Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

คริสเตียน รู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
          คนเรามักคุ้นเคยกับการพิสูจน์อะไรโดยต้องได้เห้นด้วยตา หรือด้วยประสาททั้ง 5 (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) แต่เนื่องจากพระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นวัตถุสิ่งของหรือมีเลือดเนื้อแบบมนุษย์ แต่พระองค์ทรงเป็น วิญญาณ เราจึงไม่อาจรับรู้พระองค์โดยการอาศัยการมองเห็นด้วยตาหรือประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้ แต่เรายังสามารถแน่ใจว่าพระองคืมีจริงได้โดยอาศัยหลักฐาน หลายอย่างได้แก่
          1 หลักฐานความอัศจรรย์ของธรรมชาติพระธรรมโรม 1:19-20 กล่าวว่า "เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก้แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานานแล้ว สภาพที่ไม่ปรากกของพระเจ้านั้นคือ ฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างฉะนั้นเขาทั้งหลายไม่มีข้อแก้ตัวเลย"
          ข้อนี้บ่งชี้ว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์ในยุคอดีตจนถึงปัจจุบันรู้สึกได้เว่ามีพระเจ้าหรือสิ่งศักดิสิทธิ์ ถ้าเราสังเกตุดูธรรมชาติทั้งในโลกและจักรวาล จะพบว่ามีความเป็นระเบียบสอดคล้องกลมกลืนกันอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งมีความเป็นระเบียบกลมกลืนกันอย่างนี้จะบังเอิญเกิดขึ้นมาเองได้อย่างไรกัน น่าจะมีผู้ที่ออกแบบสร้างสรรค์ได้มากกว่าเช่น
         1 ความอัศจรรย์ของการก่อตัวของทารกในครรภ์มารดา เริ่มจากไข่ปฏิสนธิแล้วและพัฒนาไปเรื่อยๆ สู่สภาพร่างกายคนอย่างสมบูรณ์ การที่เซลถูกจัดอย่างมีระเบียบ ให้มีอวัยวะเป้นรูปร่างที่เหมาะสม ความอัศจรรย์ของพันธุกรรมมนุษย์ที่ได้รับโครโมโซม 23 โครโมโซมจากทั้งพ่อและแม่ ความอัศจรรย์ที่ลายนิ้วมือมนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย
         2 หลักฐานจากจิตสำนึกของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตสำนึกที่แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เราพบความจริงว่ามนุษย์ทั่วโลกทุกยุคทุกสมัยคุ้นเคยกับการแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ มนุษย์โลกนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนา และศาสนาที่ประชากรส่วนใหญ่ในโลกนับถืออยู่นั้นเป้นศาสนาที่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง สิ่งนี้ให้เห็นถึงส่วนลึกภายในจิตใจของมนุย์ที่กระหายหาพระเจ้า ซึ่งเหมือนกำลังบอกเราว่า พระเจ้ามีจริง
       3  หลักฐานจากมโนธรรมของมนุษย์ หรือจิตสำนึกในเรื่องความดีความชั่วของมนุย์ จากพระธรรมโรม 2:14-15 บอกให้เราทราบว่า มนุย์ทั่วโลกทุกยุคทุกสมัยล้วนแต่มีมโนธรรม หรือจิตสำนึกความดีความชั่ว แม้ว่ามาตรฐานอาจแตกต่างกันไปบ้างแต่ก็นับว่าใกล้เยงกันมาก แสดงให้เห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นกกเกณฑ์ที่มนุย์ไม่ได้แต่งขึ้นเอง แต่เป็นกฏเกณฑ์ที่ถูกใส่ไว้ในตัวมนุย์ทุกคน สิ่งนี้บ่งชี้เป้นนัยว่า มีผู้ที่ได้ใส่มโนธรรมไว้ในใจมนุษย์ทุกคน ซึ่งเหมือนกำลังบอกว่า พระเจ้ามีจริง
        4 หลักฐานจากการใช้หลักเหตุผลหรือตรรกะหรือหลักเหตุผลแบบง่ายๆว่า  ถ้าสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิตมาเป็นทอดๆ แล้วสิ่งมีชีวิตแรกสุดล่ะมาจากไหน? เป้นไปได้ไหมว่ามาจากพระเจ้าหรือมีการใช้ตรรกะที่ว่า การเคลื่อนไหวของสิ่งใดๆในจักรวาลล้วนแต่ต้องได้รับแรงกระทบมาจากสิ่งอื่นมาเป้นทอดๆ แล้วสิ่งที่เคลื่อนไหวแรกสุดล่ะมาจากไหน? ตรรกะทำนองนี้ยังมีอีกมากล้วนแต่บ่งชี้ให้เห้นว่า พระเจ้าน่ามีจริง
