::::::::::::::::::::::ชี้แจง การตัดเกรดใน university::::::::::::::::::::::
ตั้งกระทู้ใหม่
A.คนแรกจบจากมหาวิทยาลัยดังแต่ได้เกรดแค่ 2กว่าๆ
B. คนที่สองจบจากมหาวิทยาลัยไม่ดังได้เกรด 3.80
แต่บริษัทพิจารณาโดยกำหนดตัวแปรอื่นคงที่ และเลือกรับ นักศึกษาคนแรก
เลยอยากชี้แจงการตัดเกรดในระดับมหาวิทยาลัยให้ฟังซึ่งการตัดเกรดมีหลายแบบ
1.อิงกลุ่มคือเอาคะแนนของทุกคนมาเรียงกันแล้วตัดเกรดประมาณว่า 10%แรกของคนคะแนนสูงสุดก็จะได้ A, 10 % ถัดมาก็ได้ B+ , ไปเรื่อยๆโดยให้เปอร์เซนแต่ละเกรดตามกราฟอะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้ ประมาณว่า A=10 % ,B+= 10-15% ,B=15-20% ,C+ =20-30%, C=20-30 %,D+ = 10-15% D= 10% F=แล้วแต่อาจารย์จะพิจารณา ซึ่งวิธีนี้จะใช้มากที่สุด
2.อิงเกณฑ์แบบระดับมัธยม เช่น 80ขึ้นได้เกรด A ,75-79ขึ้นได้ เกรด B+).........,49ลงมาได้ เกรด F ซึ่งวิชานี้จะใช้ในระดับมหาวิทยาลัยน้อยมากๆ
3.จะใช้ผสมกันทั้งข้อ 1 และ 2 คือ จะตั้งเกณฑ์เฉพาะ A และ F ส่วนเกรดอื่นๆจะอิงกลุ่ม เช่น ตัด A ที่คะแนน 80 และ F ที่คะแนน 50 ส่วนเกรดอื่นๆก็ให้เปอร์เซนตามระบบอิงกลุ่ม
...............ที่กล่าวมาทั้งหมด ส่วนใหญ่กว่า 80-90%ของการตัดเกรดในระดับมหาวิทยาลัยทั้งหมดจะใช้วิธี 1 และ 3
ในแต่ะมหาวิทยาลัยจะมีวัตถุดิบ หรือ สมองนักศึกษาไม่เท่ากันแล้ว ดังนั้นการออกข้อสอบของอาจารย์ก็มาตรฐานไม่เท่ากันแล้ว คือ ต้องออกให้กลางๆสำหรับนักศึกษาทุกระดับสมองในแต่ละม. แต่ใน ม.ดัง เด็กส่วนใหญ่จะเก่งๆอยู่แล้วข้อสอบก็จะมาตรฐานสูงหน่อยแต่ ม.ไม่ค่อยดังก็อาจจะออกข้อสอบอาจจะยากน้อยกว่า หรือยากเท่ากันก็เป็นไปได้
สมมติวิชาหนึ่ง เด็กทั้ง ม.A และ B ได้ลงทะเบียนเรียนวิชาหนึ่ง ซึ่งวิชานั้นแต่ละ ม. มีเด็ก 11 คนดังนี้
ลำดับคะแนนของเด็กแต่ละมหาวิทยาลัยตัดเกรดอิงกลุ่มเป็นดังนี้
1.ม.A เต็ม 100 เด็กได้คะแนนดังนี้ 99,95,92,91,90,82,80,78,75,74,73 โดยเด็กที่ได้เกรดA คือคะแนน 99 ,เกรดB+ =95, เกรดB= 92, C+90และ82, C=80และ78 , D+ =75 , D=74, F=73 ปล.ปกติถ้าคะแนนไม่ทุเรศ(ประมาณ 40 เต็ม 100)จริงๆเค้าก็ไม่แจกFน่ะครับนี่ยกตัวอย่างให้เห็นเฉยๆ
2.ม.B เต็ม 100 เด็กได้คะแนน ดังนี้ 72,70,69,68, 62,61,60,58,54,50,30 โดยเด็กที่ได้เกรด A คือคะแนน 72 ,B+ =70, B= 69, C+68และ62, C=61และ58 , D+ =54 , D=50,  F=30
ดังจะเห็นแล้วว่า เกิดความแตกต่างในหลายส่วน
