[กว่าจะเป็นหนังสือ]2. หมึก และเครื่องจักรในโรงพิมพ์
ตั้งกระทู้ใหม่
ประวัติศาสตร์ของหมึกและการพิมพ์แบบคล้ายคลึงกับปัจจุบันเกิดขึ้นในประเทศจีนเช่นเดียวกับกระดาษเดิมทีการเขียนตัวอักษรจะใช้สีย้อมที่ได้จากธรรมชาติเช่น สีจากครั่ง, ถ่าน หรือแม้กระทั่งเลือดสัตว์ หรือใช้เหล็กเผาไฟจารลงบนวัสดุบันทึก แต่ในราวปี 256 ก่อนคริสตกาล ยุคเลียดก๊ก ปราชญ์แห่งแคว้นฉู่ได้คิดค้นทำหมึกแท่งขึ้นโดยใช้รากไม้ที่ให้สีดำ ผงถ่านและกาวหนังสัตว์ ผสมแล้วปั้นให้ขึ้นรูป เมื่อใช้ก็ละลายน้ำแล้วจึงเขียนหรือพิมพ์
โครงสร้างของหมึกที่ใช้ในงานพิมพ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงมานับแต่นั้น อันประกอบด้วย
1. สารให้สี (Colorant) ได้แก่ เม็ดสี(Pigment), สีย้อม(Dye) เพื่อให้สีต่างๆแก่หมึก
2. สารยึดเหนี่ยว(Vehicle/binder) ได้แก่ กาว, พลาสติก เพื่อให้หมึกยึดตัวกับพื้นผิววัตถุที่ต้องการให้หมึกติด
3. สารเพิ่มเติม (Additive) เพื่อเพิ่มเติมคุณสมบัติอื่นๆเช่น การแข็งตัว, กันบูดเน่า, กลิ่นหอม
4. ตัวกลางนำ (Carrier substance) เพื่อทำให้สารทั้งหมดรวมตัวกันและใช้งานได้ เช่น น้ำ น้ำมัน ไขมัน
สารให้สีของหมึกประกอบด้วยสารประกอบของโลหะหนักหลายชนิดที่ให้สีสันแตกต่างกันไป เช่น แคดเมียม โครเมียม ซึ่งแร่โลหะหนักที่ใช้ทำหมึกเหล่านี้จะถูกขุดขึ้นจากเหมืองต่างๆในทวีปแอฟริกา เช่น แทนซาเนีย ซูดาน หรือในทวีปอเมริกาใต้เช่นที่โบลิเวีย ชิลี ก่อนที่จะถูกขนส่งไปผลิตผสมกับสารประกอบส่วนอื่นๆในโรงงานผลิตหมึก โดยมากบริษัทผลิตหมึกชื่อดังจะเป็นบริษัทสัญชาติเยอรมัน หรือญี่ปุ่น เช่น สเต็ดเลอร์, มิตซูบิชิ ปัจจุบันโรงงานหมึกอุตสาหกรรมเพื่อการพิมพ์จำนวนมากได้ย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่ประเทศจีน
เนื่องจากอุตสาหกรรมหมึกพิมพ์เป็นอุตสาหกรรมหนักที่ก่อมลภาวะ และส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการพิมพ์ ทำให้ทุกวันนี้มีความพยายามคิดค้นหมึกพิมพ์ที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ คือหมึกพิมพ์ที่ผลิตจากถั่วเหลืองขึ้นด้วยวิธีการคล้ายคลึงกับการผลิตซีอิ๊ว แต่เพิ่มสารยึดเหนี่ยวและกันเสียลงในหมึกถั่วเหลืองเหล่านั้น ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีต่ออุตสาหกรรมการพิมพ์ในอนาคตหากไม่ถูกระบบดิจิตอลตีตลาดจนหมดเสียก่อน
เมื่อมีหมึกแล้ว ขั้นตอนต่อไปของการพิมพ์หนังสือก็จะเข้าสู่แท่นพิมพ์หรือเครื่องพิมพ์ แม้ว่าการพิมพ์จะคิดค้นขึ้นครั้งแรกในจีนและแพร่ขยายเข้าไปสู่ประเทศญี่ปุ่น ดังปรากฏหนังสือที่พิมพ์ครั้งแรกคือ ปรัชญาปารมิตา วัชรเจติยญาณสูตร ในสมัยราชวงศ์ถังราวศตวรรษที่ 5 และใบปลิวบทสวดป้องกันโรคห่าของญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 12 แต่การพิมพ์แบบถอดเปลี่ยนตัวอักษรได้ ซึ่งตัวพิมพ์สามารถเรียงพิมพ์ ถอดซ่อมแซม หลอมและสร้างใหม่ เกิดขึ้นในเยอรมันยุคต้นเรอเนสซองส์ จากผลงานของโยฮันเนส กูเตนแบร์ก ซึ่งคัมภีร์ไบเบิลฉบับกูเตนแบร์กนั้นถือเป็นโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าทั้งทางราคาและประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง เนื่องจากกูเตนแบร์กได้ทำให้คัมภีร์ศาสนาหรือตำราความรู้ใดๆถูกเผยแพร่ไปทั่วทวีปยุโรปโดยไม่ถูกผูกขาดจากชนชั้นขุนนางหรือวัดวาอาราม เป็นปัจจัยหนึ่งของการปฏิรูปศาสนาโดยมาร์ติน ลูเธอร์ ในที่สุด