         5 หลักฐานจากความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ เหตุการณ์ต่างๆที่บันทึกในพระคัมภีร์ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงมีความถุกต้องในด้านประวัติสาสตร์และโบราณคดี  คำพยากรณ์ที่มีอย่างมากมายในพระคัมภีรืก้ได้พิสูจน์ให้เห็นเมื่อเวลาผ่านไป คำพยากรณ์เหล่านั้นเป้นจริงตามนั้นทุกประการ เหตุการณ์เกี่ยวกับการอัสจรรย์ของพระเยซูทรงกระทำไว้อย่างมากมายในพระคัมภีร์ก้เป้นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์ในยุคสมัยนั้นไม่พบการคัดค้านใดๆที่บอกว่าเรื่องราวของพระเยซูไม่เป้นความจริง ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงช่วยให้เราแน่ใจได้ว่า พระเจ้ามีจริง
          หลักฐานประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้หลายประการว่า มีสิ่งใดบ้างที่พระองค์จะทรงกระทำแก่ผุ้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ ซึ่งก้ปรากฏเป้นจริงในประสบการณ์ของคริสเตียนแทบทุกคน คริสเตียนจะมีประสบการณ์ที่ภายในจิตใจรู้สึกสัมผัสถึงสันติสุขจากพระเจ้า ชีวิตที่เคยชินอยู่ในอุปนิสัยที่ไม่ดีก้กลับเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เมื่ออธิษฐานก้ได้รับคำตอบจากพระเจ้า บางคนก็มีประสบการณ์พิเศษเช่น หายโรคอย่างอัศจรรย์เมื่ออธิฐานต่อพระเจ้า ได้ยินเสียงตรัสของพระเจ้าได้เห็นนิมิต เหล่านี้ทำให้รู้สึกได้ว่า พระเจ้ามีจริง
          รู้ได้อย่างไรว่าพระคัมภีร์มาจากพระเจ้า?
          พระคัมภีรืได้รับการพิสูจน์ว่ามีความถูกต้องในด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี คำพยากรณ์ที่มีอย่างมากมายในพระคัมภีร์ได้พิสูจน์ว่าเมื่อเวลาผ่านไป คำพยากรณ์เหล่านั้นก้เป้นจริงตามนั้นทุกประการ
          นรกสวรรค์ไม่มีจริง?
       เราไม่มีทางหาหลักฐานที่แน่ชัดมาพิสูจน์เรื่องนรกสวรรค์ได้ ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าเราไม่มีหลักฐานพิสูจน์อย่างแน่ชัดในเวลานี้ แต่ถ้านรกสวรรค์มีจริงแล้วเรายังไม่ได้เชื่อพระเยซู แม้เราจะไปรู้ความจริงในวันที่เราตายไป ก้ไม่มีประโยชน์ เพราะเราก็ต้องตกนรกแน่ เราน่าจะเชื่อพระเยซูไว้ก่อน และถึงแม้วันที่เราตายจากไป นรกสวรรคืไม่มีจริง เราก้ไม่ได้เสียประโยชน์อะไร
          ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป้นคนดี ทำไมต้องมานับถือคริสต์ด้วย?
         เป็นความจริงที่ว่าทุกศาสนาสอนให้เป้นคนดี แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเด่นชัดของพระเจ้าคือ พระองค์ไม่ได้มุ่งสอนให้เราเป้นคนดีในอันดับแรก เนื่องจากโดยปกติแล้วมนุษย์เราทุกคนก้รู้อยู่แล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว แต่ปัญหาของเราอยู่ที่รู้แล้วแต่ก้ยังทำบาป การที่มนุษย์เราทำบาปทำให้ต้องรับผลกรรมในนรกและผลร้ายอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไมใด้ พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อช่วยไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป พ้นจากผลกรรมในนรก และเปลี่ยนแปลงชีวิตให้แก่เรา
          ฉันทำดีพอที่จะขึ้นสวรรค์แล้ว ไม่ต้องพึ่งพระเจ้าก้ได้?   