1.แต่ละ ม.มาตรฐานข้อสอบต่างกัน ส่วนใหญ่ ย้ำ ส่วนใหญ่ อาจารย์มักออกข้อสอบตามความเหมาะสมของสมองเด็ก ดังนั้น ยิ่งม.ดัง เด็กเก่งก็มักจะมากกว่า ข้อสอบเลยมักจะยากกว่า แต่ก็สรุปไม่ได้น่ะครับ บางม.ที่ไม่ดัง ออกข้อสอบยากก็มี แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะบอกว่า ม.ตน ข้อสอบยากทั้งนั้นเพื่อพยายามจะบอกว่าของตนเรียนยากอย่างโน่นอย่างนี้ แต่ พอมาเทียบกันแล้วความยากคนละระดับจริงๆ
2.การตัดเกรดอิงกลุ่มตามตัวอย่างจะเห็นแล้วว่า  เด็ก ม.A ต้องได้ 99 ถึงจะได้เกรดA แต่เด็ก ม.B แค่ได้คะแนน 72 ก็ได้เกรด A แล้ว กลับกันลองเอาไปเทียบดูว่า ถ้าเด็กคนที่ได้เกรดA ของม.B ซึ่งได้คะแนนสูงสุดเท่ากับ 72 ถ้าเค้าไปเรียน ม. A เขาก็จะได้ F ก็เป็นไปได้
ถึงแม้นี้เป็นแค่ตัวอย่าง
บางคนบอกว่าเพชรอยู่ที่ไหนก็เป็นเพชรแต่เพชร เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน เพชรมันไม่ได้เยอะน่ะครับ  ใน ทุก ม.ไม่ดังอาจจะมีเพชร แต่ก็อาจจะมีสักเม็ดสองเม็ดหรือหลายเม็ดก็ตามแต่ แต่ผมคิดว่าบางครั้งพลอยใน ม.ดังอาจจะเก่งกว่าเพชรอย่างคุณเยอะน่ะ
บางครั้ง บอกว่า เด็กเก่งๆ ทำงานไม่เป็น เป็นบางคนคับ แต่ส่วนใหญ่ผมจะบอกว่าพวกนี้เหละตัวทำงานของจริงๆ ง่ายๆ คุณลองสังเกตหรือนึกเพื่อนในห้องของคุณที่เก่งที่สุด(ไม่รวมพวกเกรียนที่เล่นๆแต่สอบได้คะแนนเยอะเป็นครั้งคราวน่ะครับ) พวกเก่งเขาเป็นยังไง ขยันรึเปล่า ทำงานเป็นและเร็วรึเปล่า คุณก็เห็นอยู่ ตอนแรกผมก็คิดแบบคุณแต่พอผมได้มาเรียนในที่หนึ่ง แทบช็อค สุดท้ายจากผมคิดว่าผมทำงานเร็วและเก่งแล้วมาเรียนที่นี่ผมเองที่ดูเป็นคนที่ทำงานช้ากว่าใครเลย
ข้อเสียของเด็กที่เก่ง คือ เพราะตนเก่งและจบในที่ดีๆเลยคิดว่าตนมีทางเลือกเยอะ ไม่ต้องแคร์ที่ทำงานนั้นๆเลยไม่ค่อยทนงาน เพราะคิดว่าตนไปทำงานที่ไหนส่วนใหญ่ ย้ำ ส่วนใหญ่เขาก็รับเกือบทั้งหมด เลยไม่ค่อยเเคร์ใคร ทำให้บริษัทบางที่บ่นว่า เด็กเก่งไม่ค่อยสู้งาน สาเหตุก็เพราะเด็กเค้าคิดว่าเค้าเลือกงานได้ไง
12 ความคิดเห็น
ได้ประโยชน์ดีค่ะ ขอบใจจ้าๆ
บอกให้ก็ได้
normal curve หรือโค้งปกติไงครับ (โถ่)
ส่วนการรับเข้าทำงาน ปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งคือชื่อเสียงมหาลัยที่จบ คณะชื่อดัง อันนี้จริงครับ
เพราะประสบการณ์รับคนจะบอกว่า คนที่จบมหาลัยชั้นนำจะมีศักยภาพในการทำงานสูงกว่ามหาลัยโนเนม ระบบแอดมันจะคัดกรองคนมาแล้วระดับหนึ่ง
มันไม่ใช่ทุกคน แต่เป็นแนวโน้มครับ
ไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการตัดสิน แต่เป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับคนครับ
เออ ขอบใจน่ะ คุณความคิดเห็นที่ 2 
จริงๆ เรื่อง "normal curve" คุณไม่บอกมันก็ไม่สำคัญหรอก
ปล.ปัจจัยเรื่อง เกรด กับ ชื่อสถานบัน ถึงแม้มันจะเป็นปัจจัยหนึ่งแต่ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญเกือบที่สุดมิใช่หรือ
เกรด สำคัญแค่ว่า เราผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำรึเปล่า แค่นั้นหละครับ
หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับ ชื่อเสียงของสถาบัน คะแนนสอบข้อเขียน บุคคลิก
ลักษณะนิสัย มุมมองจากการตอบคำถาม
ยกตัวอย่าง ด้านวิศวกรรม ละกันเห้นชอบถกเถียงและดราม่ากันบ่อยๆ
ถ้าบัณฑิตจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง 1 ใน 5 ด้านวิศวกรรมของประเทศ
กับบัณฑิตจบจากหมาวิทยาลัยอันดับ10(เฉพาะด้านวิศวะนะ อย่าลืม)
เกณฑ์การเข้าสมัครของบริษัทเกือบทุกแห่งคือ เกรด 2.75 ขึ้นไป
TOEFL TOEIC IELTS CU-TEP ขั้นต่ำซักค่านึง จำไม่ได้ว่าส่วนหญ่เค้าเอาเท่าไหร่
บัณฑิตทั้ง2คน ผ่านเกณฑ์ทุกข้อทั้งคู่คุณคิดว่า เค้าจะเลือกใครครับ...............................................
.......................................................................................
.......................................................................................
แน่นอนคับว่า เค้าจะยังไม่เลือก เค้าจะให้มาสอบข้อเขียนก่อน
ถ้าผลการสอบข้อเขียนปรากฏว่า ผ่านทั้งคู่
คุณคิดว่า เค้าจะเลือกใคร........................................................
................................................................................................
แน่นอนอีกเช่นกันครับว่า เค้าก็ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครอีกอยู่ดี
แต่เค้าจะเรียกตัวไปสัมภาาณ์ก่อน เพื่อดูสถาบัน สาขา เกรดเฉลี่ย ที่จบมา
(คนแรกได้ 2.90 อีกคนได้ 3.50) พร้อมทั้งดู
ลักษณะนิสัง บุคคลิก การคิดวิเคราะห์ และบางทีจะดู โหยวเฮ้ง ด้วย
แล้วผลออกมาว่า ok เก๋ good ทั้งคู่อีก
ตรงนี้หละครับ ที่เค้าจะตัดสินใจเลือกกันจริงๆซะที
แล้วทีนี้ เค้าจะเลือกใครหละ??....................................................................
.....................................................................................................................
ดูเกรดอย่างเดียวหรือ???
ดูแต่ชื่อสถาบันหรือ???