ประเทศไทยรับเอาการพิมพ์มาใช้ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยสั่งแท่นพิมพ์นำเข้าจากประเทศอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งมิชชันนารีอเมริกันใช้พิมพ์ทั้งคัมภีร์ศาสนาและเรื่องทั่วไป บิดาของการพิมพ์ไทย นพ. แดน บีช บรัดเลย์ หรือหมอปลัดเล ได้ตั้งโรงพิมพ์ขึ้นที่วัดเกาะ (บางคอแหลม ปทุมวัน ปัจจุบัน) ออกหนังสือพิมพ์บางกอกเรคอร์เดอร์ และต่อมานพ. สมิธ ก็ได้ตั้งโรงพิมพ์เพื่อพิมพ์กลอนของสุนทรภู่ขายให้ประชาชนอ่านจนเป็นธุรกิจสร้างความร่ำรวย ส่วนสมเด็จพระจอมเกล้าฯเองก็นำเข้าแท่นพิมพ์มาไว้ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อพิมพ์พระไตรปิฎก และออกราชกิจจานุเบกษาเพื่อกระจายข่าวสารทางราชการ
ทุกวันนี้ประเทศไทยยังต้องนำเข้าเครื่องจักรกลการพิมพ์ในระดับอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ โดยมากจากประเทศเยอรมนี, เดนมาร์ก และอเมริกา แท่นพิมพ์ตามโรงพิมพ์ใหญ่ๆเช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ ใช้เครื่องพิมพ์ยี่ห้อ เมน โรแลนด์ ของประเทศเยอรมนี ซึ่งเราจะเห็นข่าวดารานักแสดงไปเยี่ยมชมแท่นพิมพ์บ่อยๆ
แท่นพิมพ์อาจแบ่งประเภทได้ใหญ่ๆ 3 ประเภท ได้แก่
1. แท่นพิมพ์ฉับแกระ (Letterpress) เป็นแท่นพิมพ์แบบโบราณพัฒนาจากแท่นพิมพ์ของกุเตนแบร์ก ใช้น้ำหนักของแท่นพิมพ์กดทับหมึกลงไปให้เกิดอักษร ปัจจุบันหายากแล้ว เหลือเฉพาะตามโรงพิมพ์เล็กๆในต่างจังหวัด
2. แท่นพิมพ์ออฟเซ็ต (Off-set) เป็นแท่นพิมพ์ที่ใช้ระบบลูกกลิ้งสองม้วน ลูกกลิ้งม้วนหนึ่งจะมีน้พุหมึกพ่นใส่เพลท ส่วนอีกลูกหนึ่งจะเป็นตัวนำหมึกบนเพลทนั้นถ่ายเทสู่กระดาษหรือวัตถุที่ต้องการพิมพ์ แท่นพิมพ์แบบนี้จะมีช่องใส่หมึกเฉพาะที่ต้องผสมสารตัวนำ เช่นน้ำหรือน้ำมันสังเคราะห์ ช่างผสมหมึกในเครื่องพิมพ์ถือเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและอันตรายจากโลหะหนักในหมึกมาก แท่นพิมพ์แบบนี้ใช้ในอุตสาหกรรมการพิมพ์ส่วนใหญ่ เนื่องจากสามารถนำเพลทกลับมาใช้ได้อีก และต้นทุนต่อหน่วยต่ำหากพิมพ์ปริมาณมาก
3. แท่นพิมพ์ดิจิตอลเลเซอร์(Laser digital) เป็นแท่นพิมพ์ที่สั่งการโดยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถแก้ไขงานพิมพ์ได้สะดวกและรวดเร็ว แต่มีต้นทุนต่อเล่มสูง โดยมากใช้ในงานพิมพ์จำนวนน้อย หรืองานพิมพ์ on-demand
กระดาษจะถูกป้อนเข้าสู่แท่นพิมพ์เป็นม้วนๆ พ่นหมึกหรือพิมพ์ข้อมูลตามที่ตั้งค่าเรียงพิมพ์ไว้ ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการตัดหน้า ซึ่งจะกล่างถึงในตอนต่อไป
PS. In omnibus requiem quaesivi, et nusquam inveni nisi in angulo cum libro.