          สวรรค์เป้นที่ประทับของพระเจ้า พระองค์ทรงบริสุทธิ์ ที่ประทับของพระองค์จึงบริสุทธิ์ คนที่ดีพอจะขึ้นสวรรค์ได้คือคนที่สมบูรณ์แบบ เป้นคนบริสุทธิ์เพียบพร้อม ไม่มีความบาปความชั่วปนเปื้อนเลย ในชีวิตไม่เคยทำบ่าปเลย พระคัมภีร์ ตรัสว่าไม่มีใครเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย โรม 3:23  แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลกที่ได้ประพฤติล้วนแต่ความดี และไม่กระทำบาปเลย ปัญญาจารย์ 7:20 ฉะนั้นจึงไม่มีใครดีพอที่จะขึ้นสวรรค์ได้เลย มนุษย์จะรอดพ้นบาปและขึ้นสวรรค์ได้โดยการรับการไถ่บาปจากพระเยซูเท่านั้น
         คนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเยซูแล้วตายไปก่อนตกนรกมั้ย?
          พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะทรงพิพากษาคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเยซูด้วยบรรทัดฐานที่เหมาะสมกับโอกาสของเขาแน่
          ศาสนาอื่นก้ช่วยเราไปสวรรค์ได้?
          อาจมีบางศาสนาที่บอกว่าช่วยให้ไปสวรรค์ได้ แต่พระเยซูทรงยืนยันว่า พระองค์ทรงเป็นทางเดียวเท่านั้น ไม่มีนามอื่นใดที่ช่วยให้รอดได้ และทรงพิสูจน์ว่าทรงช่วยเราให้ไปสวรรค์ได้โดยการที่พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตาย เรายังไม่พบการพิสูจน์จากผุ้ใดที่เหมือน พระเยซู
          ครอบครัวไม่เห้นด้วยถ้าเราจะมาเชื่อพระเยซู?
          ที่ครอบครัวไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขายังไม่รู้และไม่เข้าใจพระเยซูอย่างถูกต้อง หากคุณรับเชื่อพระเยซูจะแสดงให้พวกเขาเห็นถึงสิ่งดีที่พระเยซูทรงกระทำในชีวิตคุณ พวกเขาจะค่อยๆเปลี่ยนใจ ซึ่งคุณไม่เพียงแต่ช่วยตัวเองให้รอดเท่านั้นแต่ยังจะช่วยครอบครัวของคุณให้รอดด้วย
          ศาสนาคริสต์เป้นศาสนาของต่างชาติ เราเป้นคนไทยต้องนับถือศาสนาประจำชาติ?
          พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างโลกและจักรวาลพระองค์ทรงตรัสว่า พระองค์ทรงรักโลก ฉะนั้นพระองค์จึงเป้นพระเจ้าของคนทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะของคนชาติใดชาติหนึ่ง และทรงมีพระประสงค์จะช่วยมนุย์ทั้งโลกให้รอดพ้นบาป ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก้ตาม หากไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ก้ต้องตกนรกด้วยกันทั้งนั้น และว่าไปแล้ว ศาสนาประจำชาติที่พูดถึงนั้นก้มาจากต่างชาติเช่นกัน ฉะนั้นการมีจุดเริ่มต้นจากที่ไหนไม่เรื่องสำคัญ สำคัญตรงที่เป็นประโยชน์หรือไม่มากกว่า
          ทำไมพระเยซูรับโทบาปแทนเราได้ ใครทำอะไรก้ต้องได้รับผลนั้นเองไม่ใช่หรือ?
          แน่นอน คนเราต้องรับผลของการกระทำของตนเอง แต่โดยปกติแล้ว หากมีผุ้ที่จะชดใช้ผลการกระทำนั้นแทนเราก้สามารถทำได้ถ้าหากว่า ผุ้ที่ชดใช้นั้นเป้นผู้มีสิทธิ์ที่จะชดใช้โทษนั้นแทน และชดใช้อย่างเพียงพอกับโทษนั้น พระเยซูทรงเป้นผุ้ที่มีสิทธิ์ที่จะชดใช้โทษนั้นแทนเรา และทรงชดใช้อย่างเพียงพอ เพราะ 1 พระองค์ทรงเป้นพระเจ้าที่เป้นเจ้าของชีวิตมนุย์ทุกคน 2 พระองคืเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุยืและยอมถูกตึงจนสิ้นพระชมนืเพื่อใช้ชีวิตของพระองคืเองเป็นสิ่งชดใช้แทนมนุษย์เฉพาะคนที่ยอมมอบถวายชีวิตของตนแด่พระเจ้าเท่านั้นที่พระองค์จะชดใช้โทแทนคนนั้นได้
          ทำไมคริสต์เตียนพ้นบาปง่ายจังเพียงแค่เชื่อก็พ้นบาปแล้ว?
          แท้จริงแล้วการที่คนเราจะพ้นจากบาปได้นั้นเป้นเรื่องยากมาก และเป็นไปไม่ได้เลยต่างหากแต่ที่อาจะดูเหมือนง่ายสำหรับเราก้เพราะพระเยซูทรงทำสิ่งที่ยากนั้นแทนเราแล้ว อย่างไรก้ตามการเชื่อพระเยซูจริงๆแล้วก็ไม่ใช่ง่ายนัก ต้องพร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้าในการดำเนินชีวิตทุกเรื่องและยอมทนทุกข์เมื่อถูกข่มเหงด้วย
         