แน่นอนว่าเค้าต้องดูทั้ง2อย่างประกอบกัน ด้วยเหตุผลอย่างที่ จขกท บอก
แต่ที่ขาดไม่ได้คือ คะแนนจากการสอบสัมภาษณ์
และที่ขนาดไม่ได้ สำคัญสุดๆ คือ connection (จากศิษย์เก่า หรือ ญาติพี่น้อง)
ดังนั้น ชื่อสถาบันชื่อมีผลมากกว่า เพราะได้ทั้งความหน้าเชื่อถือ และ connection
เพราะ connect จากพี่ศิษย์เก่าของสถาบันชั้นนำ มันหาง่าย เจอง่าย กว่าสถาบันชั้นรอง
บางที่พี่คนนั้นไม่ได้จบวิศวะมา แต่จบบัญชีอยู่ฝ่ายบัญชี ไม่เกี่ยวข้องกับงานของวิศวะเลย
มาเส้นข้ามสายงานให้ ยังได้เลยครับ
PS. (_ _)zZ
ที่คิดว่าม.ดัง เกรดดีเป็นปัจจัยหลัก
เพราะคิดด้วยวิธีการเข้าสมัครงานแบบวิธีทั่วไปกันไง
ทั้งที่จริงมีตั้งหลายปัจจัยที่จะส่งเสริมการได้งานมากกว่าเรื่องพวกนี้ด้วย
เช่นเรื่องของประสบการณ์
การมีชื่อเสียงผ่านการประกวดแข่งขันทั้งหลาย
พอร์ทที่เคยรับงานนอกทำในระหว่างที่เรียน
การใช้เส้น... แต่ไม่ใช่ของครอบครัว หากแต่ของคนที่เคยไปทำงานด้วย แล้วเขาเห็นแววฝากให้
เป็นต้น
หากต้องการจะได้งานดีจริง ๆ อย่าเรียนแล้วจบออกมาแบบถึก ๆ
ตอนเรียนรู้จักทำกิจกรรมหรือหางานนอกที่เกี่ยวกับงานที่เราจะไปสมัคร
ถึงจะเกรดต่ำ ม.ไม่ดัง ก็มีโอกาสติดกว่าม.ดังเกรดดีซะอีก
PS. เราไม่ได้สีแดงนะ แต่-สีเดียว-ต่างหาก
โปรดสังเกต เจ้าของกระทู้ ยกตัวอย่างแบบง่ายๆโดยให้ตัวแปรอื่นที่ไม่ใช่ เกรด และ ชื่อสถาบัน คงที่ ฉะนั้น ความจริงๆ มันก็ประกอบทุกส่วน ทั้งผลงาน ผลสอบ อื่นๆด้วย นี่เป็นแค่ตัวอย่างให้เห็นง่ายๆเมื่อส่วนอื่นคงที่ เท่านั้นเอง
ผมว่าวัตถุประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้ เพื่อชี้แจงให้เห็นการตัดเกรดในระดับมหาวิทยาลัย มากกว่ามาเถียงเรื่องอื่นน่ะครับ
การตัดเกรดในมหาวิทยาลัยมีเกณฑ์หลักๆ คือ
1.ตัดตามเกณฑ์ เช่น 85 % ได้ A
2.ตัดตามกลุ่ม เช่น ถ้าเกิน mean มา 2 SD ได้ A
3.แต่เกณฑ์ที่อาจารย์ชอบคือ ตัดตามใจ GU ครับ
ปล.อย่าไปคิดเรื่องการตัดมากเลยครับ เพราะอาจารย์แต่ละคนมีเกณฑ์การให้เกรดไม่เหมือนกันในแต่ละวิชา บางวิชา mean อาจจะได้ C แต่บางวิชาอาจจะได้ C+ ครับ ผมว่าสอบให้ได้คะแนนเกิน mean มาเยอะๆดีกว่านะครับ จะได้อุ่นใจ
PS. เกลียดพวกบ้าเกาหลีไปตายซะ
เห็นด้วยความ จขกท เต็มประตู !!!!
มันก็อยู่ที่ตัวนักศึกษาด้วยอ่ะ ใม่ใช่อยู่ที่ตัวมหาลัยอย่างเดียว แต่ก็นะ สภาแวดล้อมก็สำคัญ
PS. คนเราย่อมมีเหตุผลที่ไม่เหมือนคนอื่น ความรู้สึก ความชอบไม่เหมือนกัน
เกรดe และf คืออะไร มันต่างกันอย่างไรหรือว่าความหมายเหมือนกัน
แล้วถ้าติดf จะแก้ได้ในเทอมนั้นเลยได้ไหมครับ หรือว่ารอเรียนกับรุ่นน้อง คือผมอยากจะแก้ให้ผ่านในเทอมนั้นเลย ต้องลงเรียนซัมเมอร์ถูกต้องไหมครับ
รบกวนช่วยให้คำแนะนำหน่อยนะครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?