***งูไม่มีขา จริงหรือไม่??? พระคัมภีร์ไบเบิลมีคำตอบ "งูมีขามาก่อน..."
ตั้งกระทู้ใหม่
พระคัมภีร์ไบเบิล เป็นเพียงนิยายปรัมปราจริงหรือไม่???
วันนี้เป็นเรื่องของงูมีขาหรือไม่มี
ข้อพระคัมภีร์ที่ยกมาในวันนี้คือ
ปฐก.1-14 พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า "เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกสาปแช่งมากกว่าสัตว์ใช้งาน และสัตว์ป่าทั้งปวง จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดินตลอดชีวิต"
บริบทก่อนหน้านี้คืองู(ซาตาน)ได้หลอกล่อให้เอวาและอาดัมกินผลไม้รู้ดีรู้ชั่วได้สำเร็จซึ่งเป็นการขัดน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าจึงสาปงูให้เลื้อยไปด้วยท้อง
ซึ่ง....สงสัยหรือไม่ว่า เมื่อพระเจ้าสาปงูแล้ว ก่อนหน้านี้งูมีหรือไม่มีขา???
มาดูกัน
*******
มีนักวิชาการหลายคนพบว่า ถ้าพลิกงูขึ้นมาดู จะเห็นขาจิ๋วๆำอยู่ตามด้านข้างพุง ซึ่งเขาเชื่อกันว่า มันจะช่วยทำให้งูเลื้อยได้ดีขึ้นโดยเฉพาะพื้นผิวขุรขระ แบบช่วยพุ้ยทรายอะไรอย่างนั้น แต่ก็ทำให้งูเลื้อยผ่านพื้นผิวที่ลื่นปรี๊ดไม่ค่อยจะได้ (ดูตามสถานเสาวภา..มันก็เลื้อยปีนกระเบื้อง หรือ ปูนขัดเรียบขึ้นมาไม่ได้)
บางคนเชื่อว่างูเคยมีขามาก่อน แต่ภายหลังวิวัฒนาการจนเป็นแบบนั้น
ข้างล่างนี่เป็นภาพFossil ของงู ชื่อ Najash Rionegrina จุดแดงๆที่เห็นเป็นกระดูกต้นขา (femur)ที่งอกมาจากกระดูกก้นกบ(sacrum) และมันก็มีขาหลังครบ ตั้งแต่ กระดูกต้นขา กระดูกหน้าแข้ง และกระดูกน่อง
เจ้างูตัวนี้เป็นกระดูกงูที่เก่าที่สุดตั้งแต่มีการค้นพบกันมา
นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่านี่เป็นรอยต่อระหว่างงูมีขากับงูไม่มีขา และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าขาของงู มันหลุดไปเพราะไม่ได้ใช้งาน (Disuse) แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมเจ้างูนี่หยุดใช้ขาไปซะเฉยๆ คือ มันดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย จะว่ามันขี้เกียจใช้ สัตว์อื่นๆที่ขี้เกียจกว่างูนอนพุงอืดกว่างู มันก็ยังจะมีขา ไม่เห็นขาจะเล็ก จะผอมหรือ จะหายไปแต่ประการใด แต่ที่แน่ๆ หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนเราจะมีนักวิทยาศาสตร์มาช่วยอธิบาย..พระคัมภีร์ก็ได้พูดอย่างชัดเจน
Gen 3:14 And the LORD God said unto the serpent, Because thou hast done this, thou [art] cursed above all cattle, and above every beast of the field; upon thy belly shall thou go, and dust shall thou eat all the days of thy life
ปฐก.1-14 พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า "เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกสาปแช่งมากกว่าสัตว์ใช้งาน และสัตว์ป่าทั้งปวง จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดินตลอดชีวิต"
-------------------------------
นอกจากนี้ พระคัมภีร์ยังได้บอกอะไรไว้มากมาย
หากสนใจ ขอพระเจ้าจะทรงนำพาคุณ
