขี้เถ้าผสมน้ำทาจนทั่วตัว  แล้วจึงทาทับด้วยน้ำมันหรือไขมัน  แล้วจึงล้างตัวด้วยน้ำสะอาด ถึงแม้วิธีอาบน้ำของชาวโบราณจะดูพิลึกต่างกับยุคปัจจุบัน แต่ในความจริงแล้วองค์ประกอบทางเคมีของขี้เถ้าและสบู่และไขมันคล้ายกันมากกับองค์ประกอบของสบู่ในปัจจุบัน  ดังนั้นคนโบราณที่อาบน้ำแล้วจึงตัวสะอาดพอๆกับเราๆที่อาบน้ำแล้วนั่นเอง    



   จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่าชนกลุ่มแรกที่ประดิษฐ์สบู่ขึ้นมาคือชาวสุเมเรียนซึ่งเป็นบรรพบุรษของชาวบาบิโลเนีย  วิธีการทำสบู่ของเขาก็คือเอาน้ำใส่หม้อตั้งไฟจนเดือดแล้วเทขี้เถ้าและไขมันลงไป  คนสักครู่แล้วจึงเติมเกลือ  ไขมันจะจับเป็นก้อนแข็งลอยอยู่บนผิวหน้าซึ่งนั่นก็คือสบู่นั่นเอง    
    แต่สบู่ที่เตรียมโดยวิธีนี้จะนิ่มและแตกเป็นชิ้นเล็กๆได้ง่าย  ต่อมาจึงได้มีผู้ปรับปรุงกรรมวิธีเพื่อให้สบู่แข็งตัวและบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น  โดยนำไขที่ได้มาล้างสารละลายเกลือแล้วทิ้งสัก   
ระยะหนึ่งจะได้สบู่แข็งที่สามารถนำมาตัดเป็นก้อนสำหรับใช้ได้    
   สิ่งน่าทึ่งสำหรับสบู่คือคือบางครั้งสบู่อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญในธรรมชาติ  พืชหลาย ชนิดมีสารเคมีลักษณะคล้ายสบู่  โดยใช้วักล้างได้และมีฟอง  ชาวพื้นเมืองอเมริกันและชาวเผ่าต่างอื่นๆเคยใช้พืชเหล่านี้สำหรบซัล้างและถูตัวมาแล้ว  ที่แปลกไปกว่านั้นคือที่เกาะไซโมลัส     
( Cimolus ) ในทะเลอีเจียน  ( Aegean  Sea )  ทั้งเกาะประกอบด้วยสารลัษณะคล้ายสบู่   
ไม่เพียงแต่สามารถนำมาใช้ซักผ้าและถูตัวได้เท่านั้น  เวลาฝนตกหนักทั่วเกาะจะถูกปกคลุมด้วยฟองสบู่หนาหลายฟุตทีเดียว   


 
   สบู่ธรรมชาติชนิดสุดท้ายที่จะกล่าวถึงนั้นค่อนข้างที่จะน่าขยะแขยงและชวนขนลุก ขนพองเอาซักหน่อย  และไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนำมาใช้ถูตัวและทำความสะอาด  เพราะมันมาจากศพที่ฝังดินไว้ภายใต้สภาวะความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม  ศพจะกลายสภาพเป็นสารเคมีที่คล้ายกับโซดาปิ้งขนมปัง  ( โซเดียมไบคาร์บอเนต )  ผสมกับไขมันซึ่งคล้ายกับองค์ประกอบทางเคมีของสบู่  สัปเหร่อเรียกสารเคมีนี้ว่า ...  ขี้ผึ้งจากหลุมฝังศพ  ศพของนายวิลเลียม  วอน  เอลเลนโบเกน  นายทหารชาวอเมริกันผู้ถูฆ่าตายในสงความระหว่างอังกฤษกับอาณานิคมของอังกฤษใน  
สหรัฐอเมริกา  ( ค.ศ.  1775-1783 )  เมื่อฝังแล้วร่างกายของเขากลายเป็นสบู่ และมีผู้นำมาตั้งแสดงที่สถาบันสมิทโซเนียน  ( Smithsonian  Instituution )  อยู่นานหลายปี ... รับรองเลย  ว่าสบู่ประเภทนี้คงไม่มีใครกล้าใช้เป็นแน่ ...

 

 

ว่าแล้ว อาบน้ำดีกว่า !!!

 

 

ขอขอบคุณ

atcloud.com

thaigoodview.com

bloggang.com

ภาพประกอบ

mumbaimirror.com

world-of-algae.com

chestofbooks.com

billcasselman.com

afinalspin.com

export-forum.com

ps3maven.com

geekologie.com

vat19.com

สำหรับข้อมูลดีๆค้าบ

 







 

เฮนรี่ขอฝากเวปไซต์ที่รวบรวมเนื้อหาสาระไว้มากมาย

เข้าไปอ่านกันได้ฟรีๆค้าบผม.......

 

จิ้ม>>คลับของคนมีคลาส

จิ้ม>>Facebook ของ คลับคนมีคลาส

และ คลับสำหรับคำศัพท์ภาษาอังกฤษ

จิ้ม >>> English Fit Fit

ไว้ในอ้อมใจด้วยนะค้าบผม ^_^ 

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

jjjjjjjjjs 3 พ.ย. 53 เวลา 22:31 น. 1

อยากลองใช้สบู่แท้ๆจัง

เหมือว่าน้ำขี้เถ้าเป็นตัวดึงสิ่งสกปรกอ่ะ แล้วไข้มันเป็นตัวให้มอยเจอไรเซอร์
เพราะคนสมัยก่อน ก้ใช้ขี้เถ้าใส่น้ำรอตกตะกอนแล้วเอาน้ำนั้นมาซักผ้า&nbsp แม่เล่าให้ฟังน่ะ

0
ooHAOoo 4 พ.ย. 53 เวลา 05:50 น. 2

 สบู่แท้ในท้องตลาดก็ยังพอมีนะ แต่ก้อนละ 100 นิด ๆ


PS.  สิ่งเดียวที่ได้มาโดยปราศจาคความพยายามนั้นคือ ความล้มเหลว
0
♠SaniwaSEN ❄ 7 มี.ค. 62 เวลา 06:36 น. 4

ขอบคุณสำหรับความรู้จ้า:3

สบู่แท้ ๆ ก็ต้อเคี่ยวไขมันจนกว่าจะเป็นก้อน จะราคาแพงก็ไม่แปลก วิธีแบบนั้นถึงจะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ค่าพลังงานที่ต้องใช้ในการทำก็พุ่งเป็นธรรมดา เทคโนโลยีมาถึงขนาดนี้แต่สบู่แม้ก็ยังดูหรูหราอยู่ดี แต่ก็อยากลองใช้เหมือนกันน้าา

แต่เจอพวกของนำเข้าก้อนละเกือบสามร้อย คงต้องคิดดี ๆ ก่อน 555555555555555555

0