12 ความคิดเห็น
มีรายละเอียดเพิ่มเติมของเพลทอีกไหมครับ *-*
PS. ARTHUR FLY : อาเธอร์ ฟลาย ฝากนิยายทำมือเรื่องที่ 3 ของผมด้วยครับ
รูปนี้ถ่ายมาจาก พิพิธภัณฑ์ที่ัวัดเกตการาม เชียงใหม่
เครื่องปรุกระดาษไขชนิดมือหมุน ยี่ห้อ เก็สเต็ตเนอร์ ในเวลานี้ บริษัทนี้ ได้ถูกเทคโอเวอร์ไปแล้ว
มายุคนี้ ดิจิตอล ใช้หมึกหลอด กระดาษไขเป็นมัวนเป็นแม่พิมพ์ หน้าตาคล้ายเครื่องถ่ายเอกสาร
ที่มา http://www.risosa.co.za/riso.aspx
เช่นเครื่องพิมพ์สำเนาระบบดิจิตอล ยี่ห้อ ริโซ่ เป็นต้น พิมพ์ขาว-ดำ ถ้าจะพิมพ์สี ก็ต้องอาศัยลูกโมในการเปลี่ยนสี (ลูกโม เป็นตัวทำต้นฉบับ ทำเอกสารลงในกระดาษมาสเตอร์)
ต้นทุนต่อครั้งถูกกว่าเครื่องถ่ายเอกสาร ในกรณีที่พิมพ์จำนวนมากๆ แต่ในขณะเดียวเครื่องถ่ายเอกสาร ก็มาแรงใช่ย่อย
PS. vbvb World of Warcraft Classes Rogue Hail~ Megatron!
@1
เพลทการพิมพ์ พัฒนาขึ้นในทศวรรษที่ 1970 เมื่อการพิมพ์แบบเล็ตเตอร์เพรสใช้ตะกั่วในการเรียงพิมพ์จำนวนมากและยุ่งยาก ใช้เวลาเรียงพิมพ์นาน อีกทั้งยังำพบว่าตะกั่วเป็นสารก่อมะเร็ง ระบบการพิมพ์แบบออฟเซ็ตโดยใช้เพลทจึงเข้ามาแทนที่
เพลททำจากโลหะผสม โดยมาทำจากอลูมิเนียมดัดให้เป็นแผ่นโค้ง แล้วเคลือบวัสดุกันน้ำลงไป เมื่อจะจัดทำเพลทในการพิมพ์แต่ละครั้ง จะใช้ความร้อน กรด หรือเลเซอร์กัดให้เพลทนั้นขึ้นรูปตัวอักษรหรือภาพที่ต้องการ ก่อนจะนำไปม้วนเข้ากับลูกกลึงในเครื่องพิมพ์
เมื่อเพลทสัมผัสกับหมึกพิมพ์ ส่วนที่กันน้ำจะรีดเอาน้ำหมึกออก เหลือเพียงหมึกติดอยู่บริเวณที่เป็นตัวหนังสือ เพลทจะหมุนเข้าไปพิมพ์ในลูกกลิ้งรอง ก่อนจะพิมพ์ลงบนกระดาษอีกหนหนึ่ง การพิมพ์แบบนี้ทำให้เพลทไม่ต้องทำสลับซ้ายขวาเหมือนในกระจกเพราะเป็นการพิมพ์ถ่ายทอดสองหน จึงเรียกว่า ออฟ-เซ็ต
@2
ขอบคุณคุณ shiroro ที่เข้ามาเพิ่มเติมภาพให้ครับ
โม ที่ว่านี้เป็นศัพท์เฉพาะในวงการพิมพ์ ซึ่งมาจาก Mold หรือแม่แบบพิมพ์นั่นเอง โมในเครื่องพิมพ์ออฟเซ็ตคือลูกกลิ้งอันรองที่รับน้ำหมึกจากเพลทก่อนจะลงกระดาษครับ
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 22 ธันวาคม 2553 / 15:17
PS. In omnibus requiem quaesivi, et nusquam inveni nisi in angulo cum libro.