พระองค์เจ้าผู้เป็นหนึ่ง ไม่มีพระอื่นใดนอกจากพระเจ้า
สรรเสริญพระองค์ เอเมน
------------------------------
เครดิต* http://www.biblediscuss.com/board/viewtopic.php?f=5&t=1945
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 22 มกราคม 2554 / 17:07
20 ความคิดเห็น
งูมีขาจะหน้าตาเป็นยังไงหว่า คงพิลึกน่าดู
ไม่มีขาอะดีแล้ว
แต่ก่อน มีขา เป็นมังกรหรือพญานาค ที่คนไทยเรียก นั่นเอง
เมื่อก่อนพระคัมภีร์ไม่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ
ไม่ยอมรับว่าโลกกลม ไม่มีบอกว่าโลกหมุนรอบพระอาทิตย์
ปล อย่าเอาวิทยาศาสตร์มาปนศาสนา และอย่าเอาศาสนามาปนวิทยาศาสตร์
PS. เราไม่ได้สีแดงนะ แต่-สีเดียว-ต่างหาก
ไบเบิ้ล ไม่ใช่นิยาย ไม่ใช่ หนังสือ ศาสนา
นิยาย หนังสือ ศาสนา ไม่สามารถเขียนขึ้นได้ ในระยะเวลา 4000 ปี ผู้เขียน กว่า 40 คน
ร้อยเรียง ประวัติศาสตร์ เรื่องราวเดียวกัน สื่อและชี้ถึงบุคคล คนเดียวกันตั้งแต่เริ่มจนจบ คือ พระเยซูคริสต์ บุคคลคนเดียว ในประวัติศาสตร์โลก ที่กล้ากล่าวว่าตนคือ พระเจ้า ผู้ที่มายังโลกนี้เพื่อไถ่บาป ให้มนุษย์ ทุกคนที่เชื่อไว้วางใจ
เมื่อก่อนพระคัมภีร์ไม่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ
ไม่ยอมรับว่าโลกกลม ไม่มีบอกว่าโลกหมุนรอบพระอาทิตย์
*คุณคห.2 อาจจะเข้าใจอะไรผิดไปนะคะ
"ความรู้วิทยาศาสตร์อันน้อยนิด อาจนำเราออกห่างพระเจ้า แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดจะนำเรากลับมาหาพระองค์"
เฮ้อ ทะเลาะกันไปเพื่ออะไรไม่ทราบคะ
จขกทเขาเอามาให้ดูก็ดูไปสิเอาไว้ประดับความรู้จะจริงไม่จริงก็อยู่ที่เราเลือกจะเชื่อไม่เชื่อ
ไม่เห็นต้องเอามาเถียงกันจริงๆจังๆเลย
เถียงไปก็ไม่มีใครยอมแพ้อยู่ดี  เรื่องสมัยก่อนไม่ม่ีใครรู้ว่าจริงไม่จริงหรอก
แต่สำหรับเราเรามีสมองพอที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราตัดสินเองได้
มาทะเลาะอ้างเหตุผลโน้นนี้ขึ้นมาให้เปลืองหน้ากระทู้ทำไม
ทั้งคห.3และคห.4น่ะที่คุณบอกมาทั้งสองแง่นั่นเรารู้มานานแล้ว
แต่เราก็ยังเข้ามาดูเพราะคิดว่าจะมีอะไรใหม่ๆมาเท่านั้นเอง เฮ้อปวดจิตปวดตับ
PS. เฮ้อๆ love suju จังเลย
ทุกศาสนา บนโลกสอนว่า จงทำความดี เพราะความดีของคน จะทำให้พระเจ้าพอใจ
ศาสนาพุทธ สอนว่า จงทำความดี เพื่อ ความดี ไม่ใช่เพื่อพระเจ้า ครับ ต่างตรงนี้แหละ
ศาสนาพุทธสอนให้เชื่อในหลักของความเปนจริงไม่งมงามจนเกินตัว
มาอีกละ พวกหลงงมงาย ว่าศาสนาตัวเองดี
คนแบบนี้มีทุกศาสนาเลยรึเปล่า
จขกท ก็แค่มาให้เรารับรู้ว่าอะไรเป็นไง
ตอนนี้มันไม่สามารถอธิบายได้ว่า เพราะอะไร
เค้าก็แค่เชื่อมโยง ไปถึงคัมภีร์ไบเบิล
ศาสนาพุทธยังเชื่อเรื่อง เวียนว่ายตายเกิด แล้วมีคนระลึกชาติได้
วิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่สามารถอธิบายได้
ไม่มีอะไรที่วิทยาศาสตร์จะสามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นได้หมด
คนเราก็เลยนึกถึงหลักความเชื่อแต่ละศาสนาของตน