          


         

แสดงความคิดเห็น

>

71 ความคิดเห็น

ซ่อนนาม 28 พ.ค. 54 เวลา 04:33 น. 1

เชื่อ... เชื่อใคร ?
หากเชื่อพระเจ้า แล้วจะติดต่อกับพระองค์ได้ยังไง ?
หากติดต่อได้ จะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เรารับรู้นั้นไม่ใช่เป็นเพราะจิตเภทเพ้อไปเอง ?
(ในทางศาสนาพุทธก็พูดเรื่องการนั่งสมาธินาน ๆ แล้วจะเพ้อไปเองว่ามีเทพนู้นนี้มาติดต่อเราได้)
รวมถึงหากไม่ใช่จิตเภทเพ้อไปเอง จะรู้ได้ยังไงว่านั่นไม่ใช่ซาตานปลอมตัวมา
เช่น มีการบอกว่าให้บูชายันต์บุตรของตนเอง
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่านั่นไม่ใช่ซาตานลวงให้เราทำชั่ว ไม่ใช่การที่พระเจ้ามาลองใจเรา ?

หากเชื่อพระเยซู แล้วพระเยซู แล้วจะเชื่อยังไง ในเมื่อตัวท่านไม่เคยปรากฎออกมาอีกเลย ?

หากเชื่อคนหรือคัมภีร์ซึ่งอ้างว่ามาจากคำสอนของพระเจ้าหรือพระเยซู
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่อ้างนั้น เป็นคำสอนของแท้จริง โดยไม่ได้ผ่านการบิดเบือน



นี่เป็นสิ่งที่เราสงสัย เพราะเราเชื่อว่าปัญญาต้องเทียบเท่าศรัทธา ดังนั้นเลยมีข้อสงสัย
หากปัญญาเหนือศรัทธา เราจะไม่เชื่อโดยทันที พอเห็นกระทู้นี้จะคิดว่าไร้สาระแล้วปิดไปโดยไม่ถาม
หากศรัทธาเหนือปัญญา แม้มีคนมีมาหลอกลวงว่าเป็นตัวแทนพระเจ้า เราก็จะเชื่อโดยไม่สงสัย