บริษัท ที่ทำงานอยู่ขายเครื่องแนวนี้อยู่พอดี แถมพ่อก็เคยเป็นพนักงานบริษัทเก็สเต็ตเนอร์มาก่อน ก็เลยคุ้นเคยกับยี่ห้อนี้อยู่บ้าง
ลูกโม (ลูกดรัม สร้างภาพ)
แถมกระดาษไขมาสเตอร์กะหลอดหมึกให้ดู
กระดาษไขนี่มองดูแล้วจะคล้ายกับกระดาษห่อทุเรียนในความคิดของเรานะ แต่อย่าไ้ด้เอาไปห่อเชียวละ ม้วนหนึ่งทำต้นฉบับได้ 250 ต้นฉบับ
หมึกพิมพ์สีดำ หลอดหนึ่งพิมพ์ได้ 25000 แผ่น หลอดเปล่า บ.ริโซ่รับไปรีไซเคิลมาเป็นโต๊ะเก้าอี้ให้น้องๆนร.ต่างจ.ได้ใช้
ตอนนี้เครื่อง ริโซ่ เรียกว่า Comcolor สามารถพิมพ์สี่สี่ได้ในเวลาเดียวกัน โดยใช้ระบบพ่นหมึกคล้ายระบบพิมพ์อิงค์เจ็ท ตัวใหญ่สุดของรุ่นนี่เข้าเล่มเย็บแม็คได้ด้วย (อยากได้แต่ไม่มีตังค์ซื้อ แพงกว่ารถยนต์อีก)
PS. vbvb World of Warcraft Classes Rogue Hail~ Megatron!
วิดิโอคลิปค่ะ ถ้าเว็บบอร์ดแชร์ได้สะดวกๆ เหมือนใน fb ก็ดีเนอะ
สาธิตการใช้เครื่องพิมพ์สี่สี (ทดลองเพลท)
PS. Who has never tasted what is bitter does not know what is sweet.
#4 เครื่องข้างล่างนั้นประมาณราคาให่หน่อยได้ไหมครับ (ไม่มีเงินซื้อหรอกครับ แต่อยากรู้ -w-)
PS. ARTHUR FLY : อาเธอร์ ฟลาย ฝากนิยายทำมือเรื่องที่ 3 ของผมด้วยครับ
ตัวเล็กของรุ่นคอมคัลเลอร์ ถ้าจำไม่ผิด หกแสนหรือสี่แสนราวๆนี้ รุ่นใหญ่ตามรูปนั่น ถ้าจำแบบพลาดๆ ล้านอัพ อย่างแน่นอน
แต่ที่เจ๋งคือ หมึกสี่สีพิมพ์ตามธรรมชาติ คิดจากขนาดเนื้อที่ 40% ตกแผ่นละบาท
PS. vbvb World of Warcraft Classes Rogue Hail~ Megatron!
เดี๋ยวนี้มีบริการให้เช่าอุปกรณ์สำนักงานพวกเครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ด้วยนะ ไม่ต้องซื้อเอง จ่ายค่าเช่าเอา
ส่วนแท่นพิมพ์ระดับโรงพิมพ์ใหญ่ๆนั่น.. 10 ล้านอัพ
PS. In omnibus requiem quaesivi, et nusquam inveni nisi in angulo cum libro.
นั่นแหละ ให้เช่า เครื่องมือสอง ที่บริษัทก็ทำอยู่
มือหนึ่งก็มี แต่บอกเลยว่าไม่คุ้ม ต้องระยะยาว ช่วงนี้ถือว่าคนใช้คุ้ม
PS. vbvb World of Warcraft Classes Rogue Hail~ Megatron!
อ้อ... รับทราบ... ครับ...
PS. ...มันไม่ใช่พีเอสนะ มันคือปัจฉิมลิขิตต่างหาก...
เข้ามาอ่านตอนสอง และรอตอนสามค่า
PS. There's no logic in your arguments, if one doesn't listen, doesn't open up, we can't find the answer. Drifting never ends.
ดีครับอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?