อย่าลืมสิ ทะเลาะกันเพราะศาสนาต่างกันนี่ละ สงครามต่างๆจึงเกิดขึ้น
(ไม่มีศาสนาจะดีกว่ามั้งเนี่ย)
คหสต
ว่าคริสต์งมงาย พุทธเองก็งมงาย(สำหรับพวกงมงายศาสนาของตัวเองเกินไป ย้ำบางคน) = =
PS. รัก NAKAYAMA สุดขั้วหัวใจ แต่ก็แอบหลงNAKACHII เช่นกัน>_<~
ในไบเบิล ไม่เคยบอกว่าโลกแบน แต่เป็นเพราะความคิดของคนสมัยนั้นมากกว่า
และสิ่งที่ทำให้เกิดโปรเตสแตนท์ขึ้นมา เพราะบาทหลวงของคาทอลิกในสมัยนั้น ปัจจุบัน พระสันตะปาปาองค์ก่อน ก็ได้ออกมายอมรับและขอโทษต่อสิ่งที่พระศาสนจักรในอดีตได้ทำไป แต่ปัจจุบันใช่ว่าโปรเตสแตนท์จะดีน่ะครับ ยังมีโปรเตสแตนท์บางสายที่สอนผิดและชอบกล่าวหา นิกายอื่นๆ
พระคัมภีร์ไบเบิล ได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า เป็นความจริง ยกเว้นพระธรรมเก่า5บทแรก ที่เป็นความเชื่อ
"คห.3 ชอบพูดอะไร แบบตรรกะเสื่อมนะ
เค้าเข้าใจผิดตรงไหน
ก็คนคริสต์สมัยก่อนบอกว่า โลกแบน โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล
พอมีคนโต้แย้ง ก็ถูกกล่าวหา กลายเป็นลัทธิล่าแม่มด เผาทั้งเป็นบ้างอะไรบ้าง
ทุกคนต้องทำตามศาสนจักรทุกอย่าง จนต้องเกิดนิกายโปเตสแตนส์
หลายๆอย่าง ก็ไม่ตรงกับวิทยาศาสตร์เลย สอนให้เชื่ออย่างเดียว พิสูจน์ไม่ได้เลย"
คุณคห.4คะ คุณพูดแแบบนี้ก็ไม่ถูกนะคะ คุณจะมาพูดว่าศาสนาคริสต์สอนให้เชื่ออย่างเดียวไม่ได้เพราะหลายๆอย่างที่พวกเราเชื่อกันก็มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาแล้ว แล้วก็ยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้อีกหลายอย่างถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า พระเยซู และอัศจรรย์ต่างๆที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำ "เราไม่ได้เชื่องมงายค่ะ" ถ้าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่เชื่ออะไรงมงายแล้วถามหน่อยเถอะค่ะว่าทำไมผู้คนส่วนใหญ่ในโลกรวมไปถึง"ประเทศที่เจริญทางวิทยาศาสตร์มากๆแล้ว"ก็ยังนับถือศาสนาที่คุณว่า"งมงาย"อีกล่ะคะถ้าคุณไม่มีความรู้อะไรมากพอก็อย่าเพิ่งมาว่าหรือตัดสินศาสนาอื่นเสียๆหายๆสิคะ
แล้วพวกคุณที่เป็นชาวพุทธละคะ เราไม่ได้อยากจะว่าอะไรนะคะ แต่สิ่งที่พวกคุณพูดกับการกระทำของพวกคุณมันตรงข้ามกันมากนะคะ และยังขัดแย้งกับหลักศาสนาของคุณที่คุณบอกอีกด้วย เพราะเราก็ยังเห็นชาวพุทธส่วนใหญ่ขูดเลขที่ต้นไม้หรือของแปลกเพื่อหาหวย หรือเชื่อเรื่องไสยศาสตร์หรือเรื่องผีสางที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลยละคะ ความเชื่อหลายๆอย่างของพวกคุณก็ใช่ว่าจะพิสูจน์ได้ซะหมดที่ไหน เราไม่อยากยกตัวอย่างมากไปกว่านี้แล้วล่ะค่ะเพราะมัน"เยอะมาก"และก็ไม่อยากจะไป"ลบหลู่ความเชื่อของคนศาสนาอื่น"น่ะคะ
สิ่งที่คุณแสดงความคิดเห็นมาทั้งหมดมันก็เท่ากับเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองทั้งนั้นแหละค่ะ คุณคห.4
ปล.ถ้าไม่ชอบศาสนาคริสต์ก็อย่ามาฉลองคริสต์มาสละกัน มันงมงายไม่ใช่หรอ
ถ้าโลกเป็นวิทยาศาสตร์ไปหมด แล้วจะเหลือความเป็นมนุษย์อยู่อีกหรอ
PS.