PS.  อบอุ่นและมีความฝันความหวังไหม / 人◕‿‿◕人 \
0
[ ] 28 พ.ค. 54 เวลา 09:23 น. 2

ที่พูดมาแต่ละอย่างผมว่ามันยังไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ อย่างการถูกตรึงกางเขนจากชาวโรมัน
เกี่ยวอะไรกับการไถ่บาป ถ้าวันนั้นไม่มีการตรึงกางเขน ปัจจุบันคนนับถือคริสต์คงแทบจะไม่มี

ที่ว่าทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ละเว้นความชั่ว ก็จริงอยู่พุทธก็เช่นกัน แต่คงไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น
ยังสอนให้อยู่เหนือความดี-ความชั่ว ด้วย แต่นี่เป็นวิถีการสอนทางโลกีย์-โลกียธรรม
ส่วนหลักใหญ่ใจความสำคัญอยู่ที่ โลกุตรธรรม คือความไม่มีตัวตน คำสอนจะคล้ายๆ
กับหลักวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของการเกิดกิริยา-ปฏิกิริยาต่อกัน เช่นมีดบาดมือ ก็เจ็บที่มือ
แต่ไม่มีใครเจ็บคือไม่มีคำว่ามีดบาดกู กูเจ็บ กูเป็นคนเจ็บ ไม่มี ถ้ายังมีนั่นก็ไม่ใช่โลกุตรธรรมแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดกับรูปขันธ์เท่านั้นเอง เป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ไม่ได้เกิดกับผมคุณหรือเขา

1
พันธสัญญา 2 ก.พ. 59 เวลา 19:26 น. 2-1
โกรธแล้วนะ เพราะเป็นบุตรพระเจ้าไงตรรกะแค่นี้ยังไม่รู้เหรอว่าการตรึงเกี่ยวกับการไถ่ตรงไหน
0
หนูแพว 28 พ.ค. 54 เวลา 09:58 น. 3

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ว่าด้วยอารมณ์และความรัก
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุและผล

แต่ทั้ง 2 ศาสนาก็ต้องอาศัยความเชื่อและศรัทธาของผู้ที่นับถือศาสนานั้นๆ

0
It's Me OVER HERE 28 พ.ค. 54 เวลา 11:28 น. 5

ผมว่า ทุกศาสนา และ มันก็เป็นแค่ที่พักพิงใจ ความจริง ของทุกศาสนา มาจากไหน ใครรู้มี จริง ก็ไม่มี หรอก
มันก็ แค่สิ่งที่เรา เชื่อและ พอใจ อะ ถ้า พวกคุณมาบอกรู้ได้ไง คริส มีนู่น มี นี่ มี นั่น จริง พวก เขา ก็พูดได้ว่า รู้ได้ไง ว่า ศาสนา อื่นๆ ที่พวก คุณ นับถืออยู่มี นู่น นี่ นั่น จริง

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 28 พฤษภาคม 2554 / 11:32
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 28 พฤษภาคม 2554 / 11:47

0
พุทธ 28 พ.ค. 54 เวลา 13:47 น. 7

ความเห็น5

ศาสนาพุทธรู้ครับเพียงแค่คุณหลับตาแล้วอยู่กับลมหายใจตัวเองไปเรื่อยๆคุณก็จะพบกับสัจธรรมนั้นเอง

0
KuraraChan 28 พ.ค. 54 เวลา 14:10 น. 8
 ของแบบนี้ต้องเจอกับตัวเองค่ะ

มันก็เหมือนกับคนพุทธ กราบไหว้อะไรบางอย่างเืพราะเชื่อว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ
(คหสต. อย่าโจมตี)
3
Winner32 3 ต.ค. 59 เวลา 02:18 น. 8-2

คุณหละคับ ส้นteen ขอให้พระเจ้าลงโทษคุณ #ถ้าพระเจ้าที่ว่ามีจริงอะนะ ถถถถ.