PS. ฝึกเป็นคนมีเหตุผล ...... . เหตุ-ผล-เหตุ-ผล-เหตุ-ผล
งูที่มีขาและยังมีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ  ซาลามานเดอร์
ซาลาเมนเดอร์เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำน่ะ
เขาก็แค่ยกตัวอย่างมาจากไบเบิ้ลว่าพระเจ้า สาปงูให้ใช้ท้องเลื้อยเพราะไปหลอกอาดัมกับเอวากินผลไม้ ..จะเถียงกันทำไม วิทยาศาสตร์คือสิ่งที่มีสมมุติฐานและพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงซึ่งจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ใครจะศรัทธาอะไรก็แล้วแต่คนแล้วแต่ศาสนาครับ ไม่มีสิทธิ์ไปว่าเขางมงายหรือเพ้อเจ้อ
ศาสนาพุท ทำมาพูดดีนะค่ะเรื่องคำสอน จะบอกไห้ว่าคนสอนเองยังทำไม่ได้ เสื่อม
ส่วนคริสจักที่มันบอก นู้นนี้ ไปค้นประวัติศาด ดิค่ะ มันแต่งคำสอนขึ้นมาเองทั้งนั้น ในไบเบิลมีบอกว่าโลกกลมค่ะ แต่พวกนั้นทำเสื่อม แยกด้วย นิกายหลอกลวงกับ คัมภรีไบเบิล
คิคิ ศาสนาใครก็คิดว่าของตัวเองถูกทั้งนั้นแหละ ทั้งๆ ที่ทุกศาสนา ก็ล้วนแล้วถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือมนุษย์ ด้วยกันทั้งนั้นแล้วใช้ สิ่งที่เรียกว่า อารมณ์ของมนุษย์ทำให้ตกอยู่ในสภาวะ เชื่อ แล้วศรัทธา ที่พยายามดึงเหตผลต่างๆ มาอ้างว่า ศาสนาตัวเอง ถูก ก็เริ่มขึ้น งี่เง่า จนเกินเยียวยา แล้วมนุษ
ความเชื่อก็แบ่งขนาดกันออกไป เชื่อมาก ศรัทธามาก ก็หลงมาก จะเคร่งครัด คิดว่าสิ่งที่ตัวเองนับถือถูก
เชื่อปานกลาง ศรัทธาปานกลาง ก็ธรรมดา ใช้ชีวิตเรื่อยๆ รอวันพลังชีวิตหมด
เชื่อน้อย ศรัทธาน้อย ก็ทำตามใจตัว เองแต่แอบแฝงด้วยความกลัวแบบไม่มีเหตผล
ไม่เชื่อเลย ไม่มีศรัทธา มี 2 อย่าง คือ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง กับ มีเหตผลเพียงพอที่ไม่ต้องเชื่อ
คนที่พยายามให้สิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูก ก็พยายามสรรหา เหตผลเข้าข้างความคิดตัวเอง ทั้งๆที่จุดอ่อนของทุกศาสนา นั้นมี และเป็นจริงไม่ได้
ถ้าถามว่าถ้าไม่มีศาสนา จะมีความเป็นคนอยู่ไม่ ก็ให้ยึดคำว่า คุณธรรม เถอด คุณธรรมไม่ได้มาจากศาสนาใด แต่มาจากความเป้นกลาง ที่แบ่งแยก + - การไม่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน คือ ความจริงที่สุด สำหรับสังคมมนุษย์ แต่ถ้าจิตใจดีพอ ก็เอื้อเฟื้อ แต่อย่ามุ่งร้ายผู้อื่น ก็เพียงพอแล้ว
ไม่ต้องมีพระเจ้า ที่ไหน ไม่ต้องมี ใครสร้าง เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นและดับไปด้วยตัวมันเอง ภายในจักรวาลที่เป็นนิรันดร์ อย่าไปคิดให้มาก เรื่องโลกใหม่ เรื่องสวรรค์นรก เกิดมาแล้วก็ดับไป แค่นั้น
ที่ประเทศที่เจริญแล้ว เขายังนับถือ ก็เพราะความเชื่อมันเป็นสิ่งที่หยั่งราก ต่อให้ใช้เหตผลเท่าไร ก็ไม่สามารถโน้มน้าวได้ ดังเช่น ความรัก นั่นก็เป็นความเชื่อ และไร้เหตผลมาอธิบาย
จะมีแค่คนที่มองแต่ความจริงเท่านั้น ถึงจะตัดสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อ ได้ทั้งหมด สิ่งมีชีวิตก็แค่ ธุลี วิญญาณยังไม่มีจริงเลย แล้ว ศาสนาจะเป็นจริงได้อย่างไร อย่าเขลานัก
ฮาเลลูยา อาเมนค่ะ พระเจ้ายิ่งใหญ่ค่ะ ขอบคุณพระเจ้า
กฎเกณฑ์ศาสนาที่เกิดขึ้นเพราะมนุษย์แสวงหาหนทางที่จะพ้นจากทุกข์พ้นจากโศกทั้งการอยู่ด้วยกันบนโลกอย่างสงบสุข ทุกศาสนาจึงสอนให้คนทำดี แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้เลย เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่ทำบาป เอาง่ายๆก็คือกฎเกณฑ์ศาสนาเป็นสิ่งที่ชี้บอกให้มนุษย์รู้เฉยๆว่าสิ่งเหล่านี้คือบาป ยกตัวอย่างเช่น ศิล5 เรารักษากันได้หมดทุกข้อมั้ยครับ แค่ข้อแรกผมก็ทำไม่ได้แล้วครับ ความจริงก็คือมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ลองนึกดูนะครับ ความโกรธ ความโลภ ความหลง คงามเห็นแก่ตัว ความอิจฉา การมุสา การทุ่มเถียงกัน และอีกเยอะแยะมากมาย นิสัยเหล่านี้มาอยู่ในตัวเราได้ยังงัย ก็ในเมื่อเราเกิดมาพ่อแม่ก็มีแต่สอนว่าทำดีนะคิดดีนะอย่าโกหกนะมีแต่สิ่งดีๆทั้งนั้นที่เรารับมา แต่เราก็ทำไม่ได้ทั้งหมดเพราะเราคือคนบาปและผลของความบาปคือความตายและรับโทษในนรกนิรันดิร์ แต่ก็ยังมีข่าวดีสำหรับเราวันนี้ก็คือ พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด(พระเยซู)พระองค์ทรงรักเราอย่างมากมาย เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วพระองค์จึงได้สำแดงพระองค์ในสภาพมนุษย์เพื่อมาช่วยมนุษย์ทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระองค์ให้รอดพ้นจากความบาปด้วยการรับโทษบาปยอมตายแทนเราบนไม้กางเขนและทรงฟื้นจากความตายสำแดงให้เห็นถึงชัยชนะเหนือความตาย และทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระองค์ก็จะได้รับความรอดจากการตกบึงไฟนรก และมีชีวิตนิรันดิร์ร่วมกับพระองค์
จริงๆแล้วผมกำลังจะบอกว่าเรื่องราวของพระเจ้าไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นการกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง เละรับเอาสิ่งที่พระองค์ช่วยแบบฟรีๆด้วยใจที่เชื่อ(เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่เชื่อเท่านั้นครับ) ผมขอยกอีกตัวอย่างละกัน สมมุติว่ามีคนกำลังจะจมน้ำ แล้วมีคนเดินผ่านมาบอกว่าการว่ายน้ำต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็ไป หรือมีอีกคนมาแล้วโยนหนังสือการว่ายน้ำลงไปให้แล้วบอกว่าอ่านแล้วก็ทำตาม แล้วก็มีอีกคนมาแต่คนนี้โดดลงไปช่วยเลย(พระเยซู)
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?