0
PPVLSL 2 ต.ค. 61 เวลา 04:42 น. 8-3

ในการอธิบายศาสนาตนเองไม่ควรนำศาสนาใดเข้าใาเกี่ยวข้อง คุณก็รู้อยู่ว่าเขียนยังไงแล้วมันจะเกิดความขัดแย้ง

ป.ล. การที่จขม.เขียนว่า กราบไหว้พระพุทธรูปเพื่อที่จะได้สิ่งที่ต้องการ มันเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด ที่ทั้งศาสนิก(บางคน)เองและต่างศาสนิกเข้าใจผิด


0
sSs.ro$e 28 พ.ค. 54 เวลา 14:39 น. 10
ใครจะไม่เชื่อ  แต่เราเชื่อ
ใครจะไม่ชอบ  ใครจะไม่รักพระองค์ เราไม่ว่า แต่เรารักพระองค์
และจะบอกว่าพระองค์เป็นความจริง 
พวกคุณจะไม่มีวันได้ใกล้ชิดพระองค์ ถ้าหากไม่มาทางพระองค์
ขอให้โชคดีสักวันจะรู้ว่าคุณคิดผิดมากก
 
คหสต.  ไม่ชอบก็ลบ!

0
หนูแพว 28 พ.ค. 54 เวลา 14:46 น. 11

ถึงศาสนาพุทธจะเป็นเรื่องของเหตุผลแต่มันก็อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง
เพราะบางอย่างถึงจะฟังดูมีเหตุผลแต่มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ค่ะ

0
ดินสอหัก 28 พ.ค. 54 เวลา 14:57 น. 12

 นับถือหมดเลย เคยมีผู้ใหญ่บอกว่านับถือหลายศาสนาก็ไม่เป็นไร  เลยนับถือหมดเลย เชื่อหมดทุกอย่างทั้งพุทธ คริส =w=


PS.  อยากมีเพื่อนที่น่าสนใจ
0
เด็กนอก 28 พ.ค. 54 เวลา 15:45 น. 14

พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
เราไม่เคยไม่รุสึกเหงาเลย เพราะพระองค์อยู่ไหนใจเราเสมอ...

0
sdfgdg 28 พ.ค. 54 เวลา 15:54 น. 16

อย่างน้อยศาสนาพุทธก็สอนให้เราเป็นคนแบบนี้

ใครจะขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าก็ช่าง เราอยากให้ทุกคนมีความสุขอยู่บนโลกนี้โดยที่ไม่เบียดเบียนกันก็พอ

ส่วนตัวเรา จะไม่ขึ้นสวรรค์ เพราะไม่นับถือพระเจ้า ก็ไม่เป็นไร


ปล.ที่นับถือศาสนาคริสเพราะกลัวจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์กันหรอ?

0
มะนาวหวาน 28 พ.ค. 54 เวลา 15:55 น. 17

ไอสไตล์บอกว่า

ศาสนาพุทธ เป็นดั่งวิทยาศาสตร์

เพระมีเหตุและผล

เราเชื่อว่าไม่มีศาสนาใด สอนให้คนเป็นคนไม่ดีหรอกหน่า

0
จามรมาน 28 พ.ค. 54 เวลา 16:18 น. 18

 คห.ที่ 8
ถ้าดูโดยหลักการเเล้ว
การอธิษฐานของศาสนาพุทธ คือการตั้งใจอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น ฉันตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้ฉันจะต้องสอบได้ที่หนึ่งให้ได้ เเล้วตั้งใจอ่านหนังสือสอบ เเบบนี้คืออธิษฐานในศาสนาพุทธ โดยความหมายจริงๆ
ซึ่งยึดหลักตนนั้นเเลเป็นที่พึ่งเเห่งตน ไม่ได้อ้อนวอนร้องขอจากใคร

0
JewKUS 28 พ.ค. 54 เวลา 20:49 น. 19

เรื่องศาสนาเถียงกันเป็นชาติก็ไม่จบครับ มันเป็นเรื่องของความเชื่อ

0